คนไข้ส่วนมากไม่มีใครอยากฟ้องหมอ
   ตัวอย่างข่าว
ไม่รู้อ่านกันหรือยัง
พรบ.คุ้มครองความเสียหายสาธารณสุข
น่าจะเข้ากับความรู้สึกผู้หญิงที่เสียหายคนนี้ได้
เอามายกตัวอย่างให้หมอบางคนอ่านความรู้สึกผู้เสียหายอีกคนหนึ่ง
ที่เป็นเรื่องจริง ไม่ได้สมมุติมา

บันทึกจากใจผู้เสียหายจากการรักษาพยาบาล “ถ้าได้รับการช่วยเหลือ ยังไงก็ไม่ฟ้อง”


"เย็น จิตร ไสยรัตน์" หนึ่งในผู้ได้รับความเสียหายจากการรักษาพยาบาลที่ตัดสินใจฟ้องร้อง หลังทุกข์ทรมานกว่า 2 ปี จากอาการปัสสาวะไหลตลอดเวลาเนื่องจากกระเพาะปัสสาวะทะลุ เหตุเข้ารับการผ่าตัดเนื้องอกในมดลูก ระบุเคยร้องขอความช่วยเหลือจากทางโรงพยาบาล ได้คำตอบว่าจะรักษาให้ฟรี ตามสิทธิประกันสังคม ร้องเรียนแพทยสภาก็ไร้คำตอบ แต่มาได้คำตอบก่อนนัดสืบพยานไม่ถึงหนึ่งเดือน ฝากวอนผู้เกี่ยวข้องดูแลความทุกข์ของคนไข้ ยอมรับถ้ามี พ.ร.บ. ผู้เสียหายฯ มาช่วยดูแลค่าชดเชย ไม่มีคนไข้คนไหนอยากฟ้องหมอฟ้องโรงพยาบาล

นาง เย็นจิตร ไสยรัตน์ ได้ย้อนเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังว่า ได้เข้ารับการผ่าตัดเนื้องอกในมดลูกที่โรงพยาบาลเอกชน หลังการผ่าตัดได้พักฟื้นที่ รพ. ต่ออีกสองวัน หลังแพทย์เอาสายปัสสาวะออก พบว่า มีปัสสาวะไหลออกมาจากตลอดเวลาโดยไม่รู้สึกตัวและปวดปัสสาวะตลอดเวลา มาทราบในภายหลังพบความผิดพลาดในการผ่าตัด โดยขณะผ่าตัดทำการเลาะไหมฝีเย็บ ได้พลาดไปถูกกระเพาะปัสสาวะของนางเย็นจิตรเป็นรูรั่วจำนวน 2 รู แพทย์จึงให้นางเย็นจิตรพักดูอาการ แพทย์ให้กลับไปบ้านและยังต้องใส่สายสวนปัสสาวะและถุงใส่ปัสสาวะอยู่ตลอดเวลา ก่อนมีการนัดเย็บรูรั่วที่กระเพาะปัสสาวะอีกครั้ง ในวันที่ 23 มิถุนายน 2549

แต่พอวันที่ 23 กรกฎาคม 2550 อากาศปัสสาวะไหลก็กลับมาเป็นอีก จึงได้ไปตรวจร่างกายที่ รพ.อีกแห่งพบว่า กระเพาะปัสสาวะที่เคยเย็บปิดรูไปนั้น ปัจจุบันได้มีปัญหารูรั่วทั้งสองรู นางเย็นจิตร ได้เข้ามาร้องขอความช่วยเหลือที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค โดยตั้งใจขอแค่ค่าผ้าอ้อมสำเร็จรูปเท่านั้น เมื่อศูนย์พิทักษ์สิทธิฯได้สอบข้อเท็จจริง มีความเห็นว่ามีความเสียหายจากการรักษา ก็ได้ช่วยเหลือฟ้องเป็นคดีผู้บริโภค โดยยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2551

