consumer.pantown.com
Thai Iatrogenic Network รวมกระทู้เครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ <<
กลับไปหน้าแรก
จวก วิทยา ป้องหมอ-พยาบาลเสนอกฎกระทรวงให้ยาเวชภัณฑ์พ้น พ.ร.บ.ความรับผิดฯ
*
จวก วิทยา ป้องหมอ-พยาบาลเสนอกฎกระทรวงให้ยาเวชภัณฑ์พ้น พ.ร.บ.ความรับผิดฯ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 กุมภาพันธ์ 2552 08:59 น.
คคบ.อัด วิทยา มัดมือชก ป้องหมอ พยาบาล เสนอกฎกระทรวง ให้ยกเว้นยาและเครื่องมือแพทย์จาก พ.ร.บ.ความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย งง! ทำไมต้องรีบ เตือนอย่าฟังแต่กลุ่มเสียประโยชน์ ชี้ แปลกกฎหมายของสำนักนายกฯ แต่ สธ.ขอออกกฎกระทรวง ชำแหละสอดไส้ยกเลิกยาทุกชนิด ยืมมือหมอป้องบริษัทยา ชี้ มีแต่สร้างปัญหา มั่นใจ อภิสิทธิ์ ไม่เอาด้วย
นายวิทยา แก้วภราดัย
วันที่ 18 ก.พ. นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า พ.ร.บ.ความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ.2551 นั้น จะครอบคลุมถึงการจ่ายยาในทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายยาโดยแพทย์หรือเภสัชกรปรุงเองให้คนไข้ หรือการจ่ายยาของบริษัทยาตามปกติที่มีการใส่ยาใส่ซองซิบ จะได้รับผลกระทบเรื่องนี้ทั้งหมด สธ.จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวง . ออกตาม พ.ร.บ.ดังกล่าวเสนอนายกรัฐมนตรี เพื่อลงนามในฐานะรักษาตาม พ.ร.บ.นี้ ขณะนี้ร่างดังกล่าวอยู่ในการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา คาดว่า จะผ่านการพิจารณาและจะมีผลยกเว้นตามมาตรา 4 ของกฎหมายนี้
เมื่อมีกฎกระทรวงสำนักนายกรัฐมนตรี ยกเว้นยาและเวชภัณฑ์แล้ว หากมีความผิดพลาดจากจ่ายยาของบุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วยสามารถฟ้องร้องกับ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค 2551 ที่มีผลบังคับใช้อยู่แล้ว หรือหากผู้ป่วยไปซื้อยาจากร้านขายยา แล้วพบว่าได้รับผลกระทบจาการใช้ยาที่ไม่ได้มาตรฐาน ก็สามารถเอาผิดกับบริษัทยาผู้ผลิตได้โดยตรง โดยใช้ พ.ร.บ.ความรับผิดต่อความเสียหายฯ ได้ตามปกติ ไม่ได้รับการยกเว้นตามกฎกระทรวงที่ สธ.เสนอไปให้นายกรัฐมนตรีลงนาม นายวิทยา กล่าว
ทั้งนี้ สธ.ได้ส่งหนังสือเลขที่ สธ.0201.041/402 เรื่องร่างกฎกระทรวงพ.ศ.... ออกตาม พ.ร.บ.ความรับผิดต่อความเสียหาย เมื่อวันที่ 17 ก.พ.ที่ผ่านมา ถึงนายกรัฐมนตรี โดยระบุใจความว่า ตามที่ พ.ร.บ.ดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 21 ก.พ.ซึ่งมีผลกระทบต่อการให้บริการทางการแพทย์และการสาธารณสุขโดยรวม กล่าวคือ การปฏิบัติหน้าที่ของแพทย์ พยาบาล และเภสัชกร และบุคลากรด้านสาธารณสุขอื่นๆ จะได้รับผลกระทบ เนื่องจากถือเป็นสินค้าตาม พ.ร.บ.นี้ด้วย โดยมีมาตรา 4 กำหนดให้สามารถยกเว้นสินค้าที่ไม่อยู่ในบังคับของการเป็นการสินค้าโดยกำหนดในกฎกระทรวง สธ.จึงเสนอจัดทำร่างกฎกระทรวง พ.ศ...ออกตามกฎหมายนี้
ในส่วนของร่างกฎกระทรวงที่ สธ.เสนอไปให้นายกรัฐมนตรีลงนามนั้น ระบุให้ยาและเครื่องมือแพทย์ ที่ผลิตเพื่อใช้ในการป้องกันบำบัดโรค ในกรณีต่อไปนี้ ไม่เป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัย 1 ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบโรคศิลปะ ผู้ประกอบวิชาชีพทันตกรรม ผู้ประกอบโรคศิลปะสาขาการแพทย์แผนไทยประเภทเวชกรรมไทย ผู้ประกอบโรคศิลปะสาขาการแพทย์แผนไทยประยุกต์ เพื่อใช้แก่คนไข้ของตน
