น้ำคร่ำเพชฌฆาตร้าย ฆ่าแม่ลูกตายระหว่างคลอด (หมอตกเป็นจำเลย )
   เหตุการณ์แล้วเหตุการณ์เล่าที่หลายครอบครัวต้องสูญเสียทั้งแม่และลูกไปจากกา รคลอดซึ่งมีมานับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีสาเหตุได้หลายประการ ที่พบบ่อยที่สุดและวิทยาการก้าวหน้ายังไม่สามารถหยุดยั้งได้คือเพชฌฆาตร้ายต ัวนี้

การเกิดเหตุการณ์น่าเศร้าสลดนี้เกิดขึ้นในรอยต่อช่วงชีวิตอันงดงามที่ ทุกครอบครัวต่างเฝ้ารอคอยลูกที่น่ารัก และต้องกลับมาเสียทั้งแม่และลูกไปด้วยโดยไม่ได้ร่ำลา

ยังความโศกเศร้าเสียใจอย่างยิ่งต่อสามี,แพทย์ผู้รักษาและต่อสังคมอย่างมาก หลายรายนำไปสู่การฟ้องต่อสื่อมวลชน ตำรวจ และศาล จากความรู้สึกผิดหวังร่วมกับความเสียใจที่สูญเสียคนรักไป..บทความนี้ขอนำท่า นมารู้จักเพชฌฆาตร้ายรายนี้ในเบื้องต้นดังนี้


1. น้ำคร่ำคืออะไร .. เมื่อแม่ตั้งครรภ์ มดลูกจะขยายตัว มีเด็กล่องลอยอยู่ในถุงบางๆภายในบรรจุน้ำที่ทำให้เด็กลอยไปมา ชื่อว่า “น้ำคร่ำ” เมื่อเด็กโตขึ้นจะมีการขับถ่ายของเสีย รวมถึงขี้ไคลจากผิวหนังหลุดออกมาและลอยละล่องปะปนอยู่ในน้ำคร่ำ... ดังนั้นน้ำคร่ำจึงเต็มไปด้วยของเสียมากมายรวมถึงเศษเซลล์เล็กๆที่ลอกออกมาจา กตัวเด็ก ที่มักไม่ใช่กลุ่มเลือดเดียวกับแม่ ถุงน้ำคร่ำนี้ ปิดเหนียวแน่นจนของเสียเหล่านี้จะไม่สัมผัสกับแม่เลย ..จึงไม่เกิดปัญหาระหว่างการตั้งครรภ์

2. น้ำคร่ำเป็นน้ำ ทำไมไปอุดตันจนแม่ตายได้..โรคน้ำคร่ำอุดตันในกระแสเลือด (Amniotic fluid embolism) ชื่อนี้มาจากสมัยก่อนเวลามีการคลอดแล้วแม่ตายโดยไม่ทราบสาเหตุ จะมีการนำไปผ่าศพชันสูตร พบว่าปอดแม่จะมีเศษเนื้อ(เซลล์)ของเด็กอยู่ในเส้นเลือด จึงคิดเอาว่าแม่ตายจากการที่มีเศษขี้ไคลทารกจากน้ำคร่ำเข้าไปอุดตันที่ปอดจน ปอดเสียหาย หายใจไม่ได้และเสียชีวิตในที่สุด ... แต่ภายหลังก็ได้มีการศึกษาเรื่องอาการและกลไกต่างๆ จึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้ว มันไม่ใช่แค่การที่ปอดทำงานไม่ได้เท่านั้น ความตาย เกิดจากหลายกลไกร่วมกัน..

