ความคิดเห็นที่ 5 ผมไปอ่านได้ซัก สิบ ความเห็นๆได้
รู้สึกว่า เป็นความเห็นกลางๆ ทั้งสองฝากที่พอจะแยกข้างได้ว่า อันนี้เข้าข้างหมอ อันนั้นเข้าข้างคนไข้
ผมว่านะ ทั้งหมดในภาพรวบยอดก็คือ
ความไม่รู้ของคนไข้ ในอดีตที่เคยมอบความไว้วางใจร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มให้กับวิชาชีพหมอ ประกอบกับไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณถึงกรณีรักษาผิดพลาดทั้งหลาย โดยผู้ที่ประสบเหตุด้วยตนเองสำหรับด้านที่เป็นคนไข้ ก็รับรู้เพียงว่า เหตุสุดวิสัย แล้วกันไป
แต่สิบกว่าปีหลังนี้ นับจากแพทยสภา (ก๊กที่มี ก.ก. ชุดที่ถูกท่านประธานเครือข่ายฟ้องมาตรา 157 ฐานปฏิบัติหน้าที่โกง+ฉ้อฉลในกระบวนการพิจารณา) รับเลือกเข้ามาทำหน้าที่กรรกการในวิชาชีพ
แล้วปรากฏหลักฐานออกมาเป็นระยะๆ และ เรื่อยๆ ว่า มีคดีร้องเรียนแพทย์ที่ถูกตัดสินว่า "ไม่มีมูล" หลายสิบหลายร้อยคดีเข้า กลายเป็นคดีที่ "มีมูล" จริงทั้งในแง่ทางวิชาการ และในแง่ของการดำเนินการพิจารณาและขั้นตอนที่ฉ้อฉล ซึ่งถูก "เปิดเผย" โดยแพทย์อาวุโสหลายท่านเข้า
โดยเฉพาะคดีของท่านประธานเครือข่าย เป็นคดีตัวอย่างที่มีหลักฐานแสดงต่อสาธารณะได้อย่างชัดแจ้งว่า มีการฉ้อฉลตั้งแต่ที่แพทย์/โรงพยาบาลคู่กรณี ไปจนถึงแพทยสภา เรื่อยไปจนถึงกระบวนพิจารณาคดีในชั้นศาลที่ "ค้างคาเป็นคดีประวัติศาสตร์ของวงการ" ชัดเจนมาจนถึงทุกวันนี้
ทั้งโดยที่บรรดากรรมการแพทยสภาเหล่านั้น มีผลประโยชน์ทับซ้อนและต่างตอบแทนกันในฐานที่ต่างคนต่างก็มี "ประโยชน์ส่วนตน" ในแวดวง "บริการทางการแพทย?เชิงพานิชย์" ที่ทำให้มีมูลเหตุจูงใจที่ต้องเอื้อกันอย่างฉ้อฉลต่อหน้าที่ในฐานะกรรมการแพทยสภาในการอำนวยความยุติธรรมต่อกรณีร้องเรียนทางการแพทย์ที่เข้าไปยื่นเรื่องไว้ "นับร้อยคดี" เท่าที่มีการเปิดโปงจาก "คนภายในเอง" ซึ่งเชื่อว่าน่าจะไม่มีเพียงเท่านั้น
ทั้งหมดทั้งปวงที่ว่ามา ทำให้เราได้ภาพรวมว่า ระดับอาจารย์แพทย์ที่มีตำแหน่งในแพทยสภา สามารถทำเรื่องฉ้อฉลโกงๆอย่าง "โจรๆ" เช่นนี้มาได้เป็นปีๆ และ กับจำนวนนับร้อยคดีเท่าที่สาธารณชนสามารถรับรู้ได้จนทุกวันนี้
ลูกศิษย์ลูกหาของ "อาจารย์หมอที่ประพฤติเยี่ยงโจร" กลุ่มนี้ ที่ยังคงเลือกพวกนี้เข้ามาเป็นกรรมการแพทยสภา "ซ้ำแล้วซ้ำเล่า"
ภาพหรือความนึกคิดของมวลชนคนไข้ที่กินข้าวแต่ไม่ได้กินแกลบ ซึ่งมีต่อ วิชาชีพแพทย์ จะวิบัติชิบหายไปมากมายเพียงไหน?????
ก็ในเมื่อ "หมอผู้ใหญ่" มันโกงมันโกหก จนเป็นนิสัย/สันดานซ้ำซากจะเจนมากอย่างนั้น การที่ปรากฏคนไข้ที่ "มักจะระแวงสงสัย" ความถูกต้องในการรักษาคนตนเมื่อเกิดเหตุไม่ปรกติหรือผิดคาดขึ้นกับการรักษาที่พวกเขาได้รับจากหมอรุ่นหลังๆถัดมา
ก็ย่อมเกิดได้บ่อยๆถี่ๆ เป็นธรรมดา
และนี่ยังเป็นเหตุที่อธิบายว่า ทำไม บรรดาหมอโจรๆชั้นผู้ใหญ่บางคน ทั้งที่ ส.ธ. และในแพทยสภา รวมตลอดถึงหมออาวุโสที่เปลี่ยนงานตัวเองไปทำงานในตำแหน่งทางบริหารหรือนิติบัญญัติของประเทศ (แต่ยังแฝงประโยชน์ที่ได้รับจากเพื่อนหมอด้วยกัน) ก็ยังลอยหน้าลอยตาออกมาป้องหมอด้วยกันทุกครั้งเมื่อเกิดกรณีผิดพลาดทางการแพทย์ขึ้น
ทั้งยังพ่วงกับกิจกรรม ที่ขัดๆกันกับ "หน้าที่" ในตำแหน่ง ประเภทกิจกรรมให้ความรู้หมอในเรื่องกฎหมายเพื่อป้องกันตนเองจากการถูกฟ้อง แต่ไม่ยักกะจัดกิจกรรมให้ความรู้คนไข้ในการระวัง/สังเกตข้อผิดพลาดทางการแพทย์ที่อาจเกิดได้บ่อยๆ หรือ
แจ้งสถิติสิบปี หมอถูกฟ้องเกือบรอยคดี แล้วทำข่าวออกสื่อซะใหญ่โตและถี่ๆ แต่คนไข้ตาย (นับเฉพาะที่ตาย ไม่นับที่รอดแต่ชิบหายต่อเนื่อง) ปีละนับหมื่นๆคน ตรงนี้กลับไม่พูดไม่ปูดออกมา ต้องปล่อยให้ "คนไข้" ที่เจอเข้ากับตัวเองแล้วเท่านั้น ที่จะออกมา เรียกร้องต่อสู้ ด้วยกำลังเงิน+ซากร่างกายที่เหลืออยู่ กับอำนาจรัฐผ่านแพทยสภาและกระบวนการยุติธรรมไปจนถึงชั้นศาลที่เข้าข้างกันชัดแจ้ง
ทั้งหมดนี่แหละ คือ คำอธิบายรวบยอดของความเป็นไปในวงการแพทย์ทุกวันนี้
แล้วก็จะเป็นอย่างนี้ "ต่อไปอีก" ตราบเท่าที่เรายังได้กรรมการ แพทยสภา ที่ทำตัวเป็นสภาแพทยโจรและหน้าเดิมๆเข้ามาทำงานอยู่เช่นที่ได้เข้ามาอีกในการเลือกตั้งเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้
เฮ้อ อนาถวงการแพทย์ไทย และบรรดาเศรษฐีต่างชาติหน้าโง่ที่หลงเข้ามาใช้บริการ เมดิคอลฮับของไทยแลนด์ แดนอาจารย์หมอ "โจร" |