2.ผู้ประกอบวิชาชีพพยาบาล การผดุงครรภ์ กายภาพบำบัด เทคนิคการแพทย์ เพื่อใช้แก่คนไข้ของตน 3.ผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมตามใบอนุญาตขายยาว่าด้วยกฎหมายยา ผู้ประกอบโรคศิลปะสาขาการแพทย์แผนไทยประเภทเภสัชกรรมไทย เพื่อใช้แก่คนไข้ของตน และ 4.ผู้ประกอบวิชาชีพารสัตวแพทย์เพื่อใช้กับสัตว์ที่ตนบำบัดหรือป้องกันโรค ท้ายหนังสือ ลงวันที่ ... กุมภาพันธ์ พ.ศ.2552 และ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้นายกฯลงนามได้ทันที
รศ.ดร.ภญ.จิราพร ลิ้มปนานนท์ คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(คคบ.) สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่ นายวิทยา ระบุว่า ได้นำ พ.ร.บ.ความรับผิดต่อสินค้าไม่ปลอดภัย เข้าหารือในที่ประชุม ครม.เสนอให้ออกกฎกระทรวงสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อยกเว้นการใช้ยา และเวชภัณฑ์ โดยแพทย์ พยาบาล ไม่ให้บังคับใช้ใน พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว ลดปัญหาบุคลากรทางการแพทย์ถูกฟ้องร้อง โดยยืนยันว่า ครม.เห็นชอบด้วยนั้น เรื่องนี้มีความผิดปกติในหลายประเด็น
พูดให้ชัดๆ ก็คือ ยาทุกอย่าง เพราะใครจะใช้ยากับผู้ป่วย ถ้าไม่ใช่หมอ พยาบาล เภสัช เว้นแต่กรณีผู้ป่วยซื้อยามากินเอง เรื่องนี้จึงเป็นการสอดไส้ลงไปในกฎกระทรวง เขียนแบบครอบจักรวาล หมอ พยาบาล กลัวการฟ้องร้อง ทั้งที่ถ้าตัวเองรักษาถูกต้อง จ่ายยาถูกกับโรค ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว ถ้ายาไม่ดี ไม่มีคุณภาพ บริษัทยาต้องรับผิดชอบ แต่นี่กลายเป็นว่ายาอะไรก็ตาม ที่ผ่านมือหมอ พยาบาล เภสัช ไม่ถือเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัย ส่วนบริษัทยาได้ประโยชน์สูงสุด ไม่ต้องรับผิดชอบ รศ.ดร.จิราพร กล่าว
รศ.ดร.จิราพร กล่าวต่อว่า ประเด็นที่น่าสงสัย คือ 1.พ.ร.บ.ฉบับนี้ ที่กำลังจะมีผลบังคับใช้วันที่ 21 ก.พ.นี้ อยู่ภายใต้การดูแลของ สำนักนายกรัฐมนตรี เพราะกำกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ดังนั้น การเสนอเพิ่มเติม งดเว้น ปรับแก้ จะทำผ่าน คคบ.ที่ขณะนี้มีการเสนอให้ยกเว้น ผลิตภัณฑ์การเกษตร และยาที่ใช้ในการวิจัยทางคลินิก ซึ่งอยู่ในกระบวนการพิจารณา แต่ สธ.กลับไม่มีการเสนอเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ คคบ.แต่อย่างใด
ทำไมไม่มีการนำเรื่องนี้มาพิจารณาใน คคบ.ทั้งๆ ที่มีผู้แทนจากทุกส่วน ทั้งแพทย์ พยาบาล เภสัช ผู้บริโภค ไม่เว้นแม้ สธ.แต่กลับไม่เคยพูดถึงเลย จู่ๆ ก็มัดมือชกออกกฎกระทรวงสำนักนายกรัฐมนตรี อีกอย่างเรื่องนี้เกี่ยวกับชีวิต ความเป็นความตาย ต้องฟังความเห็นจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทำไมต้องรีบ จึงขอฝากไปถึงนายวิทยา ให้รอบคอบกว่านี้ เพราะทำงานเกี่ยวกับสุขภาพ ไม่เช่นนั้น หากรับฟังแต่กลุ่มอำนาจ กลุ่มผู้เสียประโยชน์ เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นจะตามแก้กันไม่ไหว รศ.ดร.จิราพร กล่าว
