POHCHANGONLINE.pantown.com
แดงดำเนื้อหา-สาระ <<
กลับไปหน้าแรก
ศิลปะและสื่อสารทางวิยาศาสตร์การแพทย์
หลายคนต้องชอบ บางคนอาจจะวางเข็มของตนไว้ว่าจะไปเรียนเวชนิทัศน์ (Scienctific and Medical Illustration) ทั้งในและต่างประเทศ พอเห็นภาพนี้แล้วอาจจะเกิดไอเดียเยอะแยะ
ทางด้านวิทยาศาสตรืและการแพทย์ รวมทั้งอีกหลายเรื่องที่สื่อสารกับคนได้ยากๆนั้น เขาพัฒนาวิธีสื่อและสร้างการเรียนรู้กันได้ด้วยงานศิลปะและสื่อศิลปะครับ....เอามาให้ชมเพื่อแรงบันดาลใจของคนที่เก่งๆ หรือคนที่อยากสร้างงานที่นอกกรอบออกไปนะครับ
ภาพแรกเป็นการเขียนภาพทางศัลยกรรมดวงตาครับ (Optalmological Surgery Illustration) จัดว่าเป็นสาขาเฉพาะทางของเวชนิทัศน์สาขาหนึ่งในต่างประเทศนะครับ
โดย: วิรัตน์ [13 มี.ค. 50 12:51] ( IP A:202.28.180.201 X: )
ความคิดเห็นที่ 1
อีกชุดเป็นการทำงานร่วมกันของนักรังสี ศัลยแพทย์ และจิตรกร-นักเวชนิทัศน์ ดูการผสผมผสานวิทยาศาสตร์การแพทย์ + ความไฮเทคของเทคโนโลยีการสร้างภาพของยุคปัจจุบัน + จิตนาการสร้างสรรค์ตีความคิดความเข้าใจให้เป็นภาพของจิตรกร +และฝีมือเพื่อการใช้สอยอย่างช่าง ในงานที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญอย่างสูง
เขาอธิบายให้เห็นกระบวนการที่ซับซ้อน ให้เข้าใจได้อย่างเบ็ดเสร็จ ด้วยภาพ 2-3 ชุดเท่านั้นครับ เรื่องนี้ถ้าสื่อสารและอธิบายด้วยวิธีอื่น อย่างว่าแต่ผู้ป่วยและคนทั่วไปเลยครับ ต่อให้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางก้ต้องหืดขึ้นคอ แต่ศิลปะและสื่อแบบผสมผสานแนวนี้ก็ทำให้เป็นไปได้ง่ายๆครับ.............................
โดย: วิรัตน์ [13 มี.ค. 50 19:08] ( IP A:202.28.180.201 X: )
ความคิดเห็นที่ 2
โดย: วิรัตน์ [13 มี.ค. 50 19:09] ( IP A:202.28.180.201 X: )
ความคิดเห็นที่ 3
โดย: วิรัตน์ [13 มี.ค. 50 19:10] ( IP A:202.28.180.201 X: )
ความคิดเห็นที่ 4
ดูสีน้ำทางวิทยาศาสตร์สิครับ สวยงามและง่ายต่อการสื่อความเข้าใจเรื่องยากๆ บูรณาการทั้งสมองซีกว้ายและขวา ในงานชิ้นหนึ่งๆ เลย
โดย: วิรัตน์ [13 มี.ค. 50 19:12] ( IP A:202.28.180.201 X: )
ความคิดเห็นที่ 5
โดย: วิรัตน์ [13 มี.ค. 50 19:13] ( IP A:202.28.180.201 X: )
ความคิดเห็นที่ 6
...ได้คิดถึงสมัยเรียนAnatomyตอนเขียนงาน ใจมันอยากจะฉีกแนวออกนอกลู่นอกทาง แต่ต้องถูกตีกรอบในประเภทของสาขาวิชาเชิงบังคับให้ต้องRealist ก็รู้สึกว่ามีเครียดเหมือนกันอาจารย์..ยุคนี้อย่าง อ.ว่า เทคนิคจากคอมฯมาช่วยได้มาก งานศิลป์นี่เข้ามามีบทบาทในทุกสาขาอาชีพเลยทีเดียว.... ขอบพระคุณท่านอาจารย์วิรัตน์ ที่ได้กรุณาเปิดโลกทัศน์แขนงต่างในการทำงานศิลปะที่ตีคู่ผูกพันอยู่กับชีวิตมนุษย์มาตลอด โดยที่บางครั้งเรามองผ่านเลยไป ด้วยสภาวะบีบคั้นทางสังคมมาบดบัง.