3. แม่ตายจากอะไร..จากน้ำคร่ำซึ่งเป็นของเสียของเด็ก ปกติจะต้องคลอดพร้อมเด็กและออกสู่ภายนอก ไม่มีการไหลย้อนเข้าไปในเลือดของแม่ เพราะจะเกิดปฏิกิริยา เช่นเดียวกับอาการแพ้รุนแรงได้ เนื่องจากเลือด น้ำเหลือง และสารต่างๆเป็นคนละกรุ๊ปกัน ลองคิดง่ายๆ ว่าคล้ายกับการตายจากให้เลือดผิดกรุ๊ปนั่นเอง กระบวนการแพ้ชนิดรุนแรง หัวใจ ปอด ล้มเหลว เลือดไหลไม่หยุด และแม่ครึ่งหนึ่งตายใน 60 นาทีแรกหลังน้ำคร่ำรั่วเข้าไป

4. แม่ตายคลอดจากน้ำคร่ำอุดตันปอดมีมากเท่าไร...โรคนี้น่ากลัวมากเพราะมีอัตรา การเกิดถึงหนึ่งในแปดพันถึงสามหมื่น คนไทยคลอดปีละกว่าเจ็ดแสนคน (เฉลี่ยวันละสองพันคน) จะเกิดโรคนี้ ปีละ 26-100 คน หรือ ราว 2-8คนต่อเดือน ทำให้มีข่าว มารดาเสียชีวิตขณะคลอด อยู่เนืองๆ โดยเฉพาะหากอ่านแต่ข่าวโดยที่ไม่รู้จักโรคนี้ อาจจะสงสัยไปว่าทำไมการคลอดที่น่าจะปลอดภัยจึงกลับกลายเป็นเรื่องที่ถึงตายไ ด้ง่ายๆ และโทษสาเหตุต่างๆนาๆได้

5. ความร้ายแรงขนาดไหน..ความรุนแรงสูงน่ากลัวมาก แม้ว่าจะอยู่ในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีผู้เชี่ยวชาญและเครื่องมือครบถ้วน เช่นโรงเรียนแพทย์ ก็ตายได้ ไม่ใช่เฉพาะแต่ รพ.บ้านนอก ทั้งที่มีหมอล้อมรอบเตียงคนไข้ และรักษาอย่างเต็มที่ท่ามกลางยาเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ช่วยชีวิตครบถ้วนก็ตาม สถิติบ่งว่า แม่ 6 ใน10 รายจะเสียชีวิต 3 รายพิการทางสมอง หรือเป็นเจ้าหญิงนิทรา และมี 1 จาก10 รายเท่านั้น ที่รอดเป็นปกติ

6. ทำนายล่วงหน้าได้ก่อนไหมว่าจะเป็น..ยากมากๆ ..เวลาเป็นข่าวมักพูดถึงอาการหลายๆอย่างที่มีนำมาก่อนเป็นวันๆหรือเป็นชั่วโ มง เช่นเจ็บท้อง แน่น เหนื่อย เพลีย ... แต่หากถามคนเคยคลอด อาการเหล่าก็พบว่าเป็นกันแทบทุกคน ไม่มีอาการใดบ่งเฉพาะโรคนี้เลย.. และกลไกที่เกิดการรั่วของน้ำคร่ำ ใช้เวลาเป็นนาที เข้ากระแสร์เลือด ไปอุดปอด แพ้ช๊อก เลือดออกไม่หยุด ทันที เหมือนฉีดสารที่เราแพ้เข้าไปในเส้นเลือดฉับพลัน แม้รู้ล่วงหน้าว่ารักษาอย่างไรก็แทบจะใส่ยาแก้ไม่ทัน อาการที่รุนแรงทันที หัวใจหยุดเต้นและตายได้ หากรอดจากนาทีแรกๆ จะตายในชั่วโมงต่อไปด้วยเลือดไม่ยอมแข็งตัว ไหลจากแผลไม่หยุดตาย(คล้ายพิษงูบางชนิดของกัดตายนั่นเอง) และเกิดเลือดออกในสมอง หากรอดได้จะทำให้ส่วนหนึ่งเป็นอัมพาต หรือกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราไป

7. สาเหตุจากอะไร- วงการแพทย์ปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ทราบว่าปัจจัยที่ทำให้เกิดคือ การที่มารดาอายุมาก, ตั้งครรภ์หลายท้อง, เบ่งแรง, เด็กตัวโตเกินไป,น้ำคร่ำมาก,เด็กผิดปกติ,มีการติดเชื้อในน้ำคร่ำ เป็นต้น

8. ป้องกันได้ไหม -โรคนี้มีมาตั้งแต่สมัยโบราณมาจวบจนทุกวันนี้ แต่กลับเป็นสิ่งที่วิทยาการการแพทย์ปัจจุบันยังเอาชนะไม่ได้ แม้การฝากท้องที่ดีและสม่ำเสมอ จะลดปัจจัยเสี่ยงได้ ในระดับหนึ่ง ทำให้โอกาสเกิดลดลง แต่การจะป้องกันให้ได้100%คงจะยังทำไม่ได้ ในยุคปัจจุบัน

9. การรักษาอย่างไร-มีมาตรฐานการรักษาตามแนวทางราชวิทยาลัยสูติ-นรีแพทย์ ชัดเจน สูติแพทย์ทุกท่านเรียนรู้อย่างดียิ่ง และในมาตรฐานเหล่านั้นก็ระบุว่าโรคฉับพลันนี้ แม้ให้การรักษาเต็มที่แล้วส่วนใหญ่จะเสียชีวิต มีโอกาสรอดปกติเพียง 1 ใน 10 ราย ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลดีที่สุด ในมืออาจารย์สูติแพทย์ ที่ทำคลอดมาชั่วชีวิต ให้กำเนิดเด็กนับพันราย มีเครื่องมือพร้อมมูล ก็ไม่อาจช่วยชีวิตแม่ได้ทันเหมือนกัน.. และหลายโอกาสที่แพทย์ต้องเป็นผู้ตัดสินใจช่วยชีวิตลูกในครรภ์ยามที่แม่มีอาก ารรุนแรงจนไม่สามารถฟื้นคืนได้อีก ..ท่ามกลางความเจ็บปวดของวิชาชีพที่ต้องรักษาชีวิตน้อยๆเหล่านั้นแม้ว่าส่วน ใหญ่จะไม่สำเร็จ หรือหากสำเร็จก็กลายเป็นลูกกำพร้าแม่ตั้งแต่วันแรกเกิดซึ่งเป็นสภาวะที่ไม่ม ีแพทย์ผู้ใดอยากให้เป็นเช่นนั้น..

10. การวินิจฉัยโรคนี้- ต้องพิสูจน์ด้วยผลการผ่าชันสูตรชิ้นเนื้อเป็นมาตรฐาน เพื่อวินิจฉัยแยกจากโรคอื่นๆที่อาจเกิดการเสียชีวิตในลักษณะเดียวกัน เช่นมดลูกแตกจากเหตุอื่นๆ หรือโรคอื่นๆที่คล้ายคลึงกัน

หากวันนี้ท่านเติบโต มีคุณแม่ดูแล จนมาได้อ่านบทความนี้ แสดงว่าท่านรอดพ้นจากเพชฌฆาตน้ำคร่ำ ที่จะหลุดไปในกระแสร์เลือดของแม่ขณะคลอด ซึ่งเกิดขึ้นเดือนละ 2-8รายนี้ จากเด็กทารกไทยที่เกิดใหม่ปีละกว่าเจ็ดแสนคน

โรคนี้เป็นโรคที่หมอสูติทุกคนกลัวเกรงความร้ายกาจ จากการเกิดฉับพลัน ป้องกันไม่ได้ ไม่รู้ล่วงหน้าและเกือบทุกรายตายหรือพิการ

ที่สำคัญคือทุกการคลอด..แม่ของเราทุกคน ต้องเสี่ยงชีวิตกับเพชฌฆาตน้ำคร่ำ ในวันที่เราเกิดมาด้วยกันทั้งนั้น หากแต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่า ใครจะเป็นผู้โชคร้าย..รายต่อไป

