เอาไปอ่านซะ ได้พวก มย
   https://content.healthaffairs.org/content/22/2/103.full
Health Affairs, 22, no. 2 (2003): 103-112
doi: 10.1377/hlthaff.22.2.103
© 2003 by Project HOPE
วารสารเฮลท์ แอฟแฟร์ พ.ศ.2546 โดย องค์กร โปรเจค โฮป์

Patient Safety
ความปลอดภัยของคนไข้


The Silence
Michael L. Millenson
ความเงียบ
โดยไมเคิล แอล มิลเลนสัน

Abstract
Despite several well-crafted Institute of Medicine (IOM) reports, there remains within health care a persistent refusal to confront providers’ responsibility for severe quality problems. There is a silence of deed—failing to take corrective actions—and of word—failing to discuss openly the true consequences of that inertia. These silences distort public policy, delay change, and, by leading (albeit inadvertently) to thousands of patient deaths, undermine professionalism. The IOM quality committee, to retain its moral authority, should forgo issuing more reports and instead lead an emergency corrective-action campaign comparable to Flexner’s crusade against charlatan medical schools.
บทคัดย่อ
แม้ว่าจะมีรายงานที่ทำได้อย่างดีจากสถาบันไอโอเอ็ม ในวงการสาธารณสุขก็ยังมีการปฏิเสธตลอดที่จะเผชิญหน้ากับความรับผิดชอบของผู้ให้บริการ(พวก พรบกระทอก)ในเรื่องปัญหาคุณภาพการให้บริการที่เป็นปัญหารุนแรง มันมีความเงียบในเรื่องการให้บริการที่เลวทราม- ล้มเหลวที่จะทำอะไรที่แก้ไขปัญหา- และมีความเงียบในเรื่องคำพูด –ล้มเหลวที่จะถกกันอย่างเปิดเผยในเรื่องผลที่ตามมาจากการเพิกเฉย- ความเงียบเหล่านี้ บิดเบือนและทำลายนโยบายที่ดี ถ่วงเวลาการเปลี่ยนแปลง และความที่เป็นสาเหตุของการตาย(แม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจ)ของคนไข้นับหลายพันถือได้ว่าเป็นการกัดกร่อนทำลายความเป็นมืออาชีพของแพทย์ คณะกรรมการคุณภาพของไอโอเอ็ม- เพื่อว่าจะคงไว้ซึ่งการเป็นผู้นำที่มีคุณธรรม -ควรจะนำเสนอรายงานเพิ่มอีกและต้องนำไปสู่การรณรงค์แก้ไขอย่างฉุกเฉินที่เปรียบได้กับการทำสงครามครูเสดของนายเฟลกเน่อร์กับโรงเรียนแพทย์ที่ไม่ได้เรื่อง


--------------------------------------------------------------------------------

...To remain silent and indifferent is the greatest sin of all.
—Elie Wiesel

Nine years ago, while researching the book that would become Demanding Medical Excellence: Doctors and Accountability in the Information Age, I began to catalog the extraordinary number of avoidable patient deaths and injuries attributable to poor-quality medical care. The magnitude of the toll first left me stunned, then depressed, and finally outraged. As I ultimately wrote:
การนิ่งเงียบและไม่สนใจใยดี เป็นบาปที่สุดของบรรดาบาปทั้งปวง
อีไล ไวเซล
9 ปีก่อน ขณะที่ทำการวิจัยเขียนหนังสือที่จะให้เป็นหนังสือเกี่ยวกับ ความต้องการที่จะให้มีการแพทย์ที่ดีเลิศ : แพทย์ และการตรวจสอบได้ในยุคข้อมูลข่าวสาร ข้าพเจ้าเริ่มจำแนกจำนวนคนไข้ที่ตายและบาดเจ็บแบบหลีกเลี่ยงได้จำนวนมากผิดธรรมดาจากสาเหตุการได้รับบริการทางการแพทย์ที่ห่วยแตก จำนวนคนไข้ที่ตายตอนแรกทำข้าพเจ้าอึ้ง จากนั้นซึมเศร้าและท้ายที่สุดโกรธแค้นมาก ตามที่ข้าพเจ้าสุดท้ายเขียนว่า

From ulcers to urinary tract infections, tonsils to organ transplants, back pain to breast cancer, asthma to arteriosclerosis, the evidence is irrefutable. Tens of thousands of patients have died or been injured year after year because readily available information was not used—and is not being used today—to guide their care. If one counts the lives lost to preventable medical mistakes, the toll reaches the hundreds of thousands.
จากแผลจนถึงทางเดินปัสสาวะติดเชื้อ ทอนซิลถึงการปลูกถ่ายอัวยวะ ปวดหลังจนถึงมะเร็งเต้านม หอบหืดถึงเส้นเลือดแข็งตัว หลักฐานเป็นเรื่องที่ไม่สามารถโต้เถียงได้ คนไข้หลายสิบพันคนได้ตายหรือบาดเจ็บปีแล้วปีเล่า เพราะข้อมูลที่มีพร้อมไม่ได้รับการเอาไปใช้ และวันนี้ก็ยังไม่ได้รับเอาไปใช้อีก เพื่อว่าจะเป็นแนวทางในการดูแลรักษาผู้ป่วยของเขา ถ้ามีใครสักคนนับชีวิตที่สูญเสียไปจากความผิดพลาดทางการแพทย์ที่ป้องกันได้ จำนวนจะนับได้ถึง หลายร้อยพันคน