โดย: ผ [13 มี.ค. 50 23:18] ( IP A:124.121.107.121 X: )
ความคิดเห็นที่ 7
ดูแล้วคิดถึงสมัยเรียนเลยใช่ไหมครับ เชื่อว่าหลายคนก็เหมือนกัน อย่างวิชา Anatomy เนี่ย น้อยคนที่จะมีความรู้สึกสนุกเวลาเรียน มันไม่มีความสุนทรีว่างั้นเถอะ
แต่พอได้ดูงานที่เขาผสมผสานแบบเต็มที่อย่างนี้ เราต้องเปลี่ยนความคิดเลยนะครับ เห็นความคิดสำคัญที่ต้องการสื่อความเข้าใจด้วย ถูกต้องในทางวิทยาศาสตร์ด้วย แล้วก็สวยงามมากๆ ด้วย เห็นความแผ่วเบาของสีน้ำ ความเป็นสมาธิและความอดทนของคนทำ
ในแวดวงของการทำภาพประกอบแนวนี้ ถ้าเขียนสีน้ำ เขามักยกให้หมอเน๊ตเล่อร์ ( Dr.Nettler. MD) ลองเซิร์ชดูนะครับต้องชอบมากๆเลย
ในส่วนที่ใช้คอมพิวเตอร์ช่วย ก็เห็นความแตกต่างของการบวกความสามารถของคนเข้าไปในคอมพิวเตอร์ ตรงนี้ผมว่าสำคัญนะครับ ใครที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือมาช่วยทำงานศิลปะ ถ้าไม่พัฒนาแนวคิด วิธีคิด ทักษะการทำงานสร้างสรรค์ และการทำงานเป็นทีมกับคนอื่น ผมว่าเสี่ยงมากเลยที่จะทำงานไม่ได้
โดย: วิรัตน์ [14 มี.ค. 50 13:56] ( IP A:202.28.180.201 X: )
ความคิดเห็นที่ 8
จริงครับอย่างที่อาจารย์ว่าเลย คอมพิวเตอร์ก็คืออุปกรณ์ๆ นึงเท่านั้น
ที่สำคัญที่สุดก็คือความคิดของเรานั้นเองที่จะบังคับอุปกรณ์นั้นให้เป็นอย่างไรครับ
โดย: เตี้ย เตาปูน [14 มี.ค. 50 14:37] ( IP A:203.154.215.21 X: )
ความคิดเห็นที่ 9
เนื่องด้วยใกล้เทสกาลสงกรานต์ เลยนึกถึงประสพการณ์ครั้งหนึ่งในอดีต ขอเรียกว่า
"ANATOMY กับวัฒนธรรมความเหมาะสม"
และขอนุญาตเขียนลงกระทู้นี้ของท่านอาจารย์วิรัตน์ฯ เป็นการเล่าสู่กันฟังนะ ไม่เครียด ๆ...
