สั่งสอบด่วนกรณี รพ.จ.พิจิตรไม่ผ่าไส้ติ่ง-ปิดจมูก ด.ช.9 ขวบดับ "อู๊ดด้า" ยันต้องเป็นธรรม ขีดเส้นตาย1ส
   สั่งสอบด่วนกรณี รพ.จ.พิจิตรไม่ผ่าไส้ติ่ง-ปิดจมูก ด.ช.9 ขวบดับ "อู๊ดด้า" ยันต้องเป็นธรรม ขีดเส้นตาย1สัปดาห์

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 กุมภาพันธ์ 2554 19:12 น.
https://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9540000025550





นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์


“จุรินทร์” สั่งปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีการเสียชีวิต “น้องกาย” ที่จังหวัดพิจิตร ที่ญาติร้องเรียน รพ.ไม่ผ่าไส้ติ่งแถมมีเจ้าหน้าที่ปิดปาก ปิดจมูกจนเสียชีวิต ให้ได้ข้อสรุปภายใน 1 สัปดาห์ ยืนยันให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย กำชับไม่ให้มีการลูบหน้าปะจมูก

ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณี เด็กชายธนกฤต พิมพ์อักษา หรือ น้องกาย อายุ 9 ปี ชาวจังหวัดพิจิตร ที่ญาติร้องเรียนโรงพยาบาลพิจิตรไม่ยอมผ่าตัดไส้ติ่งให้ และถูกเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทำร้ายร่างกาย ใช้ผ้าปิดปากและจมูก จนเสียชีวิต

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ได้สั่งการให้ นายแพทย์ ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงแล้ว ตั้งแต่เมื่อคืนวานนี้ (25 ก.พ.) และกำชับว่าเรื่องนี้ต้องเอาจริงห้ามลูบหน้าปะจมูกเด็ดขาด และให้ตรวจสอบให้ได้ข้อเท็จจริงภายใน 1 สัปดาห์ ซึ่งปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้รับปากว่าจะดำเนินการสอบสวนให้ได้ข้อเท็จจริงและรายงานให้ทราบผลการตรวจสอบภายในเวลาที่กำหนด

“ผลจะเป็นอย่างไรขอให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการ และขอเวลาให้คณะกรรมการดำเนินการ ยืนยันจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยเฉพาะเด็กที่เสียชีวิตไป บอกตรงๆ ว่า เป็นลูกใครก็ต้องเสียใจ เมื่อผลการสอบออกมาจะดำเนินการตามขั้นตอนกระบวนการต่อไป” นายจุรินทร์ กล่าว

ทั้งนี้ รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์โรงพยาบาลพิจิตรได้รายงานเบื้องต้นว่า ได้รับเด็กชายธนกฤต พิมพ์อักษา หรือ น้องกาย อายุ 9 ปี เข้ารับรักษาเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2554 โดยรับส่งต่อจากโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชตะพานหิน ด้วยอาการมีไข้ ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน มา 4 วัน สงสัยเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ แพทย์รับไว้รักษาตัวที่โรงพยาบาล จากการตรวจร่างกาย พบว่า มีไข้ ปวดท้อง อาการแสดงของโรคไส้ติ่งอักเสบไม่ชัดเจน เนื่องจากเด็กน้ำหนักตัวมากถึง 60 กิโลกรัม ได้สั่งให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ ยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อ และสังเกตอาการต่อ

