มีคนพวกหนึ่งโกหกว่าคนเก่งไม่เรียนแพทย์ แต่เรียนตั้งแต่พ่อ พี่ น้อง ฯลฯ
   https://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000038862
ทันทีที่ กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย หรือ กสพท. ประกาศผลการคัดเลือกบุคคลเพื่อเข้าศึกษาต่อในคณะแพทยศาสตร์ 12 สถาบัน ชื่อของ “สิทธิ์ อัศววรฤทธิ์” ก็กลายเป็นที่กล่าวขานถึงทันที เพราะคะแนนสอบรวมที่เขาทำได้นั้นคือ 79.1% ซึ่งเป็นคะแนนอันดับหนึ่งของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอันดับ 1 ของกลุ่ม กสพท.


“สิทธิ์” หรือ “อิงค์” เด็กหนุ่มวัย 18 ปี ซึ่งเพิ่งพ้นจากรั้วโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษามานั้น เป็นบุตรชายของ “นพ.วิชิต อัศววรฤทธิ์” แพทย์ผู้ชำนาญการพิเศษ สาขาอายุรกรรม โรงพยาบาลสิงห์บุรี และ “ท.ญ.สุจินดา อัศววรฤทธิ์” โดยมีพี่ชาย คือ “นายพฤทธิ์ อัศววรฤทธิ์” ปัจจุบัน เป็นนิสิตชั้นปีที่ 3 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่วนน้องชาย คือ นายสรรค์ อัศววรฤทธิ์ ปัจจุบัน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทพศิรินทร์

“สิ่งสำคัญสำหรับผมก็คือความสุข มีความสุขอย่างมีสติ” อิงค์ เปิดปากเล่าเคล็ดการเรียนและอ่านหนังสือของเขา

“ผมบอกกับเพื่อนๆ และน้องๆ ตลอดว่า ความสุขกับการเรียนเป็นเรื่องสำคัญ น้องบางคนก็จะมีคำถามกลับมาว่า แล้วพี่มีความสุขกับการเรียนจริงๆ หรือ ซึ่งผมบอกได้ว่า หากไม่ใช่การถูกยัดเยียดให้เรียนเรามีความสุขได้แน่นอน ผมเริ่มต้นจากการตั้งคำถามกับตัวเองว่า เรามีความสุขกับการทำอะไร ผมมีความสุขกับการอ่านหนังสืออ่านเล่น อ่านนวนิยาย สนุกกับการเล่นมากกว่าเรียน ก็ต้องถามตัวเองต่อว่า อะไรเป็นข้อแตกต่างระหว่างหนังสือเรียนกับหนังสืออ่านเล่น หากเรารู้ข้อแตกต่างแล้ว ก็ต้องดูว่าเราสามารถเอามันมาช่วยในการเรียนได้อย่างไร หากเราอ่านนิยายแล้วรู้สึกมันตื่นเต้น สุดยอด ก็ต้องทำให้การอ่านหนังสือเรียนมีความรู้สึกเช่นนั้น

บางคนอาจจะคิดว่าเรียนให้มันจบๆ ไป ผมว่านั่นเป็นการเสียเวลา เพราะชีวิตเราอยู่บนโลกไม่กี่หมื่นวัน หน้าที่ที่สำคัญช่วงวัยเด็กมีเพียงเรื่องเดียว คือการเรียนรู้ทุกอย่าง ไม่ว่าเป็นวิชาการ หรือการทำกิจกรรม ดังนั้น ต้องคิดว่าการเรียนคือความสุขของชีวิต สนุกกับการเรียนรู้ให้เต็มที่ และเป็นเรื่องน่าเสียดายและเสียเวลาหากคิดว่าการเรียนเป็นความทุกข์”

เมื่อถามถึงกลยุทธ์ที่ใช้ในช่วงเตรียมตัวก่อนสอบ อิงค์กล่าวว่า การเตรียมพร้อมของแต่ละคนแตกต่างกัน วิธีของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บางคนอาจนำวิธีของคนอื่นไปใช้ได้ ขณะที่บางคนนำไปใช้แล้วอาจจะไม่ได้ผล สำหรับตัวเขาเองนั้นไม่ได้อ่านหนังสือเยอะกว่าคนอื่น แต่ที่คิดว่าช่วยให้ทำข้อสอบได้เยอะ คือการฝึกทำข้อสอบเก่า ซึ่งจะทำให้เรารู้ว่าเราผิดพลาดตรงไหน ลืมตรงไหน และสามารถทบทวนในจุดนั้นๆ ได้ ขณะที่การอ่านหนังสือคือการอ่านทั้งหมด เป็นการทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่บางครั้งเราไม่รู้ว่าเราหลงลืมตรงไหนไป

นอกเหนือจากการเรียนหนังสือแล้ว สิ่งที่อิงค์ให้ความสำคัญไม่แพ้กันก็คือ การทำกิจกรรม โดยใช้เวลาในช่วงที่เรียนอยู่ชั้น ม.5 ร่วมทำกิจกรรม จัดนิทรรศการกับเพื่อนๆ

“การทำกิจกรรมให้ความสนุก มีความสุขกับการใช้ชีวิต ทำให้เราได้รู้จักคนดีๆ เก่งๆ อีกหลายคน ซึ่งบางครั้งเราอาจไม่มีโอกาสได้เรียนร่วมห้องกัน แต่ผมชื่นชมเพื่อนบางคนมากถึงแม้เขาไม่ได้สอบได้ที่ 1 แต่เขาเป็นคนเก่งที่สามารถแบ่งเวลาได้ดีมาก ระหว่างการเรียนกับทำกิจกรรม ขณะที่บางคนเป็นประธานนักเรียนด้วยแล้วยังสอบเข้าแพทย์ จุฬาฯ ได้อีก ผมว่าเขาเก่งกว่าผม”


อิงค์เปิดเผยอีกว่า การหมกมุ่นกับการอ่านหนังสือเรียนเป็นแนวทางเตรียมตัวสอบที่สุดโต่งเกินไป ต้องหาเวลาพักผ่อน หรือเล่นกีฬาบ้าง เพื่อให้ผ่อนคลาย

เมื่อถามว่าผลคะแนนที่ออกมา อิงค์พึงพอใจและสมกับความตั้งใจของตนเองหรือไม่ เขาตอบอย่างไม่ลังเลเลยว่า

“เกินความคาดหมายครับ เพราะผมแค่คิดว่าสอบเข้าได้ก็โอเคแล้ว ผมไม่ได้คิดว่าจะต้องสอบได้ที่ 1 ผมไม่ใช่คนเก่งอะไร ตอนทำข้อสอบก็มีข้อที่ผมทำไม่ได้ ผมก็คิดแค่ว่ามีตัวเลือก 4 ตัว ก็เลือกไปสักตัวหนึ่ง เพราะมันทำไม่ได้จริงๆ แล้วก็อย่าเก็บเอามาเครียด มันไม่มีวิธีไหนที่ดีกว่านี้แล้ว การสอบได้คะแนนรวมเป็นอันดับ 1 ของผม ทำให้ผมเริ่มต้นลำบากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ นิดหน่อยด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่เป็นไร ผมจะไม่ให้คะแนนที่ได้วันนี้มากดดันตัวเอง ทุกอย่างมันขึ้นลงได้ ได้ที่ 1 ก็แค่ที่ 1 วันหนึ่งผมอาจจะทำคะแนนได้น้อยกว่าคนอื่นอีกเยอะก็ได้”