นาวาอากาศเอก(พิเศษ)นายแพทย์ อิทธพร คณะเจริญ
กรรมการแพทยสภา
5 กุมภาพันธ์ 2552
โดย: คนเก่า [2 ก.พ. 52 10:16] ( IP A:125.26.69.110 X: )
Add to Facebook  Add to Twitter  Add to Multiply  Add to Google  Add to Blogger  Add to Live
ความคิดเห็นที่ 1
   ร้อง รพ.นพรัตน์ ทำลูกสาวตายทั้งกลม ใช้สิทธิรักษา 30 บาท

โดย ทีมข่าวอาชญากรรม 1 กุมภาพันธ์ 2552 22:03 น.



คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น

นายอำไพ ตุ้มทับ อายุ 46 ปี และ นางสำรอง ตุ้มทับ อายุ 43 ปี สองสามีภรรยา ชาว จ.สุพรรณบุรี ร่ำไห้ที่ลูกสาวต้องเสียชีวิตไปพร้อมกับลูกในท้อง


น.ส.น้ำอ้อย ตุ้มทับ อายุ 22 ปี ผู้ตาย




สามีภรรยาคนงานก่อสร้าง แจ้งความโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี ทำลูกสาวตายทั้งกลม หลังใช้สิทธิรักษา 30 บาท เผย แพทย์ให้กลับบ้านทั้งที่ปวดท้อง จนทนไม่ไหวต้องกลับมาที่โรงพยาบาลอีก แต่ไม่ทำคลอดให้ จนน้ำคร่ำท่วมปอด ส่งศพตรวจพิสูจน์นิติเวช

วันนี้ (1 ก.พ.) เมื่อเวลา 09.45 น.นายอำไพ ตุ้มทับ อายุ 46 ปี และ นางสำรอง ตุ้มทับ อายุ 43 ปี สองสามีภรรยา ชาว จ.สุพรรณบุรี ซึ่งมีอาชีพเป็นคนงานก่อสร้าง ได้เข้าแจ้งความกับ ร.ต.ท.ธวัชชัย มานันตพงศ์ ร้อยเวร สน.บางชัน ว่า ทีมแพทย์และพยาบาลของ รพ.นพรัตนราชธานี กระทำการโดยประมาทปล่อยให้ลูกสาว คือ น.ส.น้ำอ้อย ตุ้มทับ อายุ 22 ปี ซึ่งกำลังตั้งครรภ์ และมีอาการปวดท้องคลอดบุตรต้องเสียชีวิตลงเมื่อช่วงกลางดึกวานนี้ (31 ม.ค.) ทั้งที่ผู้ตายอยู่ในความดูแลของแพทย์และพยาบาลตั้งแต่วันที่ 30 ม.ค.ที่ผ่านมาแล้ว

โดย นางสำรอง กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ น.ส.น้ำอ้อย ได้ไปใช้สิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตามโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค เพื่อฝากครรภ์ที่คลินิกเวชกรรมซอยนวลจันทร์ ซึ่งเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิ ต่อมาเมื่อช่วงเช้าวันที่ 30 ม.ค.ที่ผ่านมา น.ส.น้ำอ้อย ก็เกิดอาการปวดท้องคลอดบุตร ตนจึงรีบพาไปที่คลินิกดังกล่าว แต่แพทย์ประจำคลินิกได้ทำเรื่องส่งต่อไปทำคลอดที่ รพ.นพรัตนราชธานี เมื่อเดินทางไปถึง ทางแพทย์ของ รพ.นพรัตนราชธานี กลับแจ้งมาว่า ปากมดลูกยังไม่เปิด ต้องกลับไปนอนพักดูอาการที่บ้านเสียก่อน ตนจึงต้องพากันกลับมาที่แคมป์พักคนงานย่านซอยรามอินทรา 39 ทั้งๆ ที่ น.ส.น้ำอ้อย ยังคงปวดท้องอยู่