The studies that I found then (and others) have since been well publicized by the Institute of Medicine (IOM). Yet the silence within much of the health care community about the true dimensions of the crisis caused by poor quality has changed only modestly over time. Many continue to avert their eyes. Many others pay lip service to clinical systems improvement before almost reflexively channeling the conversation onto a more comfortable path. To them, the "quality" problem is really about underpaid providers or meddling insurers or irresponsible patients.
การศึกษาที่ข้าพเจ้าพบตอนนั้น (และคนอื่นก็พบด้วย) ก็ได้รับการเปิดเผยสู่สาธารณะโดยไอโอเอ็มแล้ว แต่ความเงียบภายในสังคมสาธารณสุขส่วนใหญ่เกี่ยวกับขนาดของเรื่องที่วิกฤตที่เกิดจากคุณภาพห่วยแตกได้มีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยตามเวลาที่ผ่านมา หลายคนยังคงเมินไม่มอง หลายคนใช้แต่ปากพูดเกี่ยวกับการดีขึ้นของระบบทางการรักษาก่อนที่จะเลี่ยงเรื่องที่คุยโดยสัญชาติญาน(สันดาน)ไปในเรื่องอื่นที่รู้สึกอึดอัดน้อยกว่า ในสายตาของพวกเขาเหล่านั้น ปัญหาเรื่องคุณภาพ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการที่ผู้ให้บริการได้รับเงินเดือนน้อยหรือ คนที่จ่ายเงินค่ารักษาให้คนไข้ที่ไม่ได้เรื่อง(ด่า30 บาทและประกันสังคม) หรือคนไข้ที่ไม่รับผิดชอบดัวเอง (เหมือนบ้านเราแปะเลย ไอ้ ห่ มย)
โดย: แล้วจะค่อยๆแปลมาให้อ่าน [19 ก.พ. 54 18:04] ( IP A:58.8.18.68 X: )
Add to Facebook  Add to Twitter  Add to Multiply  Add to Google  Add to Blogger  Add to Live
ความคิดเห็นที่ 1
   This persistent refusal to confront even inadvertent clinician and hospital responsibility for severe quality problems has consequences. By whitewashing history, it continually distorts the public policy debate. It also gives individuals and institutions that must undergo difficult changes a license to postpone them. Most seriously of all, it allows tens of thousands of preventable patient deaths and injuries to continue to accumulate while the industry only gradually starts to fix a problem that is both long-standing and urgent.
การปฏิเสธอย่างดื้อด้านทานทนที่จะเผชิญกับปัญหาคุณภาพห่วยแตกที่แพทย์และ รพ.ต้องรับผิดชอบเพราะทำไม่ดี มีผลเสียหายตามมา โดยการแก้ไขประวัติ(เรื่อง)ให้สะอาด พวกมันก็จะบิดเบือนการโต้แย้งทางนโยบายสาธารณะตลอดเวลา(แม่งให้ข่าวบิดเบือนตลอด พวกกระทอก) และยังทำให้พวกแพทย์และ รพ มีสิทธิที่จะเลื่อนการแก้ไขที่จะต้องแก้ไขแม้ว่าจะยากเย็นออกไป (เลื่อน พรบ ออกจาก สภา ไอ้พวก มย พวกกระทอก ห จิงๆ) ที่ร้ายที่สุด มันทำให้ความตายและการบาดเจ็บของคนไข้จำนวนหลายสิบพันเกิดขึ้นต่อสะสมต่อเนื่องต่อไปในขณะที่วงการแพทย์เพียงเริ่มจะแก้ไขปัญหาแบบช้าๆค่อยเป็นค่อยไป ทั้งๆที่เป็นปัญหาที่เร่งด่วนและมีมานานแล้ว
โดย: อ่านซะไอ้พวก มย [19 ก.พ. 54 18:18] ( IP A:58.8.18.68 X: )
ความคิดเห็นที่ 2
   Two Types Of Silence
When I condemn silence, I do not mean the often-understandable reluctance of individual clinicians to talk openly about personal mistakes. Rather, I am referring to two systemic types of silences. The first involves a silence of deed: the repeated failure of physician and hospital leaders to respond with corrective action to studies documenting severe and preventable quality problems. The second silence is of word: the absence of a thorough discussion of the tragic consequences of that lack of response. This second silence recalls the dark dystopia of George Orwell’s 1984, where awkward facts swallowed up by the "memory hole" become as if they had never existed at all. A prime example is the policy debate about malpractice.
ความเงียบสองชนิด
เมื่อข้าพเจ้าด่าเรื่องความเงียบ ข้าฯไม่ได้หมายถึงเรื่องของแพทย์แต่ละคนที่ลังเลแบบเข้าใจได้ที่จะเปิดเผยความผิดส่วนตัว แต่ข้าพเจ้าหมายถึงความเงียบสองแบบ แบบแรกเกี่ยวกับความเงียบของเรื่องที่เลว : นั่นคือความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าของแพทย์และ ผู้นำของ รพ ที่จะสนองพร้อมกับมีปฏิกิริยาแก้ไขที่จะศึกษาและบันทึกปํญหาคุณภาพห่วยแตกที่รุนแรงและป้องกันได้ ความเงียบอันที่สอง: การที่ไม่มีการถกกันอย่างกว้างขวางถึงผลที่ตามมาที่น่าเศร้าเนื่องจากไม่มีการตอบสนองต่อปัญหา ความเงียบอันที่สองนี้ ทำให้นึกถึงละครเรื่อง the dark dystopia of George Orwell’s 1984 ที่ความจริงที่อุบาทว์ถูกกลืนโดย หลุมความจำ ทำให้เหมือนว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ได้เคยเกิดขึ้นเลย ตัวอย่างที่ชัดเจนอันหนึ่งคือการโต้แย้งเรื่องทุรเวชปฏิบัติ (หมอชุ่ย)
โดย: อ่านซะ [19 ก.พ. 54 18:36] ( IP A:58.8.18.68 X: )
ความคิดเห็นที่ 3
   Malpractice in the 1970s. The current malpractice crisis has regularly prompted comparisons with similar challenges, beginning with the malpractice crisis in the 1970s. Yet these histories typically omit the critical context of widespread physician and hospital irresponsibility. Until the mid-1960s, for example, nonprofit hospitals were virtually immune from lawsuits, claiming that they were, in essence, "the doctor’s workshop"; it took a lawsuit involving a crippled teenage boy to change that.2 Until the late 1960s few physicians were willing to break the guild "code of silence" and testify against incompetent peers.3 As medical sociologist Eliot Freidson wrote in the early 1970s, "When doctors were asked what they would do about a colleague whose behavior violated technical norms of conduct, the most common response was ‘nothing’."4 This was an era when hospital ethics did not require that patients be informed of the name of their treating physician and when physician ethics did not require the physician to inform patients about even potentially paralyzing side effects of treatment. As Jay Katz has documented, patient lawsuits and public pressure were needed to force changes in those areas.5
ทุรเวชปฏิบัติในปี ค.ศ.1970 ปัญหาของทุรเวชปฏิบัติในขณะนี้ ได้รับการเปรียบเทียบกับเรื่องเดียวกันซึ่งเริ่มจากปัญหาทุรเวชปฏิบัติในปี ค.ศ.1970 แต่ประวัติศาสตร์เหล่านี้จะละเว้นเรื่องการไม่รับผิดชอบของแพทย์และ รพ. ที่มีแพร่หลายอยู่ทั่วไป จนกระทั่งกลางปี ค.ศ. 1960 , ตัวอย่างเช่น, รพ.ที่ไม่ค้ากำไรแทบทั้งหมดจะได้รับการคุ้มครองจากการถูกฟ้องร้อง โดยอ้างว่า พวกเขา,โดยแท้จริงแล้ว, เป็นสถานที่ให้แพทย์มาใช้ทำงาน มันต้องรอการฟ้องร้องของเด็กวัยรุ่นพิการที่จะเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ ก่อนปี 1960 แพทย์น้อยคนที่จะยอมแหกคอกกลุ่มแพทย์ที่ถือคติ “เงียบไว้ก่อน”และน้อยคนที่จะยอมให้การเป็นพยานตรงข้ามกับแพทย์ด้วยกันที่ทำงานไม่ดี ตามที่นักสังคมศาสตร์การแพทย์ เอลิออท ไฟร์สันเขียนในต้นปี 1970 “เมื่อแพทย์ถูกถามว่าเขาจะทำอะไรหากเพื่อนร่วมวิชาชีพประพฤติผิดจากที่แพทย์ทั่วไปทำกัน คำตอบที่พบได้มากที่สุดก็คือ ไม่ทำอะไร นี่เป็นยุคที่จรรยาบรรณของ รพ ไม่ต้องแจ้งชื่อแพทย์ที่ทำการรักษา และจรรยาบรรณแพทย์ไม่ต้องแจ้งคนเกี่ยวกับผลข้างเคียงขอการรักษาที่มีปัญหาถึงอัมพาตได้ ตามที่ เจย์แคทซ์ ได้บันทึกไว้ การฟ้องร้องของคนไข้และแรงบีบของสังคมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องดังกล่าวข้างต้น
โดย: ต่อ [19 ก.พ. 54 23:00] ( IP A:58.8.18.68 X: )
ความคิดเห็นที่ 4
   It was in this atmosphere, with malpractice judgments soaring, that California hospital and physician groups turned to physician-attorney Don Harper Mills to investigate the prevalence of medical errors. While previous researchers had focused on one institution, Mills examined some 21,000 charts from twenty-three California hospitals. His groundbreaking research concluded that the error incidence rate was "remarkably low" when one weighed the benefits of modern medicine against its risks. To Mills, "remarkably low" meant iatrogenic deaths in California of more than 10,000 hospital patients a year.
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
มันเป็นในบรรยากาศแบบนี้ ที่การตัดสินเรื่องทุรเวชปฏิบัติเพิ่มสูงขึ้น ที่ทำให้ รพ ในแคลิฟฟอร์เนียและกลุ่มแพทย์หันไปหาอัยการ/ทนายที่เป็นแพทย์เพื่อตรวจสอบความชุกของความผิดพลาดทางการแพทย์ ในขณะที่นักวิจัยก่อนหน้านี้ได้พุ่งเป้าเฉพาะ รพ เดียว มิลส์ ได้สำรวจเวชระเบียน 21000 รายจาก รพ ในแคลิฟฟอร์เนีย 23 แห่ง ผลการวิจัยที่สะเทือนขวัญสรุปว่า อัตราความผิดพลาดค่อนข้างต่ำเมื่อเราเทียบกับประโยชน์ที่ได้รับจากการแพทย์แผนปัจจุบัน สำหรับมิลส์ คำว่าค่อนข้างต่ำนั้นหมายความว่า การที่หมอทำตายในแคลิฟฟอร์เนียมากกว่า 10000 คนของคนไข้ในต่อปี นั้นค่อนข้างต่ำ
โดย: ต่อ [19 ก.พ. 54 23:07] ( IP A:58.8.18.68 X: )
ความคิดเห็นที่ 5
   Based on his sampling, Mills calculated that there were 140,000 treatment-caused injuries in California in 1974, including 13,600 hospital-caused fatalities. Subtracting the number of patients Mills thought would have died anyway within a year still left 10,200 deaths. If you take the ratio of those deaths to total hospital admissions in California and apply it to the entire United States (my calculation, but similar to Mills’s methodology), you come up with about 120,000 patients who would have lived if their hospital care had not killed them. Mills, in addition to finding the numbers low, noted that from a legal viewpoint, few of the deaths resulted in malpractice suits and even fewer in successful ones.6
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ตามที่เขาสุ่มตัวอย่าง มิลคำนวนว่า ในปี 1974 มีการบาดเจ็บที่เกิดจากการรักษา 140000 รายในแคลิฟฟอร์เนีย รวมทั้ง ตายจาก รพ 13600 ราย ถ้าหากตัดจำนวนที่คนไข้ยังไงก็ตายอยู่แล้วภายในปีเดียวกันออก ก็จะเหลือ 10200 ราย ถ้าคุณใช้ตัวเลขนี้ที่เป็นของ รพ ในแคลิฟฟอร์เนียทั้งหมดไปใช้กับทั่วประเทศสหรัฐ (การคำนวนของข้าพเจ้า ตามวิธีเดียวกับของมิลส์ ) คุณจะได้ตัวเลข 120000 คนที่ควรจะมีชีวิตอยู่ถ้าการดูแลใน รพ ไม่ทำเขาตาย มิ
สส์ นอกจากจะพบว่าจำนวนนั้นต่ำแล้ว ยังพบว่าจากมุมมองทางกฎหมาย จำนวนที่ตายมีน้อยรายที่จะฟ้องและยิ่งมีน้อยรายยิ่งขึ้นที่จะชนะ
โดย: เหมือนไทยตอนนี้เดะ [19 ก.พ. 54 23:13] ( IP A:58.8.18.68 X: )
ความคิดเห็นที่ 6
    และยิ่งมีน้อยรายยิ่งขึ้นที่จะชนะ
โดย: ตกหล่น [19 ก.พ. 54 23:14] ( IP A:58.8.18.68 X: )
ความคิดเห็นที่ 7
   Malpractice again, in the 1980s. Small wonder that no hospital industry uproar accompanied Mills’s findings. Indeed, the next major study of medical errors did not occur until malpractice premiums soared again about a decade later. Once again, a doctor-lawyer research team—this time, a Harvard group led by physician-attorney Troyen Brennan and this time funded by New York State and the Robert Wood Johnson Foundation—went out to examine errors. The results, this time from a chart examination of hospitals in New York State, equaled about 180,000 treatment-caused deaths and 1.3 million injuries each year when extrapolated nationally. (The researchers did not calculate how many patients would have been expected to die anyway within a year.)7
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ทุรเวชปฏิบัตีอีกในปี 1980 ผิดคาดเล็กน้อยที่ไม่มี กลุ่ม รพ โวยวายหลังการค้นพบของมิลส์ แท้จริงแล้วการศึกษาเรื่องความผิดพลาดทางการแพทย์ไม่เกิดขึ้นอีกจนกระทั่งค่าประกันของแพทย์พุ่งสูงขึ้นในอีก 10 ต่อมา และก็อีก ที่ทีมวิจัยของแพทย์ที่เป็นนักกฎหมายเป็นคนทำ คราวนี้ กลุ่มจากฮาร์วาด นำโดยแพทย์นักกฎหมาย โทรเวน เบรนแนน และคราวนี้ ได้ทุนสนับสนุนจากรัฐนิวยอร์ค และมูลนิธี โรเบิร์ต วูด จอห์นสันื เป็นผู้ออกไปตรวจสอบความผิดพลาดทางการแพทย์ ได้ผลเท่ากันประมาณ 180000 รายที่ตายจากการรักษา และบาดเจ็บ 1.3 ล้านรายต่อปี เมื่อคำนวนทั่วประเทศ (แต่นักวิจัยไม่ได้คำนวนว่าคนไข้กี่คนที่ถึงยังไงก็จะตายอยู่แล้วภายใน 1 ปี )
โดย: เหมือนไทยเดะ [19 ก.พ. 54 23:22] ( IP A:58.8.18.68 X: )
ความคิดเห็นที่ 8
   To recap: Two well-designed, well-publicized studies—both, by their own admission, precipitated by economic concerns—uncovered similarly large numbers of treatment-caused deaths. Yet the overwhelming reaction from hospitals and physicians’ offices was a deafening silence.