สำหรับสิ่งที่ช่วยผลักดันให้อิงค์มาถึงวันนี้ได้ คือ “ครอบครัว” ซึ่ง อิงค์ ย้ำว่าครอบครัวมีส่วนช่วยสนับสนุนเยอะ เพียงแค่การที่เขาได้อยู่ในครอบครัวที่ไม่ต้องลำบาก หาเงินเรียนเองก็นับว่าช่วยเรื่องเรียนได้มากแล้ว ซึ่งพ่อและแม่ต่างก็ดีใจกับความสำเร็จของเขาในวันนี้

“คุณพ่อบอกว่าดีใจด้วย และงานหนักกำลังรออยู่ข้างหน้า” อนาคตนักศึกษาแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวปนเสียงหัวเราะ

ด้านนางสุจินดา อัศววรฤทธิ์ มารดาน้องอิ๊งค์ อายุ 49 ปี กล่าวว่า รู้สึกแปลกใจ เพราะไม่คาดว่าลูกจะสอบได้ที่ 1 แต่ภูมิใจในตัวลูกมาก ตั้งแต่เลี้ยงลูกคนนี้มาเป็นเด็กดีมีเหตุผล เชื่อฟังไม่ออกนอกลู่นอกทาง แบ่งเวลาเรียนและเวลาส่วนตัวได้ดี ตัวเองก็ยอมลาออกจากการเป็นทันตแพทย์มาทุ่มเทเวลาให้กับการเลี้ยงดูลูกชายทั้ง 3 คน คนโตกำลังเรียนแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ส่วนคนเล็กเรียนอยู่ ม.5 โรงเรียนเทพศิรินทร์ ลูกทุกคนจะเป็นเด็กมีเหตุผลและพูดคุยปรึกษาปัญหาได้ทุกเรื่อง ทำให้ลูกไม่มีปัญหาหรือเก็บกด


ขณะที่ ไอซ์ - พฤทธิ์ อัศววรฤทธิ์ นิสิตชั้นปีที่ 3 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พี่ชายของอิงค์เล่าถึงน้อยชายคนเก่งของเขาว่า น้องชายเป็นคนเรียนดี อารมณ์ดี ไม่เครียด สนุกสนานเร่าเริง แต่มีสมาธิเวลาทำอะไรก็จะตั้งใจทำอย่างสม่ำเสมอ สำหรับการเตรียมความพร้อมในการสอบ ในฐานะของพี่ชายมีคำแนะนำหรือไม่อย่างไรนั้น ไอซ์ บอกว่า จริงๆ ก็ไม่ได้มีคำแนะนำอะไรเป็นพิเศษ เพียงแต่เน้นย้ำให้ตั้งใจเรียนในห้องเรียนให้ดีที่สุด มีสมาธิ จดจ่อกับเนื้อหาที่เรียน และพยายามกลับมาบททวนเนื้อหาให้ได้มากที่สุด รวมไปถึงการให้ความสำคัญกับการแบ่งเวลาทั้งเล่น และเรียน เพื่อไม่ให้เกิดความเครียดกับเรื่องเรียนเพียงอย่างเดียว และในการเตรียมตัวก่อนสอบก็แนะนำเพียงแค่ให้มีสมาธิกับการอ่านหนังสือ มีสมาธิในการทำข้อสอบ เพราะเมื่อมีสมาธิแล้วเนื้อหาทุกอย่างก็จะจำได้เอง

“ในส่วนของครอบครัวก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก ทุกอย่างให้เป็นการตัดสินใจของเขาทั้งหมด เพราะไม่ว่าจะเรียนอะไรหากเป็นในสิ่งที่เขารักก็เชื่อว่าสิ่งนั้นจะเป็นผลดีกับตัวเขาที่สุด แต่ภายหลังจากทราบผลก็ได้แสดงความยินดีด้วยแต่ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เพียงแต่บอกว่าผลที่ออกมาก็มาจากความพยายามของตัวเขาเอง ถือเป็นรางวัลที่เขาตั้งใจทำจนนำมาสู่ความสำเร็จได้ในวันนี้” ไอซ์เผย


ไอซ์ยังฝากทิ้งท้ายด้วยว่า สำหรับน้องๆ ที่พลาดหวัง ก็อย่าไปเครียดอะไรมาก เพราะไม่ว่าจะเรียนสาขาใด และจบไปทำอาชีพอะไรก็เป็นอาชีพที่สร้างประโยชน์ให้กับบ้านเมืองได้ทั้งหมด ไม่เฉพาะเพียงหมอ หรือวิศวะ เพียงแต่สิ่งที่ทุกคนเลือกเรียนขอให้เป็นสิ่งที่ตนเองรักก็พอ ไม่ว่าจะเรียนที่ไหนก็จะมีความสุขกับการเรียนในทุกๆ ที่
โดย: เงินอยากได้ ตายห้ามฟ้อง [6 เม.ย. 52 18:40] ( IP A:58.8.5.176 X: )
Add to Facebook  Add to Twitter  Add to Multiply  Add to Google  Add to Blogger  Add to Live
ความคิดเห็นที่ 1
   เงินอยากได้นี่มันแปลว่าอะไรเหรอครับ มา รพ ก็ใช้บัตรทองนี่นา
โดย: เงินอยากได้ ตาย 10 ล้าน [6 เม.ย. 52 19:25] ( IP A:125.26.106.180 X: )
ความคิดเห็นที่ 2
   ความเห็นที่ 2 แสดงว่าไม่เคยจนมาก่อน จึงกล่าวได้เช่นนี้

ก็เพราเป็นคนไข้บัตรทองน่ะซิ
หมอถึงรักษาแบบขอไปที สองที (หมอบางคนนะไม่ได้ว่าทุกคน)
เอ่อก็เสือกเกิดมาจนไง มันเลยต้องอาศัยบัตรทอง เกิดมาเป็นคนรวยได้ เลือกได้ก็ดีซิ จะเลือกเป็นลูกคนโคตรรวยเลยแล้วเจอหมอนิสัยแย่ ๆ ก็จะได้เอาเงินโคตรรวยมาฟ้อง ไม่ต้องมาอด ๆ อยาก ๆ หาเงินฟ้องหมอแบบทุกวันนี้หรอก เชอะ !!!!


ต้องการความเป็นธรรมจะมีให้คนจนบ้างไหมหล่ะงานนี้...