ประเด็นที่ 2 สธ.มีอำนาจในการออกกฎกระทรวงเรื่องนี้หรือ เพราะไม่ใช่กฎหมายที่หน่วยงานของตนดูแล หากรัฐบาลนี้ยอมให้ทำได้ ต่อไปจะกลายเป็นบรรทัดฐานว่า กระทรวงอื่นอยากยกเว้นอะไรในกฎหมายใดก็ได้ ประกอบกับเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่มีเอกสารเข้า ครม.และไม่ได้มีมติ ครม.ด้วยซ้ำ เพียงแต่พูดขึ้นมาลอยๆ จึงต้องตั้งคำถามว่ารัฐบาลนี้มีมาตรฐานอย่างไร 3.เนื้อความใน (ร่าง) กฎกระทรวง ขัดแย้งกับ สิ่งที่ นายวิทยา ระบุว่า จะยกเว้นเฉพาะยาที่ผสมเพื่อใช้ฉีด ไม่รวมยาที่ไม่มีคุณภาพ แต่กฎกระทรวงเขียนว่า ให้ยาและเครื่องมือแพทย์ ที่ใช้โดย ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม หมอ พยาบาล เภสัช ไม่ถือเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัย
รศ.ดร.ภญ.จิราพร กล่าวอีกว่า การอ้างว่า การให้ข้อมูลฉลาก การเอายาแบ่งใส่กล่อง ใส่ฟอยล์ จะทำให้เพิ่มต้นทุน ภาครัฐต้องรับผิดชอบมากขึ้น ต้องถามว่า เงินกับชีวิตคนอะไรสำคัญกว่า ผู้ป่วยควรทราบรายละเอียดผลกระทบของยาจากฉลากหรือไม่ เพื่อรักษาคุณภาพยาควรจัดเก็บอย่างถูกต้องหรือไม่ หรือว่าผู้ที่ร่างและเห็นชอบกับกฎกระทรวงฉบับนี้ ตีค่าชีวิตคนต่ำกว่าค่าฉลากกับฟรอยด์ห่อยา ส่วนที่อ้างว่าบุคลากรของรัฐ เช่น พยาบาล ไม่สามารถรับผิดชอบได้หากผสมยา แล้วผู้ป่วยได้รับผลกระทบ ก็หากใครไม่มีความรู้ ก็ไม่ควรผสมยา เพราะยาทุกชนิดมีสูตรเฉพาะอยู่แล้ว หากกระทำโดยผู้มีความรู้จะไม่เกิดความผิดพลาด
เรื่องยามะเร็งที่อ้างว่าหมอจะไม่สั่งยาให้คนไข้ เพราะกลัวถูกฟ้อง คนๆ นั้นก็ไม่ควรเป็นหมอ และไม่เคยมีคนไข้มะเร็งที่ไหนในโลกฟ้องร้องหมอ ก่อนรักษาหมอกับคนไข้จะคุยกันถึงผลข้างเคียงที่เกิดจากยามะเร็งอยู่แล้ว สรุปว่า กฎกระทรวงฉบับนี้ มีแต่สร้างความไม่วางใจระหว่างผู้ป่วยกับผู้ให้บริการ คนจะตั้งข้อสงสัยว่าบุคลากรทางการแพทย์กลัวอะไร ถ้าทำตามหลักวิชาชีพและความรอบคอบ ดิฉันเชื่อว่า คณะกรรมการกฤษฎีกา เข้าใจในหลักการของกฎหมายฉบับนี้ว่าเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค และคงไม่เห็นด้วยกับกฎกระทรวงดังกล่าว ส่วนนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วม คงไม่เห็นชอบกับกฎกระทรวงที่มาจากกระบวนการที่ไม่ถูกต้อง รศ.ดร.จิราพร กล่าว
ด้าน น.อ.พิเศษ นพ.อิทธพร คณะเจริญ รองเลขาธิการแพทยสภา กล่าวว่า ได้เป็นส่วนหนึ่งในการร่างข้อคิดเห็นอย่างเป็นกลางเกี่ยวกับผลกระทบของพ.ร.บ.ความรับผิดต่อสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ.2552 ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 21 ก.พ.นี้ โดยเนื้อหาเป็นข้อกังวลต่อทุกวิชาชีพทางด้านสาธารณสุข เพื่อเสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งแพทยสภาเห็นด้วย พ.ร.บ.ความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ.2551 ที่จะคุ้มครองประชาชนเกี่ยวกับยาอันตราย แต่กังวลในบางกรณีที่อาจกระทบสิทธิของประชาชนอย่างมาก ในการได้รับบริการจากแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาล ฯลฯ ที่จะให้ยาและเวชภัณฑ์ ทั้งกรณีปกติและฉุกเฉิน ว่า จะทำอย่างไรกระบวนการรักษาพยาบาลจะมีประสิทธิภาพเช่นเดิม เพราะหากได้รับผลกระทบจาก พ.ร.บ.นี้ จนเกิดความกังวลหรือไม่กล้าสั่งจ่ายยาให้การรักษาโรคที่มีความเสี่ยงสูง ท้ายสุดผลกระทบจะเกิดกับประชาชน