นางสำรอง กล่าวอีกว่า หลังนอนพักได้จนถึงช่วงเย็นวันเดียวกัน น.ส.น้ำอ้อย ก็บ่นปวดท้องอีก โดยขอร้องให้ตนพาไปหาหมออีกครั้ง ตนจึงตัดสินใจพากลับไปที่ รพ.นพรัตนราชธานี ตามเดิม คราวนี้แพทย์บอกว่า ปากมดลูกเริ่มเปิดได้ประมาณ 1 เซนติเมตรแล้ว จึงอนุญาตให้ น.ส.น้ำอ้อย นอนพักที่ห้องรอคลอด ตั้งอยู่บนชั้นที่ 2 อาคาร 4 โดยแพทย์ยังได้กำชับบอกตนด้วยว่า ให้ไปซื้อของใช้เด็กเตรียมไว้ได้เลย จนกระทั่งถึงช่วงเช้าวันที่ 31 ม.ค.แพทย์ก็ยังไม่ทำคลอดให้เสียที ประกอบกับ น.ส.น้ำอ้อย เริ่มมีอาการอาเจียนแทรกซ้อนจนทานอะไรไม่ได้ ตนจึงถามแพทย์ว่า จะต้องให้น้ำเกลือ หรือตัดสินใจผ่าตัดเอาเด็กออกแทนการคลอดด้วยวิธีธรรมชาติหรือไม่ ซึ่งตอนนั้นทางแพทย์ ตอบกลับมาเพียงว่า ให้นอนรอดูอาการไปก่อน

“จนกระทั่งเมื่อคืนนี้ (31 ม.ค.) ช่วงเวลาประมาณ 2 ทุ่ม ตนร้อนใจมากจึงขับ รถ จยย.ออกจากแคมป์พักคนงานไปเยี่ยมลูกสาว ที่โรงพยาบาล พอไปถึงพยาบาลบอกว่าหมดเวลาเยี่ยมแล้ว จึงต้องย้อนกลับไปที่แคมป์ แล้วตัดสินใจโทรศัพท์ไปสอบถามอีกครั้งตอนประมาณ 4 ทุ่ม คราวนี้แพทย์แจ้งว่า ลูกสาวตนมีอาการน้ำคร่ำท่วมปอด กำลังช็อกและปั๊มหัวใจช่วยเหลืออยู่ จึงต้องเดินทางไปที่โรงพยาบาลอีกครั้งในช่วงกลางดึก โดยแพทย์ให้ตนเลือกว่าจะเอาชีวิตแม่ หรือเด็กในครรภ์เอาไว้ ตนจึงบอกไปว่า ให้เอาชีวิตลูกสาวตนไว้ก่อน พร้อมยกมือไหว้ขอร้องทีมแพทย์ แต่แล้วลูกสาวตนก็ต้องเสียชีวิต ไปพร้อมกับลูกในครรภ์ เมื่อช่วงตี 1 ที่ผ่านมา เมื่อตนสอบถามสาเหตุที่แท้จริง แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ จากทีมแพทย์และพยาบาลของรพ.นพรัตนราชธานี บ้างเลย” นางสำรอง กล่าวทั้งน้ำตา

ด้าน นายอำไพ กล่าวว่า ตนกับภรรยาและลูกเขย เป็นแค่คนงานก่อสร้าง คงไม่มีปัญญาไปเอาความผิดกับใคร จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือ เพื่อเอาผิดกับทางโรงพยาบาลที่ปล่อยให้ลูกสาวและหลานในท้องต้องตาย และอยากให้เหตุการณ์นี้เป็นครั้งสุดท้ายที่ผู้ประกันตนตามโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค จะต้องมาจบชีวิต เพราะแพทย์ไม่สนใจไยดี ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือคนจน หากเกิดอาการเจ็บป่วยขึ้นมา ก็หวังจะพึ่งพาแพทย์และพยาบาลทั้งนั้น ขณะเดียวกัน ร.ต.ท.ธวัชชัย เปิดเผยว่า ตอนนี้ยังไม่สามารถแจ้งความเอาผิดกับผู้ใดได้

