case febrile convulsion ต้องให้ acyclovir ทุกเคสเลยรึป่าว
|
ความคิดเห็นที่ 1 ผมไม่รู้ว่าสมัยนี้เขาสอนหนังสือกันยังไง และตำราเฮงซวยที่แต่งมาสอนนักเรียนนี่เขียนกันยังไง สมัยก่อนผมเรียนหนังสือ อ่านหนังสือ acute abdomen จบเล่มเดียว แต่ก็นำไปประยุกต์ใช้ในกรณีอื่นๆได้เสมอ | โดย: เว้นก่อนไปทำงานก่อน [10 ก.พ. 53 10:53] ( IP A:58.11.86.65 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 2 หนังสือเล่มนี้
| โดย: หนังสือเล่มนี้ [10 ก.พ. 53 13:28] ( IP A:58.11.86.65 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 3 เขาสอนว่า เป็นหมอตรวจคนไข้ปวดท้อง ต้องวินิจฉัยว่าเป็นอะไร ห้ามวินิจฉัยว่า abdominal pain ? cause หรือวินิจฉัยว่ acute abdomen ? cause ต้องวินิจฉัยว่าเป็น acute appendicitis หรือ acute cholecystitis หรือacut gastrenteritis ผิดไม่เป็นไร แต่ต้องวินิจฉัย แล้วรักษาไปตามนั้น จากนั้น ไม่ถูกเปลี่ยนได้ แต่ต้องวินิจฉัยและรักษาไปตามนั้น เด็กเป็นไข้มา ชัก หมอก็ต้องวินิจฉัยและรักษาตามนั้น ถ้าวินิจฉัยว่าเป็น meningitis หรือ encephalitis ก็ต้องให้ยาตามนั้น โดยเฉพาะเขาว่าถ้ากระตุกเฉพาะที่ด้วย ต้องคิดถึงโรคจากเชื้อเริม ต้องให้ยาอะไซโครเวียร์ หมอก็ต้องให้ ไม่ให้ก็ชิกหาย (รอลูกหมอค่อยไม่ให้ แต่ถ้าหมอวินิจฉัยว่าชักจากไข้ ไม่ให้ก็ไม่เป็นไร วินิจฉัยไม่ถูก รักษาถูกตามวินิจฉัยผิด ก็ยังไม่เท่าไหร เพราะวินิจฉัยผิดได้ เป็นหมอ แต่ต้องไม่ผิดจนน่าเกลียดเช่นวินิจฉัยว่าผู้ชายท้องนอกมดลูก แต่ถ้าวินิจฉัยถูกหรือไม่ถูกว่าเป็นอะไร แต่รักษาไม่ถูกก็จะมีปัญหา | โดย: ฟฟ [10 ก.พ. 53 13:36] ( IP A:58.11.86.65 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 4 เราเคยเจอคดีไส้ติ่งแตกตายที่ศิริราช หมอโรงพยาบาลที่อำเภอแถวสมุทรปราการ บอกว่าไส้ติ่ง ส่งมารักษาศิริราช 30 บาทตามสิทธิ์ หมอฝึกหัดเวรห้องฉุกเฉิน บอกเป็นไส้ติ่ง ปรึกษาหมอศัลย์เด็ก บอกเป็น acute abdomen ให้อยู่โรงพยาบาล ไม่ทำอะไร (ก็ไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร) เช้าช็อก ผ่าแทบไม่ทัน หนองในท้อง 500 ซี.