"ไม่เพียงแต่พยาบาลที่ทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วยแลเภสัชกรที่จัดยาให้ผู้ป่วยจะเดือดร้อนแล้วเท่านั้น แม้แต่อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) จะต้องเกี่ยวข้องด้วย เนื่องจากเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องในการจำหน่าย จ่ายแจก สินค้าที่ไม่ปลอดภัยจะต้องรับผิดชอบด้วยเช่นกัน เพราะ อสม.มีหน้าที่ในการดูแลสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ อีกทั้งยังมีการแจกยาด้วย ทั้งนี้ หากกระบวนการผลิตยามีความผิดพลาด เห็นด้วยอย่างยิ่งที่บริษัทยาจะต้องชดเชย รับผิดชอบ โดยแพทยสภาจะสนับสนุนการฟ้องร้อง อย่างไรก็ตามหากเกิดความผิดพลาดขึ้นจากบุคลากรทางด้านสาธารณสุขนั้นก็มีกฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวข้องที่รับผิดชอบอยู่ อาทิ พ.ร.บ.ประกอบวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ร.บ.ยา ฯลฯน.อ.พิเศษ นพ.อิทธพร กล่าว
น.อ.พิเศษ นพ.อิทธิพร กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ กฎหมายดังกล่าวจะมีผลกระทบกับประชาชน เพราะยาทุกชนิดถอว่าเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัย ซึ่งโดยหากยาจะเป็นสินค้าที่ปลอดภัย จะต้องมีฉลากที่ระบุ วิธีใช้ วิธีเก็บรักษา คำเตือน ซึ่งจะทำให้ยาบางฃนิดที่สั่งจ่ายอยู่ตามสถานพยาบาลไม่สามารถดำเนินการได้ จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการทำฉลาก ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงรูปแบบวิธีการให้ถูกต้องตามกฎหมายนี้จะเกิดต้นทุนสูงขึ้น ซึ่งประชาชนจะได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้น นับว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ท้ายสุดท้ายสุดภาระก็จะตกอยู่ที่ประชาชนเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทั้งนี้ ตัวแทนวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง อาทิ แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล เภสัชกร ฯลฯ จะเข้าให้ข้อมูลดังกล่าวกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในช่วงเช้าของวันที่
*
โดย: ผู้จัดการ จวกรมต [19 ก.พ. 52 11:15] ( IP A:58.8.210.45 X: )
ความคิดเห็นที่ 1
กฎกระทรวง ขัดต่อ พรบ
ฟ้องศาลได้อยู่แล้ว ไม่ต้องไปห่วง
1 ไม่พอใจ ก็ไปฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอน
2 กินยาแล้วตาย 5 ก็ไปฟ้องศาลได้ตาม พรบ นี้ เพราะข้อยกเว้น ใช้ไม่ได้
โดย: ฟฟ เดือดร้อนทำไม [19 ก.พ. 52 11:16] ( IP A:58.8.210.45 X: )
ความคิดเห็นที่ 2
ถ้าตัวเองรักษาถูกต้อง จ่ายยาถูกกับโรค ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว
^
^
...............พูดไม่ออก
โดย: 2264 [19 ก.พ. 52 11:45] ( IP A:58.8.88.237 X: )
ความคิดเห็นที่ 3
ถ้าไม่เอาออกตอนนี้ ในอนาคตจะทำให้กฎหมายล้มทั้งหมด
การคุ้มครองที่หวังในอนาคตจะไม่เกิดขึ้น
โดย: ZtahC [19 ก.พ. 52 21:19] ( IP A:58.136.56.63 X: )
ความคิดเห็นที่ 4
แพทยสภาหน้าหงาย มาร์ค ไม่เซ็นกฎกระทรวง ยกเว้นยา-เวชภัณฑ์ไม่ปลอดภัย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 กุมภาพันธ์ 2552 07:30 น.