เงินกระทรวงก็มีจ่าย หมอไม่ได้ควักกระเป๋าสักหน่อย ผิดก็ช่วยเขาไปซิ เรื่องมากกันทำไม ....เห็นชีวิตเขาเป็นผักเป็นปลามันก็เป็นปัญหาอย่างนี้แหล่ะ

โดย: เสือกเกิดมาจน ...ถุยชีวิต [6 เม.ย. 52 20:04] ( IP A:222.123.22.82 X: )
ความคิดเห็นที่ 3
   ตกลงว่าเงินอยากได้นี่แปลว่าอะไร - -''
โดย: เงินอยากได้ [6 เม.ย. 52 20:51] ( IP A:58.8.220.138 X: )
ความคิดเห็นที่ 4
   เงินอยากได้ แปลว่า
ถ้าเป็นของหลวง โรงพยาบาลก็รับไป หัวละ 1000 กว่าๆ โรงละหลายร้อยล้าน แต่ตายห้ามฟ้อง เงินพวกนี้ ชาวบ้านเสียภาษีให้ก่อนแล้ว
ถ้าเป็นคลินิก ก็จ่ายกระเป๋าตัวเอง
ถ้าเป็นโรงพยาบาลเอกชน ถ้ารับ 30 บาท ก็แบบกรณีแรก รับปีละหลายร้อยล้าน แต่ไม่ยอมจ้างหมอสูติ หมอศัลย์ ให้พอเพียง
ถ้าเป็นเอกชน ก็เงินคนไข้ จ่ายเอง
แค่นี้คิดไม่เป็น ทำเป็นงง
โดย: ซ ต อ [6 เม.ย. 52 21:17] ( IP A:58.8.5.176 X: )
ความคิดเห็นที่ 5
   ยินดีต้อนรับน้องใหม่ นศพ.
จบออกมาขอให้เป็นหมอที่ดี
ใจกว้าง อย่าให้เป็นเหมือนรุ่นแก่เกินแกง
ประเภทยิ่งแก ยิ่งเลว บางคน เก่งแต่โกงไม่มีจริยธรรม

โดย: ยินดีต้อนรับน้องนศพ. [7 เม.ย. 52 7:11] ( IP A:58.9.192.189 X: )
ความคิดเห็นที่ 6
   มาจาก....ครอบครัวหมอ แต่ยังสอบเข้าหมอ
แสดงว่าคุณพ่อ+คุณแม่ สอนลูกมาดี
ไม่ได้ให้ทัศนคติที่เลว ๆ เหมือนพวกปากไม่มีหูรูดบางคน
ในแพทยสภา อย่างน้อยก็ขอให้ไม่ย้ายคณะ

โดย: อย่าย้ายคณะ [7 เม.ย. 52 7:14] ( IP A:58.9.192.189 X: )
ความคิดเห็นที่ 7
   มันมีความจริงอยู่ว่า ในสหรัฐ เงินค่าประกันที่หมอจ่ายบริษัทประกันเพื่อใช้คนไข้เวลาหมอถูกฟ้องนั้น เป็นเพียง 3-5 % ของรายได้แพทย์
คือเก็บคนไข้ 100 บาท จ่ายประกัน 3-5 บาท หมอได้ 97-95 บาท
เวลาคนไข้เสียหาย บริษัทประกันมีเงินจ่ายทีละเป็น 10-100 ล้าน
ของไทย รพ เกือบทุกแห่งรับเครดิตการ์ด ซึ่งโดนหัก 3-5 %
ทีเครดิตการ์ดให้เขาหักได้ ทีค่าประกันจ่ายไม่ได้ ทำเป็นโวย
ของพวก 30 บาท กฎหมายเขาระบุให้กันเงิน 2% ไว้จ่ายเวลาเสียหาย ฟ้องไม่ฟ้อง ว่ากันอีกที ถ้าเสียหายจ่ายเลย (ถ้าหมอผิด) ถ้าไม่ผิดไม่เสียหายไม่ต้องจ่าย
โดย: เงินอยากได้ ไม่ค่อยอยากจ่าย [7 เม.ย. 52 7:26] ( IP A:58.8.4.243 X: )
ความคิดเห็นที่ 8
   แล้วแวลาคุณฟ้อง คุณฟ้อง 2-3% ของรายได้แพทย์หรือเปล่า

เพราะ 2-3 % ของแพทย์ มันไม่ถึง 10 ล้าน ให้เท่ากับจำนวนที่คุณฟ้องหรอก

หมอ รพ รัฐ บางคน รายได้ก็เฉลี่ย ประมาณ 5-6แสนต่อปี(ได้ขนาดนี้ต้องอยู่เวรแบบกระอักเลือดนะครับ)

อย่าลืมว่า คนโดนรถ ชนตาย ผมก็เห็นเค้าเคลียร์กัน ประมาณ 4-5 แสน แต่ถ้าตายจากมือหมอ ไม่ว่าหมอจะผิดหรือไม่ จะเรียก 10 ล้านเป็นอย่างน้อย ทำไม ราคามันต่างกันนัก
โดย: ไป รพ ฟรีแต่เอานู่นเอานี่ ตายเอา 10 ล้าน [7 เม.ย. 52 8:18] ( IP A:125.26.106.68 X: )
ความคิดเห็นที่ 9
   เรียนความเห็นที่ 9
คุณอยู่ในสังคม คุณต้องเข้าใจบ้างว่าสังคมเขามีกฎระเบียบในการอยู่ร่วมกันอย่างยุติธรรม เรียกว่ากฎหมาย
เหมือนที่เขาคุ้มครองอาชีพคุณ ถ้าไม่เรียนหมอมามีใบอนุญาตก็ห้ามรักษาคนไข้
ขณะเดียวกันเขาก็คุ้มครองชาวบ้านว่า ถ้าใคร ไม่ว่าหมอ โชเฟอร์ วิศวกร ฯลฯ ทำประมาทแล้วเขาพิการ, ตาย ต้องใช้ค่าเสียหายเขา
และค่าเสียหายให้ใช้ตามที่เขาเสียหาย นี่เป็นกฏหมาย เท่าเทียมกันทุกคน
เวลาเขาฟ้อง เขาก็ฟ้องเรียกเงินตามสิทธิ์ที่เขาควรได้ แต่ศาลจะให้เท่าไหร่ ก็ต้องยุติธรรมต่อทั้งสองฝ่าย
มีคดีรถชนตาย(ตกรถเมล์) ก็เห็นจ่าย 10 ล้าน
แต่มีหมอโดนรถเมล์ชนตายที่ปากน้ำก็ยังได้น้อยกว่า
ก็แล้วแต่คนฟ้องและนำสืบให้ศาลเห็น
เงินที่พวกหมอจ่ายคนไข้ ก็เพียง 3-5 % ถ้าช่วยกันออก
คดีดอกรักเห็นว่าจะเรี่ยไรหมอคนละ 100 บาท
3 หมื่นคนก็ได้ 3 ล้าน มากกว่าแปดแสนที่ศาลให้เสียอีก
โดย: เข้าใจใหม่ ใช้สมองคิด อย่าอคติ [7 เม.ย. 52 8:48] ( IP A:58.8.4.243 X: )
ความคิดเห็นที่ 10
   ศาลพิพากษาโชเฟอร์207-ขสมก.จ่ายเงินชดเชยพ่อน.ศ.เอแบคตกรถเมย์เสียชีวิต 10 ล้าน

ศาลพิพากษาโชเฟอร์207-ขสมก.จ่ายเงินชดเชยพ่อน.ศ.เอแบคตกรถเมย์เสียชีวิต 10 ล้าน
ศาลแพ่งพิพากษาโชเฟอร์ตีนผีสาย 207-ขสมก. - บริษัทเดินรถร่วม จ่าย พ่อนักศึกษาเอแบค กว่า 10 ล้าน พ่อเหยื่อซึ่งใจลูกสาวไม่ตายเปล่า ศาลสั่งจ่ายสูงสุดสร้างบรรทัดฐานสังคม

ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก วันที่ 22 มี.ค.49 เวลา 10.00น . ศาลมีคำพิพากษาคดีที่นายนำ และนางลักษณา โชติมนัส บิดา-มารดาของ น.ส.ปิยะธิดา หรือน้องฮุ่ย นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะบริหารการเงินระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) ที่เสียชีวิตจากการพลัดตกจากรถประจำทางร่วมบริการ สาย 207 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายทวิม แสงเดช พนักงานขับรถประจำทางสาย 207 , นายธนะสิทธิ์ วรโชติหิรัญศิริ ในฐานะนายจ้าง , นายฤกษ์ชัย เรืองกิตติยศยิ่ง ผู้ที่มีชื่อเป็นเจ้าของรถ , บริษัท207 เดินรถจำกัด , นายเชาวน์ กระแสร์ชล ผู้ที่มีชื่อได้รับสัมปทานเดินรถ และองค์การขนส่งมวลชน

กรุงเทพ ( ขสมก.) เป็นจำเลยที่ 1-6 เรื่องละเมิด เรียกค่าสินไหมทดแทน 12,081,211 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี กรณีเมื่อวันที่ 14 ก.ย.47 นายทวิม ขับรถด้วยความประมาทด้วยความเร็วทำให้ น.ส.ปิยะธิดา พลัดตกจากรถสาย 207 ที่บริเวณแยกลำสาลี ทำให้ศรีษะกระแทกพื้นอย่างรุนแรงและเสียชีวิตในที่สุด

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่ทั้งสองฝ่ายนำสืบหักล้างการแล้ว มีประเด็นต้องวินิจฉัยประการแรก โดยจำเลยนำสืบต่อสู้ว่า โจทก์ทั้งสองไม่ได้เป็นบิดามารดาที่แม้จริงของผู้เสียหาย เห็นว่า ตามสำเนาทะเบียนบ้านระบุชื่อโจทก์ทั้งสองเป็นบิดาและมารดาของผู้ตาย ส่วนที่อ้างว่าบริษัทประกันภัยได้จ่ายค่าสินไหมให้แก่โจทก์ทั้งสองจำนวน 7.5 แสนบาท แล้วโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า เป็นการระงับข้อพิพาทของคู่สัญญาประกันภัยเท่านั้น โจทก์ทั้งสองยังมีสิทธิฟ้องผู้อื่นที่ละเมิดและเรียกค่าชดเชยในส่วนค่าเสียหายจากการขาดไร้อุปการะได้

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยต่อไปเหตุเกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 หรือ ผู้ตายนั้น ตามกฎหมายระบุว่า บุคคลใดเป็นผู้ควบคุมยานพาหนะ บุคคลนั้นจะต้องรับผิด เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย ซึ่งข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ขณะเกิดเหตุผู้ตายลุกจ้างที่นั่งไปที่ประตู ขณะที่รถโดยสารกำลังเลี้ยวขวาและเสียหลักล้มลงซึ่งหากประตูรถโดยสารปิดผู้ตายคงไม่ตกไปจากรถ แต่ขณะเกิดเหตุประตูลมแบบเปิด-ปิดอัตโนมัติของรถเสีย ผู้ตายจึงพลัดตกลงไป แม้จำเลยจะนำพยานเข้านำสืบระบุว่า กฎหมายไม่ได้บังคับให้รถโดยสารทุกคันต้องติดประตูลม แต่เมื่อรถโดยสารคันเกิดเหตุได้ติดตั้งประตูลมแล้ว ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นพนักงานขับรถต้องมีมาตรฐานความปลอดภัยในวิชาชีพ ย่อมต้องทราบดีว่ารถไม่ปลอดภัย ไม่สมควรนำมาใช้วิ่งให้บริการรับ-ส่งผู้โดยสาร ควรให้ช่างซ่อมแซมเพื่อความปลอดภัย ไม่ใช่ใช้สายยางรัดประตูซึ่งเป็นการขาดความระมัดระวัง ดังนั้นศาลเห็นว่าเหตุละเมิดเกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชอบ

สำหรับจำเลยที่ 2-6 ต้องรับผิดชอบการกระทำของจำเลยที่ 1 หรือไม่ ศาลเห็นว่า จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถและประกอบกิจการเดินรถร่วมกับจำเลยที่ 4 จึงถือว่า ต้องร่วมรับผิดชอบจากละเมิดฐานเป็นนายจ้าง ส่วนจำเลยที่ 5 เป็นผู้รับสัมปทานจากจำเลยที่ 6 ซึ่งได้รับส่วนแบ่งจากการประกอบการเดินรถดังนั้นจึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1, 2 และ 4 ด้วย

โดยศาลกำหนดให้ชำระค่ารักษาพยาบาลตามใบเสร็จของโรงพยาบาลรามคำแหงจำนวน 256,211บาท ค่าปลงศพจำนวน 250,000 บาท สำหรับค่าขาดไร้อุปการะที่โจทก์เรียกเดือนละ 50,000 บาทเป็นเวลา 20 ปี โดยคิดคำนวณจากโอกาสในอนาคตที่โจทก์จะส่งเสียผู้ตายไปเรียนปริญญาโทที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อสำเร็จการศึกษา จะสามารถทำงานมีรายได้เดือนละไม่ต่ำกว่า 1 แสนบาท โดยจำเลย ต่อสู้อ้างว่าเป็นการคำนวณและคาดเดาเอาเองของโจทก์นั้น ศาลเห็นว่าตามใบรับรองผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเอแบค ปรากฎว่าผู้ตายเรียนคณะบริหารการเงินระหว่างประเทศ มีผลการเรียนอยู่ในระดับดีมาก โดยเฉพาะภาษาญี่ปุ่น และภาษาอังกฤษ ประกอบกับฐานะการเงินของโจทก์จึงเชื่อว่าจะสามารถ

ส่งผู้ตายไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ และหากยังมีชีวิตอยู่เชื่อว่าผู้ตายจะมีโอกาสประกอบอาชีพและมี รายได้สูง แต่เมื่อชั้นพิจารณาโจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นถึงรายได้ของผู้ตายในอนาคตศาลจึงใช้ดุลยพินิจกำหนดค่าขาดไร้อุปการะในส่วนนี้ให้เองเดือนละ 46,000 บาท เป็นเวลา 20 ปี พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ7.5 ต่อปี และเมื่อหักค่าชดเชยที่โจทก์ได้รับไว้จากบริษัทประกันภัยแล้วจำนวน 750,000 บาท จึงพิพากษาให้จำเลยที่ 1, 2, 4, 5 และ 6 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสองเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 10,747,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จนกว่าจะชำระแล้วเสร็จ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3

ภายหลังนายนำ บิดา น.ส.ปิยะธิดา กล่าวว่า รู้สึกทราบซึ้งในความกรุณาของศาลที่พิจารณาให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายใกล้เคียงตามฟ้อง โดยศาลยังพิจารณาสร้างบรรทัดฐานให้ขสมก. ผู้ให้สัมปทานการเดินรถ รับผิดชอบบริษัทเดินรถที่ได้รับสัมปทาน ร่วมกันชดใช้และให้ความสะดวกและปลอดภัยกับประชาชนที่ใช้บริการ อย่างไรก็ดีหลังจากนี้ถ้าหากจำเลยไม่ยื่นอุทธรณ์คดีแต่จะเข้ามาขอเจรจาเพื่อปรับลดวงเงิน ตนยื่นยันว่าจะไม่ขอเจรจา แต่จะให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลดังกล่าว

