แพทยสภาจวกสปสช. เสนอให้ยุบทิ้ง
|
ความคิดเห็นที่ 1 หมอปูด รพ.รัฐขาดทุนอื้อหนี้ท่วม 1.6 พันล้าน โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 มีนาคม 2553 13:51 น. รุมจวก สปสช.หมอปูด รพ.รัฐหลายแห่งขาดทุนยับเหตุสิทธิบัตรทองรัฐจ่ายเงินฝ่ายเดียวเสนอระบบจ่ายร ่วม คนรวยช่วยคนจน ด้าน สธ.เปิดตัวเลข รพ.ในสังกัดขาดทุน 175 แห่ง หนี้ท่วม 1.6 พันล้าน รัฐจ่ายจริงแค่ 200 ล้าน ด้าน สปสช.ยันบริหารจัดการได้ มีเงินเหลืออีก 4 หมื่นกว่าล้าน สำนักงบฯ ระบุงบสุขภาพเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย เมื่อวันที่ 12 มีนาคม ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.ศิริชัย ศิลปอาชา รองผู้อำนวยการด้านบริการตติยภูมิ โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต กล่าวภายในการสัมมนา แปดปีภายใต้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า : ปัญหา อุปสรรค สิ่งท้าทายในการพัฒนา ความสำเร็จและความเสี่ยง ว่า ขณะนี้โรงพยาบาลรัฐหลายแห่งขาดทุน และกำลังจะล่มสลาย เพราะระบบการบริหารจัดการของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่รัฐออกค่าใช้จ่ายเพียงฝ่ายเดียว จากเดิมเคยเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 30 บาทก็มีการสั่งยุตินโยบายทิ้ง ส่งผลให้โรงพยาบาลแต่ละแห่งต้องออกค่าใช้จ่ายส่วนเกิน ทำให้โรงพยาบาลเกิดหนี้สิน ขณะที่กองทุน สปสช.กลับมีเงินเก็บในกองทุนอยู่ถึง 1-2 หมื่นล้านบาท จึงไม่เข้าใจว่าทำไมไม่นำเงินก้อนดังกล่าวมาขจัดปัญหาที่เกิดขึ้น นพ.ศิริชัย กล่าวว่า ทางออกที่ดีที่สุดต้องหันมาใช้การจ่ายร่วมในระบบหลักประกันสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 30 บาท หรือ 50 บาท โดยเรียกเก็บในคนมีเงิน และรักษาฟรีในคนไม่มีความสามารถในการจ่าย รวมทั้งเด็กและคนชรา ซึ่งที่ผ่านมา โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต เคยใช้วิธีนี้ โดยเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 50 บาท ในคนที่พอมีอันจะกิน ทำให้สามารถควบคุมจำนวนผู้ป่วยไม่ให้มากเกินไปได้ แต่สุดท้ายถูก สปสช.สั่งห้าม ทำให้ต้องหันมาใช้วิธีขอรับบริจาคแทน ไม่เช่นนั้นโรงพยาบาลอาจต้องปิด เพราะอยู่ไม่ได้ ด้าน นพ.สมชัย นิจพานิช ผู้ตรวจราชการ สธ. กล่าวว่า สธ.ได้รวบรวมข้อมูลรายงานทางการเงินของโรงพยาบาลในสังกัด สธ.ปี 2552 พบว่า มีรายงานบัญชี 807 โรงพยาบาล แบ่งเป็นโรงพยาบาลที่มีกำไรเป็นบวก 302 โรงพยาบาล ยอดรวมกำไรอยู่ที่ 4,329,218,538.79 บาท ส่วนโรงพยาบาลที่กระแสเงินสดสุทธิเป็นลบมีทั้งหมด 505 โรงพยาบาลยอดรวม 5,575,218,538.79 บาท แบ่งเป็นโรงพยาบาลที่มีปัญหา แต่ยังบริหารจัดการได้จำนวน 330 โรงพยาบาล นพ.สมชัย กล่าวอีกว่า ส่วนโรงพยาบาลที่ขาดทุนและประสบปัญหาขาดสภาพคล่องมี 175 โรงพยาบาล ประกอบด้วย โรงพยาบาลในพื้นที่ชายแดนมีปัญหาทางการเงินตามเกณฑ์จำนวน 7 โรงพยาบาล ขาดทุนเป็นเงินรวม 56,589,864.78 บาท โรงพยาบาลที่ไม่อยู่ในกลุ่มโรงพยาบาลชายแดนมีปัญหาการเงินตามเกณฑ์จำนวน 168 โรงพยาบาล ขาดทุนรวม 1,574,558,525.38 บาท โดยรัฐช่วยเหลือในส่วนนี้เพียง 200 ล้านบาทเท่านั้น ขณะที่ นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า หลังจากจัดตั้ง สปสช.พบว่า แนวโน้มเงินสดคงเหลือของโรงพยาบาลสังกัดกระทรวง ปีงบประมาณ 2545-2552 สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยปี พ.