ซี. ตายเรียบร้อยโรงเรียนแพทย์ ไอ้พวกไม่วินิจฉัยโรคนี่แหละมีปัญหา เดินต่อไม่ถูก ดังนั้น หมอเจอเด็กไข้สูงชัก ก็ต้องตรวจ วินิจฉัยแล้วรักษาไปตามนั้น ผิดถูกถ้าไม่น่าเกลียดมากฟ้องไม่ได้หรอก แต่วินิจฉัยว่าเป็นโรคอะไร แล้วรักษาไม่ถูก มีปัญหาแน่ อย่าตะแบงเลยครับ หัดอ่านหนังสือ emergency medicine เล่มดีดีสักเล่มก็ได้ คนไข้รอดตายได้เยอะก็แล้วกัน แต่ถ้ามัวตะแบง คนไข้จะตาย จะพิการ แล้วก็โดนฟ้อง รับรองได้ไม่นานเกินรอ | โดย: ฟฟ [10 ก.พ. 53 13:43] ( IP A:58.11.86.65 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 5 คนเราผิดได้ ผิดแล้วเป็นครู เดี๋ยวก็ดี แต่ผิดแล้วเปนบ้า ตะแบงไปเรื่อย บ้านเมืองคงจะเจริญหรอก | โดย: ไม่เชื่อก็ตามใจ [10 ก.พ. 53 13:52] ( IP A:58.11.86.65 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 6 ลูกไส้ติ่งแตก-ตาย เร่ขายไต!หาเงินฟ้องศิริราช โดย ข่าวสด วัน อังคาร ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 08:05 น. แม่ยื่นอนาถา-ค่าชีวิต5ล.แต่ไม่มีวางศาล5หมื่น!
แม่วัย 31 ประกาศขายไตหาเงินไปฟ้องศิริราชผ่าตัดทำลูกชายวัย 3 ขวบตาย เหตุเกิดเมื่อปี48 ลูกเจ็บไส้ติ่งเข้าร.พ.แถวบางพลีก่อนส่งต่อมาศิริราช หมอไม่ยอมรักษาปล่อยข้ามคืนจนไส้ติ่งแตกตัดสินใจไปยื่นฟ้องอนาถา แต่ไม่มีเงินวาง 5 หมื่น เลยประกาศขายไตหาเงินไปทวงความยุติธรรมให้ลูกชาย
เมื่อวันที่ 13 พ.ย. นางศิริวรรณ บุญปลอด อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 129/42 ต.แพรกษา อ.เมือง จ.สมุทรปราการ พนักงานประกอบอะไหล่คอมพิวเตอร์ บริษัท ซีเกท ประเทศไทย จำกัด ร้องเรียน ข่าวสด ว่า ด.ช.คิมหันณ์ หรือน้องคิม เอียวพันธ์ บุตรชาย อายุ 3 ขวบ 2 เดือน เข้ารักษาอาการไส้ติ่งอักเสบที่ร.พ.ศิริราชแล้วเสียชีวิต เนื่องจากไส้ติ่งแตก
นางศิริวรรณ กล่าวว่า ด.ช.คิมหันณ์ หรือน้องคิม เป็นบุตรชายคนโต มีอาการปวดท้องตั้งแต่เวลา 11.00 น. วันที่ 10 พ.ค.48 จึงพาไปร.พ.บางพลี จ.สมุทรปราการ แพทย์ตรวจร่างกายพบว่าไส้ติ่งอักเสบต้องผ่าตัด แต่ตนไม่มีเงินรักษาจึงขอให้แพทย์ทำหนังสือส่งตัวต่อไปยังร.พ.ของรัฐ และช่วยรับรองว่าป่วยเป็นไส้ติ่งอักเสบจริง อีกทั้งน้องคิมตกสำรวจผู้มีสิทธิตามโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า(30 บาทรักษาทุกโรค) แต่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเขตภาษีเจริญ กทม. แพทย์จึงทำหนังสือส่งตัวไปร.พ.ศิริราช