สารี เผย หารือ อภิสิทธิ์ ยอมรับปากให้ชะลอเซ็นลงนามกฎกระทรวงยกเว้นยาและเวชภัณฑ์ ไม่เป็นสินค้าไม่ปลอดภัย ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดต่อความเสียหายสินค้าไม่ปลอดภัย พร้อมเตรียมเสนอ ครม.24 ก.พ.ร่วมตัดสิน ด้านนายกแพทยสภา หน้าหงายถูกต่อว่ากลางที่ประชุม บอกหมอไม่เดือดร้อนอะไรที่ไม่แน่ใจ ก็จะไม่รักษาให้ จวกพูดต่ำกว่ามาตรฐานวิชาชีพ
เมื่อวันที่ 19 ก.พ.ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) ในการรับฟังความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณา พ.ร.บ.ความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ.2551 โดยมีตัวแทนสภาวิชาชีพและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมให้ข้อมูล โดย น.ส.สารี อ๋องสมหวัง ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า การที่แพทยสภาพยายามเร่งให้มีการออกกฎกระทรวง เพื่อให้มีการยกเว้นยาและเวชภัณฑ์ไม่เป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัย ตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้นั้น ขอตั้งข้อสังเกตว่า พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวอาจไม่เป็นประโยชน์ต่อวิชาชีพแพทย์เลย แต่กลับเป็นประโยชน์ต่อบริษัทยา เนื่องจากบริษัทยาไม่จำเป็นต้องรับผิดในกรณีที่เป็นยาอันตราย ซึ่งคนละกรณีกับการบริการทางการแพทย์ที่มีการจ่ายยา ดังนั้น หากมีการออกกฎกระทรวงเท่ากับเป็นการคุ้มครองบริษัทยา ไม่เกี่ยวกับผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์เลย
ในการให้ข้อมูลทางสภาเภสัชกรรมก็ยังเห็นด้วยว่าไม่ควรยกเว้น เพราะกฎหมายดังกล่าวจะช่วยให้เกิดความระมัดระวังในการนำเข้ายา หรือขายยา ผู้ผลิตเองก็มีความระมัดระวังยิ่งขึ้น มีการอธิบายวิธีใช้ มีคำเตือนชัดเจน ยกระดับผู้ผลิตยาทั้งภายในและนอกประเทศ เพื่อป้องกันสินค้าไม่ปลอดภัย ขณะเดียวกัน จะช่วยคุ้มครองประชาชนจากการให้บริการทางการแพทย์ที่ ใช้ยาที่ไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะในคลินิกเสริมความงาม เช่น การฉีดโบท็อกซ์ เป็นต้นน.ส.สารี กล่าว
ด้าน นายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ ตัวแทนภาคประชาชน กล่าวว่า ยืนยันว่า ไม่เห็นด้วยกับการออกกฎกระทรวง เพื่อยกเว้นยาและเวชภัณฑ์ไม่ต้องรวมอยู่ในกฎหมายดังกล่าว ซึ่งในช่วงแรก สคก.ไม่อนุญาตให้เข้ารับร่วมรับฟังความคิดเห็น แต่ภายหลังได้อนุญาตเพราะเป็นผู้เกี่ยวข้องโดยตรง แต่ก็ยังไม่อนุญาตให้เข้าร่วมรับฟังในตอนสรุปพิจารณา
อย่างไรก็ตาม ระหว่างการให้ข้อมูลของ นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา ซึ่งได้ให้ข้อมูลกับ สคก.ว่า แพทย์ไม่เดือดร้อนอะไรกับเรื่องนี้ เพราะอะไรที่แพทย์ไม่แน่ใจ แพทย์ก็จะไม่รักษาให้ ผู้ป่วยก็อาจตายไป ซึ่งผมรับไม่ได้อย่างมาก ทำให้ต้องกดไมค์พูดซ้อนขึ้นมาทันที ว่า การพูดเช่นนี้ของนายกแพทยสภา เป็นการพูดที่ต่ำกว่ามาตรฐานวิชาชีพที่จะต้องรักษาผู้ป่วย โดยไม่เอาคนไข้เป็นตัวประกัน การกระทำเช่นนี้ ถือว่าเป็นการเอาคนไข้เป็นตัวประกัน ขนาดคนติดยาเอามีดไปจี้คน ยังได้รับผลกระทบเพียงคนเดียว แต่หากหมอทั้งประเทศเชื่อตามคำพูดของนายกแพทยสภาแล้วทำอย่างที่พูดคือไม่รักษาจะเกิดอะไรขึ้นนายนิมิตร์ กล่าว