ต่อมาเวลา 19.00 น.แพทย์ได้มาตรวจอาการอีกครั้ง และเวลา 21.40 น.ผู้ป่วยเริ่มสับสน แพทย์สงสัยว่าจะมีการติดเชื้อในกระแสเลือด ได้เพิ่มยาปฎิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อในกระแสเลือด และเตรียมส่งเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เพื่อหาสาเหตุการติดเชื้อ แต่ผู้ป่วยอาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว ความดันโลหิตลดลง หายใจหอบ แพทย์ได้ใส่ท่อหายใจ และนำเข้าไปรักษาที่หอผู้ป่วยหนัก ผู้ป่วยอาการทรุดลงเรื่อยๆ และเสียชีวิตเวลา 02.50 น.วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2554หลังผู้ป่วยเสียชีวิต โรงพยาบาลพิจิตรได้พูดคุยทำความเข้าใจกับญาติผู้ป่วย ถึงสาเหตุการเสียชีวิต ส่วนประเด็นที่ญาติยังติดใจ และได้แจ้งความดำเนินคดีเป็นเรื่อง การที่ผู้ป่วยถูกเจ้าหน้าที่ทำร้ายร่างกาย และการถูกผ้าปิดปากและจมูกจนน่าจะเป็นสาเหตุการเสียชีวิตนั้น เบื้องต้นได้ให้หัวหน้าฝ่ายการพยาบาลตรวจสอบข้อเท็จจริง รวมทั้งได้ส่งศพผ่าพิสูจน์สาเหตุการเสียชีวิต คาดว่า จะได้ผลในวันจันทร์ ที่จะถึงนี้
โดย: 4444 [28 ก.พ. 54] ( IP A:58.9.42.104 X: )
Add to Facebook  Add to Twitter  Add to Multiply  Add to Google  Add to Blogger  Add to Live
ความคิดเห็นที่ 1
   นี่อีกคดี เอาไปอ่านซะ
https://www.cityvariety.com/index.php?cmd=news&id=1273&cate=2
โดย: สอบใน 7 วัน เชอะ ไสหัวมารดาเจ้า [28 ก.พ. 54] ( IP A:58.8.14.114 X: )
ความคิดเห็นที่ 2
   ลูกไส้ติ่งแตก-ตาย เร่ขายไต!หาเงินฟ้องศิริราช





แม่วัย 31 ประกาศขายไตหาเงินไปฟ้องศิริราชผ่าตัดทำลูกชายวัย 3 ขวบตาย เหตุเกิดเมื่อปี"48 ลูกเจ็บไส้ติ่งเข้าร.พ.แถวบางพลีก่อนส่งต่อมาศิริราช หมอไม่ยอมรักษาปล่อยข้ามคืนจนไส้ติ่งแตกตัดสินใจไปยื่นฟ้องอนาถา แต่ไม่มีเงินวาง 5 หมื่น เลยประกาศขายไตหาเงินไปทวงความยุติธรรมให้ลูกชาย

เมื่อวันที่ 13 พ.ย. นางศิริวรรณ บุญปลอด อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 129/42 ต.แพรกษา อ.เมือง จ.สมุทรปราการ พนักงานประกอบอะไหล่คอมพิวเตอร์ บริษัท ซีเกท ประเทศไทย จำกัด ร้องเรียน "ข่าวสด" ว่า ด.ช.คิมหันณ์ หรือน้องคิม เอียวพันธ์ บุตรชาย อายุ 3 ขวบ 2 เดือน เข้ารักษาอาการไส้ติ่งอักเสบที่ร.พ.ศิริราชแล้วเสียชีวิต เนื่องจากไส้ติ่งแตก

นางศิริวรรณ กล่าวว่า ด.ช.คิมหันณ์ หรือน้องคิม เป็นบุตรชายคนโต มีอาการปวดท้องตั้งแต่เวลา 11.00 น. วันที่ 10 พ.ค.48 จึงพาไปร.พ.บางพลี จ.สมุทรปราการ แพทย์ตรวจร่างกายพบว่าไส้ติ่งอักเสบต้องผ่าตัด แต่ตนไม่มีเงินรักษาจึงขอให้แพทย์ทำหนังสือส่งตัวต่อไปยังร.พ.ของรัฐ และช่วยรับรองว่าป่วยเป็นไส้ติ่งอักเสบจริง อีกทั้งน้องคิมตกสำรวจผู้มีสิทธิตามโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า(30 บาทรักษาทุกโรค) แต่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเขตภาษีเจริญ กทม. แพทย์จึงทำหนังสือส่งตัวไปร.พ.ศิริราช