เบื้องต้นตนจะส่งมอบศพไปให้สถาบันนิติเวช รพ.ตำรวจ ทำการผ่าชันสูตรหาสาเหตุการตายอย่างละเอียดเสียก่อน หากผลออกมาพบว่า สาเหตุเกิดจากความประมาทของผู้ให้การรักษาก็จะออกหมายเรียกทีมแพทย์และพยาบาลที่เกี่ยวข้องมาสอบปากคำก่อนแจ้งข้อหาเพื่อดำเนินคดีต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ น.ส.น้ำอ้อย เคยอยู่กินกับสามีเก่าที่ จ.พิษณุโลก จนมีลูกสาววัย 7 ขวบ ด้วยกันมาแล้ว 1 คน ต่อมาก็แยกทางกัน และฝากลูกสาวเอาไว้ให้ญาติฝ่ายสามีเก่าเลี้ยงดู จนกระทั่งมาพบรักกับสามีใหม่ ชื่อ นายประพฤติ ดาบอำลา อายุ 26 ปี ชาว จ.สกลนคร แล้วตัดสินใจมีลูกด้วยกัน แต่ก็ต้องมาเสียชีวิตพร้อมลูกในครรภ์จากเหตุการณ์ดังกล่าว
โดย: ผู้จัดการ [2 ก.พ. 52 10:22] ( IP A:58.8.14.187 X: )
ความคิดเห็นที่ 2
   ถ้าผ่าตัดตั้งแต่แรกจะรอดไหม
โดย: 000 [2 ก.พ. 52 10:52] ( IP A:58.8.84.29 X: )
ความคิดเห็นที่ 3
   เตือนท่านผู้อ่านทุกท่าน

ถ้าผมเป็นหมอที่ท่านเคยเชื่อถือมากๆ

แล้ววันดีคืนดี ท่านจับได้ว่า ผมโกหกในเรื่องที่เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบโดยตรง และทำมามากกว่าหนึ่งครั้ง

ต่อมา แม้ผมจะพูดในเรื่องที่เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบโดยตรง ซึ่งเป็นเรื่อง "จริง (แต่อาจพูดไม่หมด)"

ท่านทั้งหลาย ท่านจะ "เชื่อผมได้สนิทใจไหม?????"
โดย: คนรู้ทัน ไม่รู้จริง [2 ก.พ. 52 11:59] ( IP A:58.8.105.249 X: )
ความคิดเห็นที่ 4
   กลับมาให้กำลังใจเครือข่ายครับ
โดย: 8นจน คนเดิม [2 ก.พ. 52 15:29] ( IP A:158.108.176.43 X: )
ความคิดเห็นที่ 5
   รู้สึกผลนิติเวชจะออกมาแล้ว
ว่าเป็นเพราะมดลูกแตก
แบบนี้คนที่เคยพูดเสียดสีคนไข้
จะว่าอย่างไร


งานนี้หากไม่แสดงความรับผิดชอบ
เครือข่ายฯ งานเข้าอีกแน่นอน
โดย: เครือข่ายฯ [2 ก.พ. 52 19:03] ( IP A:58.9.184.134 X: )
ความคิดเห็นที่ 6
   10. การวินิจฉัยโรคนี้- ต้องพิสูจน์ด้วยผลการผ่าชันสูตรชิ้นเนื้อเป็นมาตรฐาน เพื่อวินิจฉัยแยกจากโรคอื่นๆที่อาจเกิดการเสียชีวิตในลักษณะเดียวกัน เช่นมดลูกแตกจากเหตุอื่นๆ หรือโรคอื่นๆที่คล้ายคลึงกัน ..