ในวันเดียวกัน นายนิมิตร์ และ น.ส.สารี พร้อมด้วยเครือข่ายผู้บริโภคกว่า 20 คน ได้เดินทางมายังรัฐสภา เพื่อเข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งในการหารือกับตัวแทนเครือข่ายผู้บริโภคมีการใช้เวลาหารือกันนานกว่า 1 ชั่วโมง โดย น.ส.สารี กล่าวภายหลังว่า ตนได้ชี้แจงเหตุผลให้กับนายกรัฐมนตรี รับทราบ ซึ่งนายกรัฐมนตรี ก็รับปากว่า จะยังไม่เซ็นในกฎกระทรวงที่มีการเสนอมา โดยจะรอการตีความของ สคก.ก่อน หาก สคก.เห็นว่า กฎหมายดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับความกังวลของเหล่าวิชาชีพทั้งหลาย ที่กลัวว่า แพทย์ พยาบาล เภสัชกร ทันตแพทย์ ถูกฟ้องร้องได้ง่ายขึ้นนั้น กฎหมายนี้ไม่เกี่ยวข้อง ก็ถือว่า ไม่จำเป็นต้องออกกฎกระทรวงแต่อย่างใด เพื่อที่จะได้นำหลักฐานนี้ไปชี้แจงกับกลุ่มวิชาชีพได้ รวมถึงกลุ่มวิชาชีพสามารถนำมาอ้างอิงได้ในอนาคตด้วย
น.ส.สารี กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ หากจำเป็นที่จะต้องออกกฎกระทรวงเพื่อยกเว้น ก็ได้กำชับว่า จะต้องยกเว้นโดยไม่ครอบคลุมให้กับผู้ผลิตยา หรือบุคลากรทางวิชาชีพที่ผลิตยาและเครื่องมือแพทย์ที่ไม่ได้มาตรฐานจนเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัยเท่านั้น ซึ่งผู้ผลิตในที่นี่หมายถึงบริษัทผู้ผลิตยาไปจนถึงบุคลากรทางการแพทย์ที่ผลิตยาไม่ได้มาตรฐานจนเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัยจะต้องได้รับโทษตามกฎหมายนี้ทั้งหมดไม่ได้รับการยกเว้นด้วย แต่จะไม่รวมกับบุคลากรทางการแพทย์ที่ดำเนินการถูกต้อง
เห็นด้วยกับ นายกรัฐมนตรี ที่เห็นพ้องกันว่า กฎกระทรวงดังกล่าวจะต้องไม่ยกเว้นยาที่ไม่ปลอดภัย ไม่เว้นผู้ผลิตยาที่ไม่ปลอดภัย ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นบริษัทยาหรือผู้ประกอบวิชาชีพใดก็ได้ตาม รวมถึงเห็นด้วยอย่างยิ่งหากไม่มีความจำเป็นต้องออกกฎกระทรวง ถ้าหากสคก.มีความเห็นที่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจนน.ส.สารี กล่าว
น.ส.สารี กล่าวด้วยว่า หากนายกรัฐมนตรีนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การประชุม ครม.ในวันที่ 24 ก.พ.ก็ควรต้องถามกลับไปยัง นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข ว่า หาก สคก.มีความเห็นว่า กฎหมายดังกล่าวไม่กระทบตามที่วิชาชีพกังวล จะยอมถอนกฎกระทรวง ที่ร่างให้นายกฯลงนามหรือไม่ ทั้งนี้ นายวิทยา ไม่ควรรับฟังความเห็นจากแพทยสภา หรือวิชาชีพเพียงอย่างเดียวแต่ควรที่จะรับฟังความคิดเห็นจากผู้บริโภคด้วย ซึ่งผู้บริโภคก็พร้อมที่จะเข้าพบเพื่อให้รับทราบข้อมูลอย่างรอบด้านมากกว่านี้
โดย: ข่าวคืบหน้า [20 ก.พ. 52 11:00] ( IP A:58.9.204.54 X: )
ความคิดเห็นที่ 5
เห็นแพทยสภาเขาจะฟ้องกลับด้วยนะ
สงสัยสนุกกันล่ะงานนี้
โดย: ฟ้องกลับข้อหาอะไร [20 ก.พ. 52 17:25] ( IP A:58.9.217.65 X: )
ความคิดเห็นที่ 6
อัดวิทยาลักไก่ชงกม. อุ้มแพทย์จ่ายยาผิด
Post Today
วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
ค้าน วิทยา ดันร่างกฎกระทรวงเว้นยาและเครื่องมือแพทย์ไม่เป็นสินค้าไม่ปลอดภัย
