consumer.pantown.com
Thai Iatrogenic Network รวมกระทู้เครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ <<
กลับไปหน้าแรก
สรุปตายทั้งกรม
สรุปตายทั้งกลมที่รพ.นพรัตน์ฯสุดวิสัย
สรุปผลสอบข้อเท็จจริงสาวตายทั้งกลมที่รพ.นพรัตน์ฯเป็นเหตุสุดวิสัย เกินกว่าแพทย์จะตรวจและทราบล่วงหน้าว่ามดลูกจะแตก ญาติยันไม่ฟ้องทั้งแพ่ง-อาญา ตร.คาดรู้ผลสอบคดีสาวตายทั้งกลมใน 7 วัน
นพ. เจษฎา โชคดำรงสุข รองอธิบดีกรมการแพทย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในกรณีคลอดบุตรแล้วเสียชีวิตที่รพ .นพรัตนราชธานี กล่าวว่า มติของคณะกรรมการฯ ได้สรุปว่ากรณีของนางน้ำอ้อย ตุ้มทับ อายุ 22 ปีที่เสียชีวิตระหว่างการคลอดบุตรที่โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี เมื่อวันที่ 1 ก.พ.นั้น เป็นเพียงเหตุสุดวิสัยเกินกว่าที่แพทย์จะตรวจและทราบได้ล่วงหน้าว่ามดลูกจะแตก ทั้งนี้จะรอดูผลการตรวจพิสูจน์มดลูกเพื่อยืนยันว่าเกิดจากปัจจัยใดที่ทำให้มดลูกแตก ส่วนชิ้นเนื้อปอด เพื่อดูว่ามีน้ำคร่ำอยู่ในปอดหรือไม่ หลังจากนั้นจะสรุปอย่างเป็นทางการก่อนนำเสนออธิบดีกรมการแพทย์
นพ. เจษฎา กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า การตรวจกระบวนการดูแลรักษาคนไข้ตามขั้นตอนปกติ ด้วยมาตรฐานการรักษาของวิชาชีพ แต่เหตุที่คิดว่าเป็นสาเหตุการตายคือมาจากมดลูกแตก โดยมี 2 สาเหตุคือ 1. แพทย์ช่วยเร่งให้เกิดการคลอด แต่รายนี้ยังไม่ถึงในขั้นตอนดังกล่าว เพราะยังเป็นเพียงระยะแรกในการคลอดเท่านั้น และ2. การ แตกเกิดจากมดลูกผิดปกติ ซึ่งในรายนี้เป็นการแตกอย่างเงียบๆ ค่อยเป็นค่อยไป จึงไม่ปวดท้องคลอดอย่างทุรนทุราย รวมถึงได้เช็คประวัติการให้ยาก็ไม่พบว่ามีการขอยาแก้ปวดแต่อย่างใด และไม่พบอาการผิดปกติใดมาก่อน แต่เมื่อถึงระดับหนึ่งทำให้เกิดอาการช็อค รักษาไม่ทัน
เหตุที่ทำให้มดลูกอ่อนแอบางกว่าปกติ เมื่อมีการบีบรัดตัวมากๆจะทำให้มดลูกแตกได้ง่ายกว่าปกติ เกิดจากคนไข้มีประวัติในการเป็นรอยโรคที่มดลูกมาก่อน อาทิ เคยผ่าตัดการคลอด เคยเป็นเนื้องอกที่มดลูก หรือการขูดมดลูกมาก่อน แต่รายดังกล่าวแม้ว่าจะมีการคลอดบุตรมาแล้ว รวมถึงการขูดมดลูกด้วย แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง เพราะอาการคลอดยังอยู่ในระยะเริ่มต้นเท่านั้น ซึ่งอยู่ในการดูแลของพยาบาลและอายุรแพทย์ในช่วงแรก แต่หลังจากเกิดภาวะช็อคก็อยู่ในการดูแลของสูตินรีแพทย์นพ.เจษฎา กล่าว
ศ. คลีนิค พญ.วิบูลพรรณ ฐิตะดิลก ผู้เชี่ยวชาญสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา สาขาเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ โรงพยาบาลศิริราช กล่าวว่า การแตกของมดลูก น.ส.น้ำอ้อย สันนิษฐานว่า มีการแตกของมดลูกอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ไม่สามารถสังเกตได้ เพราะไม่มีอาการบ่งชี้ เช่น อาการปวดท้องอย่างรุนแรง มีการบีบตัวของมดลูกรุนแรง ความดันโลหิตต่ำ และบางรายจะสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนโดยหน้าท้องจะเป็นลอนสูงขึ้น แต่บางรายตรวจพบได้ยาก ซึ่งกลุ่มที่ไม่มีแผลที่มดลูก ช่วงที่จะเกิดการแตกของมดลูกได้ส่วนมากมักเกิดขึ้นระยะท้ายของการคลอด หากมีแผลที่มดลูก สามารถแตกได้ทั้งเมื่อเข้าสู่ระยะการคลอดและยังไม่เข้าสู่ระยะคลอด ดังนั้น การที่มดลูกแตกจะต้องหาสาเหตุว่าแตกจากปัจจัยใด จึงต้องนำชิ้นเนื้อปอดและมดลูกชันสูตรอย่างละเอียดอีกครั้ง
