ศาลสั่งโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ชดใช้เงิน 12 ล้านบาท
   ศาลสั่งโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ชดใช้เงิน 12 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 คดีน้องซายพิการขณะเป็นทารกในครรภ์ โดยแพทย์ไม่อธิบายและแจ้งให้ครอบครัวผู้เสียหายทราบ แต่ปล่อยให้ตั้งท้องลูกพิการ ขณะที่ "วอลเตอร์ ลี" บิดาน้องซายดีใจที่ได้รับการเยียวยารักษา

วันนี้ (25 ธ.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 29 ศาลจังหวัดพระโขนง เมื่อเวลา 09.00 น. ศาลนัดอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ พ.8964/2550 ที่ นางประภาพร แซ่จึง อายุ 36 ปี และ ด.ช.ซาย เค่อ ลี หรือน้องซาย อายุ 3 ปี บุตรชาย เป็นโจทก์ที่ 1 และ 2 ยื่นฟ้อง บริษัทโรงพยาบาลบำรุงราษฏร์ จำกัด (มหาชน) , นายแพทย์เดชะพงษ์ ภู่เจริญ แพทย์สูตินารีเวช และ แพทย์หญิงอรชาติ อุดมพาณิชย์ แพทย์รังสีวิทยา เป็นจำเลยที่ 1 – 3 เรื่องละเมิด เรียกค่าเสียหายจำนวน 390,966,293 บาท กรณีเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 49 นางประภาพร ภรรยาของ นายวอลเตอร์ ลี อายุ 44 ปี สัญชาติมาเลเซีย พิธีการายการอาหาร “@ 5 dairy” ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 5 ไปคลอด น้องซาย ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ปรากฎว่าเด็กออกมามีความพิการแขนขวาและขาทั้งสองข้างขาด ทั้งที่ก่อนหน้านั้นแพทย์ทั้งสองคนในคดีนี้ ระบุผลอัลตราซาวนด์ว่าบุตรในครรภ์ของ นางประภาพร สมบูรณ์และแข็งแรงดี

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่ามีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 – 3 มีการกระทำการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า มูลเห็นที่โจทก์นำคดีมาฟ้องนั้น มาจากการอัลตราซาวนด์ ที่จำเลยที่ 2 – 3 ไม่ได้ตรวจดูถึงความพิการของน้องซาย โจทก์ที่ 2 ขณะอยู่ในครรภ์ ทั้งที่จำเลยที่ 2 – 3 ต้องบอกกล่าวให้โจทก์ทราบ เมื่อวันที่ 9 พ.ค.49 ขณะที่โจทก์ตั้งครรภ์ได้ 4 – 5 เดือน จำเลยที่ 2 ส่งตัวโจทก์ไปให้จำเลยที่ 3 ตรวจอัลตราซาวนด์ ใช้เวลาตรวจนาน 5 – 10 นาที จำเลยที่ 3 ระบุว่าบุตรในครรภ์สมบูรณ์ดีทุกประการ ก่อนส่งตัวโจทก์กลับไปพบกับจำเลยที่ 2 หลังจำเลยที่ 2 ดูภาพอัลตราซาวนด์แล้ว บอกแก่โจทก์ว่า ยินดีด้วยที่ได้บุตรชาย และเด็กสมบูรณ์ดี หลังจากนั้นไม่มีการตรวจซ้ำอีก แต่ไปพบแพทย์เพื่อตรวจการเต้นของหัวใจเท่านั้น จนกระทั่งบุตรคลอดออกมาแล้วมีความพิการ แขนขวา และขาทั้งสองข้างขาด ไม่มีเบ้าสะโพก ขณะที่จำเลยที่ 2 เบิกความว่า หลังการอัลตราซาวนด์ ได้แนะนำให้โจทก์กลับมาทำอัลตราซาวนด์ เพื่อดูความเจริญเติบโตของทารกในครรภ์อีกครั้ง แต่โจทก์ไม่ทำ โดยรู้สึกเห็นใจต่อโจทก์ ส่วนจำเลยที่ 3 เบิกความว่า ได้รับมอบหมายให้ตรวจอัลตราซาวนด์ในระดับที่ 1 พบว่ามีการเจริญเติบโตตามปกติ แต่รู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างยิ่ง