ภญ.จิราพร ลิ้มปนานนท์ คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (คคบ.) สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เปิดเผยว่า การที่นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข (สธ.) ได้เสนอร่างกฎกระทรวงให้มีการยกเว้นการบังคับใช้พ.ร.บ.ความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยให้นายกรัฐมนตรีลงนามถือว่าผิดปกติ เพราะสธ. ไม่ใช่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
ทั้งนี้ การยกเว้นการใช้ยาและเวชภัณฑ์ไม่ให้มีผลบังคับใช้ตามพ.ร.บ. ข้างต้น เท่ากับเป็นการสอดไส้กฎกระทรวงเพื่อปกป้องแพทย์ พยาบาล และเภสัชกรที่กลัวถูกฟ้อง หากสำนักนายกรัฐมนตรีออกกฎกระทรวงยกเว้นให้จริง ต่อไปยาอะไรก็ตามที่ผ่านมือ 3 อาชีพนี้ไม่ถือเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัย และจะทำให้บริษัทยาได้ประโยชน์สูงสุด
พ.ร.บ.นี้จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 21 ก.พ.นี้ แต่จู่ๆ สธ.ก็มัดมือชกจะออกกฎกระทรวงสำนักนายกฯ ภญ.จิราพร กล่าว
ด้านนายวิทยา ชี้แจงว่า เนื้อหาในพ.ร.บ. ฉบับนี้ ครอบคลุมถึงการจ่ายยาในทุกประเภท ทำให้บุคลากรด้านนี้ได้รับผลกระทบทั้งหมด สธ.จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงให้นายกฯ ลงนาม เมื่อมีกฎกระทรวงยกเว้นยาและเวชภัณฑ์แล้ว หากมีความผิดพลาดจากการจ่ายยาผู้ป่วยก็ไปฟ้องร้องกับพ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดี ผู้บริโภค 2551 ได้อยู่แล้ว หรือผู้ป่วยไปซื้อยาจากร้านขายยาแล้วได้รับผลกระทบจากการใช้ยาก็ไปเอาผิดกับบริษัทผู้ผลิตยาได้โดยตรง
โดย: เอาล่ะสิ ท่านวิทยาอย่าหลงเชื่อแพทยสภา [21 ก.พ. 52 7:35] ( IP A:58.9.191.21 X: )
ความคิดเห็นที่ 7
พ.ร.บ. ระบุถึงผู้เกี่ยวข้องกับการจ่ายแจกทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะบริษัทยา
แล้วจะไม่เกี่ยวกับแพทย์ได้ยังไง
ต่อไปให้ยาทุกชนิดต้อง consent form ว่าอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอะไรได้บ้างทุกอย่าง
ไม่เช่นนั้นจ่ายยาไม่ได้
โดย: ZtahC [21 ก.พ. 52 12:11] ( IP A:58.136.50.169 X: )
ความคิดเห็นที่ 8
พ.ร.บ. ไม่ได้มีผลกระทบต่อบริษัทยา แม้แต่น้อย
เพราะยาแต่ละอย่างกว่าจะมาขายได้ ผ่านการทดสอบอย่างดี
และใบรายละเอียดทุกอย่างมีพร้อมอยู่แล้ว
แต่คนที่ตายคือคนจ่ายแจก และยาที่แยกจ่ายทีละเม็ด ยาปรุงเอง
ยาทุกอย่างก็ต้องเพิ่มต้นทุนในการพิมพ์รายละเอียดยา
เพราะไม่เช่นนั้นต้องรับผิดชอบต่อผลข้างเคียงของยา ไม่ใช่บริษัทยา
เพราะเขาพิมพ์ฉลากไว้แล้ว
และผลข้างเคียงจากการใช้ยา ยังไงก็ต้องเกิดขึ้นแน่ ๆ
เวลาฉีดยารักษาทุกอย่างในโรงพยาบาลก็ต้องทำ consent form
โดย: ZtahC [21 ก.พ. 52 13:06] ( IP A:58.136.50.169 X: )
ความคิดเห็นที่ 9
แบบปรุงสารฉีดเข้าใบหน้า
ปรุงครีมขายในโรงพยาบาล
แบบนี้จัดอยู่ในประเภทไหน
โดย: ผิดไหมตามพรบ.นี้หากคนไข้เสียหาย [22 ก.พ. 52 10:58] ( IP A:58.9.200.203 X: )
ความคิดเห็นที่ 10
แหม ท่าน ZtahC
อะไรจะขนาดนั้น
จ่ายยาผิด คนชิบหายก่อนใครทั้งหมด คือ "คนไข้ผู้บริโภคยา" ใช่ไหม????