ระหว่างพิจารณาคดีผมยังเดินทางไปเยี่ยมอัฐิของบุตรสาวที่วัดเป็นประจำ เพราะผมยังคิดถึงลูกเสมอซึ่งวันนี้ที่ศาลตัดสินมาบุตรสาวคงรับรู้ได้ว่าชีวิตเ-ขาจะไม่สูญเปล่า เพราะอย่างน้อยก็มีคำพิพากษาของศาลที่สร้างเป็นบรรทัดฐานของสังคม บิดา น.ส.ปิยะธิดากล่าว




โดย :นู๋ของขวัญ โพส
โดย: 10 ล้าน [7 เม.ย. 52 10:53] ( IP A:58.8.4.243 X: )
ความคิดเห็นที่ 11
   1411 สี่แยกบางนา
เมื่อเร็วๆนี้อาจารย์ประเวศ วะสี ได้คาดการณ์เกี่ยวกับเหตุ/ปัจจัยอันจะนำมาซึ่งการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของคนไทยช่วงอายุ 15-35 ปี ในระยะสองทศวรรษต่อไปนี้ว่ามีอยู่ 3 เหตุ..เอดส์ อุบัติเหตุ และยาเสพย์ติด
ผมเชื่อว่าหากเรา ท่าน ใช้ชีวิตตามควร
เหตุแรกเราต้อง..แส่เข้าไปหามัน ยกเว้นความซวยแบบสุดๆที่เกิดขึ้นขณะปะกอบอาชีพ
เหตุที่สามเราต้อง..เสือกมันเข้ามาหาเรา ไม่ว่าแบบเข็ม ชนิดสูดดม อม กลืน ฯลฯ
ส่วนเหตุที่สองนี่สิ ..มันไม่เคยเลือกว่าเขา ว่าใคร ใครเจอะเจอเข้าก็ถือว่าแจ็คพ็อท
ส่วนตัวเคยได้รับประสบการณ์ที่เกิดจากความเฮงซวยของผู้ร่วมทาง ร่วมถนน แบบว่าวันนั้นถ้ากุมสติได้ไม่มั่นคงก็เรียบร้อย เหมือนเขาถ่ายหนังฮอลลีวู้ด รถหมุนคว้าง360 องศาดีแต่ที่ว่าไม่พลิกเป็นลูกชิ้นปิ้ง ถ้าสถานการณ์แบบนั้นคงเอาไม่อยู่เหมือนกัน จากการแซงในที่คับขันของผู้ร่วมทางด้วยความเร็วบนทางหลวง(120 กม/ชม) ดีที่คุณพ่อของผมสอนมาดี..ลืมตา อ้าปาก หนีบศอก ล็อคพวงมาลัย..และที่สำคัญอย่าประมาท ต้องคาดเข็มขัดนิรภัย เหตุการณ์รุนแรงครั้งนั้นพิสูจน์ว่าลำพังเพียงแต่เข็มขัดนิรภัยก็สามารถตรึงตัวเราให้มั่นคงได้ดีทีเดียว(หมายเหตุ..อีแก่ของผมเป็นรุ่นไม่มีถุงลมนิรภัยครับ) หมดค่าซ่อมไปสองแสนกว่าๆ ยังดีที่ทำประกันชั้นหนึ่งไว้ ไม่งั้นหน้าแข้งของผมคงไร้ขน
เมื่อเร็วนี้เกิดกรณี รถเมล์ 1411 ก่อความพินาศให้กับผู้คนจะด้วยอะไรก็ช่างมันมีความสูญเสียแบบที่ไม่ควรจะเกิดและหนึ่งในนั้นเป็นแพทย์หญิงที่เพิ่งจะย้ายงานจาก ตจว.เข้ามา กทม. น่าเสียดาย และขอแสดงความเสียใจอีกครั้งมา ณ ที่นี้ ผมเชื่อว่าในประเทศไทยที่ยังเป็นสารขันธ์อย่างเราอย่าเพิ่งไปโอ้อวดกับใครเขาเลยถ้า กฎหมายยังไม่ถูกบังคับใช้อย่างเข้มงวด กวดให้แน่นขันให้ตึง และเท่าเทียม (เมื่อวันก่อนได้ดูหนังย้อนยุคทางยูบีซี The Ugly American สมัยมาลอน แบรนโดและท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ยังหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวทั้งคู่)

เมื่อสองปีที่แล้วผมเอาอีแก่ของผมไปตรวจสภาพทั้งภายในและภายนอกเพื่อต่อทะเบียนที่ขนส่งจังหวัดที่ไม่เล็ก เห็นบรรดาตุ๊กๆมากันเต็ม หมดหน้านาก็เข้ามาหางานทำในเขตเมือง แปลกใจที่ว่าเขาทำอะไรกัน เห็นเพียงแต่ตั้งลำให้ตรงแล้วก็ถอยเข้าช่องที่เตรียมไว้ด้วยท่อน้ำหล่อโบกฐานไว้ด้วยปูนซีเมนต์ตั้งเอาไว้ให้พอครือกับกับกระบะด้านข้างห่างซัก 1 คืบเห็นจะได้ สอบถามได้ความว่าเป็นการสอบปฏิบัติเพื่อทำใบขับขี่ เลยถึงบางอ้อว่า เออ..มิน่าเล่าเจ้าพวกตุ๊กๆที่ขับเพ่นพ่านกันแบบปู๊ดป๊าดในเขตเมืองมันถึงขับเดินหน้ากันไม่ค่อยจะเป็น !