เหตุผลที่ทำให้ นาง เย็นจิตร จำเป็นต้องฟ้องร้อง เพราะความเจ็บป่วยที่ตัวเองได้รับจากการรักษาพยาบาลสร้างความทุกข์ทรมานให้ กับตัวเองอย่างมาก ทั้งทำงานไม่ได้ และยังต้องมีค่าใช้จ่ายในการรักษาซึ่งความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นเป็นอาการที่ เกิดเรื้อรัง ซึ่งได้เคยติดต่อขอรับความช่วยเหลือจาก รพ.และทางแพทย์สภาไปแล้ว แต่ก็ได้รับความช่วยเหลือเพียงแค่เรื่องการรักษาพยาบาลเพียงอย่างเดียว ซึ่งถือเป็นสิทธิพื้นฐานที่พึงได้อยู่แล้ว

“ไปขอความช่วยเหลือจาก รพ. เพราะเราเป็นแบบนี้แล้วทำงานไม่ได้ และต้องเสียค่าใช้จ่ายเข้า รพ.เทียวไปเทียวมาเพราะสายสวนที่ใส่ไว้มันจะหลุดและเราใส่เองไม่ได้ต้องกลับ ไปให้ รพ.ใส่ การเดินทางก็ลำบาก เจ็บปวดทรมาน ทาง รพ.ก็รับผิดชอบโดยการรักษาให้ตามสิทธิประกันสังคม เคยขอเรื่องค่าใช้จ่าย ทาง รพ.ก็ไม่ได้ตอบรับใดๆ กลับมา เคยเขียนจดหมายไปขอความช่วยเหลือกับทางแพทย์สภา ก็ได้เข้าไปพูดคุย เขาก็ตอบกลับมาว่าแพทย์รักษาไปตามมาตรฐานวิชาชีพ ถือเป็นอุบัติเหตุ ก่อนนัดสืบพยานประมาณ 20 วัน ก็ไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆ” นาง เย็นจิตร กล่าว

แม้สุดท้ายทาง รพ.จะยินยอมจ่ายเงินชดเชยให้กับ นาง เย็นจิตร เป็นเงินจำนวน 500,000 บาท ในขั้นตอนของการไกล่เกลี่ยในศาล นับตั้งแต่การฟ้องร้องก็ใช้ระยะเวลาเกือบ 2 ปี ซึ่งความเสียหายแบบนี้ในระบบบัตรทองตามมาตรา 41 ใช้เวลาโดยเฉลี่ยประมาณ 22 วัน

นางเย็นจิตร ก็ยังยืนยันว่าไม่อยากจะฟ้อง แต่เมื่อเกิดความเดือดร้อน ก็ควรได้รับการเยียวยาช่วยเหลือจากทาง รพ. และเห็นว่าถ้าหากมี พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุข ผู้ป่วยก็จะได้รับความช่วยเหลือ ทันทีโดยไม่ต้องฟ้องร้อง

“คนไข้ทุก คนไม่มีใครอยากฟ้องหมอหรอก อยากให้เห็นใจคนไข้ เราไม่ได้โทษว่าใครผิด แต่ควรมีการเยียวยาช่วยเหลือ อยากให้ รพ.ยื่นมือช่วยเหลือตั้งแต่เนิ่นๆ การฟ้องร้องสำหรับคนไข้ถือเป็นความทุกข์ ลำบากใจ ยุ่งยาก อยากฝากถึงหมอและคนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้เห็นใจคนไข้ที่ได้รับความเดือดร้อนอยากให้ช่วยเหลือเท่าเทียมกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคนที่ถือบัตรทอง ประกันสังคม บัตรข้าราชการ” นางเย็นจิตรกล่าว

https://www.manager.co.th/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9530000108854

โดย: เรื่องจริง [14 ส.ค. 53 9:45] ( IP A:1.46.220.132 X: )
Add to Facebook  Add to Twitter  Add to Multiply  Add to Google  Add to Blogger  Add to Live
ความคิดเห็นที่ 1
   ไม่ใช่แค่คุณเย็นจิตรที่ไม่อยากฟ้อง

เครือขายผู้เสียหายทางการแพทย์พูดมาเกือบ 8 ปีประธานเครือข่ายพูดมาเกือบ 20ปีจนปากจะฉีกถึงรูหู

