หลักประกันสุขภาพเป็นของทุกคน
|
ความคิดเห็นที่ 1 คลินิกอบอุ่นโวย สปสช.ไม่เอาเกณฑ์จ่ายเงินใหม่ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 พฤศจิกายน 2552 09:30 น. คลินิกอบอุ่นคู่สัญญา สปสช.โวยไม่เอาหลักเกณฑ์จ่ายเงินใหม่ ที่ให้เบิกจ่ายตามผลงานการดูแลรักษาผู้ป่วย 100% ร้องให้ทบทวนใหม่ รับฟังความเห็นรอบด้าน ชี้ผิดหลักกฎหมาย ไม่เท่าเทียม นพ.พงษ์ศักดิ์ ศรีมุษิกโพธิ์ ผู้ประสานงานเครื่อข่ายคลินิกอบอุ่น กล่าวถึงกรณีที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) จะเปลี่ยนหลักเกณฑ์การจัดสรรค่าใช้จ่ายการบริหารสาธารณสุขด้านการส่งเสริมสุขภาพของประชาชนให้หน่วยบริการสาธารณสุขที่เป็นคู่สัญญากับ สปสช.ในปี 2553 ที่ให้จัดสรรงบประมาณตามผลงาน 100% จากเดิมที่จัดสรรตามสัดส่วนคือ เหมาจ่ายประมาณ 80% และจัดสรรตามผลงาน 20% ว่า ไม่เห็นด้วยกับระบบการบริหารงบประมาณในลักษณะนี้ ซึ่งถือเป็นการขัดต่อ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 มาตรา 46(2) ที่กำหนดว่าค่าใช้จ่ายบริการสาธารณสุขจะต้องครอบคลุมถึงเงินเดือนและค่าตอบแทนบุคลากร ที่สำคัญยังไม่ผ่านการรับฟังความเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องแต่กลับมีการประกาศนำแนวทางนี้ไปใช้ก่อนแล้ว หลักเกณฑ์ใหม่เป็นอุปสรรค์ในการบริหารงานของคลินิกเอกชนอย่างมาก เพราะมีโครงสร้างและบุคลาการทางการแพทย์น้อยกว่าสถานพยาบาลอื่นๆ ระบบการบริหารงานแตกต่างกันโดยเฉพาะเรื่องเงินเดือนและค่าตอบแทนของบุคลาการทางการแพทย์ ที่สถานพยาบาลภาครัฐจะได้รับจัดสรรงบประมาณแยกต่างหาก ขณะที่คลินิกเอกชนไม่มีระบบดังกล่าว เงินเดือนและค่าตอบแทนบุคลาการในคลินิกทั้งหมดมาจากรายได้ของทางคลินิก 100% นพ.พงษ์ศักดิ์ กล่าว นพ.พงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า เครือข่ายคลินิกอบอุ่น ขอเสนอให้สปสช. ยกเลิกแนวทางดังกล่าวไปก่อน และให้มีการศึกษาความเหมาะสมก่อนแก้ไขหลักเกณฑ์ดังกล่าว โดยให้สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เป็นผู้วิเคราะห์เงินเดือน และค่าตอบแทนบุคลากรที่ใช้ในการสร้างเสริมสุขภาพเพื่อสามารถจัดสรรงบประมาณได้ครอบคลุม และควรแก้ไข พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ให้สามารถใช้งบประมาณในการวิจัยทางการแพทย์ได้เพื่อจัดสรรเพื่อให้แก่โรงพยาบาลที่มีวัตถุประสงค์ด้านการศึกษาด้วย เพราะค่าใช้จ่ายในการส่งต่อผู้ป่วยจากคลินิกไปยังโรงพยาบาลระดับตติยภูมิหรือทุติยภูมิขนาดใหญ่จะค่าใช้จ่ายสูงมาก ที่สำคัญ สปสช. ควรให้ความสำคัญกับ ระบบปฐมภูมิอย่างจริงจัง เพิ่มประสิทธิภาพการจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอและทันเวลา โดยจะนำเสนิต่อที่ประชุมในวันที่ 19 พ.