นางศิริวรรณ กล่าวอีกว่า น้องคิมเข้ารับรักษาที่ร.พ.ศิริราช เมื่อเวลา 19.00 น.วันเดียวกันนั้น พยาบาลให้นอนพักบนเตียงรอรับการรักษา กระทั่งเวลา 22.30 น. จึงมีแพทย์เข้ามาดูอาการและแจ้งว่า ไม่แน่ใจว่าน้องคิมเป็นไส้ติ่งอักเสบหรือไม่ ตนจึงแจ้งว่ามีเอกสารรับรองจากแพทย์ร.พ.บางพลีมาด้วย จากนั้นแพทย์ก็ปล่อยให้รอต่อไปทั้งที่บุตรชายปวดท้องอย่างรุนแรงมาตลอดทั้งวัน ต่อมาพยาบาลแจ้งว่า แพทย์ให้น้องคิมพักอยู่ร.พ.เพื่อรอผ่าตัด ส่วนญาติต้องกลับบ้านไปก่อน โดยร.พ.จะเปิดเยี่ยมเวลา 10.00 น.วันรุ่งขึ้น

นางศิริวรรณ กล่าวต่อว่า เมื่อได้รับแจ้งดังกล่าวตนจึงกลับบ้าน แต่วันรุ่งขึ้นกลับมาเยี่ยมบุตรชายอีกครั้งตอนเช้าก็พบว่าอยู่ในห้องไอซียูแล้ว แพทย์ให้ทั้งออกซิเจนและน้ำเกลือ บริเวณหน้าท้องมีแผ่นปิดบาดแผลขนาดใหญ่ ตอนนั้นบุตรชายไม่รู้สึกตัว กระทั่งทราบจากพยาบาลว่าน้องคิมมีไข้สูง และติดเชื้อทางกระแสเลือด พร้อมกับบอกด้วยว่าแพทย์ที่ผ่าตัดเป็นนักเรียนแพทย์ปี 5 ของร.พ.ศิริราช

"ตอนนั้นดิฉันเดินไปที่ลูก หอมแก้มลูก น้องคิมลืมตา ตาของน้องคิมลอย ปากก็พยายามขยับเพื่อพูด แต่ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา จากนั้นน้องคิมก็สิ้นใจ ดิฉันจึงเรียกหมอ หมอก็ช่วยกันปั๊มหัวใจ หมอบอกกับดิฉันว่าน้องคิมติดเชื้อในกระแสเลือด และบอกให้รออยู่ข้างนอก ทั้งยังบอกด้วยว่าน้องคิมจะดีขึ้น ดิฉันก็มีหวัง กระทั่งเวลา 18.00 น.พยาบาลมาบอกให้ดิฉันกลับบ้าน และกลับมาเยี่ยมใหม่วันรุ่งขึ้น ดิฉันไม่รู้จะทำอย่างไรจึงกลับบ้าน แต่ก็ย้อนกลับมาดูน้องคิมอีกครั้งตอนเกือบ 22.00 น.พบว่าหมอกำลังปั๊มหัวใจอยู่ จากนั้นหมอก็มาขออนุญาตถอดเครื่องช่วยหายใจออก และแจ้งว่าเสียชีวิตเพราะไส้ติ่งแตก ร่างกายดูดซับสารพิษเข้าไป ทำให้หัวใจวาย" นางศิริวรรณ กล่าวด้วยสภาพน้ำตานองหน้า

นางศิริวรรณ กล่าวว่า ตนมารับศพน้องคิมกลับในวันรุ่งขึ้น เจ้าหน้าที่ห้องศพบอกว่าหากจ่ายเงิน 5,500 บาทจะบริการโลงศพพร้อมกับอำนวยความสะดวกทุกอย่าง และส่งศพจนถึงวัด แต่ตนมีเงินน้อยจึงตัดสินใจไม่เอา เจ้าหน้าที่ห้องศพจึงให้อุ้มศพน้องคิมขึ้นรถไปเอง โดยนำสำลีอุดทวารและห่อศพให้ เมื่อขอให้ห่อศพให้น้องคิม เจ้าหน้าที่กลับแสดงความไม่พอใจและกล่าวว่า ทำไมไม่เตรียมมาเอง เมื่อตนจัดการบำเพ็ญกุศลศพน้องคิมจนเรียบร้อย ได้กลับไปขอพบกับหมอคนรักษาอีกครั้ง แต่ไม่ได้พบแม้แต่ครั้งเดียว