Given that context, it is no surprise that medical historian James Mohr concluded that the malpractice litigation was in many ways a direct consequence of doctors’ own clinical laxity. Patients, wrote Mohr in the Journal of the American Medical Association in early 2000, had no alternative but to "try to hold individual practitioners, one at a time, to whatever standards they or their [malpractice> lawyers, one at a time, wanted to impose."8 Put differently, it is the doctors, not the lawyers, who have turned patients into plaintiffs.
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ซ้ำเดิมเดะๆ : การศึกษาสองครั้งที่ออกแบบอย่างดี และเปิดเผยต่อสาธารณะ ซึ่งทั้งสองครั่ง พวกเขายอมรับกันเองและร่วมกับการเป็นห่วงในเรื่องเศรษฐกิจ ได้เปิดเผยจำนวนที่ตายจากการรักษาอย่างมาก เหมือนกันทั้งสองครั้ง แต่ปฏิกิริยาจากทั้ง รพ และคลินิกหมอ ก็คือเงียบเหมือนคนหูหนวก
ดูจากเรื่องดังกล่าว มันไม่น่าแปลกใจเลยที่นักประวัติศาสตร์ทางการแพทย์ เจมส์ มอฮ์ร สรุปว่า การฟ้องร้องทางการแพทย์หลายครั้งเป็นผลมากจากการที่แพทย์หย่อนยานในการทำงาน คนไข้ ตามที่มอฮ์รเขียนในวารสารสมาคมแพทย์สหรัฐในต้นปี ค.ศ.2000 ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากพยายามเอาเรื่องกับแพทย์แต่ละคน ทีละคน ว่าไม่รักษามาตรฐานตามที่พวกเขาหรือทนายพวกเขาจะกล่าวหา กล่าวกันอีกที มันเป็นแพทย์ ไม่ใช่ทนายที่เปลี่ยนสถานะคนไข้จากคนไข้ไปเป็นโจทก์
โดย: ใครทำให้ฟ้องแพทย์ [19 ก.พ. 54 23:32] ( IP A:58.8.18.68 X: )
ความคิดเห็นที่ 9
   Even more troubling than the distortion of the malpractice debate, however, are other consequences of silence. Among the most important of these has been the cumulative cost in patient lives and the undermining of the moral foundations of medical professionalism.
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ที่ยิ่งไปกว่าการบิดเบือนในการโต้แย้งกันในเรื่องทุรเวชปฏิบัติ ก็คือผลของความเงียบ ที่สำคัญสุดอย่างหนึ่งคือจำนวนสะสมของชีวิตคนไข้ที่ตายไป และการบ่อนทำรายรากฐานทางคุณธรรมของอาชีพแพทย์
โดย: บิดตลอด [19 ก.พ. 54 23:35] ( IP A:58.8.18.68 X: )
ความคิดเห็นที่ 10
   The Toll Of Inaction
There are none so blind as those that will not see.
—Matthew Henry, c. 1710