มานฟังกันที่ไหน

พูดไปเถอะคุณเย็นจิตร อย่างน้อยก็พูดให้คนในสังคมไทยฟัง ช่วยกันคนละเสียงสองเสียง
โดย: มานไม่ฟัง..คนเห็นแก่ตัวและประโยชน์ส่วนตัวมานไม่ฟ้ง [14 ส.ค. 53 9:52] ( IP A:58.9.189.169 X: )
ความคิดเห็นที่ 2
   จากประสบการณ์ฟ้องหมอ
ก็คิดเหมือนกันกับคนฟ้องคนนี้
เพราะว่าทีแรกหมอไม่อวดเก่งอวดดี ท้าให้เราฟ้อง
ขอเงินเยียวยาครั้งแรก แค่ 3 แสน
แลกกับความเสียหายที่ทำเราเกือบไม่เหลือชีิวิต
เขาให้ไม่ได้ แถมพูดจาถากถางเหมือนเราเป็นสวะสังคม
การที่เรามีหน้าที่การงานทำ มีธุรกิจส่วนตัวเล็กๆทำ
มีความรู้ ไม่เคยเอาเปรียบสังคม เขาไม่ยอมจะจ่ายเงินเท่านี้
ทำให้เราต้องตัดสินใจฟ้องไปที่ศาล
แล้วไง สุดท้ายก็ขอไกล่เกลี่ยไม่ต่ำกว่า 8 ครั้ง
เพื่อยอมจ่ายเงิน 3 แสน จนคดีปาไปเกือบสองปี
สุดท้ายผู้เสียหายเหลืออะไรในการฟ้องไหม ?
ถ้าพูดถึงตัวเงิน ไม่เลย

แต่ที่ได้คือ หมอจะได้ไม่ละเมิดกับคนไข้รายอื่นๆที่จะมาเข้ารักษา
ในโรงพยาบาลนั้นอีก
หมอจะได้สำนึกต่อหน้าที่และความรับผิดชอบมากขึ้น
หมอจะได้ไม่กร่างอีกเมื่อเวลามีเรื่องเล็กน้อยเมื่อยามเกิดความผิดพลาด
หมอจะได้รู้จักคำว่า น้ำใจ และ ความเห็นใจอย่างมากๆ
หมอจะได้รู้จักคำว่า พลาดไปแล้วรู้จักคำว่า ขอโทษ มากขึ้น
เท่านี้แหล่ะ ที่ไม่โดนฟ้องแน่ ถ้าทำอย่างนี้ได้
คนไข้ไม่มีใครใจดำหรอก และไม่มีใครอยากฟ้องหมอเพื่อได้โลห์
เกียรติคุณ



หมอดีดีเรารัก
หมอไม่ดีเราใช่ว่าจะเกลียดจนตาย
การให้อภัยเราระลึกถึงเสมอ
แต่ก็ให้ความเ็ป็นธรรมกับพวกเราที่เสียหายบ้าง

โดย: จีเอ็น [14 ส.ค. 53 9:55] ( IP A:1.46.220.132 X: )
ความคิดเห็นที่ 3
    ถ้าชีวิตคุณ เป็นปกติดี แต่อีกมุมหนึ่ง เค้าเสียหาย

เห็นใจแล้วช่วยเหลือเค้าไป จะเป็นไรไป

น้ำใจที่ดีงาม ในเมื่อคุณสุข แล้วเค้าทุกข์ คุณภาคภูมิใจไหมล่ะ


ข้อคิดเบื้องต้น ผู้เสียหายส่วนใหญ่ เบื้องต้นจะเรียกร้อง โดยไม่คิดถึงระยะเวลารอคอย (การหย่นระยะเวลา)

แต่ถ้าฟ้องศาลแล้ว ตัวเลขจะยืนเท่านั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ ถ้าใครยอมลดตัวเงิน ก็รีบ ๆ เถอะ

เคยเจอพวก ปะกัน หัวหมา กดตัวเลขตัวเงิน (เลว) ถ้าเกิดขึ้นกับ ลูกหลาน คนที่มันรักมั่งละ ไม่แน่จริง อย่าไปเที่ยวรับประกันอุบัติเหตุใคร

ถ้าเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นกับใครก็ตาม ควรเอาใจเค้ามาใส่ใจเรา