ผลนิติเวชเป็นมดลูกแตก ก็อยู่ในการวินิจฉัยแยกโรค อยู่แล้วนี่

บทความนี้คงเป็นการให้ข้อมูลของโรคที่เกิดขึ้นได้เฉียบพลัน และเกิดปัญหา กับกรณีทั่วไป ได้ไม่ได้เขียนระบุเจาะจงว่าเป็นรายนี้กระมังครับ..
โดย: ..ผ่านมา [2 ก.พ. 52 19:18] ( IP A:58.8.231.141 X: )
ความคิดเห็นที่ 7
   ต่างกับวินิจฉัยผิดตรงไหนครับ #8
โดย: 000 [2 ก.พ. 52 19:24] ( IP A:58.8.84.29 X: )
ความคิดเห็นที่ 8
   “นิติเวช” ชี้หญิงตายทั้งกลมมดลูกแตก ช็อกเสียเลือดมาก!

โดย ทีมข่าวอาชญากรรม
2 กุมภาพันธ์ 2552 17:40 น.

สถาบันนิติเวช ระบุผลชันสูตรศพหญิงตายทั้งกลมเกิดจากมดลูกแตกด้านแนวราบ มีรกขวางอยู่ตรงรอยแตก สาเหตุเสียชีวิตเพราะเสียเลือดมากถึง 3,000 ซีซี จึงทำให้เกิดอาการช็อก โดยเลือดไหลเข้าไปอยู่ในช่องท้อง ทั้งยังทำให้เด็กในครรภ์ขาดเลือดและเสียชีวิต

วันนี้ (2 ก.พ.) นพ.อุทัย ตัณศลารักษ์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลนพรัตน์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูตินรีเวช กล่าวระหว่างร่วมแถลงข่าวกับ นพ.เรวัต วิศรุตเวช อธิบดีกรมการแพทย์ กรณี น.ส.น้ำอ้อย ตุ้มทับ อายุ 22 ปี มีอาการปวดท้องคลอดบุตรต้องเสียชีวิตพร้อมบุตรในครรภ์เมื่อช่วงกลางดึกวานนี้ (31 ม.ค.) ทั้งที่ผู้ตายอยู่ในความดูแลของแพทย์และพยาบาลโรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี ตั้งแต่วันที่ 30 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า กรณีที่ปากมดลูกของผู้เสียชีวิตเปิดออก 1 เซนติเมตร แต่แพทย์ไม่ทำคลอดให้ เพราะคนไข้ตั้งครรภ์เป็นครั้งที่ 3 การที่ปากมดลูกเปิดทั้งที่ยังไม่ถึงกำหนดคลอดจึงต้องดูการบีบตัวของมดลูกประกอบ อีกทั้งจากบันทึกการรักษาเพียงแค่เจ็บครรภ์เป็นระยะๆ ห่างๆ ไม่สม่ำเสมอ ต่างจากการเจ็บครรภ์ใกล้คลอดที่จะเจ็บถี่ๆ ส่วนที่แพทย์ไม่ผ่าคลอดเนื่องจากที่ผ่านมาคนไข้ไม่เคยเข้าฝากครรภ์ และจำเดือนสุดท้ายที่ประจำเดือนมาไม่ได้ ทำให้ไม่ทราบอายุครรภ์ที่ชัดเจน หากผ่าคลอดก่อนกำหนดอาจส่งผลต่อเด็กในครรภ์ได้ ตามหลักวิชาการนั้นการผ่าตัดต้องเป็นไปตามข้อบ่งชี้ ไม่ใช่จะผ่าตัดได้ทุกคน ทั้งนี้ได้นำคนไข้เข้าเครื่องตรวจการเต้นหัวใจทารกในครรภ์ ซึ่งผลชี้ว่าทารกมีหัวใจเต้นปกติดี และไม่พบการบีบตัวของมดลูกที่เป็นสัญญาณคลอด ทั้งนี้ภาวะที่เกิดขึ้นยอมรับว่าเป็นเรื่องยากที่ญาติจะยอมรับได้ ซึ่งขณะที่คนไข้เกิดการช็อก แพทย์พยายามช่วยเต็มที่แล้ว