คือเมื่อสมัยเรียนเ พช.ปี2-3(ชักเลือน) เพื่อนชวนไปเที่ยวบ้านญาติวันสงกรานต์3-4คนไปกราบผู้ใหญ่ด้วย พอถึงบ้านรู้สึกฝ่อ..(ใจคิดว่าคงได้เล่นสาดน้ำหนุกหนาน )..บ้านใหญ่มาก คาดว่าตระ *** ลเก่าแก่ เข้าไปงงเลย บรรพบุรุษ (ที่ยังมีชีวิตชีวาอยู่ ) ของเพื่อนคนนี้นั่งเรียงกันพรึ้บ 4-5 ท่านยังกับพระอันดับเลย(อายุยืนจัง)..ก็ไปกราบท่านๆให้พรเรียบร้อย ท่านหนึ่งได้เอ่ยถามเรา เปล่งเสียงแบบแนวคุณหลวงชัดถ้อย-ชัดความ (ใจจะร่วง!) ท่านถามว่า ...คิดเห็นอย่างไร จึงสรวมเสื้อแบบนี้มา..? ใจคิดว่าท่านชม ก็ตอบว่าเราเพ้นท์เอง(ภูมิใจมากฝีมือตู!) แต่ปฏิกิริยา+สายตาท่านๆ เซ้นต์มันบอกว่าไม่ค่อยเป็นมิตร ก็รู้สึกว่าเราผิดอารายฟ๊ะ! ช่วงเวลานั้นอึดอัดมากอยากจะรีบโกยออกจากบ้านนั้นหยั่งเร็ว แต่ก็พอสำนึกในมารยาทอยู่บ้าง..(เกรงใจเพื่อนมากกว่า..วัยรุ่น!)
...อยู่ทานข้าวปลาอาหารเรียบร้อยแล้ว(มื้อนั้นโฆ**ฝืดแลย) ก็ลากลับ รู้สึกคาใจเลยถามเพื่อนว่า คุณปู่ คุณย่า คุณทวดของแกทำไมดุจัง? มันบอก "เป็นปรกติ แต่ที่พิเศษคือ แกใส่เสื้อตัวนี้มา เค้าสงสัยกัน" เลยถึงบางอ้อ!....ก็ไอ่เสื้อตัวนั้นที่เราดันใส่ไปไหว้ผู้ใหญ่ตามเทศกาลน่ะ เป็นเสื้อผ้าป่านคอกลมกว้าง(คอพวงมาลัย) สี off white แบบผ้าดิบ(สมัยนี้เค้าเรียกเสื้อโม่อะไรนี่แหละ)..ด้านหลัง paint สีดำแนว drawing รูป
หัวกะโหลก
ใหญ่เบ้อเร่อเต็มหลัง(ต้นแบบคือหนังสือANATOMYพื้นน้ำเงิน-หัวกะโหลกสีกระดูกง่ะ หลายท่านคงเคยผ่านตา)...สงกรานต์ปีนั้นเลยไม่ได้สนุกตามวัย แต่ก็ได้อะไรหลายอย่าง เขาเรียก
ประสพการณ์สอนชีวิต
จริงๆเน้อะ
...พอมาทุกวันนี้ มีลูกหลานวัยรุ่นเลยเข้าใจ! ผิด-ถูกอย่างไรได้เจอมาก่อน.. แต่เราคิดว่าจิตใจวัยรุ่น-วัยใสทุกยุคสมัยก็คล้ายๆกัน เพียงแต่สังคมแวดล้อมมันเป็นตัวกำหนดทิศทาง.. ยุคพวกเราก็คงทำได้เพียงถ่ายทอดความผิด/ถูกให้พวกเขาได้รับรู้ สุดแท้แต่เขาจะใช้วิจารณญานไปทางใด เกือบจะตกขอบก็คอยดึงๆเข้าเส้นทางบ้าง
เพราะโลกมันเปลี่ยนไป แต่ขอให้วัฒนธรรมไทยอย่าเปลี่ยนแปลง!!
...
สุขสันต์วันสงกรานต์ ๕๐ พี่น้องเพาะช่างทุกๆท่าน..จ้า
โชคดี-ปลอดภัยนะ.
ขอบพระคุณกระทู้ ท่าน อ.วิรัตน์ฯ....ขอบคุณ คุณสายชล ที่จุดประกายให้เล่าสู่กันฟัง...ขอบคุณ คุณเตี้ยฯ&ทีมงาน ที่มีบ้านออนไลน์ ให้ชาวเราได้คุยกัน ฉันท์พี่น้องจ้า...(จะเกี่ยวกับหัวข้อกระทู้ท่าน อ.ก็ตรง ANATOMY มีนี่เองแหละ ขอนุญาตนะอาจารย์)..สบายๆนะ..อากาศมัน ร้อนเหลื้อเกินจ้า!