"ดิฉันไปร้องเรียนทางรายการร่วมมือร่วมใจ หมอใหญ่ที่ดูแลหมอที่รักษาก็ติดต่อเข้ามา และแจ้งสาเหตุที่น้องคิมเสียชีวิตว่า เด็กมีโอกาสเป็นไส้ติ่งอักเสบได้น้อยมากเพียง 1-3 เปอร์เซ็นต์ของคนที่ป่วยเป็นไส้ติ่งอักเสบทั้งหมด จากนั้นก็ได้รับการติดต่อจากผอ.ร.พ.ศิริราช ผอ.แจ้งว่า ขอโทษ ขอให้ยุติเรื่อง ดิฉันจึงทำหนังสือร้องเรียนถึงแพทยสภา โดยแพทยสภารับเรื่องไว้และเชิญมาให้ข้อมูลหลังจากน้องคิมเสียชีวิต 3 เดือน แต่เรื่องก็เงียบหายไป ดิฉันเข้าปรึกษาสภาทนายความ ซึ่งสภาทนายความให้ความช่วยเหลือจัดหาทนายให้ และทำเรื่องฟ้องร้องเป็นคดีแพ่ง ฟ้องร้องค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจำนวน 5 ล้านบาท" นางศิริวรรณ กล่าว

นางศิริวรรณ กล่าวด้วยว่า ทางทนายแจ้งว่าต้องมีค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดจำนวน 125,000 บาท แต่ตนไม่มีเงิน จึงร้องขอให้ไต่สวนอนาถา ซึ่งศาลแจ้งว่าพิจารณาแล้วแต่ยังต้องเสียเงินค่าธรรมเนียมศาลจำนวน 50,000 บาท และให้เวลา 15 วันหาเงินมาชำระค่าธรรมเนียมศาล ตนไม่มีเงิน เพราะเป็นพนักงานธรรมดา สามีก็ทิ้งไปเพราะคิดว่าน้องคิมเสียชีวิตเพราะตนพาไปร.พ.ศิริราช ทั้งยังมีภาระต้องเลี้ยงดูบุตรชายคนเล็กอายุ 2 ขวบ และมารดา รวมทั้งทวดอีก แต่เมื่อจำเป็นต้องหาเงินชำระค่าธรรมเนียมศาล เพื่อให้การดำเนินคดีกับหมอและร.พ.ศิริราชดำเนินต่อไป จึงตัดสินใจหาทางออกด้วยการขายไต เพื่อหาเงินมาดำเนินการเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จ

"ดิฉันหมดหนทางแล้ว จึงคิดจะขายไต ทั้งที่ไม่รู้ว่าผิดหรือถูกกฎหมาย เพื่อหาเงินให้ได้ 50,000 บาทไปเป็นค่าธรรมเนียมศาล เพราะไม่อยากให้ลูกต้องตายแบบนี้ พรุ่งนี้ก็จะครบกำหนดที่ศาลให้นำเงินไปชำระแล้ว แต่ดิฉันคงต้องทำเรื่องขอยืดระยะเวลาออกไปอีก หากมีใครต้องการไต ดิฉันยินดีขายแน่นอน" นางศิริวรรณ กล่าว

ที่มา : นสพ.ข่าวสด
โดย: ขายทุกอย่าง [28 ก.พ. 54 1:02] ( IP A:58.8.14.114 X: )
ความคิดเห็นที่ 3
   ร้อง"ปวีณา"ลูกชายถูกหมอเมินจนไส้ติ่งแตกตาย "รอง ผอ.รพ.พิจิตร" ยันไม่เคยทอดทิ้งคนไข้วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 เวลา 08:00:33 น.
Share