เงินไม่มีใครอยากได้หรอก แต่แก ทำให้เค้าหายเป็น ปกติได้ไหมละ ถ้าไม่ชดใช้ ชดเชย แล้วยังยืนเสนอหน้า ภูมิใจอยู่ในสังคม ไม่รู้สึกอะไรเหรอ
โดย: เชิดชู สิ้นคิด [14 ส.ค. 53 12:08] ( IP A:115.67.213.186 X: )
ความคิดเห็นที่ 5
   แล้วคุณทำได้มั๊ยหล่ะ ให้หายปกติทุกอย่างในโลกน่ะ

อยา *** ้

แล้วคุณทำได้มั๊ยล่ะ สิ่งที่เราไม่ได้ผิด แต่ต้องไปรับผิดชอบน่ะ

อยา *** ้
โดย: พิสูจถูกผิดยังจำเป็นเสมอ [16 ส.ค. 53 20:19] ( IP A:180.180.54.159 X: )
ความคิดเห็นที่ 6
   ขออนุญาติต่อท้ายหัวกระทู้ว่า

"แต่ คนไข้เกือบทั้งหมด ถูกต้อนด้วยความฉ้อฉลในระดับนโยบาย (ที่ภาษาชาวบ้านเราเรียกว่า "เตี๊ยมกัน") ของแพทยสภาและหน่วยงานใน สธ. ให้ต้องฟ้องหมอในที่สุดเสมอครับ"

เป็นทางออกทางเดียวที่พอจะทำได้ หากต้องการสู้เพื่อหาความถูกต้องและคนรับผิดชอบ (ในเรื่องที่ไม่ใช่เหตุสุดวิสัยทางการแพทย์)

ฉะนั้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่ลงตัวและตกผลึกแล้ว ที่ต้องมี พ.ร.บ. คุ้มครองผู้เสียหายทางการแพทย์ (ฉบับที่คงหลักการเดิมอย่างถูกต้องและเป็นธรรมไม่ถูกยำ)

พวกที่ต่อต้านอยู่ตอนนี้

อย่างแย่ก็แค่ ผู้ที่ไร้ความสามารถรับรู้ตัวเจตนาและหลักการของตัวกฎหมาย

อย่างเลวก็แค่ พวกที่ต้องฟังจ้าวนายเลวๆให้ออกมาแสดงตัวต้าน

อย่างเลวมาก ก็พวกหมอวิชาชีพที่มีนิสัยฉ้อฉลพ่วงอคติในตัวตนและไร้สำนึกในจรรยาบรรณเฉพาะวิชาชีพของตัว

อย่างชั่วสุดๆก็พวกที่มีผลประโยชน์จากการทุจริตเชิงนโยบายที่เอื้อต่อการแพทย์พาณิชย์แบบไร้มนุษยธรรมและความรับผิดชอบ ซึ่งไม่น่าไว้วางใจให้อยู่ในวิชาชีพนี้ได้อีกต่อไปแล้ว
โดย: คนรู้ทัน ไม่รู้จริง (เรื่องหมอ) [17 ส.ค. 53 9:00] ( IP A:58.8.116.4 X: )
ความคิดเห็นที่ 7
   แต่อย่างระดับกากมนุษย์ สัตว์นรก นี่คือความเห็น 6
โดย: คนรู้ทัน รู้จริงและเชี่ยวชาญเรื่องกากมนุษย์ [17 ส.ค. 53 10:49] ( IP A:118.172.80.148 X: )
คลิก เพื่อเปลี่ยนกลับไปแสดงความคิดเห็นแบบเดิม

ชื่อไฟล์รูปห้ามมีอักขระพิเศษ เช่น (#),(<),(>),(&) เป็นต้นค่ะ
ชื่อ / e-mail :    แทรกไอคอนน่ารักๆในข้อความ
e-mail :
ส่งอีเมลทุกครั้งที่มีการตอบกระทู้       (ใส่ Email เมื่อต้องการให้ส่ง Email เมื่อมีคนมาโพสในกระทู้)


CAPTCHA code



คลิกที่นี่เพื่อกลับหน้าบ้าน