ศาลเห็นว่าจากบันทึกเวชระเบียนของโจทก์ ตั้งแต่วันที่ 20 ก.พ.49 กระทั่งคลอดบุตร ไม่ปรากฏว่ามีการระบุให้โจทก์กลับมาอัลตราซาวนด์ซ้ำ รวมถึงไม่ระบุถึงความพิการของทารกในครรภ์ ฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่เคยอธิบาย ผลดี ผลเสีย ของบุตรในครรภ์ให้โจทก์ทราบ ดังนั้นโจทก์จึงไม่ทราบถึงความพิการของทารกในครรภ์ ทั้งที่จำเลยที่ 2- 3 ควรตรวจถึงความพิการของทารกในครรภ์ เพื่อแจ้งให้โจทก์มีสิทธิที่จะตัดสินใจว่าจะรักษาอย่างไร หรือจะรักษาหรือไม่ ซึ่งแพทย์มีหน้าที่บอกอธิบายวิธีการรักษา โดยให้ผู้ป่วยรับทราบและยินยอม การกระทำของจำเลยที่ 2 – 3 จึงต้องรับผิดฐานประมาทเลินเล่อละเว้นหน้าที่ที่ต้องระวัง จำเลยที่ 2 – 3 ทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง อีกทั้งการยุติครรภ์ในกรณีที่ไม่ขัดศีลธรรมสามารถทำได้ตามมติของแพทยสภา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตัวผู้ป่วย และคำแนะนำของแพทย์ และจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 – 3 ด้วย ในฐานะเป็นคู่สัญญากับโจทก์โดยตรง

มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสามต้องรับผิดเพียงใด ศาลกำหนดค่าเสียหายที่จำเลยทั้งสามต้องร่วมกันชดใช้ให้แก่โจทก์ทั้งสอง แบ่งเป็นค่าเสียหายทางจิตใจของโจทก์ที่ 1 จำนวน 1 ล้านบาท ค่าเสียหายจากการขาดรายได้ของโจทก์ที่ 1 จำนวน 1 ล้านบาท ค่าจ้างคนเลี้ยงดูน้องซาย จำนวน 3 ล้านบาท ค่าอุปกรณ์ที่ช่วยให้น้องซาย สามารถพยุงตัวยืนได้ ที่ต้องเปลี่ยนไปตามวัย จำนวน 5 ล้านบาท ค่ารักษาผ่าตัดในอนาคตจำนวน 1 ล้านบาท ค่ารักษาทางจิตใจต่อน้องซาย โจทก์ที่ 2 จำนวน 1 ล้านบาท สำหรับค่าสินไหมทดแทนที่ศาลกำหนดนั้นไม่เต็มจำนวนตามที่โจทก์ฟ้อง เนื่องจากการกระทำการละเมิดของจำเลยทั้งสาม ไม่ได้มีเจตนาร้าย ไม่ได้ส่อไปในทางเป็นอาชญากรรม จึงให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้เงินรวมจำนวน 12 ล้านบาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 นับตั้งแต่วันฟ้อง