เอาละครับเขียนนำมาเสียยืดยาวเข้าเรื่องซะที มีบทความมาฝากสองชิ้นที่เกี่ยวเนื่องกัน หลายๆครั้งที่เราตายกันฟรีๆโดยที่รัฐไม่รับผิดชอบ เมื่อเร็วๆนี้ก็อีกนั่นแหละเด็ก 1 ขวบพลัดตกลงไปในท่อระบายน้ำสาธารณะที่ฝาเปิดทิ้งไว้ตาย
ถึงเวลาหรือยังที่เราควรพร้อมใจกันไล่เบี้ยคนของรัฐที่เฮงซวย ไม่รับผิดชอบ แต่ถ้ายังทำอะไรไม่ได้(และผมเชื่อของผมอีกว่าบ้านเราคงอีกนาน ๆๆ ยิ่งมาเจอคำพูดแบบที่ว่า ผมขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวของท่านนายกฯเมื่อวานนี้ ทำให้นึกไปถึงยุคที่ไทยมีท่านผู้นำ..แต่ไม่ติดหนวด) ตอนท้ายผมขออนุญาตแนะนำหนังสือดีมากๆเล่มหนึ่งซึ่งจะทำให้ท่านทั้งหลายที่เคยขับรถได้ กลายเป็น..คนขับรถเป็น รับรอง(ของสำนักพิมพ์ซีเอ็ด ราคาหน้าปก 165.-)
โดย: แพทย์หญิงได้น้อยกว่า [7 เม.ย. 52 10:55] ( IP A:58.8.4.243 X: )
ความคิดเห็นที่ 12
   หมอต่างจากคนขับรถเมล์ตรงที่แม้ทำงานโดยไม่ประมาท ก็ต้องมีคนไข้ตาย เจ็บ พิการ บ้านแตกสาแหรกขาด แน่นอน
โดย: 000 [7 เม.ย. 52 14:49] ( IP A:202.28.183.10 X: )
ความคิดเห็นที่ 13
   เรียนความเห็นที่ 14
หมอที่ประมาทเท่านั้นจึงจะโดนฟ้องและศาลให้ชนะคดี
ใครฟ้องหมอไม่มีมูลก็บ้าแล้ว เหนื่อยก็เหนื่อย เงินก็เสีย ค่าวางศาล ค่าทนาย ฯลฯ
ถ้าตายธรรมดา มีใครฟ้อง ก็เห็นตายเจ็บพิการทุกวัน ฟ้องวันละเท่าไหร่
โดย: เริ่มภายเรือในอ่าง [7 เม.ย. 52 18:40] ( IP A:58.8.4.243 X: )
ความคิดเห็นที่ 14
   ถ้าถามว่ามีใครฟ้องหมอโดยไม่มีมูลไหม ขอตอบว่า มี
ที่ตอบว่า มี เพราะ เห็น
โดย: 000 [7 เม.ย. 52 18:52] ( IP A:58.8.89.115 X: )
ความคิดเห็นที่ 15
   อ่านมาก ๆ
หูตาลายหมดเลย
สมองไม่รับอะไรเลยช่วงนี้
จะไปแอ่วสงกรานต์แล้วจ้า......
โดย: มึน [7 เม.ย. 52 19:18] ( IP A:58.9.222.221 X: )
ความคิดเห็นที่ 16
   ไม่ได้เที่ยวไหนเลย
ทำงาน งก ๆ ๆ
หาเงินไปศาลค่ะ

20 เมษาไปศาลอีกแล้ว

โดย: จีเอ็น [9 เม.ย. 52 20:16] ( IP A:117.47.40.119 X: )
ความคิดเห็นที่ 17
   จะกี่เปอร์เซ็นต์ก็เงินของผู้ป่วยของประชาชนทั่วไปนั่นแหละ
ที่จะถูกสูบเอาไปหมุนในระบบโดยไม่จำเป็น
และเพิ่มต้นทุนการรักษาแบบมหาศาลด้วยการแพทย์เชิงป้องกันเกินเหตุ
แล้วไปเข้ากระเป๋าของ.....
โดย: Z [10 เม.ย. 52] ( IP A:58.136.51.208 X: )
ความคิดเห็นที่ 18
   มาอีกแล้ว คห 19 ของผู้ฉลาดล้ำ
โดย: แต่ไม่เคยทำ [10 เม.ย. 52 7:42] ( IP A:125.26.106.200 X: )
ความคิดเห็นที่ 19
    ความคิดเห็นที่ 19
จะกี่เปอร์เซ็นต์ก็เงินของผู้ป่วยของประชาชนทั่วไปนั่นแหละ
ที่จะถูกสูบเอาไปหมุนในระบบโดยไม่จำเป็น
และเพิ่มต้นทุนการรักษาแบบมหาศาลด้วยการแพทย์เชิงป้องกันเกินเหตุ
แล้วไปเข้ากระเป๋าของ.....