In 1994 a frustrated Lucian Leape, a physician and one of the Harvard Medical Practice Study researchers, wrote in JAMA that the profession largely continued to ignore the preventability of errors.9 Let us pause for a moment to calculate the cumulative toll taken by that inaction.
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ตัวเลขที่ตายจากการไม่สนใจทำอะไร
ไม่มีใครที่บอดมากจนไม่สามารถเห็นได้
เเมททิว เฮนรี่ . ซี.1710
ในปี 1994 ลูเซี่ยน ลีฟที่หงุดหงิดกลัดกลุ่ม ที่เป็น แพทย์และหนึ่งในนักวิจัยของฮาร์วาดในเรื่องการศึกษาการทำงานของแพทย์ เขียนอย่างในวารสารสมาคมแพทย์สหรัฐว่า กลุ่มแพทย์ส่วนใหญ่ก็ยังเพิกเฉยต่อความผิดพลาดที่ป้องกันได้ เราลองหยุดชั่วขณะมาคำนวนตัวเลขสะสมที่เกิดจากการไม่ใยดีต่อเรื่องความผิดพลาดทางการแพทย์
โดย: ออกมา 65000 คน 55555 [19 ก.พ. 54 23:42] ( IP A:58.8.18.68 X: )
ความคิดเห็นที่ 11
   เอาไว้มาแปลต่อ เบื่อชิบ
โดย: ใครจะช่วยแปลก็ได้นะ พวก มย [19 ก.พ. 54 23:43] ( IP A:58.8.18.68 X: )
ความคิดเห็นที่ 12
   The breadth and depth of Mills’s work makes 1978 a fair starting point. Recall that his methodology translated to about 120,000 preventable hospital deaths a year, a number roughly supported by the Harvard research. If you multiply 120,000 by the sixteen years between the Mills study and Leape’s professional "j’accuse," in 1994, you get 1.9 million preventable patient deaths about which there was near total provider silence. By silence, I mean that there was no substantial effort either to disprove the disturbingly high iatrogenic death estimate or to reduce the number of those deaths.
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ความกว้างและความลึกของงานของมิลส์ ทำให้ปี 1978 เป็นปีที่เริ่มต้นที่ค่อนข้างดี ให้จำไว้ว่าวิธีสำรวจของเขาชี้ให้เห็นว่า มีการตายในโรงพยาบาลที่ป้องกันได้ปีละ 120000 คน เป็นตัวเลขใกล้เคียงกับที่ได้รับการสนับสนุนจากการวิจัยของฮาร์วาด ถ้าคุณคูณ 120000 กับ 16 ปี ที่เป็นช่วงระหว่างการศึกษาของมิลส์และลีฟที่ชื่อ professional "j’accuse," ในปี 1994 คุณจะได้ตัวเลขคนไข้ 1.9 ล้านคนที่ตายจากความผิดพลาดที่ป้องกันได้ ที่เกิดจากการเงียบของแพทย์เกือบทั้งหมด
โดยคำว่าเงียบ ข้าพเจ้าหมายความว่า ไม่มีความพยายามที่พอสมควรที่จะพิสูจน์ว่าจำนวน การตายจากแพทย์ทำโดยการกะประมาณและสูงน่าเกลียด นั้นไม่จริง
โดย: 65000 ก็ 65000 ไม่ว่ากัน [20 ก.พ. 54] ( IP A:58.8.18.68 X: )
ความคิดเห็นที่ 13
   In late 1999 the IOM’s To Err Is Human appeared, electrifying the public and prompting a strong political reaction with its estimate that "at least 44,000 Americans die each year as a result of medical errors, ...[and> the number may be as high as 98,000." The report added: "Silence surrounds this issue. For the most part, consumers believe they are protected."10 Within a year the first legislation to require medical-error reporting was introduced in Congress, and state legislatures began passing error-reporting laws.
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ในปลายปี 1999 งานของไอโอเอ็มที่ชื่อ To Err Is Human นั้นออกสู่สายตา และจุดไฟสังคมและทำให้มีปฏิกิริยาจากฝ่ายการเมืองอย่างมากและรวดเร็ว กับการกะประมาณของไอโอเอ็มที่ว่า อย่างน้อย 44000 ของคนอเมิรกันตายแต่ละปีจากผลของความผิดพลาดทางการแพทย์ และตัวเลขอาจสูงถึง 98000 รายงานยังกล่าวเพิ่มว่า ความเงียบอยู่ล้อมรอบเรื่องนี้ โดยส่วนใหญ่แล้ว ผู้บริโภคคิดว่าตัวเองได้รับการคุ้มครอง ภายในปีเดียว ร่างกฎหมายที่ต้องมีการรายงานความผิดพลาดได้ถูกส่งเข้าสภาคองเกรส และฝ่ายร่างกฎหมายของรัฐต่างๆเริ่มออกฏหมายให้รายงานความผิดพลาด(บ้านเรานอกจากกฎหมายไม่เข้า มันยังพยายามจะถอนกฎหมายภายในเดือนเดียว พวก ห มย)
โดย: บ้านเราทำตรงข้าม โครต ๆ [20 ก.พ. 54] ( IP A:58.8.18.68 X: )
ความคิดเห็นที่ 14
   From 1994—when providers could have responded to Leape’s pleas—to 1999 equals five years and another 600,000 deaths, using the Mills estimate. That yields a total of some 2.5 million men, women, and children who died from treatment in American hospitals between 1978 and 1999. If, for argument’s sake, you choose to retroactively apply the lowest 1999 IOM estimate of preventable deaths (44,000) to the entire time period, the total still approaches a million people. Moreover, the number of injured, calculated by using the Harvard findings, would be about seven times as large—from seven million to seventeen million people, depending on your original estimate.
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
จาก ปี 1994 ซึ่งเป็นเวลาที่ผู้ให้บริการควรได้ตอบสนองต่อคำวิงวอนของลีฟ ถึงปี 1999 ซึ่งเป็นเวลา อีก 5 ปี ก็มีคนตายอีก 6 แสนคน ตามการกะประมาณด้วยตัวเลขของมิลส์ นั่นคือจำนวนคนไข้ประมาณ 2.5 ล้านคน ทั้งชาย หญิงและเด็กที่ตายจากการรักษาในโรงพยาบาลของอเมริกา ระหว่างปี 1978ถึง 1999 ถ้า สมมุติเป็นการชี้แจง คุณเลือกต้วเลขต่ำสุดของไอโอเอ็มในปี 1999 ย้อนหลังไป(44000 คน) ใช้ตลอดเวลาที่ผ่านมา จำนวนคนที่ตายก็ร่วมล้านคนอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นตัวเลขที่บาดเจ็บโดยการใช้ข้อมูลของฮาร์วาด ก็จะประมาณ 7 เท่าของที่ตาย นั่นคือจาก 7 ล้าน ถึง 17 ล้านคน ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะกะประมาณด้วยตัวเลขที่มีที่มาจากการวิจัยอันไหน
โดย: กะแบบ ปธ ก็โอเค เบ่ๆ [20 ก.พ. 54 1:07] ( IP A:58.8.18.68 X: )
ความคิดเห็นที่ 15
   The sheer size of such statistics can render them impersonal. So divide the number of deaths by the average number of acute care hospitals during this period (generously, about 5,500). What you end up with is nine to twenty-two patients unnecessarily dying every year at every community hospital in the country, every year, for twenty-one years. One can argue what percentage of these deaths was preventable; one cannot credibly argue that there was any serious effort by providers to prevent them.
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ขนาดของตัวเลขทางสถิติทำให้มันไม่ใช่เรื่องเฉพาะตัว ดังนั้นถ้าหารตัวเลขที่ตายโดยจำนวนเฉลี่ยของโรงพยาบาลที่รักษาโรคเฉียบพลันระหว่างช่วงเวลานี้ (เอาแบบใจกว้างๆ ก็ประมาณ 5500 โรง) คุณก็จะได้คนไข้ตายปีละ 9-22 คนที่ตายแบบไม่จำเป็นทุกปีในโรงพยาบาลชุมชนทุกโรง ทุกปี เป็นเวลา 21 ปี คนอาจจะแย้งว่า มีกี่เปอร์เซ็นต์ในจำนวนที่ตายนี้ ที่ป้องกันได้ แต่คนไม่อาจแย้งได้ว่า ไม่มีความพยายามจากผู้ให้บริการที่จะป้องกันมัน
โดย: ว่าไหม [20 ก.พ. 54 1:59] ( IP A:58.8.18.68 X: )
ความคิดเห็นที่ 16
   The small numbers at any individual institution may explain why individual doctors overlooked the problem. But if, say, medication errors (only one type of quality failure) were truly a "hidden epidemic," as Leape put it, was it because they were undetectable or because there was no support for detecting them? How can it be that the commonplace nature of medical errors surprised doctors and administrators who work in hospitals daily, yet 42 percent of the public said in a 1997 survey that they personally knew of a situation where a medical error was made?11 And why was it that the nursing literature called medication errors "the skeleton in the closet of health care providers" in an article that appeared eleven years before To Err Is Human?12