ด้านนายวอลเตอร์ ลี กล่าวว่า ต้องไปปรึกษากับทนายความและครอบครัวอีกครั้งว่าจะยื่นอุทธรณ์หรือไม่ วันนี้ดีใจที่สิทธิของคนไข้ได้รับการเยียวยารักษา หลังเกิดเหตุการณ์นี้กับครอบครัว จึงได้พาน้องซาย ไปรักษาตัวที่ประเทศเยอรมัน หลังจากแพทย์ในประเทศต่างพูดตรงกันว่าต้องรอให้เด็กโตก่อนจึงจะรักษาได้ ทั้งที่ความจริงแล้วเมื่อเกิดปัญหาขึ้น สามารถแก้ไขปัญหานั้นได้ในทันที เช่นเดียวกับกรณี น้องซาย ที่แพทย์ประเทศเยอรมัน สามารถทำขาเทียม ทั้งที่น้องซาย ยังไม่มีเบ้าสะโพก แม้จะหมดเงินไปนับล้านบาทก็ตาม แต่ตนเห็นว่าวัสดุอุปกรณ์ที่ให้การรักษาผู้ป่วยที่พิการตั้งแต่แรกคลอดนั้น ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะสร้างขาเทียมสำหรับเด็กแรกคลอดที่ช่วยในการพยุงตัวได้ในราคาถูกกว่า ที่ผ่านมาได้ขอความร่วมมือจากแพทย์ประเทศเยอรมัน ให้เดินทางมาให้ความรู้กับแพทย์คนไทย โดยทางแพทย์ทางเยอรมัน ยินดีที่จะสอนให้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ทางมูลนิธิซาย มูฟเม้นท์ จึงเป็นเหมือนสะพานเชื่อมระหว่างแพทย์ไทยให้ได้เรียนรู้การรักษาจากแพทย์ของประเทศเยอรมัน เชื่อว่าจะเกิดประโยชน์ต่อเด็กพิการตั้งแต่กำเนิดอีกจำนวนมากในประเทศ
โดย: รายต่อไปราชวิถีหรือเปล่า [25 ธ.ค. 52 15:20] ( IP A:58.8.9.83 X: )
Add to Facebook  Add to Twitter  Add to Multiply  Add to Google  Add to Blogger  Add to Live
ความคิดเห็นที่ 1
   ข่าวสด
จำนวนคนอ่านล่าสุด 1040 คน
วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552 เวลา 13:07 น. ข่าวสดออนไลน์


ฟ้องหมอราชวิถีสั่งจ่ายยาอันตรายทำลูกพิการตลอดชีวิต


เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 16 ธ.ค. น.ส.ภิญญาวาส โยธี อายุ 33 ปี อดีตแม่บ้านบริษัท แมพพ้อยท์เอเชีย จำกัด อยู่บ้านเลขที่ 73/4 ซ.ราชปรารภ ถ.ราชปรารภ แขวงมักะสัน เขตราชเทวี ได้พา ด.ช.เชาวรินทร์ อ่องประเสริฐ หรือ “น้องแชมป์” อายุ 1 ขวบ 5 เดือน พร้อมด้วย นายไพฑูรย์ ศิริพัฒน์ อายุ 32 ปี ทนายความประจำเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ ได้เข้าแจ้งความกับ ร.ต.ท.เกษม พิพิธกุล พงส.(สบ.1) สน.พญาไท ให้ดำเนินคดีกับแพทย์โรงพยาบาลราชวิถี 2คน ในข้อหาทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้บุตรชายที่เกิดมาต้องพิการไปตลอดชีวิต



น.ส.ภิญญาวาส กล่าวว่า ตนป่วยเป็นโรคลิ่มเลือดอุดตันในเส้นเลือดที่ขาซ้าย โดยได้รับการรักษาที่ รพ.มิชชั่น ตามสิทธิ์ประกันสังคม โดยแพทย์ได้ให้รับประทานยา ”วอฟาริน” ซึ่งเป็นยาละลายลิ่มเลือดอย่างต่อเนื่อง ต่อมาเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 50 ตนตั้งครรภ์น้องแชมป์ ทาง รพ.จึงได้ส่งตัวไปรักษาต่อที่ รพ.ราชวิถี เพื่อฝากครรภ์และรักษาโรคลิ่มเลือดควบคู่กันไปด้วย โดยทางแพทย์ที่ทำการรักษาตนที่ รพ.มิชชั่น ได้ให้คำแนะนำว่า ควรจะเปลี่ยนยาจากทานเป็นยาฉีดแทน เนื่องจากการกินยาชนิดนี้ระหว่างการตั้งครรภ์อาจมีผลกระทบต่อเด็ก