นางศิริวรรณ กล่าวอีกว่า น้องคิมเข้ารับรักษาที่ร.พ.ศิริราช เมื่อเวลา 19.00 น.วันเดียวกันนั้น พยาบาลให้นอนพักบนเตียงรอรับการรักษา กระทั่งเวลา 22.30 น. จึงมีแพทย์เข้ามาดูอาการและแจ้งว่า ไม่แน่ใจว่าน้องคิมเป็นไส้ติ่งอักเสบหรือไม่ ตนจึงแจ้งว่ามีเอกสารรับรองจากแพทย์ร.พ.บางพลีมาด้วย จากนั้นแพทย์ก็ปล่อยให้รอต่อไปทั้งที่บุตรชายปวดท้องอย่างรุนแรงมาตลอดทั้งวัน ต่อมาพยาบาลแจ้งว่า แพทย์ให้น้องคิมพักอยู่ร.พ.เพื่อรอผ่าตัด ส่วนญาติต้องกลับบ้านไปก่อน โดยร.พ.จะเปิดเยี่ยมเวลา 10.00 น.วันรุ่งขึ้น
นางศิริวรรณ กล่าวต่อว่า เมื่อได้รับแจ้งดังกล่าวตนจึงกลับบ้าน แต่วันรุ่งขึ้นกลับมาเยี่ยมบุตรชายอีกครั้งตอนเช้าก็พบว่าอยู่ในห้องไอซียูแล้ว แพทย์ให้ทั้งออกซิเจนและน้ำเกลือ บริเวณหน้าท้องมีแผ่นปิดบาดแผลขนาดใหญ่ ตอนนั้นบุตรชายไม่รู้สึกตัว กระทั่งทราบจากพยาบาลว่าน้องคิมมีไข้สูง และติดเชื้อทางกระแสเลือด พร้อมกับบอกด้วยว่าแพทย์ที่ผ่าตัดเป็นนักเรียนแพทย์ปี 5 ของร.พ.ศิริราช
ตอนนั้นดิฉันเดินไปที่ลูก หอมแก้มลูก น้องคิมลืมตา ตาของน้องคิมลอย ปากก็พยายามขยับเพื่อพูด แต่ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา จากนั้นน้องคิมก็สิ้นใจ ดิฉันจึงเรียกหมอ หมอก็ช่วยกันปั๊มหัวใจ หมอบอกกับดิฉันว่าน้องคิมติดเชื้อในกระแสเลือด และบอกให้รออยู่ข้างนอก ทั้งยังบอกด้วยว่าน้องคิมจะดีขึ้น ดิฉันก็มีหวัง กระทั่งเวลา 18.00 น.พยาบาลมาบอกให้ดิฉันกลับบ้าน และกลับมาเยี่ยมใหม่วันรุ่งขึ้น ดิฉันไม่รู้จะทำอย่างไรจึงกลับบ้าน แต่ก็ย้อนกลับมาดูน้องคิมอีกครั้งตอนเกือบ 22.00 น.พบว่าหมอกำลังปั๊มหัวใจอยู่ จากนั้นหมอก็มาขออนุญาตถอดเครื่องช่วยหายใจออก และแจ้งว่าเสียชีวิตเพราะไส้ติ่งแตก ร่างกายดูดซับสารพิษเข้าไป ทำให้หัวใจวาย นางศิริวรรณ กล่าวด้วยสภาพน้ำตานองหน้า
นางศิริวรรณ กล่าวว่า ตนมารับศพน้องคิมกลับในวันรุ่งขึ้น เจ้าหน้าที่ห้องศพบอกว่าหากจ่ายเงิน 5,500 บาทจะบริการโลงศพพร้อมกับอำนวยความสะดวกทุกอย่าง และส่งศพจนถึงวัด แต่ตนมีเงินน้อยจึงตัดสินใจไม่เอา เจ้าหน้าที่ห้องศพจึงให้อุ้มศพน้องคิมขึ้นรถไปเอง โดยนำสำลีอุดทวารและห่อศพให้ เมื่อขอให้ห่อศพให้น้องคิม เจ้าหน้าที่กลับแสดงความไม่พอใจและกล่าวว่า ทำไมไม่เตรียมมาเอง เมื่อตนจัดการบำเพ็ญกุศลศพน้องคิมจนเรียบร้อย ได้กลับไปขอพบกับหมอคนรักษาอีกครั้ง แต่ไม่ได้พบแม้แต่ครั้งเดียว