The IOM Breaks The Silence
To be sure, To Err Is Human broke the public silence about medical errors, and the report has prompted widespread promises of change. Respected physician and hospital organizations have for the first time endorsed a variety of specific safety improvements, and large government and private purchasers have for the first time added their voices in strong support. Nonetheless, it remains to be seen whether the anecdotal success stories are truly representative. Like the famous "file drawer" effect, institutions that do nothing say nothing.
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
จำนวนตัวเลขน้อยๆของแต่ละ รพ. อาจอธิบายได้ว่าทำไมแพทย์แต่ละท่านมองข้ามปัญหาเหล่านี้ไป แต่ถ้า กล่าวถึงตัวอย่างเช่น ความผิดพลาดจากการให้ยา (เพียงหนึ่งในหลายชนิดของเรื่องความล้มเหลวทางคุณภาพการให้บริการ) เป็นความผิดพลาดที่ระบาดซ่อนเร้นอยู่ ตามที่ลีฟ จัดเรื่องนี้ไว้ มันเกิดขึ้นเพราะว่ามันตรวจสอบไม่เจอหรือเพราะว่ามันไม่มีระบบสนับสนุนในการตรวจสอบ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้อย่างไรที่ความผิดพลาดจากการจ่ายยาจะสร้างความประหลาดใจให้หมอหรือผู้บริหารซึ่งทำงานใน รพ ทุกว้น แต่ 42 % ของชาวบ้านกล่าวในสำรวจปี 1997 ว่า พวกเขารู้ว่าความผิดพลาดทางการแพทย์เกิดขึ้นที่ไหน (แต่หมอและผู้บริหารไม่รู้) และทำไมวารสารพยาบาลเรียกความผิดพลาดจากการจ่ายยาว่าเป็นเรื่องใหญ่ในตู้เก็บของของผู้ให้บริการทางสาธารณสุข ในบทความที่เกิดขึ้นก่อนบทความ To Err Is Human ของไอโอเอ็มถึง 11 ปี
ไอโอเอ็มทะลายความเงียบ
แน่นอน To Err Is Human ทะลายความเงียบของสังคมเกี่ยวกับความผิดพลาดทางการแพทย์ และรายงานนี้ได้ทำให้เกิดการให้สัญญาอย่างกว้างขวางว่าจะต้องแก้ไข แพทย์ที่ได้รับการเคารพและองค์กรโรงพยาบาลที่ได้รับการเคารพได้สนับสนุนการปรับปรุงเรื่องความปลอดภัยเรื่องต่างๆเป็นครั้งแรก และผู้จ่ายเงินค่ารักษาทั้งรัฐและเอกชนก็ได้ให้คำสนับสนุนเป็นครั้งแรก อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องรอต่อไปว่าเรื่องที่ประสบความสำเร็จที่เห็นจะเป็นเรื่องจริงที่เป็นตัวแทนของทั้งหมด เช่นเดียวกับเรื่อง เก็บใส่ลิ้นชัก รพ.ที่ไม่ทำอะไรเลยก็จะไม่พูดอะไรเลย
โดย: ต่อ [20 ก.พ. 54 14:50] ( IP A:58.11.71.246 X: )
ความคิดเห็นที่ 17
   Consider the following: A Brooklyn teaching hospital is honored for reducing drug errors and saving lives with computerized physician order entry. Across the river a Manhattan teaching hospital quietly rejects buying computers and tells doctors to improve their handwriting. Not one physician (or nurse or hospital executive) in the Manhattan hospital resigns, organizes a noisy protest, or even quietly leaks the decision to a reporter.
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ให้ดูเรื่องนี้ รพ สอนแพทย์ในบรุ๊คลินได้รับคำชมสำหรับการลดความผิดพลาดจากการจ่ายยาและช่วยชีวิตคนไข้โดยการใช้คอมพิวเตอร์ลงคำสั่งแพทย์ แต่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ รพ.นี้ รพแมนแฮตตันที่สอนแพทย์ ปฏิเสธการซื้อคอมพิวเตอร์เงียบๆและบอกให้แพทย์ปรับปรุงลายมือ ไม่มีแพทย์หรือพยาบาลหรือผู้บริหาร รพ ใน รพ.แมนแฮตตันลาออกประท้วง หรือจัดการประท้วงส่งเสียงดัง หรือแม้แต่ส่งข่าวให้นักข่างแบบเงียบๆ
โดย: อมอะไรอยู่ [20 ก.พ. 54 14:55] ( IP A:58.11.71.246 X: )
ความคิดเห็นที่ 18
   An affluent downtown Chicago hospital touts its large investment in preventing infections; it omits mentioning its belated investment in medication-error prevention. At an equally affluent suburban Chicago hospital, meanwhile, senior administrators remain silent while physicians scoff openly at buying error-reduction technology that is unreimbursed.