ขอให้ตรวจมากๆจริงๆเถอะ
ทีเจอๆมาฟ้องแล้วยอมจ่ายไปก็เช่น ไข้เลือดออกช็อคไม่มาดู สั่งน้ำเกลือทางโทรศัพท์
ไปคลอดไม่มาดู แล้วก็เลือดออกในสมองตาย
ฯลฯ
ตรวจมากไม่กลัวหรอก ที่เจอๆมีแต่ไม่ยอมตรวจ
มีทำเกินก็ตรงเสือกเอาไปผ่าโดยไม่จำเป็น เพราะได้เงิน ก็เลยตายห่ะ
โดย: aa [10 เม.ย. 52 12:55] ( IP A:58.8.3.110 X: )
ความคิดเห็นที่ 20
   ไปคลอดแล้วเลือดออกในสมองนี่ นึกออกโรคเดียว แถมเป็นโรคที่ไม่มีทางป้องกัน ไม่มีทางรักษา ซะด้วย - -''
โดย: น่าสงสารจริงๆ [10 เม.ย. 52 20:20] ( IP A:58.8.87.171 X: )
ความคิดเห็นที่ 21
   คนไข้เดินไปโรงพยาบาลไปคลอด 21.00 น.
หมอบอกความดันสูง ให้ยาลดความดัน/กันชัก/เร่งคลอด แล้วกลับบ้าน 23.00 น.
พยาบาลตามทุก 15 นาที หลังเที่ยงคืน
ตอนตามทีแรกบันทึกว่า คนไข้บ่นปวดหัว แน่นหน้าอก ความดัน ยังสูง
หมอให้สังเกตอาการ
ต่อมาบันทึกว่า คนไข้เรียกไม่ค่อยรุ้ตัว ตามหมอ หมอให้สังเกตอาการ
ต่อมาอีก 15 นาที่ ตามอีก บันทึกว่า ถามไม่ตอบ หมอให้สังเกตอาการ
ต่อมาอีก 5 นาที บันทึกว่า เขย่าไม่รู้ตัว หมอให้สังเกตอาการ
ต่อมา หมอมา คนไข้ชักแล้ว ต้องเจาะเลือดออกจากสมอง ไปผ่าเอาเด็กออก
ไม่มีทางป้องกัน ไม่มีทางรักษา เอาปริญญาแพรดไปคืนซะ
โดย: ฟฟ [11 เม.ย. 52 9:03] ( IP A:58.8.4.24 X: )
ความคิดเห็นที่ 22
   คนไข้ฝากท้องที่คลินิก ตรวจที่คลินิกตอน 2 ทุ่ม หมอบอกความดันสูงให้ไปโรงพยาบาลจะตามไปดูให้ และให้คลอดเลยเพราะถึงกำหนด
https://www.uniserv.buu.ac.th/forum2/topic.asp?TOPIC_ID=1623
โดย: กรู ไม่เคยผิด ก็ตามใจ [11 เม.ย. 52 9:11] ( IP A:58.8.4.24 X: )
ความคิดเห็นที่ 23
   นี่คือสาเหตุที่ว่าทำไมคนไข้จ่ายตังค์แล้วยังต้องยกมือไหว้หมอ
เขาฝากผีฝากไข้ไว้ ก็หวังว่าจะได้อุ้มชูลูก
ภาระหน้าที่จึงเป็นภาระหน้าที่ที่หนักสำหรับหมอ
คนเป็นหมอจึงต้องทนแบกภาระหน้าที่ให้เขากราบไหว้
ถ้าทำไม่ได้ ก็ต้องรับผิดชอบไป
แก้ตัวไม่ขึ้นหรอก
คดีนี้ศาลให้จ่ายไป 3 ล้านกว่าๆ
ถ้าเป็น ตปท ลูกขุนเอาตายห่ะ น้ำตาท่วมจอ
ทนายหมอจะบอกว่าให้จ่ายๆไป ห้ามเอาผัวเขาขึ้นศาลเด็ดขาด ขืนเบิกความลูกขุนเอาตายแน่
เมืองไทย คุณต้องเห็นหน้าและแววตาศาลผู้หญิงเจ้าของคดี
คุณจะรู้ว่า ศาลท่านนึกยังไง ท่านคงนึกว่า หมอเป็นได้ขนาดนี้หรือ
ฟ้องแค่ 4 ล้านกว่าๆ ให้ 3 ล้านกว่าๆถือว่าเยอะมากเท่าที่เห็นมา ส่วนใหญ่ฟ้องเท่าไหร่หาร 4
โดย: ฟฟ [11 เม.ย. 52 9:15] ( IP A:58.8.4.24 X: )
ความคิดเห็นที่ 24
   ผัวเขาไปออกสรยุทธ
เขาบรรยายความรู้สึกที่สงสารเสียดายเมีย น้ำตาท่วมจอ
และว่าเขาเสียใจมากที่เอาลูกสาวเขามาทำเมียแล้วดูแลไม่ดี
มีแต่ sms ส่งไป ถามว่าผู้ชายแบบนี้ยังมีอีกหรือ
มีคนบอกมีเหลือไหม อยากได้ไปทำสามี
โดย: ฟฟ [11 เม.ย. 52 9:19] ( IP A:58.8.4.24 X: )
ความคิดเห็นที่ 25
   ยกตัวอย่างอีกคดี
คนไข้ส่งตัวมาจากรพ.อำเภอ เกล็ดเลือดต่ำ ซีด ไม่มีแรงเดิน เวียนหัวมาก เลือดออกจมูก ลุกจากเตียงไม่ได้ พยาบาลรายงานว่า อาเจียนเป็นสีคล้ำ ๆ หมอบอกรอดูอาการ เป็นพยาธิสภาพของโรค
ผ่านไป 1 วัน น้ำเกลือไม่ปล่อยให้หยด นอนรอดูอาการน้ำเกลือไม่หยด 555
พอบ่ายสองโมง ลุกจากเตียงจะไปห้องน้ำ ตกเตียงสลบไป 1 รอบ พยาบาลมามุงดู พอฟื้นก็เดินสลายตัวไปหมด หมอยังไม่มาตรวจ รอดูอาการ บอกว่าเป็นพยาธิสภาพของโรค
อีกประมาณ 2 ชม ต่อมา อาเจียนเป็นเลือด เกือบ 1 กระโถน พยาบาลเขียนในเวชระเบียนว่า อาเจียนเป็นสีคล้ำ ๆ โดยที่ไม่รู้เลยว่ามันเป็นเลือด อันนี้ก็น่าจะเอาปริญญาพยามารไปคืน หมอก็ยังไม่มา บอกว่ารอดูอาการ และเป็นพยาธิสภาพของโรค
จนกระทั่งเวลาผ่านไปอีก 2-3 ชม เวียนหัว ไม่มีแรง หายใจเป็นกลื่นเลือด อาเจียนเป็นเลือดออกมาเรื่อย ๆ บอกพยาบาลแต่ไม่ได้รับความสนใจ จนต้องขอย้ายตัวเองไป รพ.เอกชน หมอก็ยังไม่มาดู แล้วเอาใบมาให้เซ็นต์ ว่าไม่สมัครใจอยู่ คงคิดว่าเมิงไปตายเอาดาบหน้าเองละกัน กรูไม่เกี่ยว ไปให้พ้น ๆ มือกรูได้แล้ว
สรุป ไป รพ.เอกชน เกล็ดเลือดเช๊คที่ห้องแล็ป เหลือหลักพัน หมอเอกชนบอกว่า 50/50 ในการช่วยชีวิต ไม่ได้รอดูอาการ ดั้นเอาสายยางมาช่วยล้างท้องเอาเลือดออกจากกระเพาะ แล้วต้องเอาใบปริญญาแพรดของหมอท่านนี้ไปคืนหรือเปล่าค่ะ คนไข้ดั้นมีอาการดีขึ้นด้วย
หนูหล่ะ งง คุงหมอจริง ๆ ทำไมไม่รอดูอาการเหมือนหมอ รพ . รัฐ นั้นนะ สงสัยเรียนมาคนละสถาบัน หลักการช่วยชีวิตไม่เหมือนกัน

แล้วอย่างนี้หมอ รพ.รัฐบอกว่าไม่มีทางป้องกัน ไม่มีทางรักษา เอาปริญญาแพรดไปคืนด้วยหรือเปล่าคะ ?

ก็คิดเล่นๆ ไปเพราะไม่ใช่หมอค่ะ..

โดย: จีเอ็น [11 เม.ย. 52 9:33] ( IP A:117.47.217.43 X: )
ความคิดเห็นที่ 26
   โรคที่ไม่มีทางป้องกัน ไม่มีทางรักษา มีจริง และต้องยอมรับ
ส่วนหมอคนไหนจะดีจะเลว เป็นเรื่องของบุคคล ก่นด่าได้ตามชอบใจ แต่ขอให้ดูให้ดีว่าหมอเลวจริงหรือหมอทำไม่ถูกใจ
โดย: 000 [11 เม.ย. 52 10:03] ( IP A:58.8.94.134 X: )
ความคิดเห็นที่ 27
   ตอบหมอเลวจริง กรณีดดีคห. 27
ไม่ใช่หมอทำไม่ถูกใจ
โรคที่ไม่มีทางป้องกัน ไม่มีทางรักษา มีจริง และต้องยอมรับ
แต่คงไม่ใช่โรคเอดส์นะ ที่จะปล่อยกันให้ตายคาเตียง....
โดย: อย่างเลวเลยแหล่ะ [11 เม.ย. 52 10:47] ( IP A:117.47.217.43 X: )
ความคิดเห็นที่ 28
   ไม่ใช่โรคเอดส์ เพราะโรคเอดส์ปัจจุบันมียาช่วยเหลือ ถึงจะรักษาให้หายไม่ได้ก็ตาม

เว้นแต่ว่าอาการมันไปไกลแล้ว ถึงตอนนั้นเทวดาก็รักษาไม่ได้
โดย: 000 [11 เม.ย. 52 11:09] ( IP A:58.8.94.134 X: )
ความคิดเห็นที่ 29
   อาการไปไกลคืออาการอย่างไรที่ว่ารักษาไม่ได้
หรือว่า เพราะตำราที่หมอเรียนมาบอกว่าอย่างนั้น อย่างนี้ มันจะต้องตาย โดยไม่ได้ดูหลักความจริงเลยว่ามันไม่เหมือนตำราในร่างกายชีวิต
คนไข้บางคน จึงเอาบรรทัดฐานตำรามารักษา ...