โดย: ผ [7 เม.ย. 50 14:58] ( IP A:124.121.105.195 X: )
ความคิดเห็นที่ 10
คุณ ผ สวัสดีปีใหม่นะครับ
ขออภัยที่เพิ่งเข้ามาคุยนะครับ เพิ่งเห็น แล้วก็ช่วงที่ผ่านมาสาม-สี่วันมานี้ ผมเพิ่งจัดอบรมให้กับนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่างๆกลุ่มหนึ่ง ทั้งการที่ต้องเตรียมจัดกิจกรรมต่างๆอย่างเนี๊ยบเท่าที่จะทำได้ ทั้งการที่ต้องใช้เวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดจัดกิจกรรมให้ได้อย่างใจที่สุด แล้วก็อีกอย่าง...ปรากฏว่า กลุ่มนักศึกษาที่เข้ามาร่วม (ทั้งหมดเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยในภูมิภาค 6 แห่ง ) ทำงานลุยจริงๆ เลิกดึก ตื่นเช้า...เล่นเอาผมซึ่งปรกติมักเชื่อมั่นว่างานแค่นี้สบายมากถึงกับเมื่อยไปหมด พอเสร็จก็ออกไปเก็บข้อมูลและทำงานกับชุมชนเลย เพิ่งได้เข้ามาดูนี่แหละเพราะกลับมาแล้วเข้าประชุมต่ออีกงานไม่ทัน เลยนั่งคลิ๊กๆดู....รวมทั้งดูที่กระทู้ในบล๊อกอื่นๆด้วย โดยเฉพาะที่โปสเตอร์ภาพเขียนจีน แล้วก็เรื่องฉากหลังของหนังยอดเยี่ยม-ยอดแย่ ดีจังเลย ชอบครับ ชอบ
เรื่องเสื้อวาดรูปกระโหลก ของคุณ ผ นี่ ฟังดูแล้วก็ขำ ด้านหนึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดามากเมื่อมองในฐานะคนทางศิลปะ เราคุ้นเคยกับกระดูก-กระโหลกเป็นอย่างมาก เพราะต้องฝึกวาดโครงสร้างของคนให้แม่นและเข้าใจจนสามารถเขียนคนให้มีชีวิตชีวาได้ ก็มันเป็นพื้นฐานของคนเรียนศิลปะทุกสาขา ต้องมอง วาด ศึกษา คุ้นเคยกระทั่งเห็นเป็นความงาม ความน่าทึ่งของธรรมชาติ ไม่เห็นว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัว หรือสัญลักษณ์ของความตาย ความไม่เป็นมงคล เหมือนกับคนทั่วไป
อีกด้านหนึ่งก็นึกเห็นใจทั้งคุณปู่ของเพื่อนคุณ ผ และเพื่อนของคุณ ผ คือ....ในวันอย่างนั้น มันเป็นวาระที่คนย่อมนึกถึงแต่สิ่งที่เป็นมงคล ทุกๆอย่างมีความหมายต่อการอำนวยอวยพรกันและกัน ยิ่งท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ด้วย ท่านย่อมนึกถึงดอกไม้ การรดน้ำดำหัว และการสมาลาโทษ เพื่อขอพรจากผู้ใหญ่ ทว่ากลับมีรูปกระโหลกไปในงานอย่างนั้นด้วย........ก็อย่างที่เราได้คำตอบเมื่อถึงคราวเราบ้างกระมัง