ต่อมา พล.ต.ต.นพ.สมยศ ดีมาก แพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ เปิดเผยผลการชันสูตรสาเหตุการเสียชีวิตของ น.ส.น้ำอ้อย ของสถาบันนิติเวชว่า เกิดจากมดลูกแตกด้านแนวราบ มีรกขวางอยู่ตรงรอยแตก สาเหตุการเสียชีวิตมาจากอาการช็อกเพราะเสียเลือดถึง 3,000 ซีซี โดยเลือดไหลเข้าไปอยู่ในช่องท้อง ทั้งยังทำให้เด็กในครรภ์ขาดเลือดและเสียชีวิตลงด้วย ซึ่งวิธีการรักษานั้นการให้น้ำเกลือไม่มีผล ต้องผ่าตัดนำเด็กออกและเย็บ ทั้งนี้ เลือดปกติในร่างกายคนเราจะมีปริมาณ 5,000 ซีซี ซึ่งเลือดที่อยู่ในช่องท้องก็มีปริมาณเกินครึ่งหนึ่งของเลือดทั้งหมดในร่างกายแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทันทีที่ทราบผลการชันสูตรของนิติเวช ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนพรัตน์ ได้เรียกแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเข้าประชุมด่วน เพื่อสอบถามรายละเอียดข้อเท็จจริงทั้งหมดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มาจากสาเหตุใด พร้อมตรวจสอบบันทึกการให้การรักษาและเวชระเบียน เนื่องจากผลสรุปสาเหตุการเสียชีวิตไม่ตรงกับผลชันสูตรของทางสถาบันนิติเวช

ด้าน นพ.อำนาจ กุสลานันท์ เลขาธิการแพทยสภา กล่าวว่า ได้รับทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแล้วว่าการเสียชีวิตเกิดจากมดลูกแตก ดังนั้น กรณีนี้คงจะรีบนำเข้าคณะกรรมการจริยธรรม เพื่อสืบสวนข้อเท็จจริงต่อไป โดยแพทยสภาพร้อมให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียหายและแพทย์ภายในกรรมการจริยธรรม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนพรัตน์เรียกประชุมแพทย์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์สอบถามผลการประชุม โดย นพ. อุทัย ตัณศลารักษ์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลนพรัตน์ กล่าวว่า ทางโรงพยาบาลจะไม่ให้ข่าวหรือให้สัมภาษณ์กรณีการเสียชีวิตของ น.ส.น้ำอ้อย โดยจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงที่ นพ. เรวัต วิศรุตเวช อธิบดีกรมการแพทย์ ตั้งขึ้น และรอผลสรุป ซึ่งไม่ว่าผลการสอบสวนจะออกมาอย่างไร ทางโรงพยาบาลก็จะดำเนินการตามนั้น

ผู้สื่อข่าวถามว่า ส่วนกรณีที่สถาบันตินิติเวชระบุว่า การเสียชีวิตของ น.ส.น้ำอ้อย เกิดจากมดลูกแตก ไม่ใช่น้ำคร่ำไหลสู่กระแสเลือดนั้น นพ.อุทัย กล่าวว่า คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่กรรมการสอบข้อเท็จจริงดำเนินการ

น.ส.น้ำอ้อย ตุ้มทับ อายุ 22 ปี ผู้ตาย

โดย: น่าสงสาร ขอให้ได้รับความเป็นธรรม [2 ก.พ. 52 19:41] ( IP A:58.9.184.134 X: )
ความคิดเห็นที่ 9
    เจ้าประคู้ณ .... ขอให้จบแบบโปร่งใสตรวจสอบได้เถิด ไม่อย่างนัน้งานเข้าเครือข่ายอีกแล้วคุณพี่อุ้ยเตรียมตัวได้
โดย: เจ้าบ้าน [2 ก.พ. 52 21:55] ( IP A:124.122.241.192 X: )

คลิกที่นี่เพื่อกลับหน้าบ้าน