น.ส.ภิญญาวาส กล่าวต่อไปว่า เมื่อมารักษาที่ รพ.ราชวิถี ทางแพทย์กลับจ่ายยาตัวเดิมให้มาอีก ตนจึงได้ทักท้วงไป เพราะอ่านจากเอกสารกำกับยาว่า ห้ามใช้ในคนท้อง แต่ทางเภสัชกรที่จ่ายแจ้งว่า ทางแพทย์ยืนยันว่า ให้จ่ายยาตัวนี้ให้กับตน ต่อมาตนได้สอบถามไปยังทางแพทย์ที่ทำการรักษา โดยทางแพทย์ก็ยังยืนยันว่า ตนสามารถทานยาดังกล่าวได้ ไม่มีอันตราย เนื่องจากอายุครรภ์ของตน 5 เดือนแล้ว และเด็กได้สร้างอวัยวะครบหมดแล้ว จนกระทั่งอีก 2 เดือนต่อมา ตนรู้สึกว่า เด็กในท้องไม่ดิ้นตามปรกติ จึงได้ไปพบแพทย์เพื่อทำการอุลตร้าซาวด์ ต่อมาอีก 4-5 วัน ทางแพทย์ได้นัดตนไปพบ และทำการอุลตร้าซาวด์อีกครั้ง ก่อนจะแจ้งว่า เด็กมีอาการผิดปรกติ มีน้ำท่วมแกนสมอง จนแกนสมองเหลือน้อยมาก และแพทย์ยังแจ้งอีกว่า หากคลอดออกมาอาจจะไม่ได้เลี้ยงด้วย ตนจึงได้สอบถามไปว่า เกี่ยวกับการทานยาวอฟารินใช่หรือไม่ ทางแพทย์ตอบว่า ยังไม่สามารถระบุได้ จนอีก 1 อาทิตย์ถัดมา ทาง รพ.ได้ให้ตนกลับไปทำอุลตร้าซาวด์แบบ 4 มิติ เพื่อตรวจสอบความผิดปรกติของทารกในครรภ์ ผลออกมาพบว่า มีเลือดออกที่เนื้อสมองเด็ก โดยเป็นผลกระทบมาจากยาวอฟารินที่แพทย์สั่งให้ทาน ตนจึงได้ติดต่อไปทางแพทย์ที่ทำการรักษาโรคลิ่มเลือด แต่กลับไม่ได้รับความสนใจ โดยให้เพียงนักศึกษาแพทย์มาสอบถามข้อมูลไปเท่านั้น แถมยังสั่งยาตัวที่มีปัญหามาให้ทานอีก จนกระทั่งน้องแชมป์คลอดออกมาก็มีอาการผิดปรกติ คือ น้องแชมป์ไม่สามารถหายใจเองได้ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ กะโหลกปิดไม่สนิท มีเลือดออกที่เนื้อสมอง และเนื้อสมองเหลือน้อยมาก ปัจจุบันน้องแชมป์อายุได้ 1 ขวบ 5 เดือน ตามองไม่เห็น หูก็ไม่ได้ยินเสียงทั้ง 2 ข้าง ไม่มีพัฒนาการใดๆ เปรียบเสมือนก้อนเนื้อที่มีชีวิตเท่านั้น



น.ส.ภิญญาวาส กล่าวต่ออีกว่า วันนี้ตนจึงตัดสินใจมาร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีอาญากับทางสูตินารีแพทย์ของ รพ.ราชวิถี ที่ตนฝากครรภ์ด้วย และแพทย์หญิงอีก 1 คน ที่ทำการรักษาโรคลิ่มเลือด โดยตลอดเวลาที่ผ่านมาตนไม่เคยพบแพทย์หญิงดังกล่าวเลย มีเพียงแพทย์ฝึกหัดมาด้วยเท่านั้น โดยที่แพทย์หญิงเป็นคนเซ็นต์สั่งยาให้เท่านั้น ทั้งนี้หลังเกิดเหตุตนได้ร้องเรียนไปหลายหน่วยงาน ทั้งแพทย์สภา และผู้ตรวจการรัฐสภา แต่ก็ไม่ข้อสรุป นอกจากนี้ เมื่อตนไปขอประวัติการรักษากับทาง รพ. ก็ได้รับการปฏิเสธ ตนจึงได้เดินทางมาแจ้งความด้วยตนเอง ทั้งนี้ไม่ได้มุ่งหวังเรื่องค่าเสียหายแต่อย่างใด ตนต้องการให้เกิดความยุติธรรมกับตนเท่านั้น