คุณ ผ พูดเรื่องนี้เลยนึกขึ้นได้ ผมเคยดรออิ้งภาพโครงกระดูกทั้งตัว แล้วก็เขียนในแนว Super Realistic ผมเขียนขนาดเท่าตัวคนโดยต่อกระดาษหลายๆแผ่น แล้วก็เก็บเนี๊ยบทุกจุดตั้งแต่รอยต่อของกระโหลกจรดสันที่เกาะของกล้ามเนื้อที่ปลายนิ้วทุกนิ้ว ตอนนั้น เขียนจนเห็นคนเดินเหินเป็นเห็นเค้าโครงกระดูกเขาเลย บางคนแค่เห็นหน้าเราก็สามารถเห็นสันฐานและรายละเอียดของกระโหลกส่วนต่างๆของเขา ตอนนั้นไม่อยากเขียนคนหล่อ-คนสวยแล้ว อยากเขียนคนที่มีโครงกระโหลกและโครงร่างสวย เป็นกันขนาดนั้นเลย ซึ่งพอพ้นจากช่วงนี้แล้ว ส่วนใหญ่มักไปสนุกกับการเขียนท่วงท่าและอารมณ์ภาพจากการเคลื่อนไหว หรือไม่ก็เขียนเพื่อเล่นกับการจัดวางน้ำหนักและแสงเงา...เบื่อแล้วที่จะเขียนอะไรที่มันนิ่งๆ ทั้งไม่พอมือและมองทะลุหมดแล้วว่างั้นเหอะ
อีกรูปหนึ่งผมเขียนวัวทั้งตัว แล้วก็เป็นวัวทั้งตัวแบบชำแหละให้เห็นกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นด้วย (Dissection Anatomy) เขียนแนว Super Realistic เช่นกัน ทั้งสองรูปนี้ จู่ๆเมื่อสี่-ห้าปีที่แล้ว ผมไปนั่งคุยกับเพื่อนรักสอง-สามคน หลังจากไม่เคยได้เจอกันเลยตั้งแต่จบเพาะช่าง เพื่อนคนหนึ่งก็บอกว่ามีสิ่งที่จะเซอร์ไพรซ์ ปรากฏว่าเขามีงานของผมหลายชิ้น ทั้งสีน้ำและดรออิ้ง ไม่รู้ว่ามันไปรวบรวมมาได้อย่างไรและจากใคร และส่วนหนึ่งคือรูปโครงกระดูกและรูปชำแหละวัวทั้งตัว ดีแล้วแหละ วันหลังจะไปขอเพื่อนมาทำสำเนาไว้
แต่ก่อนนี้ เวลาผมถือรูปแบบทั้งสองรูปนี้เข้าบ้าน ก็ไม่มีใครคุยกับผมเหมือนกัน จำได้ว่า....ยิ่งตอนผมเรียนเวชนิทัศน์ เวลาเอากระดูก(ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเป็นไฟเบอร์กลาส) ไปสตั๊ดดี้ หรือหล่อชิ้นงาน...แน่นอนย่อมเหมือนของจริงมาก ก็ไม่มีใครอยากเข้ามาโอภาปราศัยด้วยเหมือนกัน ใครนอนด้วย หากเขาไม่เผ่นขอไปนอนที่อื่น เขาก็ขอร้องให้เราเอาไปไว้ที่อื่นเถอะ ก็ขำดี
โดย: วิรัตน์ [11 เม.ย. 50 17:08] ( IP A:202.28.180.201 X: )
ความคิดเห็นที่ 11
สวัสดีท่านอาจารย์วิรัตน์ฯ
ขอบพระคุณอาจารย์ที่ได้กรุณาเจียดเวลาแวะมาทักทายกัน งาน อ.หนักมิใช่น้อย.. ขอให้สุขภาพแข็งแรง มีพลังสร้างสรรค์นะอาจารย์
เรื่องเล่าจากท่าน อ.มันส์ดีนะ ...บางครั้งการจำเจอยู่กับงานที่ไม่ค่อยศิวิไลซ์-ไม่ชวนให้สดชื่น..หากคิดในเชิงบวก แล้วมองให้เห็นไปในแง่ของความบันเทิงอย่างมีเหตุผลแล้ว..มันอาจเกิดจุดเปลี่ยนที่ทำให้สนุก-เพลินที่จะทำภารกิจนั้นต่อไปได้...concept นี้ได้จากที่ อ.เล่าให้ฟัง.. ดูเหมือนท่าน อ.มีความสุขและสนุกกับการทำงาน ทุ่มเทด้วยใจรัก! เราจะขอลองวิธีนี้ดูบ้างนะ ..แต่ที่แน่ๆนี่ อาจารย์เป็นผู้ที่ค่อนข้างจริงจังและต้อง-"สุดๆไปเลย" หากจะสร้างชิ้นงานขึ้นมา (ทานโทษนะ อ.ที่สมัยนี้เขาเรีย"ไฮเปอร์" น่ะ..พลังสร้างสรรค์ UNLIMITED!! จริงๆ) ..ถ้ามีโอกาส (สุดแล้วแต่ อ.) คงได้ชมภาพประวัติศาสตร์!โครงกระดูก กับวัวชำแหละตัวนั้น..สุดยอด!! ขอบพระคุณ อ.