ดิฉันไปร้องเรียนทางรายการร่วมมือร่วมใจ หมอใหญ่ที่ดูแลหมอที่รักษาก็ติดต่อเข้ามา และแจ้งสาเหตุที่น้องคิมเสียชีวิตว่า เด็กมีโอกาสเป็นไส้ติ่งอักเสบได้น้อยมากเพียง 1-3 เปอร์เซ็นต์ของคนที่ป่วยเป็นไส้ติ่งอักเสบทั้งหมด จากนั้นก็ได้รับการติดต่อจากผอ.ร.พ.ศิริราช ผอ.แจ้งว่า ขอโทษ ขอให้ยุติเรื่อง ดิฉันจึงทำหนังสือร้องเรียนถึงแพทยสภา โดยแพทยสภารับเรื่องไว้และเชิญมาให้ข้อมูลหลังจากน้องคิมเสียชีวิต 3 เดือน แต่เรื่องก็เงียบหายไป ดิฉันเข้าปรึกษาสภาทนายความ ซึ่งสภาทนายความให้ความช่วยเหลือจัดหาทนายให้ และทำเรื่องฟ้องร้องเป็นคดีแพ่ง ฟ้องร้องค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจำนวน 5 ล้านบาท นางศิริวรรณ กล่าว
นางศิริวรรณ กล่าวด้วยว่า ทางทนายแจ้งว่าต้องมีค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดจำนวน 125,000 บาท แต่ตนไม่มีเงิน จึงร้องขอให้ไต่สวนอนาถา ซึ่งศาลแจ้งว่าพิจารณาแล้วแต่ยังต้องเสียเงินค่าธรรมเนียมศาลจำนวน 50,000 บาท และให้เวลา 15 วันหาเงินมาชำระค่าธรรมเนียมศาล ตนไม่มีเงิน เพราะเป็นพนักงานธรรมดา สามีก็ทิ้งไปเพราะคิดว่าน้องคิมเสียชีวิตเพราะตนพาไปร.พ.ศิริราช ทั้งยังมีภาระต้องเลี้ยงดูบุตรชายคนเล็กอายุ 2 ขวบ และมารดา รวมทั้งทวดอีก แต่เมื่อจำเป็นต้องหาเงินชำระค่าธรรมเนียมศาล เพื่อให้การดำเนินคดีกับหมอและร.พ.ศิริราชดำเนินต่อไป จึงตัดสินใจหาทางออกด้วยการขายไต เพื่อหาเงินมาดำเนินการเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จ
ดิฉันหมดหนทางแล้ว จึงคิดจะขายไต ทั้งที่ไม่รู้ว่าผิดหรือถูกกฎหมาย เพื่อหาเงินให้ได้ 50,000 บาทไปเป็นค่าธรรมเนียมศาล เพราะไม่อยากให้ลูกต้องตายแบบนี้ พรุ่งนี้ก็จะครบกำหนดที่ศาลให้นำเงินไปชำระแล้ว แต่ดิฉันคงต้องทำเรื่องขอยืดระยะเวลาออกไปอีก หากมีใครต้องการไต ดิฉันยินดีขายแน่นอน นางศิริวรรณ กล่าว | โดย: ทวนความจำ [10 ก.พ. 53 13:54] ( IP A:58.11.86.65 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 7 ติดห้องฉุกเฉินไว้ ผมว่าช่วยได้เยอะ
| โดย: เล่มนี้ก็ดีนะ ผมอ่านแล้วผมว่าโอเคเลย [10 ก.พ. 53 14:03] ( IP A:58.11.86.65 X: ) |  |
|