น.ส.ภิญญาวาส กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับ รพ.ราชวิถี เมื่อปี 45 ตนเคยมาคลอดลูก ขณะนั้นเด็กมีอาการผิดปกติ คือ ไม่กลับหัว ตนได้แจ้งให้แพทย์ทราบ และขอให้ทำการผ่าตัดด่วน แต่ทางแพทย์กลับไม่ยอม และยืนยันให้คลอดด้วยตนเอง โดยระหว่างที่นอนรอคลอด ทางแพทย์ได้พานักศึกษาแพทย์มาดูเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งตนปวดท้องมาก จึงได้แจ้งกับแพทย์อีกครั้ง และแพทย์ได้ทำการผ่าตัด แต่ปรากฏว่า ลูกของตนเสียชีวิตเนื่องจากการขาดอากาศหายใจ ซึ่งครั้งนั้นทาง รพ.ยอมรับผิด และรับผิดชอบ จนกระทั่งมาเกิดเรื่องครั้งนี้ขึ้นอีก



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสอบสวนข้อเท็จจริงทางฝ่ายผู้ร้องเรียนเอาไว้ และจะต้องสอบปากคำแพทย์ที่ถูกฟ้อง ร้องก่อนจะส่งเรื่องไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ เช่น แพทย์สภา ให้ตรวจสอบขั้นตอนการรักษาของแพทย์ทั้ง 2 รายว่า เป็นการรักษาตามมาตราฐานปร
โดย: Fvh]yjo]hk [25 ธ.ค. 52 15:23] ( IP A:58.8.9.83 X: )
ความคิดเห็นที่ 2
   ต่อไปการตรวจและบันทึกข้อมูลของแพทย์ ก็จะมีความระมัดระวังมากขึ้น ละเอียดขึ้น
(แลกกับการที่ต้องใช้เวลามากขึ้น จนต้องตรวจคนไข้ได้น้อยลงต่อวัน ต้องรับเสียงก่นด่า ก็ถือว่าคุ้ม)
โดย: จริงๆ นะ [25 ธ.ค. 52 17:08] ( IP A:58.8.84.125 X: )
ความคิดเห็นที่ 3
   ผมบอกว่าคำแก้ตัวในข้อ 3 ก็ยังรับฟังว่าแก้ปัญหาได้ยากเต็มที
คนสอบได้ที่ 1 ทำข้อสอบเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ ขณะที่คนสอบได้ไม่ดีทำจนหมดเวลาก็ยังผิดเยอะกว่า มีน (MEAN)
เวลาศาลลงโทษ ก็ลงโทษว่าคุณทำได้แย่กว่ามีน ก็ผิด
คนหั่นแตงกว่า หรือหั่นหมูแดงทุกวัน ทำเดี๋ยวก็เสร็จ เรียบ สวยด้วย
แต่คนหันนานนานหั่นที หั่นไม่สวยและยังหั่นมือตัวเอง เสียเวลาด้วย
การแก้ปัญหาความผิดพลาดทางการแพทย์ ไม่ใช่ว่าใช้เวลามากๆจะแก้ได้ การตรวจคนไข้น้อยก็จะไม่ชำนาญ เห็นน้อย ก็มีปัญหาอีก
ทางแก้มี แต่ถ้าไม่ละทิฐิ ก็คงแก้ปัญหาได้ยาก
แต่ไม่ผิดเลยคงไม่ได้ ควรผิดได้เท่าที่ควรผิดได้ และไม่ต้องจ่ายเอง สำคัญกว่า
โดย: ฟฟ [25 ธ.ค. 52 22:14] ( IP A:58.8.212.219 X: )
ความคิดเห็นที่ 4
   ดีใจกับน้องซายและครอบครัว
ที่ได้รับความเป็นธรรมในที่สุด
โดย: เครือข่ายฯ [26 ธ.ค. 52] ( IP A:58.9.203.225 X: )
ความคิดเห็นที่ 5
   reply 4 ถูกใจหลายคนครับ
โดย: เจ้าบ้าน [26 ธ.ค. 52 14:31] ( IP A:58.10.90.166 X: )
ความคิดเห็นที่ 6
   ฟ้ายังมีตา
ยังไงก็คิดว่า ความยุติธรรมยังมีอยู่จริง
ดีใจกับคดีนี้ด้วยค่ะ