At a meeting of academic medical centers’ leaders, eminent speakers endorse the necessity of preventing mistakes. Privately, a physician confides that she pried an error-reduction budget out of her hospital by fibbing that they would lose Medicaid funding unless they acted.13
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
โรงพยาบาลร่ำรวยในดาวน์ทาวน์ชิคาโกคุยว่าได้ลงทุนจำนวนมากในการป้องกันการติดเชื้อ แต่ก็ละเว้นไม่พูดถึงการลงทุนที่ทำล่าช้าในเรื่องการป้องกันความผิดพลาดจากการให้ยา โรงพยาบาลชานเมืองในชิคาโกที่รวยพอกันในขณะเดียวกันผู้บริหารรุ่นซีเนียร์ก็คงเงียบในขณะที่เหล่าแพทย์ก็ต่อว่าอย่างเปิดเผยถึงการซื้อเทคนโนโลยี่ที่ลดความผิดพลาดซึ่งไม่สามารถเก็บเงินคืนจากคนจ่ายค่ารักษา
ในการประชุมผู้นำของศูนย์การแพทย์ที่เป็นศูนย์ด้านวิชาการ ผู้บรรยายที่มีชื่อเสียงสนับสนุนความจำเป็นที่จะต้องป้องกันความผิดพลาด Privately, a physician confides that she pried an error-reduction budget out of her hospital by fibbing that they would lose Medicaid funding unless they acted.13
โดย: ข้างล่างยังแปลไม่ออก [20 ก.พ. 54 17:26] ( IP A:58.11.71.246 X: )
ความคิดเห็นที่ 19
   Physicians’ Resistance And The Failure Of Professionalism
Society relied primarily on the ethical commitment of the provider to the patient for high-quality care...The blame [for the failure of this strategy> largely lies with the professional dominance of medical care.
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
นี่เป็นการคงไว้ซึ่งการปฏิเสธอย่างเงียบที่จะทำอะไรเพื่อการปรับปรุงคุณภาพซึ่งต้องชดใช้ราคา: การทำลายรากฐานทางคุณธรรมของวิชาชีพแพทย์
การต่อต้านของแพทย์ และความล้มเหลวของสภาวิชาชีพแพทย์
หลักใหญ่สังคมฝากความหวังไว้กับหน้าที่ของแพทย์ผู้ให้บริการที่ต้องมีคุณธรรมสำหรับการให้บริการที่คุณภาพสูง การต่อว่า(สำหรับความล้มเหลวของหลักนี้) ส่วนใหญ่ก็ต่อว่าเรื่องความมีอำนาจเหนือกว่าทางวิชาชีพในด้านการให้บริการทางการแพทย์
โดย: เบื่อแปลวะ [20 ก.พ. 54 18:13] ( IP A:58.11.71.246 X: )
ความคิดเห็นที่ 20
   —Troyen Brennan and Donald Berwick, New Rules: Regulation, Markets, and the Quality of American Health Care

The virulent resistance by many in the medical profession to confronting evidence about systemic quality failings is neither new nor an aberration. For example, when John Wennberg first presented his pioneering research on practice variation at medical society meetings in staid New England, other physicians routinely tried to shout him into silence.14 Twenty years later JAMA editor George Lundberg decided to place Leape’s 1994 article on doctors ignoring errors in a Christmastime issue that he hoped reporters would overlook. When, instead, the article was widely publicized, "hate mail began pouring in [from AMA members>," Lundberg wrote well after the fact. "I was accused of being on the side of the lawyers, a damned turncoat and traitor to the cause."15
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
โทรเย็น เบรนแนน และโดนัล เบอร์วิค กฎใหม่ : การควบคุม ตลาด และคุณภาพของบริการสาธารณสุขของอเมริกา
การต่อต้านแบบอุบาทว์รุนแรงโดยหลายคนในวิชาชีพแพทย์ที่ต่อต้านหลักฐานเกี่ยวกับความล้มเหลวของระบบด้านคุณภาพ ไม่ใช่เรื่องใหม่หรือเรื่องผิดเพี้ยน ตัวอย่างเช่น เมื่อจอห์น เวนน์เบิร์ก แสดงผลงานวิจัยที่ใหม่เป็นการนำทางครั้งแรกเกี่ยวกับการทำเวชปฏิบัติที่แตกต่างออกไปที่สมาคมแพทย์ในนิวอิงแลนด์ที่เก่าแก่ แพทย์คนอื่นพยายามจะตะโกนให้เขาเงียบ 20 ปีต่อมา บรรณธิการของวารสารแพทย์ของสมาคมแพทย์อเมริกันชื่อ จอร์จ ลุงเบิร์ก ตัดสินใจที่จะลงบทความของลีฟในปี 1994 เกี่ยวกับเรื่องที่แพทย์เพิกเฉยต่อความผิดพลาด ในฉบับช่วงเวลาคริสมาร์ส ซึ่งเขาหวังว่านักข่าวจะไม่สังเกตุเห็น แต่ผลกลับเป็นว่าบทความนี้ แพร่หลายสู่สาธารณชน จดหมายด่าทอเริ่มส่งเข้ามา(จากสมาชิกสมาคมแพทย์อเมริกัน) ลุงเบิร์ก เขียนจากความจริง “ ผมถูกกล่าวหาว่าอยู่ข้างทนาย ไอ้อุบาทว์เปลี่ยนสี และคนทรยศที่เป็นต้นเหตุ
โดย: ไอ้หมอนอกแถว [20 ก.พ. 54 19:05] ( IP A:58.11.71.246 X: )
ความคิดเห็นที่ 21
   This silencing of talk about errors has been so effective and so little noticed that policymakers and in-the-trenches physicians alike are often lulled into a misplaced faith in professional self-policing. In a not atypical example, a physician writing in the journal Effective Clinical Practice described how colleagues "felt betrayed" by To Err Is Human—they "felt as if all of their past efforts [to improve care> were discounted as inconsequential." Why, for instance, was there just a "brief mention of the work by anesthesiologists, which has reduced the risk of anesthesia by more than 100-fold"? Or "programs like the American Academy of Orthopedic Surgeons’ protocol in which patients and others ‘sign their site’ to prevent wrong-side surgery"?16
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
การทำให้เรื่องพูดคุยเกี่ยวกับความผิดพลาดเป็นเรื่องเงียบหายไปได้ผลอย่างมากและได้ผลจนมีคนสังเกตุเห็นน้อยจนแม้กระทั่งผู้กำกับนโยบายและแพทย์ในคอกเช่นกันมักจะถูกชักจูงหลอกเข้าไปให้กลายเป็นเรื่องไม่ไว้วางใจในการกำกับดูแลของสภาวิชาชีพกันเอง ตัวอย่างที่แปลกเช่น แพทย์เขียนในวารสารเรื่องการทำเวชปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพบรรยายว่าแพทย์ร่วมวิชาชีพ รู้สึกถูกทรยศโดยบทความ To Err Is Human พวกเขารู้สึกว่าความพยายามทำดีทั้งปวงในอดีต(เพื่อปรับปรุงการให้บริการ)ไม่ได้มีการเอามาพูดถึง และว่าไม่เกี่ยวกัน ทำไม เช่น ไม่มีแม้แต่จะมีการพูดสั้นๆ เกี่ยวกับงานของหมอดมยา ซึ่งได้ลดความเสี่ยงในการดมยามากกว่า 100 เท่า หรือโปรแกรมที่ดีของสมาคมแพทย์กระดูกของสหรัฐซึ่งคนไข้และคนอื่นเซ็นชื่อที่บริเวณที่จะผ่าตัดเพื่อป้องกันการผ่าตัดผิดข้าง
โดย: ก็ไม่ใช่ขา ก รู [20 ก.พ. 54 19:22] ( IP A:58.11.71.246 X: )
ความคิดเห็นที่ 22
   วันนี้เอาแค่นี้ก่อน เมื่อวานไปช่วยหลานเข็ญรถสตาร์ทไม่ติดเมื่อยเป็นบ้า พิมพ์คอมต่อไปไหว ปวดต้นคอ
บทความนี้ผมพยายามจะแปลให้อ่าน ถูกบ้างผิดบ้างก็ถูกเป็นส่วนใหญ่ ไม่ขอตรวจทานละครับเหนือ่ย ใครเป็นที่ผิดที่ไม่สุภาพก็แก้เอาตามอัธยาศัย
จุดประสงค์ก็ต้องการชี้ให้เห็นว่า ทุกวันนี้ที่กำลังทะเลาะกันนั้น สหรัฐเขาเขียนด่าไว้ตั้งแต่ปี 2003 ก็แปดปีที่แล้ว
คนเขียนเป็น project HOPE
ใครถูกองค์กรนี้ด่าก็ไม่เจริญแน่นอน
โดย: กลับตัวยังไม่สาย พวกกระทอก [20 ก.พ. 54 19:25] ( IP A:58.11.71.246 X: )
ความคิดเห็นที่ 23
   ขอบคุณครับ สำหรับบทความที่น่าเศร้าใจ
โดย: เจ้าบ้าน [20 ก.พ. 54 23:01] ( IP A:115.87.40.137 X: )
ความคิดเห็นที่ 24
    Tens of thousand น่าจะแปลว่า เป็นหมื่นๆคน หรือ หลายๆหมื่นคนจะเข้าใจง่ายกว่านะครับ
โดย: เจ้าบ้าน [20 ก.พ. 54 23:03] ( IP A:115.87.40.137 X: )
ความคิดเห็นที่ 25
   วารสารเฮลท์ แอฟแฟร์ พ.ศ.2546 โดย องค์กร โปรเจค โฮป์