ศ.2552 มีเงินคงเหลือ 42,968 ล้านบาท จากปี 2545 มีเงินสดคงเหลือ 14,605 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นเห็นได้ชัด ขณะที่หนี้สินของโรงพยาบาลเหล่านี้ปี 2552 พบประมาณ 16,000 กว่าล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อหักลบแล้วถือว่ายังสอดคล้องและรับมือได้อยู่ นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของครัวเรือนก็ลดลง โดยก่อนมีระบบหลักประกันสุขภาพในปี 2535-2544 ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของครัวเรือนเทียบกับรายได้ครัวเรือนสูงถึงร้อยละ 8.17 แต่หลังมีระบบในปี 2545-2549 ลดลงเหลือร้อยละ 1.27 เท่านั้น ด้านนางชุมศรี พจนปรีชา รองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กล่าวว่า งบประมาณทางการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศมีจำนวนเพิ่มจาก 61,508.20 ล้านบาทในปี 2541 เป็น 178,042.10 ล้านบาท ในปี 2553 ซึ่งเพิ่มขึ้น 2.89 เท่า อย่างไรก็ตาม อัตราการเพิ่มงบประมาณด้านการแพทย์และสาธารณสุขก่อนมีระบบหลักประกันสุขภาพเ พิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณร้อยละ 1.90 ต่อปี ส่วนภายหลังมีระบบหลักประกันสุขภาพเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยประมาณร้อยละ 12.46 ต่อปี ในขณะที่งบประมาณทั้งประเทศเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยประมาณร้อยละ 4.37 และ 7.63 ต่อปีในช่วงก่อนและหลังมีระบบหลักประกันสุขภาพตามลำดับ นายสุกฤษฎ์ กิติศรีวรพันธุ์ ประธานชมรมนักกฎหมายเพื่อความมั่นคง กล่าวว่า สปสช. มีโครงสร้างการบริหารที่แปลกประหลาดในสายตาของนักกฎหมาย เนื่องจากอยู่เหนือพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 แต่มีกฎหมายดูแลโดยเฉพาะ ที่เรียกว่า พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ซึ่งกำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มีอำนาจในการกำกับดูแล แต่ไม่สามารถควบคุมบริหารจัดการ โดยอำนาจทั้งหมดเป็นของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) แม้โครงสร้างของ สปสช.จะจัดตั้งขึ้นเพื่อป้องกันการล้วงลูกของฝ่ายการเมือง แต่โดยหลักประชาธิปไตยควรมีการเกาะเกี่ยวของผู้บริหารด้วย เพราะหากปล่อยให้ สปสช.ดูแลกันเอง ในอนาคตจะต้องเกิดปัญหา โดยเฉพาะการใช้จ่ายงบประมาณอย่างแน่นอน เห็นได้จากปัจจุบันกฎหมายกำหนดให้เลขาธิการ สปสช.สามารถเซ็นอนุมัติใดๆ วงเงินถึงพันล้านบาท ซึ่งมากเกินไป นายสุกฤษฎ์ กล่าว | โดย: ก็คนสร้างหนี้ไม่เดือดร้อน [14 มี.ค. 53 15:17] ( IP A:58.11.88.182 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 2 แพทยสภาเกี่ยวไรด้วย ? | โดย: w,jg-hkmjk [14 มี.ค. 53 23:43] ( IP A:124.121.77.206 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 3 แพทยสภาเป็นโต้โผจัดงานไง | โดย: ตัวตั้งตัวตี [15 มี.ค. 53] ( IP A:61.90.86.59 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 4 อ้าว..เรื่องอะไร อะไร ก็แพทย์ผิดอยู่ดี.. เรื่องสำนักงบประมาณ กระทรวงสาสุข กะ สปสช. มาถกกัน มะใช่หรือ... เป็นลูกแกะ กะหมาป่านะเนี่ย.. แพทยสภาโดนว่า..ทั้งที่ไม่ได้พูดซักแอะ.. | โดย: ไหงเป็นอย่างงั้น ..สองมาตรฐาน [15 มี.ค. 53 14:58] ( IP A:58.8.102.52 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 5 แพทย์เดี๋ยวนี้คิดแต่เรื่องเงิน | โดย: เครือข่าย [15 มี.ค. 53 17:10] ( IP A:124.157.188.250 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 6 ได้ข่าวว่าแพทยสภาเป็นเจ้าภาพจัดงาน แม้บ้านเมืองจะเริ่มวุ่นวายแต่ยังฝ่าสถานการณ์จัดจนได้ มีวาระซ่อนเร้นอะไรอยู่ มากันครบถ้วน หมอประทีปจากสปสช.หัวเดียวกระเทียมลีบ โดนซะ แต่สปสช.ก็สมควรทบทวนตัวเองบ้างเหมือนกันนะเราว่า