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 25 กุมภาพันธ์ นางสมัย พิมพ์อักษร อายุ 39 ปี อยู่บ้านเลขที่ 92 หมู่ 7 ต.ดงประคำ อ.เมือง จ.พิจิตร ได้เดินทางมาที่มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี 84/14 หมู่ 2 ถนนรังสิต-นครนายก (คลอง 7) ตำบลลำผัก *** ด อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี ร้องเรียนขอความเป็นธรรม กรณีที่ ดช.ธนกฤต พิมพ์อักษร อายุ 9 ขวบ บุตรชายของตนเอง มีอาการปวดไส้ติ่งอย่างรุนแรงจนต้องพาไปโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดพิจิตร แต่แพทย์และพยาบาลกลับไม่สนใจจนกระทั่งลูกชายไส้ติ่งแตกตาย


นางสมัยกล่าวว่า ทางโรงพยาบาลได้รับตัวน้องกายเข้าห้องฉุกเฉินตั้งแต่เวลาประมาณ 13.50 น. แต่รอนานมากก็ยังไม่มีใครมาดูแลให้แต่น้ำเกลือเท่านั้น จากนั้นจึงนำบุตรชายของตนไปอยู่ที่ตึกเด็กเพื่อรอหมอมาตรวจขณะที่บุตรชายคงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลาถึง 2-3 ชั่วโมง เพิ่งจะมีหมอมาดูอาการ แต่หมอที่มาตรวจกลับทำแค่คลำดูท้องของน้องกาย และบอกว่า อาการอย่างนี้ไม่น่าจะเป็นไส้ติ่ง คนไข้คนนี้ผิดปกติมากไม่น่าจะเป็นไส้ติ่ง หลังจากนั้นหมอก็กลับไปแล้วตนยังอยู่กับลูกตลอด



นางสมัยเล่าทั้งน้ำตาว่า น้องกายเริ่มมีอาการปวดท้องมากขึ้นและนอนดิ้นทุรนทุรายขอความช่วยเหลือจากหมอ จากนั้นหมอก็ได้โทรศัพท์ไปเรียกพยาบาล มารุมล้อมตัวน้องกายจับมัดแขน มัดขา ใส่สายออกซิเจน ต่อสายยางเข้าปากและจมูก หลังจากนั้นนางพยาบาลได้เข็นเตียงไปอีกห้องที่ไม่มีคนไข้อื่น และวัดความดันของน้องกายพร้อมกับดันตัวของตนออกมา แต่ตนได้แอบดูลูกอยู่ตลอดเวลาด้วยความเป็นห่วง กระทั่งน้องกายหมดสติพยาบาลก็นำไปที่ห้องไอซียู ประมาณ 20 นาที พยาบาลก็เรียกตนไปบอกว่าเด็กเสียแล้ว และบอกว่าตายเพราะติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างรุนแรง"


นางสมัยกล่าวอีกว่า ต้องการขอความช่วยเหลือและความเป็นธรรมให้กับบุตรชายและอยากทราบว่าเพราะสาเหตุใดลูกชายของตนถึงต้องตาย จึงเข้าร้องต่อมูลนิธิปวีณา ซึ่งทางมูลนิธิได้ส่งศพไปตรวจที่ รพ.พิษณุโลก จึงทราบว่าบุตรชายเป็นไส้ติ่งแตกตาย