ความปลอดภัยของคนไข้

ความนิ่งเงียบ
โดยไมเคิล แอล มิลเลนสัน

บทคัดย่อ
แม้ว่าจะมีรายงานที่ทำได้อย่างดีจากสถาบันไอโอเอ็ม ในวงการสาธารณสุขก็ยังมีการปฏิเสธตลอดที่จะเผชิญหน้ากับความรับผิดชอบของผู้ให้บริการ(พวก พรบกระทอก)ในเรื่องปัญหาคุณภาพการให้บริการที่เป็นปัญหารุนแรง มันมีความนิ่งเงียบในเรื่องการให้บริการที่เลวทราม- ล้มเหลวที่จะทำอะไรที่แก้ไขปัญหา- และมีความนิ่งเงียบในเรื่องคำพูด –ล้มเหลวที่จะถกกันอย่างเปิดเผยในเรื่องผลที่ตามมาจากการเพิกเฉย- ความนิ่งเงียบเหล่านี้ บิดเบือนและทำลายนโยบายที่ดี ถ่วงเวลาการเปลี่ยนแปลง และความที่เป็นสาเหตุของการตาย(แม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจ)ของคนไข้นับหลายพันถือได้ว่าเป็นการกัดกร่อนทำลายความเป็นมืออาชีพของแพทย์ คณะกรรมการคุณภาพของไอโอเอ็ม- -ควรจะนำเสนอรายงานเพิ่มอีกและต้องนำไปสู่การรณรงค์แก้ไขอย่างฉุกเฉินที่เปรียบได้กับการทำสงครามครูเสดของนายเฟลกเน่อร์กับโรงเรียนแพทย์ที่ไม่ได้เรื่อง-เพื่อว่าจะคงไว้ซึ่งการเป็นผู้นำที่มีคุณธรรม
โดย: เจ้าบ้าน [20 ก.พ. 54 23:12] ( IP A:115.87.40.137 X: )
ความคิดเห็นที่ 26
   https://en.wikipedia.org/wiki/Abraham_Flexner
โดย: รู้จักนายเฟลกเน่อร์บ้างก็ดี [21 ก.พ. 54 1:43] ( IP A:58.11.71.246 X: )
ความคิดเห็นที่ 27
   The blunt answer is that professionalism alone has consistently failed to protect patients. Rather, it has been professionalism pushed into action by pressure from the press, public, politicians, and the pocketbook.17 For example, anesthesiologists finally acted to improve patient safety only after a television exposé of anesthesia accidents. Rising malpractice premiums—an economic incentive—provided an extra sense of urgency.18 Similarly, the "sign your site" protocol came in reaction to a nationally publicized incident in which a Florida surgeon amputated the wrong foot of a diabetic man in 1995. The People’s Medical Society, a consumer group, had suggested a "sign your site" initiative a decade before, only to be met by indignation and ridicule on the part of surgeons.19 In mid-2002 the provider-dominated Joint Commission on Accreditation of Healthcare Organizations (JCAHO) finally proposed rules requiring hospitals to reduce wrong-site surgery—seven years after the scandal and seventeen years after the consumer group had suggested such a move. Even with this delay, and even with the utter simplicity of the act of signing one’s name, 20–40 percent of surgeons continue to resist efforts to get them to sign voluntarily, a past president of the orthopedic academy admitted to the Washington Post.20
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
คำตอบที่ตรงไปตรงมาก็คือ ความเป็นสภาวิชาชีพอย่างเดียวล้มเหลวตลอดมาในการปกป้องคนไข้ ในทางตรงข้าม สภาวิชาชีพต่างหากที่ถูกกดดันให้ทำงานโดยแรงกดดันจากสื่อ สังคม นักการเมืองและหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊ค(นางปีศาจร้ายในสายตาหมอ เหมือนเมืองไทยเปะเลย อ๊วกจริงๆ) ตัวอย่างเช่น หมอดมยาสุดท้ายก็ทำงานปรับปรุงความปลอดภัยของผู้ป่วยหลังจากทีวีเปิดเผยเรื่องราวของอุบัติเหตุจากการดมยาสลบ ค่าประกันแพทย์ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นแรงกดดันทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดความรู้สึกว่าต้องรีบแก้ไขด่วน เช่นเดียวกัน ระบบเซ็นชื่อบนบริเวนที่จะผ่าตัดของท่าน เกิดหลังจากปฏิกิริยาเรื่องที่ตีข่าวไปทั่วประเทศในฟอริดาที่ศัลยแพทย์ตัดขาผิดข้างให้แก่คนไข้เบาหวานในปี 1995 สังคมแพทย์ของประชาชน กลุ่มผู้บริโภค ได้แนะนำให้เซ็นชื่อบนบริเวณที่จะผ่าตัดของท่าน ร่วมทศวรรษก่อนหน้า แต่กลับโดนเยาะเย้ย และโกรธเคืองจากศัลยแพทย์ ในกลางปี 2002 องค์กรทำเอชเอที่ชื่อ JCAHO ซึ่งมีอิทธิพลของผู้ให้บริการ(กระทอก) สุดท้ายได้เสนอกฏที่ต้องให้ รพ ลดการผ่าตัดผิดที่ 7 ปีหลังจากเรื่องเลวร้ายและ 17 ปีหลังจากองค์กรผู้บริโภคได้แนะนำให้ทำเรื่องดังกล่าว แม้ว่าจะล่าช้าเช่นนี้ และแม้ว่าจะเป็นเรื่องง่ายดายในการเซ็นชื่อคน 20-40 % ของศัลยแพทย์ยังคงต่อต้านความพยายามที่จะถูกบีบให้เซ็นชื่อโดยไม่ต้องบังคับ ตามที่อดีตประธานสมาคมศัลยแพทย์กระดูกยอมรับกับหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์
โดย: แสบ [21 ก.พ. 54 3:58] ( IP A:58.11.71.246 X: )
ความคิดเห็นที่ 28
   5555+ ดิ้นเป็นไส้เดือนโดนน้ำร้อนลวกเลย
โดย: Gazza [21 ก.พ. 54 14:51] ( IP A:58.11.82.111 X: )
ความคิดเห็นที่ 29
   ใครกันแน่ที่ดิ้นเป็นหมาโดนน้ำร้อนลวก ปกปิด โดนเปิดโปง อายหน้าหมาสินะ
โดย: พวกหม..หมู่ [21 ก.พ. 54 23:36] ( IP A:58.9.52.137 X: )
ความคิดเห็นที่ 30
   ดิ้นนิดหน่อยครับ เพราะบทความนี้เขาด่าแม่หมอป่นปี้
บังเอิญผมเป็นหมอไม่ได้เป็นหมา ปกติหน้าแม้จะหนาไปหน่อย เจอดอกนี้ยังหน้าชาเลย
ส่วนพวกด่าไม่รู้สึกสงสัยจะมีความสามารถพิเศษอีกหน่อยคงต้องหาคำปรึกษาจะได้หน้าหนากว่าที่เป็นอยู่อีกหน่อย
โดย: หนาขนาดห้าห่วงยังชาเลยเพ่ [22 ก.พ. 54 1:45] ( IP A:58.11.85.124 X: )
ความคิดเห็นที่ 31
   ปู่ชัยด่า"ทุเรศ"
เปลวสีเงินด่า "อัปรีย์หมอ"
โดย: ถึงบอกไงว่าประเทศไทยโชคร้ายได้พวกข้างบนมาเป็น...กก.. [22 ก.พ. 54 9:10] ( IP A:58.9.63.21 X: )
ความคิดเห็นที่ 32
   ปู่ชัยด่าแล้วไง ใครเหรอปู่ชัย ทำอะไรเพื่อประเทศไทยหรอ รู้แต่พ่อเนวิน
ส่วนเปลวสีเงิน ไม่ต้องพูดหรอก ด่าคนโน้นคนนี้ไปวันๆ