ศ. คลินิก พญ.วิบูลพรรณ กล่าวว่า จากประวัติพบว่า น.ส.น้ำอ้อย เคยมีประวัติการขูดมดลูกมาก่อน ซึ่งอาจเป็นปัจจัยเสริมทำให้เกิดมดลูกแตกขึ้นได้ ซึ่งการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่มีประวัติมดลูกผิดปกติ หรือ มีความเสี่ยง มี อาการบ่งชี้ เช่น มีเลือดออกระหว่างตั้งครรภ์ รกเกาะต่ำกว่าปกติ รกฝังตัวลึก หากมีอาการเช่นนี้แพทย์จะมีการดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะมีความเสี่ยงที่จะเกิดมดลูกแตกได้ แต่ในรายดังกล่าวรวมถึงหญิงที่ขูดมดลูกแต่ไม่เคยมีอาการผิดปกติบ่งชี้มาก่อน การดูแลจะเหมือนหญิงตั้งครรภ์รายอื่นๆ ทั้งนี้ หญิงตั้งครรภ์สามารถเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยเสริมว่าจะทำให้เกิดภาวะเสี่ยงได้มากเพียงใด รวม ทั้งการช่วยเหลือ แม้ว่าจะทราบได้รวดเร็วว่าเกิดการแตกของมดลูก ก็มีโอกาสเสียชีวิตได้ ขึ้นอยู่กับความพร้อมของผู้ป่วย และการเตรียมการผ่าตัด ว่าจะทำได้รวดเร็วเพียงใดด้วย
ด้านนางสำรอง ตุ้มทับ อายุ 43 ปี มารดานางน้ำอ้อย กล่าวว่า คงจะไม่ฟ้องร้องดำเนินคดีกับทางโรงพยาบาลทั้งแพ่งและอาญา เนื่องจากเชื่อว่าหากมีความผิดจริงความจริงก็จะปรากฏต่อสาธารณะชนเอง แต่สิ่งที่สงสัยคือ อยากรู้ว่าทำไมแพทย์ที่ให้การรักษาจึงไม่ทราบว่า มดลูกของบุตรสาวจะแตก และโรงพยาบาลไม่ได้โทรมาหาหลังจากที่ลูกสาวอยู่ในภาวะวิกฤตแล้ว แต่รู้สึกสังหรณ์ใจจึงได้โทรศัพท์สอบถามโรงพยาบาลว่าบุตรสาวมีอาการเช่นไร เพราะตลอดทั้งวันก่อนเข้ารพ.อาเจียนจนรับประทานอาหารไม่ได้
ตร.คาดรู้ผลสอบคดีสาวตายทั้งกลมใน 7 วัน
เมื่อเวลา 13.00 น.พ.ต.อ.วิวัฒน์ ศิริสุนทร ผกก.สน.บางชัน เปิดเผยความคืบหน้าการสอบสวนกรณีน.ส.น้ำอ้อย ตุ้มทับ อายุ 22 ปี เสียชีวิตพร้อมลูกในครรภ์ระหว่างรอทำคลอดที่โรงพยาบาลนพรัตน์กลางดึกวันที่ 31 ม.ค.ว่า ต้องรอผลสอบของคณะกรรมการกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขที่เข้าไปตรวจสอบภายในโรงพยาบาลวานนี้ (2 ก.พ.)เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง คาดว่าน่าจะรู้ผลในเวลา 7 วันว่าการรักษาเป็นไปตามหลักการการรักษาของแพทย์หรือไม่ หรือเป็นเพราะความประมาท
ผกก.สน.บางชันระบุว่า หากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นความประมาทของแพทย์และพยาบาลจะเข้าข่ายผิดกฎหมายอาญา ในฐานความผิดประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต ในส่วนของพนักงานสอบสวนก็จะทยอยเรียกผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งแพทย์เจ้าของไข้ พยาบาลหรือผู้ดูแล มาสอบปากคำอย่างต่อเนื่อง จากนี้คงต้องรอผลการตรวจสอบของคณะกรรมการกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ทางด้านญาติของผู้เสียชีวิตก็จะนำศพไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณีต่อไป
โดย: ที่รพ.นพรัตน์ฯสุดวิสัย [3 ก.พ. 52 18:57] ( IP A:58.11.71.192 X: )
ความคิดเห็นที่ 1
จะสุดวิสัยไปไหน
โดย: -\"- [3 ก.พ. 52 19:03] ( IP A:58.8.92.226 X: )
ความคิดเห็นที่ 2
ก็เกือบจะเลิกอาชีพนี้แล้วเหมือนกัน ที่ไหนหมอเลว คุณก็อย่าไปหาสิอยู่บ้าน พวกผมรำคาญคนไข้แย่แย่มากมาย จะได้เอาเวลาไปทำงานจริงจริง อยู่กับพวกนี้ เสียเวลา
โดย: imama@yahoo.com [3 ก.พ. 52 21:16] ( IP A:117.47.213.26 X: )
ความคิดเห็นที่ 3
งานนี้ด้านอาญาถ้าตามมาตรฐานกฎหมายเดิม คือตายจากตัวโรค
ไม่ได้ตายจากการกระทำของแพทย์
ไม่เข่าข่ายผิดกฎหมายอาญา
แต่ผลกระทบรับรองจะเกิดขึ้นคือคนไทยต่อไปได้ออกจากทางหน้าท้องเกิน 50 เปอร์เซ็นต์
โดย: ZtahC [3 ก.พ. 52 21:20] ( IP A:58.136.51.205 X: )
คลิกที่นี่เพื่อกลับหน้าบ้าน