สุดท้ายนี้ ขอให้ท่านอาจารย์วิรัตน์และครอบครัว ฉลองเทศกาลสงกรานต์ ด้วยความสุข สนุก และปลอดภัย สวัสดีจ้า!
โดย: ผ [11 เม.ย. 50 19:33] ( IP A:124.121.112.59 X: )
ความคิดเห็นที่ 12
ขอแก้คำผิด เรีย
ก
..จ้ะ!
โดย: ผ [11 เม.ย. 50 19:39] ( IP A:124.121.112.59 X: )
ความคิดเห็นที่ 13
การคิดเชิงบวกนี่มีความหมายมากนะครับ ด้านหนึ่ง ก็ทำให้สามารถแปรวิกฤตให้เป็นโอกาส แปรสิ่งที่ดูไม่สวยงาม ไร้ค่า เป็นสิ่งสวยงามและมีค่าที่แตกต่าง เป็นต้นธารของศิลปะในแนวทางหนึ่งเหมือนกัน คือ
ว่าด้วยการรู้สึกและการสนองตอบต่อสิ่งที่เห็น
(Way of Feeling and Response) และอีกด้านหนึ่ง ก็เป็นผลสืบเนื่องจากการขัดเกลาวิธีคิดและการปฏิบัติด้วยวิธีการทางศิลปะ
ทำให้วิธีการรับรู้และการเห็น
(Way of Percieve and Seeing) มีความเป็นศิลปะ
บางอย่างอาจมีรูปลักษณ์ที่ไม่สวยงาม แต่เมื่อเราเข้าถึงอารมณ์และจิตวิญญาณทางศิลปะของมัน เราก็กลับจะเห็นความงามและการมีความหมายที่แตกต่างขึ้นมา ในวิธีคิดของญี่ปุ่นเขามีปรัชญาศิลปะแนวนี้ว่า WabiSabi...ความงามภายใต้ความไม่งาม ผมซื้อมาอ่านแว๊บๆเมื่อสองปีก่อน ดูเหมือนจะเป็นหนังสือแปล ของสำนักพิมพ์โกมลคีมทอง ให้หลักคิดดีมากเลยครับ โดยเฉพาะทำให้เรามีทรรศนะที่เปิดกว้าง แทบจะเรียกได้ว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรเลยที่น่าเกลียดและถูกขจัดออกไปด้วยความคับแคบของเราในแต่ละยุคสมัย...ประมาณนั้น ในสังคมของเราก็มีวิธีคิดอย่างนี้พอสมควรนะครับ เช่น ที่คนมักพูดว่า...อย่าดูหมิ่นศิลปะ กองขยะดูให้ดีก็มีศิลป์ เหมือนกับเล่นสำบัดสำนวน แต่มานั่งใคร่ครวญดู ผมว่ามีต้นธารทางวิธีคิดที่มีความหมายมากทีเดียว
ขอให้มีความสุขเช่นกันครับ
โดย: วิรัตน์ [12 เม.ย. 50 17:39] ( IP A:202.28.180.201 X: )
* ขณะนี้พี้นที่เต็ม ไม่สามารถโพสต์กระทู้เพิ่มได้ *
คลิกที่นี่เพื่อกลับหน้าบ้าน