แต่ทั้งปู่ชัยกับเปลวสีเงิน สุดท้ายเวลาเจ็บป่วยคุณว่าเค้าไปไหนเหรอ
โดย: Gazza [22 ก.พ. 54 14:01] ( IP A:58.11.82.157 X: )
ความคิดเห็นที่ 33
   ไปหาลูกจ้างเขา(ข้าราชการ)
และทวงบุญคุณที่ใช้ภาษีเรียนหนังสือและใช้ร่างประชาชนเรียนรู้
โดย: สำนึกข้าราชการ [22 ก.พ. 54 14:31] ( IP A:58.11.85.70 X: )
ความคิดเห็นที่ 34
   ก็คอยดูละกัน ว่าปู่ชัย หรือ เปลวสีเงิน จะทำอย่าง คห 34 มั๊ย

ไม่ บำรุงราษฎร์ ก็กรุงเทพ หรือ พระรามเก้า แหละ เชื่อมั๊ย
โดย: Gazza [22 ก.พ. 54 18:14] ( IP A:58.11.82.157 X: )
ความคิดเห็นที่ 35
   นายกช่วน ยังไปรามา บ้านอยู่ซอยหมอเหล็ง
ปู่ชัยคงไป รพ ใกล้บ้าน
โดย: ว่ามะ [22 ก.พ. 54 19:00] ( IP A:58.11.103.67 X: )
ความคิดเห็นที่ 36
   นายกชวนเค้าจน เค้าก็ต้องไปรัฐบาล

ปู่ชัย ลูกเค้ารวย มีลุ้นเป็นนายกฯคนต่อไป จะไปรัฐบาลทำไม
โดย: Gazza [22 ก.พ. 54 19:55] ( IP A:58.11.82.157 X: )
ความคิดเห็นที่ 37
   เจ้า Gazza นี่ถ้าเป็นไส้เดือน
ก็ดิ้นแถไปได้ทุกเรื่อง
โดย: แถเก่งจริง ๆ รักษาคนไข้จะเก่งเหมือนแถหรือเปล่า [22 ก.พ. 54 23:54] ( IP A:58.9.63.21 X: )
ความคิดเห็นที่ 38
   โชคดีที่ไม่ใช่ไส้เดือน เหมือนคนแถวนี้ที่ ดิ้นเพราะโดนน้ำร้อนลวก เมื่อวันจันทร์

"หมอสรรธวัช" จวกยับเครือข่ายผู้ป่วย ปล่อยข้อมูลมั่ว !

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 กุมภาพันธ์ 2554 00:15 น.

5555+ เอาขี้ปากเค้ามาพูดก็เงี้ยแหละ
โดย: Gazza [23 ก.พ. 54 8:12] ( IP A:58.11.82.157 X: )
ความคิดเห็นที่ 39
   เมื่อคืนทีวีเชิญหมอสรรธวัชหายหัวไปไหน คนจริงถ้าเรื่องที่จวก
เป็นเรื่องจริงก็ต้องกล้าไปชี้แจง นี่ตีหัวแล้ววิ่งเข้าบ้านพฤติกรรม
เหมือนกันหมดทั้งแม่ปูลูกปู
โดย: Gazza หน้าสุภาพสตรี [23 ก.พ. 54 11:15] ( IP A:58.9.135.31 X: )
ความคิดเห็นที่ 40
   หมอเค้าไปชี้แจงกับกระทรวงและแพทยสภาแล้ว

พวกคุณเป็นใครเหรอ เชิญมาต้องมางั้นเหรอ
โดย: Gazza [23 ก.พ. 54 12:41] ( IP A:58.11.84.163 X: )
ความคิดเห็นที่ 41
   ไม่ใช่บิดามารดาคุณก็แล้วกัน
โดย: ไปไกล ๆ [23 ก.พ. 54 20:25] ( IP A:58.9.135.31 X: )
ความคิดเห็นที่ 42
   ถึง คห.42 ผมว่าอย่างคุณเป็นบิดามารดาGazza ไม่ได้อยู่แล้ว

เป็นคนรึเปล่าผมยังไม่แน่ใจ
โดย: ไปก็ได้ 555 [24 ก.พ. 54 2:23] ( IP A:125.27.73.102 X: )
ความคิดเห็นที่ 43
   ทำตัวเป็นเสาไฟฟ้าให้หมอบางคนมันเยี่ยวรดให้ได้
ขอให้อดทน อย่าไปให้ราคาหม..พวกนี้
โดย: ขอให้อดทน [24 ก.พ. 54 11:14] ( IP A:58.9.107.70 X: )
ความคิดเห็นที่ 44
   นี่คุณคห.44 สรุปว่าตั้งเวปมาอวยกันเอง คนนอกเข้าไม่ได้ เห็นต่างไม่ได้ ว่าเค้าเป็นหม..
โดย: ตุ๊ดมาก [26 ก.พ. 54 12:58] ( IP A:125.27.81.3 X: )
รายละเอียด :
ชื่อ / e-mail :    แทรกไอคอนน่ารักๆในข้อความ
e-mail :
ส่งอีเมลทุกครั้งที่มีการตอบกระทู้       (ใส่ Email เมื่อต้องการให้ส่ง Email เมื่อมีคนมาโพสในกระทู้)
รูปประกอบ :
.jpg .bmp .gif < 100K
จัดตำแหน่งรูป :
ชิดซ้าย
กึ่งกลาง
ชิดขวา
เสียงประกอบ : .wav .mp3 .wma .ogg < 300K
คลิปวีดีโอ (Youtube) :
ตัวอย่าง : http://www.youtube.com/watch?v=k_ufqno7NaE


CAPTCHA code



คลิกที่นี่เพื่อกลับหน้าบ้าน