ต่อมานางปวีณา นำนางสมัยเข้าพบ พล.ต.ต.ทวีชัย วิริยะโกศล รองผู้บัญชาการภาค 6 และ ผกก.สภ.เมืองพิจิตร แจ้งความดำเนินคดีเอาผิดต่อโรงพยาบาลพิจิตรและขอความเป็นธรรมให้การช่วยเหลือคดีดังกล่าว โดยพนักงานสอบสวนเชิญน.พ.วิริยะ เอี้ยวประเสริฐกุล รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลพิจิตร และน.พ.เสรี วุฒินันชัย แพทย์เชี่ยวชาญกุมารเวชกรรม เข้าให้ข้อมูลสาเหตุการเสียชีวิตว่าแพทย์ยังไม่แน่ชัดว่าป่วยด้วยโรคไส้ติ่งอักเสบ ซึ่งอยู่ระหว่างรอดูอาการ และรักษาตามขบวนการทางการแพทย์ เด็กมีอาการติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างรุนแรง จึงให้ยาระงับรุนแรง โดยไม่ได้มีในส่วนการเสียชีวิต ซึ่งโรงพยาบาลพิจิตรยอมรับขบวนการทางการรักษาผิดพลาดไม่มีเจตนากระทำความรุนแรงต่อผู้ป่วยแต่อย่างใด และเป็นขบวนการพยามช่วยเหลือผู้ป่วยให้รอดชีวิตมากกว่า รวมทั้งยืนยันการตายของด.ช.ธนกฤตไม่เกี่ยวกับการใช้ผ้าอุดปาก จมูก และจรรยาบรรณของแพทย์พยาบาลจะไม่กระทำทำแบบนั้น ซึ่งโรงพยาบาลจะตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม โรงพยาบาลจะให้การช่วยเหลือด้านจากเงินกองทุนผลกระทบจากการบริการทางการแพทย์สาธารณสุข 2 แสนบาทและช่วยเหลือด้านอื่นๆ เพิ่มเติมอันสมควร อย่างไรก็ตาม ประธานมูลนิธิได้นำนางสมัย แจ้งความลงบันทึกประจำวันต่อพนักงานสอบสวน ข้อหาทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตายแก่พยาบาลดังกล่าว ซึ่งมูลนิธิจะรอผลตรวจสอบการเสียชีวิตและการสอบพยานหลักฐานเพื่อให้การช่วยเหลือมารดา ด.ช.ธนกฤตต่อไป

น.พ.วิริยะกล่าวว่า การร้องเรียนของญาตผู้ตายน่าจะเป็นการเข้าใจผิด ซึ่งเด็กมีอาการติดเชื้อในกระแสเลือด และอาการทรุดตัวลงรวดเร็วมาก และเสียชีวิตในเวลาต่อมา

"ญาติติดใจเรื่องการใช้ผ้าปิดปากปิดจมูก และทำร้ายร่างกายนั้น ช่วงที่เด็กมีอาการเพ้อและดิ้น แพทย์พยาบาลช่วยกันยึดตัวเด็กบเตียง เพื่อป้องกันตกจากเตียง ส่วนการใช้ผ้าปิดปากเพราะเด็กถ่มน้ำลายออกมาตลอดเวลา จึงต้องใช้ผ้าปิดปาก คงไม่มีแพทย์พยาบาลคนไหนอยากทำร้ายคนไข้ ที่สำคัญแพทย์ไม่อยากให้คนไข้ของตนเองเสียชีวิต ส่วนการช่วยเหลือได้คุยกับครอบครัวญาติในเบื้องต้น เนื่องจากจะได้รับเงินช่วยเหลือประมาณ 2 แสนบาทจากได้รับผลกระทบจากการให้บริการทางด้านสาธารณสุข ตามมาตรา 40 เนื่องจากมีบัตรทอง ส่วนการช่วยเหลือด้านอื่นๆ ต้องมีการช่วยเหลือกันต่อไป ทางเราไม่ได้ทอดทิ้งอยู่แล้ว" น.พ.วิริยะ กล่าว
โดย: พวกอีโก้สูงไม่ค่อยเชื่อคนส่งต่อ [28 ก.พ. 54 20:47] ( IP A:58.8.5.70 X: )
ความคิดเห็นที่ 4
   ดูเรื่องแล้วจะเห็นว่าตายแบบเดียวกันเลย
โดย: ตายแหงแก๋ [28 ก.พ. 54 20:47] ( IP A:58.8.5.70 X: )
รายละเอียด :
ชื่อ / e-mail :    แทรกไอคอนน่ารักๆในข้อความ
e-mail :
ส่งอีเมลทุกครั้งที่มีการตอบกระทู้       (ใส่ Email เมื่อต้องการให้ส่ง Email เมื่อมีคนมาโพสในกระทู้)
รูปประกอบ :
.jpg .bmp .gif < 100K
จัดตำแหน่งรูป :
ชิดซ้าย
กึ่งกลาง
ชิดขวา
เสียงประกอบ : .wav .mp3 .wma .ogg < 300K
คลิปวีดีโอ (Youtube) :
ตัวอย่าง : http://www.youtube.com/watch?v=k_ufqno7NaE


CAPTCHA code



คลิกที่นี่เพื่อกลับหน้าบ้าน