แล้วคน "ที่ได้ประโยชน์" จากการจ่ายยานั้นโดยตรง คือ "คนขายยา ซึ่งหมอ+เภสัชกรมักจะได้ประโยชน์เสมอ เพราะต้องเป็นผู้ตรวจสอบโดยอาชีพว่าปลอดภัยสำหรับคนไข้รายนั้นๆ" ใช่ไหม??????
กฎหมายนี้ จะปรามและเตือนให้หมอ+เภสัชกรต้องศึกษาให้ดีก่อนจ่ายยาใช่ไหม???? ยาหนึ่งตัวอาจไม่มีฤทธิ์แทรกซ้อน แต่ยาตัวที่สองขึ้นไปเมื่อใช้ร่วมกัน เสี่ยงเพิ่มใช่ไหม???
แล้ว "ยาใหม่ๆ" ที่มักนำมาเชียร์ขายโดยหมอ เช่น วัคซีนต้านมะเร็งปากมดลูก วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ หรืออื่นๆ หมอมาเชียร์ให้คนไข้ซื้อใช้ แต่ "คนไข้เป็นผู้เสียเงินและเสี่ยงชีวิต" ใช่ไหม????
ผมสรุปฟันธงเลยนะ งานนี้ ท่าน ร.ม.ต. เสียศูนย์อย่างแรงเลย ไปโดนพวกหมอผู้ใหญ่ใน ส.ธ. เป่าลมปากเหม็นๆเข้าหูแล้วเชื่อตามอย่างไม่ตรองไม่ติดเบรคเลยล่ะ
ท่านวิทยาครับ หมอไม่กี่คนที่เล่นอยู่กับสุขภาพของคนไทยทั้งประเทศ 64 ล้านคนใน ส.ธ.นี้ รวยเยอะมากแล้วจากงบประมาณนับหมื่นๆล้านบาทที่กระทรวง ส.ธ. ได้มาจากภาษีของคนทั้ง 64 ล้านกว่าๆนั้น ขอท่านอย่าได้เห็นแก่ "พวกสวะที่เห็นแก่ตัวเหล่านั้นมากกว่าสวัสดิภาพของประชาชนมากนักเลย" ผมเชื่อว่า หมอดีๆส่วนใหญ่เขาไม่ได้มากังวลกับการถูกฟ้องร้องหรอก ที่กลัวจนหัวหดก็ไอ้พวก "หมอพานิชย์ที่ไร้จรรยาบรรณและมักง่าย+เอาแต่ได้ เอาชีวิตคนไข้มาล้อเล่นเพื่อดูดเงินเป็นสรณะมากกว่า" ที่กลัวมากจนขี้หดตดหาย ไม่เป็นอันทำมาหากินอย่างที่เคยฉ้อเคยฉลมานั่นแหละ
โดย: คนรู้ทัน ไม่รู้จริง [23 ก.พ. 52 9:54] ( IP A:58.8.107.136 X: )
ความคิดเห็นที่ 11
เอาให้ดี ครับ จ่ายยาผิด ต้องรับผิดชอบ
แต่กฎหมายนี้มีความพิเศษ ที่ เมื่อผู้บริโภคได้รับผลที่เกิดขึ้นทุกอย่าง
ปรากฏชัดเจน
ก็ไปแจ้งแล้วดำเนินการ ให้ทำการชดเชยได้ มีหน่วยงานรับผิดชอบ
และครอบคลุมต้องทำฉลากบอกวิธีใช้ คู่มือต่าง ๆ
ถึงจ่ายยาถูกต้อง 100% ทำถูกขั้นตอน 100% ก็โดนกฎหมายนี้เล่นงานได้
หากเกิดผลข้างเคียงจากยา ซึ่งเกิดขึ้นแน่ ๆ
ทางป้องกันมีทางเดียวอย่างที่บอก ต้องให้ผู้ป่วยเซ็นต์รับทราบคำอธิบายก่อนให้ยาทุกครั้ง
จึงจะไม่ผิดกฎหมาย
ดังนั้น ทางออกที่ดีที่สุด หากทำเรื่องยา วัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์
ต้องเป็นกฎหมายเฉพาะที่พิจารณาอย่างรอบคอบ
ซึ่งความจริงหากยาไม่มีมาตรฐานมีกฎหมายเอาผิดอยู่แล้ว
โดย: ZtahC [28 ก.พ. 52 12:50] ( IP A:202.12.97.119 X: )
คลิกที่นี่เพื่อกลับหน้าบ้าน