ยกตัวอย่างหน่อยซิคะ ? อาการที่ว่ารักษาไม่ได้แล้ว
โดย: เชื้อราขึ้นสมองยังรอดเลย [11 เม.ย. 52 11:30] ( IP A:117.47.217.43 X: )
ความคิดเห็นที่ 30
   ผิดก็ว่าไปตามขั้นตอน
ภาวะครรภ์เป็นพิษมีความเสี่ยงสูงมากอยู่แล้ว ดูแลไม่ได้ตามมาตรฐานก็ว่ากันไป
หากมาดูคนไข้ ลดความดันโลหิตให้ดี เร่งคลอด/ผ่าตัดเมื่อถึงข้อบ่งชี้
ถึงผลลัพธ์ออกมาเหมือนกัน ก็เป็นอีกอย่าง

เรื่องของ คห 27 ก็เคยสนทนากันไปแล้ว
เป็นเรื่องลำบากในการวินิจฉัย แต่หากไม่รักษาตามมาตรฐานก็มีสิทธิฟ้องร้องเช่นกัน
ยังไงก็ต้องรักษากันอีกยาว ขอให้เรื่องจบด้วยดี

ฟ้องร้องกันได้ทุกคนตามสิทธิ ไม่มีใครขัดขวางได้

ทุกอย่างจะก้าวไปสู่สมดุล
โดย: Z [11 เม.ย. 52 15:49] ( IP A:58.136.51.66 X: )
ความคิดเห็นที่ 31
   ส่วนที่ดีขึ้น ไม่ได้ดีขึ้นเพราะล้างท้อง

แต่ดีขึ้นเพราะได้งดน้ำงดอาหาร งดยา ประคับประคอง
แล้วเพราะพยาธิสภาพของโรค ก็ดีขึ้นเอง

ร่างกายยังแข็งแรงจึงกลับมาได้ เพราะไม่ได้ติดเชื้อแทรกซ้อน
โดย: Z [11 เม.ย. 52 15:55] ( IP A:58.136.51.66 X: )
ความคิดเห็นที่ 32
    ความคิดเห็นที่ 22
ไปคลอดแล้วเลือดออกในสมองนี่ นึกออกโรคเดียว แถมเป็นโรคที่ไม่มีทางป้องกัน ไม่มีทางรักษา ซะด้วย - -''
โดย: น่าสงสารจริงๆ [10 เม.ย. 52 20:20> ( IP A:58.8.87.171 X: )

ผมเบื่ออันนี้ ผิดถูกผมไม่ว่าหรอก ก็มีเป็นธรรมดา แต่ก็ควรจะปรับปรุงก็เท่านั้น
และควรจะเยียวยาเขาด้วย เพราะทั้งเมียทั้งลูกตอนอยู่โรงพยาบาล ค่าใช้จ่ายไม่ใช่น้อย แล้วใครจะทำงานบ้านให้สามี จ้างคนเดือนละเท่าไหร่
เงินก็ควรจะเป็นคนไข้ช่วยกันออก ไม่ใช่ให้หมอใช้ ถามว่าใช้ไหวหรือ
โดย: ฟฟ [11 เม.ย. 52 17:11] ( IP A:58.8.4.24 X: )
ความคิดเห็นที่ 33
   ถ้าอย่างนั้นคนทุกคนที่ตายในโรงพยาบาล ควรได้รับการเยียวยาจากโรงพยาบาลหรือเปล่า เพราะแต่ละคนก็มีความรู้สึก มีหัวจิตหัวใจ มีปากท้องที่ต้องเลี้ยง ใครจะทำงานบ้านให้ จ้างคนเดือนละเท่าไหร่ ฯลฯ
โดย: 000 [11 เม.ย. 52 18:36] ( IP A:58.8.94.134 X: )
ความคิดเห็นที่ 34
   ถ้าเป็นความผิดของหมอ ก็ควรได้
เพราะเงินที่เขาเตรียมไว้จ่าย เป็นกรณีประมาท ไม่ใช่สังคมสงเคราะห์
ระบบเป็นอย่างนี้
โดย: ฟฟ [11 เม.ย. 52 19:03] ( IP A:58.8.4.24 X: )
ความคิดเห็นที่ 35
   แล้วใครจะเป็นคนตัดสินว่าหมอผิดหรือไม่ผิด
ใช้ความรู้สึกของผู้ที่สูญเสีย และกำลังมองหาแหล่งรองรับความโกรธ (Denial -> Anger -> Bargaining -> Depression -> Acceptance) หรือเปล่า
โดย: 000 [11 เม.ย. 52 19:43] ( IP A:58.8.94.134 X: )
ความคิดเห็นที่ 36
   คุณต้องไม่ดูถูกศาล
ศาลท่านเรียนมาทำงานมา ท่านมีสมองประสบการณ์ ตัดสินได้ว่าหมอผิดหรือถูก ฟังจากพยานแพทย์ทั้งสองฝ่าย แล้วใช้เหตุผลตัดสิน
เวลาศาสตัดสิน ศาลท่านไม่มีอารมณ์มาเกี่ยวข้อง
ศาลท่านนิ่งอยู่แล้ว เพราะว่า ท่านมือาชีพ
โดย: ฟฟ [11 เม.ย. 52 21:28] ( IP A:58.8.4.24 X: )
ความคิดเห็นที่ 37
   แล้วถ้าศาลยกฟ้อง แต่ยังยอมรับไม่ได้ เพราะเชื่อแน่ๆ ว่าหมอทำผิด จะทำอย่างไรต่อไป
โดย: 000 [11 เม.ย. 52 22:22] ( IP A:58.8.94.134 X: )
ความคิดเห็นที่ 38
   ศาลมิได้ตัดสินถูกทุกคดี โดยเฉพาะคดีอาญา แม้สงสัยว่าจำเลยทำผิด แต่หลักฐานไม่ชัดศาลก็จะปล่อย แม้ว่าจำเลยจะฆ่าและข่มขืนเขาจริง หากคนฟ้องหาพยานไม่ได้ หรือพยานถูกข่มขู่ หรือพยานอีกฝ่าย ใหญ่ๆโตๆ ให้การเท็จ หากมีการล็อบบี้ศาลยิ่งแย่กันไปใหญ่ ดังนั้น หากศาลยกฟ้อง คนฟ้องย่อมมีสิทธิ์ยอมรับไม่ได้ สามารถร้องเรียนต่อสู้ได้ แต่ห้ามหมิ่นศาล
มีคดีไม่น้อยที่ต้องนำมาพิจารณาใหม่และตัดสินตรงข้าม แต่คนที่เรียกร้องต้องมีหลักฐานเพิ่มเติม และกฎหมายก็อนุญาตให้รื้อฟื้นคดีด้วย
นี่เป็นการแก้ลำพวกที่ขี้โกงตามกฎหมาย
โดย: หมอก็ควรจะตกนรก ถ้าทำผิดแล้วชนะดคี [12 เม.ย. 52 13:37] ( IP A:58.8.2.101 X: )
ความคิดเห็นที่ 39
   ความเห็น 39
ต้องการให้พูดว่า "ศาลเตี้ย" ใช่หรือไม่
บ้านเมืองเรามันใกล้กลียุคเข้าไปทุกที
คนดีเดินตามตรอก ขี้ครอกเดินตามถนน
คนชั่วเต็มบ้านเต็มเมือง ทำอะไรก็ไม่ผิด
ดำกลับกลายเป็นขาว ขาวกลายเป็นดำ
โดย: อยากให้ใช้ศาลเตี้ยหรือไง [20 เม.ย. 52 23:44] ( IP A:58.9.202.49 X: )

คลิกที่นี่เพื่อกลับหน้าบ้าน