โดย: จีเอ็น [27 ธ.ค. 52 11:57] ( IP A:112.142.0.174 X: )
ความคิดเห็นที่ 7
   ยินดีกับครอบครัวน้องซายด้วยครับ ขอเป็นกำลังใจให้สู้ชีวิตต่อไป....
โดย: คนเสียแม่ [28 ธ.ค. 52 9:24] ( IP A:202.29.9.9 X: )
ความคิดเห็นที่ 8
   ฟฟ หั่นไข่
โดย: สบายกว่า [1 ม.ค. 53] ( IP A:115.67.180.108 X: )
ความคิดเห็นที่ 9
   ผมทำผ่าตัดหั่นไข่ เก็บเงิน 5000 บาท
มีหมอที่อุดร คิดเพียง 3000 บาท
ในขณะที่หมอและโรงพยาบาลดังๆในกรุงเทพ คิด 5 หมื่นถึง แสนสอง
การผ่าตัด ให้ทั้งยานอนหลับ ยาสลบ และต้องระวังทั้งการตกเลือดเสียเลือด ติดเชื้อ ไม่ง่ายหรอก ยังต้องระวัง vagal reflex อีก
ทำจมูก ทำตา สบายกว่าเยอะ ราคา 12000-8000 บาท เพียงแต่เห็นว่าทำไมการให้บริการสาวประเภทสองหรือกระเทย มันจึงมีปัญหามากนัก
ผมทำผ่าตัดเก็บแค่ 5000 บาท แต่พวกนี้ก่อนผ่าตัดเขากินยาเฉพาะ ยาต้านฮอร์โมนเพศชาย เดือนหนึ่งก็ 1500 บาท และยังมีพิษต่อตับต้องเจาะเลือดตรวจทุกเดือน ผ่าตัดปลอดภัยและถูกว่ากินยาได้ผลดี 100 % เมื่อเทียบกับกินยาซึ่งต้องกินทุกวัน มีน้อยคนจะกินได้ทุกวัน
ผมทำอะไรก็มักจะมีปัญหาตลอด ตั้งแต่การทำคลินิก โฆษณา เลเซ่อร์ ก็โดนด่า โดนเขียนบทความโจมตี ออกสื่อ แต่เรื่องแบบนี้ ผมไม่ค่อยวอรี่เท่าไหร่ เพราะผู้บริโภคสมัยนี้เขาฉลาดพอและการมีอินเตอร์เน็ท ทำให้เขารับข้อมูลดีขึ้น ติดต่อสื่อสารกันได้ดีขึ้น
คนที่กล่าวหากลั่นแกล้งเขาไม่มีทางชนะในยุคอินเตอร์เน็ท ผมเชื่ออย่างนั้น การทำมาหากินจะเจริญได้ในยุคนี้ ต้องทำสิ่งที่เขาต้องการและเป็นประโยชน์กับเขา ในราคายุติธรรม และรับผิดชอบจึงจะอยู่ได้นาน การกลั่นแกล้งกันจะทำได้ลำบากขึ้น
คนที่ทำไม่ได้แบบนี้ ก็ต้องเจ๊งไป หากยังไม่เจ๊ง ยังร่ำรวยเจริญได้ ก็แสดงว่ายังมีการหมกเม็ด เช่นซื้อสื่อ ยัดใต้โต๊ะ แจกถุงขนม
ส่วนพวกหนึ่งก็เอาตัวไม่รอด เกาะราชการกิน ทำงานเช้าชามเย็นชาม แล้วปากก็ดีแต่เห่าด่าคนอื่น ข้าราชการดีดี ไม่เกี่ยว
ผมเคยมีเพื่อนด่าผมว่า ไอ้ ห่า เปิดคลินิกหาแต่เงิน ผมก็บอกว่า ลองดูไหมเองกะข้า ลาออกอยู่บ้านเลี้ยงลูก ถามว่าชาวบ้านเดือดร้อนไหม
เองลาออกจากราชการ พรุ่งนี้มีคนเข้ารับราชการได้อีก 1 คน คนไข้ไม่เดือนร้อนหรอก เพราะทุกวันนี้ ก็เดือดปุดๆอยู่แล้ว
ข้าลาออก ลูกน้องตกงาน 10 คน เซลขายยาขายได้น้อยลง โฆษณาขายไม่ออก ชาวบ้านไม่รู้จะไปหาหมอผ่าตัดฝีมือดี ประสบการณ์เยอะที่ไหนให้เขารับใช้ งานบางอย่างเละจนใครๆก็ส่ายหัว ผมก็รับซ่อมให้
โดย: ฟฟ [3 ม.ค. 53 10:13] ( IP A:58.8.6.52 X: )
ความคิดเห็นที่ 10
   ค่าเสียหายที่ศาลสั่งมา ผมว่าไม่คุ้มนะ กับผลการรักษาระยะยาวที่จะตามมาจนกว่า "น้องซาย" จะโตเต็มที่

