ความคิดเห็นที่ 2 ชั่วนาตาปี ก็คิดกันได้แค่นี้ว่า ทำยังไงถึงจะไม่ถูกฟ้อง?????
พุทธวจนะอันเป็นอมตะ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นล้วนเกิดขึ้นแต่ " เหตุ " เมื่อเหตุนั้น " ดับ " ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดับ
สองประเด็นใจกลางของความขัดแย้งระหว่าง "หมอ" กับ "คนไข้" ที่เป็นอยู่ตลอดมาจนกระทั่งทุกวันนี้ก็คือ
๑. ความผิดพลาดจนคนไข้เสียหายหนักและ/หรือเสียชีวิต ไม่ได้รับการเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาและทันท่วงทีเพื่อให้กลไกการช่วยเหลือ "เดินหน้า" ได้อย่างทันเวลา และ
๒. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง หรือ มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง ไม่ทำตามหน้าที่อย่างซื่อตรง และในหลายกรณีมากที่ถึงกลับทำตรงกันข้ามในลักษณะที่ "ฉ้อฉลเรื่อยไปจนถึงขนาดโกงเยี่ยงโจร" ในลักษณะที่เข้าข้างและ/หรือช่วยเหลือฝ่ายหมอ
ความเป็นไปด้านข้างที่เคลื่อนไหวอยู่ตอนนี้ ก็คือ การพยายามก่อกระแสความคิดสาธารณในการมุ่งความเห็นใจต่อ "อาชีพหมอ" เพื่อกลบหรือเบี่ยงเบนการรับรู้ของสาธารณชนถึงด้านที่เลวทรามไร้ความรับผิดชอบของฝ่ายหมอ ขณะที่ก็มีการเคลื่อไหวคู่ขนานกันไปทางกระบวนการบัญญัติและบังคับใช้กฎหมาย ให้มีกฎหมายฉบับพิเศษหรือแทรกด้วยเงื่อนไขที่ขัดความชอบธรรมของมหาชนที่เอื้อประโยชน์ทางคดีหรือเว้นโทษ/การรับผิดทางคดีของฝ่ายหมอ ซึ่งคำพิพากษา "ยกคำร้องในชั้นไต่สวนที่ศาลฎีกาของประธานเครือข่ายฯ ที่กล่าวหาแพทยสภาทั้งคณะในมาตรา ๑๕๗" เป็นตัวอย่างตรงๆของการเคลื่อนไหวเพื่อปิดทางต่อสู้อันชอบธรรมของคนไข้ทั้งหมด ซึ่งรวมทั้งตัวและครอบครัวของผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีนี้ด้วย
ขอส่งข่าวนี้เตือนไปที่บรรดาผู้พิพากษาและครอบครัวของท่านทุกๆคนว่า การพิจารณาคดีใดๆก็ตามของท่านที่เข้าข่ายเอื้อประโยชน์ทางคดีหรือทางกฎหมายให้แก่แพทยสภาหรือ "อาชีพหมอ" ในลักษณะที่ขัดต่อสำนึกแห่งความชอบธรรมของมหาชน ผลที่ท่านได้ทำไปในวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อครอบครัวของท่านหรือเมื่อท่านหมดอำนาจลง ก็จะได้รับผลเฉกเช่นเดียวกับที่ผลการตัดสินที่ท่านได้ทำไปแล้วแก่ฝ่ายคนไข้ผู้เสียหาย การตัดสินของท่านได้ก่อให้เกิดกลุ่มอภิสิทธิ์ชนพิเศษที่เริ่มการได้รับเว้นโทษทางกฎหมายกันขึ้นแล้ว และทำให้สังคมนี้รับรู้ว่ามีวงการหนึ่งที่กลุ่มคนได้รับการ "ป้องที่ผิดๆทางกฎหมาย" ซึ่งก็คือวงการผลประโยชน์ทางฉ้อฉลของอาชีพ หมอความ และ แพทย์
พวกท่านได้ตบหน้ามหาชนกลุ่มใหญ่ของประเทศนี้ที่ไม่ได้กินแกลบ และไม่ได้มีความรู้ความสามารถด้อยกว่าพวกท่านเลย |