ย.นี้ นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสปสช. กล่าวว่า สาเหตุหลักที่เปลี่ยนหลักเกณฑ์ใหม่ เนื่องจากสปสช. ได้พัฒนาระบบข้อมูลของผู้ป่วยบัตรทองให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงทำให้สามามรรถตรวจสอบข้อมูลการเข้ารับบริการสุขภาพจากหน่วยบริการต่างๆ ได้ ซึ่งการเปลี่ยนหลักเกณฑ์ครั้งนี้ ถือว่าเป็นการกระตุ้นให้หน่วยบริการให้บริการผู้ป่วยบัตรทองเพิ่ทมมากขึ้น ซึ่งหมายถึงจะได้รับงบประมาณมากขึ้นตามจำนวนครั้งที่ให้บริการด้วย ยอมรับว่า การเปลี่ยนหลักเกณพ์ส่งผลกระทบต่อหน่วยบริการ โดยเฉพาะหน่วยบริการที่ไม่ค่อยได้ให้บริการผู้ป่วย จะทำให้ได้รับเงินน้อยลง แต่หากเป็นหน่วยบริการที่มีผู้ป่วยมากอยู่แล้วก็ไม่กระทบมากนัก เพราะเดิมสปสช. ให้งบประมาณแบบเหมาจ่ายรายหัวให้กับหน่วยบริการตามจำนวนผู้ป่วยบัตรทองที่มีสิทธิ์เข้ารับรักษาตามหน่วยบริการนั้นๆ ทันที ซึ่งงบประมาณที่ได้รับจะไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง เช่น ผู้ป่วบบัตรทองทุกรายอาจไม่ได้มารับวัคซีนทุกคน เป็นต้น ซึ่งหากหน่วยงานใดมีปัญหาไม่เห็นด้วย ก็ต้องสอบถามสาเหตุว่าเป็นเพราะอะไร นพ.วินัย กล่าว | โดย: aa [26 ต.ค. 53] ( IP A:115.87.192.86 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 2 นักการเมืองที่ดี ก็ต้องเดินหน้า ดูตัวอย่างจำลองย้ายสนามหลวง คนประท้วงทุกวัน แกก็หักด้ามพร้าด้วยเข่า ตอนนี้คนที่ย้ายไปจตุจักรรวยไปตามๆกัน ให้ย้ายกลับหนามหลวง ก็คงไม่ยอม แต่ตอนแรกเขาต้าน สมัยก่อนพวกหมอก็ต้าน มาตรา 41 สุดารัตน์ก็หักเอาจนได้ สมัยนี้หากเห็นว่า พรบ มีประโยชน์ทั้งต่อหมอและคนไข้ ก็หักด้ามพร้าด้วยเข่าไปเลย แล้วหมอเขาก็จะเหมือนพวกจตุจักรทุกวันนี้ คนที่เคยค้านจะได้กลืนน้ำลายตัวเอง รสชาติคงดีไม่น้อย แต่ถ้าไม่กล้า ก็ไม่เป็นไร คุณก็จะไม่มีชื่อ ไม่มีผลงานเหมือนจำลองให้คนอื่นเอามาเล่าสู่กันฟังภายหลัง เป็นนักการเมืองที่เป็นใหญ่มาแทบทุกกระทรวง แต่ถามผลงานตอบไม่ได้ว่าเคยทำอะไรไว้บ้าง | โดย: พวกหมาน้อยธรรมดา หมาน้อยธรรมดา [26 ต.ค. 53] ( IP A:115.87.192.86 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 3 ผมเบื่อพวกใจเสาะ ผมมันพวกถอยหลังหกล้ม ใจเสาะต้องไปไกลๆ | โดย: ชาติไม่พัฒนา [26 ต.ค. 53] ( IP A:115.87.192.86 X: ) |  |
|