แพทยสภายายเจ๊เชิดชู+หมออนงค์ที่ชอบประกาศว่าตนเองเป็นคนดีเป็นคนเสียสละ +หมอสมสากนายกแพทยสภา มีฟาดงวงฟาดงา เครือข่ายฯ + หมอเทพ โดนเต็ม ๆ แต่ให้อภัยแกเถอะแก่แล้วแก่เลย
ได้ข่าวว่านายกแพทยสภาสมน้ำหน้าคุณรวีวรรณที่ถูกยิงตายด้วย รอให้ลูกเขาตามไปเช็คบิลก็แล้วกัน | โดย: ได้ยินมาอย่างไรเล่าไปอย่างนั้น [15 มี.ค. 53 19:09] ( IP A:58.9.189.228 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 7 เครือข่ายไม่ได้คิดถึงเงิน ฟ้องร้องไม่เอาเงิน สาธุ | โดย: หมอตอนค วาย [19 มี.ค. 53 11:40] ( IP A:125.24.37.216 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 8 ความเห็นที่ 8 เวลาโคตรเหง้าพ่อแม่คุณตายจากการรักษา นอนแช่ขี้เยี่ยว คุณเอาอะไรซื้อนม แพมเพิสให้พ่อแม่คุณ หรือใช้กาบมะพร้าว | โดย: หมอฟาย [26 มี.ค. 53 9:28] ( IP A:58.9.188.61 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 9 ถ้าชีวิตพ่อแม่ชีวิตตัวเองมีค่ามาก มีค่าดูแลมากจะ มารักษาถูกๆ รักษาฟรีๆทำไม ของถูก ของฟรีจะรับประกันขนาดไหนกันไอ ค วาย ถ้ากลัวตาย กลัวพิการ อย่าเสือกหน้าด้านไป รพ แล้วกัน ไอสาดุภถึ | โดย: หมอตอนค วาย [27 มี.ค. 53 16:56] ( IP A:115.67.116.222 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 10 อย่าโทษระบบของสปสช.อย่างเดียว การ copayment เป็นส่วนนึงที่คงจะต้องทำในอนาคต เพราะโครงสร้างประชากรและโรคเปลี่ยนแปลงไป สิ่งที่ไม่สอดคล้องและคงอยู่ คือ การที่แพทยสภาผลิตแต่แพทย์เฉพาะทาง (ตลาด) ออกมาเพื่อรองรับโรงพยาบาลเอกชน เราต้องการระบบสุขภาพแบบอังกฤษที่มี GP หรือ Family med เป็น Gatekeeper จำนวนมาก ซึ่งมีงานวิจัยแล้วว่าลด Cost ของค่าใช้จ่ายสุขภาพต่อ GDP มากกว่าเหล่า SPecialist ที่มีมากล้น (ในตลาดเอกชน)
อีกประการนึง ลองพิจารณาดู Infrastructure ของโรงพยาบาลที่ขาดทุนเหล่านั้นด้วย ส่วนนึงเป็นปัญหา โดยเฉพาะมีผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่ไร้ประสิทธิภาพ บริหารจัดการไม่ก่อให้เกิด efficiency และ effectiveness สธ.ควรเข้ามาดูแลจุดนี้ พัฒนาผู้อำนวยการโรงพยาบาลอย่างน้อยให้ผ่านการเรียนปริญญาโท MBA เพราะการผ่านการอบรมพวกหลักสูตรผู้บริหารทั่วไปนั้น ขอบอกว่าธรรมดามาก มุมมองเชิงบริหารด้อยมาก ทำงานด้วยประสบการณ์ บวกกับขั้น (ที่ได้มาด้วยคนอื่นทำให้) แค่การทำยุทธศาสตร์ยังทำไม่เป็นจะไปเข้าใจอะไรกับหลักการบริหารที่มีอีกหลายเรื่อง
จริงๆเราควรมอง Infrastructure ของตัวเองก่อนว่ามีประสิทธิภาพพร้อมจะเข้าส่ระบบที่เค้าพัฒนาไปไกลแล้วก่อน | โดย: หมอ [28 มิ.ย. 53 14:46] ( IP A:61.7.147.145 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 11 เห็นด้วยกับความคิดเห็นที่ 11 เป็นอย่างยิ่ง แพทยสภาผลิตแต่แพทย์เฉพาะทาง แพทย์ FM ที่เป็น leader team ของ Primary care กลับไม่เห็นคุณค่า ทั้งๆ ที่ระบบบริการปฐมภูมิเป็นด่านแรกของบริการสุขาพไทย หากทำปฐมภูมิดี คนไข้ก้อไม่ล้น รพ. งานส่งเสริมก็ดี แต่ กระทรวงสาธารณสุข กลับไม่มีหน่วยงาน กรม กอง ไหน ที่รับผิดชอบเรื่อง Primary care โดยตรง (ลองถามย้อนกลับกระทรวงสาธารณสุขดูสิ) จุดประสงค์แรกที่แยก สปสช. ออกจากกระทรวงสาธารณสุขก็เพื่อเกิดระบบผู้ซื้อบริการและผู้ให้บริการ การจะยุบ สปสช. ถือเป็นเรื่องที่สังคม ประชาชน ต้องพิจารณา ไม่ใช่แพทยสภา หรือพญ.เชิดชู คู่กัด สปสช.ฝ่ายเดียว | โดย: เบื่อข้อราชการไทยหัวโบราณ [29 มิ.ย. 53 9:20] ( IP A:203.147.36.35 X: ) |  |
|