นี่จึงเป็นกรณีตัวอย่างที่จะแจ้งว่า ทำไมผมถึงย้ำนักย้ำหนาว่า "ต้องไม่เอาบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข" ออกจากการครอบคลุมของ กฎหมาย ป.วิ ผู้บริโภค

เพราะบรรดาหมอเจ้าของโรงพยาบาลใหญ่ๆในเครือเมดิคอลฮับสามานทั้งหลาย ต่างกลัวและไม่ต้องการรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดจากความประมาทของหมอผู้ให้บริการในกิจการของตนเอง

เข้าทำนอง เวลาคิดค่าบริการ "ก็บวกกันเต็มที่" ตามกำลังเงินของคนไข้ที่เล็งเห็นได้ แต่เวลาพลาด "ก็ไม่ยอมรับผิดชอบ"

สังเกตให้ดี โรงพาบาลใหญ่ๆเครือเมิดิคอลฮับ หรูหรามีเงินทุนหนานับพันนับหมื่นล้าน จากการทำกำไรกับเลือดเนื้อมนุษย์

แล้วเจ้าของโรงพยาบาลเหล่านี้ ต่าง เป็น หรือ มีพรรคพวก นั่งเป็นกรรมการอยู่ในแพทยสภา ในกรม/กองต่างๆของ ส.ธ. กันหน้าสะหลอนไปหมด

แล้วก็ปั้นเรื่อง + ชูธง ต้องเอา "บริการทางการแพทย" ออกจาก ป.วิ ผู้บริโภคให้ได้

ข่าวล่ามาเร็ว ถึงกับบอกว่า ร่างแก้ไข ป.วิผู้บริโภคเพื่อประเด็นนี้ เข้าไปจ่อรอคิวแก้ในสภาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เฮ้อ

สภาผัว/เมีย สภาโจรๆ นี่สมกับ แพทยสภาโจรๆซะจริงๆ ประเทศไทยเราเนี่ย โจรไฮโซ โจรใส่สูทใส่เสื้อกาวน์ ยั้วเยี๊ย เต็มบ้านเต็มเมืองไปโม๊ด เจ้าประคุณรุนช่อง
โดย: คนรู้ทัน ไม่รู้จริง [5 ม.ค. 53 10:54] ( IP A:58.8.108.188 X: )
ความคิดเห็นที่ 11
   ต้องป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น โดยตรวจให้เจอตั้งแต่อยู่ในห้อง (<- พลาดตรงนี้ เพราะตรวจแล้วไม่เจอ / เจอแล้วไม่บอก ทำให้ไม่ได้ตัดสินใจ) แล้วทำแท้งให้เรียบร้อย จึงจะป้องกันได้
โดย: T-T [5 ม.ค. 53 11:22] ( IP A:58.8.84.78 X: )
ความคิดเห็นที่ 12
    ขอคาระวะองค์คณะศาลพระโขนง ครบถ้วน ด้วยเรื่องค่าทุกข์ทรมานฯ ยอดเยี่ยม จริง ๆ สุดยอด คุณธรรม
โดย: นับถือ เคารพ [13 มี.ค. 53 17:57] ( IP A:111.84.52.23 X: )
คลิก เพื่อเปลี่ยนกลับไปแสดงความคิดเห็นแบบเดิม

ชื่อไฟล์รูปห้ามมีอักขระพิเศษ เช่น (#),(<),(>),(&) เป็นต้นค่ะ
ชื่อ / e-mail :    แทรกไอคอนน่ารักๆในข้อความ
e-mail :
ส่งอีเมลทุกครั้งที่มีการตอบกระทู้       (ใส่ Email เมื่อต้องการให้ส่ง Email เมื่อมีคนมาโพสในกระทู้)


CAPTCHA code



คลิกที่นี่เพื่อกลับหน้าบ้าน