คดีทรัพย์ซ้อนสุดๆ
   ;jkwxoyjo
หมอวชิระแถลงสาวท้องเสียชีวิตพร้อมลูกเป็นเคสที่ซับซ้อนสุดๆ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 มิถุนายน 2552 14:52 น.


หมอวชิระ แถลงสาวท้องเสียชีวิตพร้อมลูกเป็นกรณีที่ซับซ้อนมาก ทีมแพทย์พยายามเต็มที่แต่ยื้อชีวิตไม่ได้ เผยหากผ่าเอาเด็กออกเลือดจะไหลไม่หยุดจนคนไข้อาจช็อกตายในที่สุด ระบุ รกลอกก่อนกำหนดเป็นเหตุให้เด็กในท้องเสียชีวิต เตรียมทำรายงานเสนอแพทยสภาสรุปผลใน 2 อาทิตย์ พร้อมสู้ในชั้นศาลเต็มที่หากถูกฟ้องร้อง



นพ.ชัยวัน เจริญโชคทวี


นพ.ชัยวัน เจริญโชคทวี ผู้อำนวยการวิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาล พร้อมด้วยคณะแพทย์ด้านสูตินรีเวทย์ ร่วมแถลงข่าวชี้แจงกรณีที่นายขันติพงษ์ บุตรพงษ์ อายุ 48 ปี ร้องเรียนกับสื่อมวลชนกรณีที่ น.ส.วิไลพร บุตรพงษ์ อายุ 27 ปี ซึ่งเป็นบุตรสาว เสียชีวิตพร้อมลูกในครรภ์หลังจากที่ไปทำคลอดที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาล โดย นพ.ชัยวัน แถลงยืนยันว่า ทางคณะแพทย์ที่ให้การรักษา น.ส.วิไลพร นั้น ทำอย่างเต็มที่แล้ว โดยทำการรักษาตามมาตรฐานทางวิชาชีพการแพทย์ (CPG-Clinical Practice Guideline) ทุกขั้นตอน ส่วนกรณีที่เกิดขึ้นกับ น.ส.วิไลพร นั้น เรียกได้ว่า มีความซับซ้อนอย่างมาก เนื่องจากในวันที่ น.ส.วิไลพร เข้ามารับการรักษาที่วชิรพยาบาล เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.เวลา 02.45 น. โดยระบุว่าเจ็บครรภ์จะคลอด ทีมแพทย์ก็ได้ซักประวัติคนไข้ และทราบว่า เด็กในท้องไม่มีการเคลื่อนไหวมาประมาณ 1 วันแล้ว แพทย์จึงได้ทำการวัดคลื่นหัวใจเด็ก ก็พบว่า เด็กเสียชีวิตแล้ว เนื่องจากรกลอกก่อนกำหนด ซึ่งถือว่าอาการดังกล่าวเข้าขั้นรุนแรง ทั้งนี้ ทางญาติของ น.ส.วิไลพร ได้ขอให้แพทย์ผ่าเอาเด็กออก แต่ทางทีมแพทย์ได้วินิจฉัย และเห็นว่า ควรที่จะรอเวลาให้มีการคลอดตามธรรมชาติ เพราะหาเร่งผ่าตัดไปอาจจะทำให้ น.ส.วิไลพร เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ โดยระหว่างนั้นทางแพทย์ก็ได้นำเลือดไปตรวจ ก็พบผลการตรวจเลือดว่ามีการผิดปกติ อาทิ ปริมาณเกร็ดเลือดต่ำ เลือดไม่สามารถแข็งตัวได้ ดังนั้น หากใช้วิธีผ่าตัดก็จะทำให้เลือดไหลไม่หยุด และคนไข้อาจจะช็อกและเสียชีวิตได้เนื่องจากเสียเลือดมาก

นพ.ชัยวัน กล่าวอีกว่า ทีมแพทย์ก็พยายามหาวิธีเพื่อรักษาชีวิต น.ส.วิไลพร ไว้ แต่เนื่องจากอาการของคนไข้ทรุดลงอย่างหนัก มีอาการเลือดออกในช่องท้องประมาณ 2 ลิตร และเลือดออกจากตับ คนไข้จึงช็อก หมดสติ และหยุดหายใจในเวลาเกือบ 07.00 น.ของวันที่ 18 มิ.ย.ทั้งนี้ ทางทีมแพทย์ขอแสดงความเสียใจกับทางครอบครัวของ น.ส.วิไลพร ด้วย

ผู้สื่อข่าวถามว่า น.ส.วิไลพร ได้ฝากครรภ์กับทางวชิรพยาบาล โดยระหว่างที่มาตรวจแพทย์พบอาการผิดปกติของเด็กในครรภ์หรือไม่ นพ.พงษ์ธร วิโรจน์ชัยวงษ์ หัวหน้าภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา กล่าวว่า น.ส.วิไลพร ได้เข้ามาตรวจครรภ์ที่วชิรพยาบาล ทั้งหมด 6 ครั้ง โดยครั้งสุดท้าย คือ วันที่ 3 มิ.ย.ซึ่งผลการตรวจครรภ์ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนสาเหตุที่รกลอกก่อนกำหนด และเป็นสาเหตุให้เด็กในครรภ์เสียชีวิตนั้น ซึ่งสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด คือ เกิดอุบัติเหตุท้องกระแทกของแข็ง คนท้องมีความดันโลหิตสูง เป็นต้น ทั้งนี้ ตามสถิติในวชิรพยาบาลพบผู้ป่วยในกรณีที่รกลอกก่อนกำหนด ปีละประมาณ 10 ราย ซึ่งส่วนใหญ่สามารถช่วยชีวิตได้ทั้งแม่ และเด็ก

เมื่อถามว่า ทางแพทยสภาเตรียมที่จะตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว นพ.ชัยวัน กล่าวว่า ทางแพทยสภาได้ดูแลเรื่องดังกล่าวอยู่แล้ว ซึ่งทางวชิรพยาบาลก็เตรียมที่จะทำรายงานการรักษาพยาบาลโดยละเอียดมอบให้กับทางแพทยสภา เบื้องต้นคาดว่า หากนำส่งรายงานแล้ว แพทยสภาก็จะได้ข้อสรุปไม่เกิน 2 สัปดาห์

ส่วนกรณีที่ทางครอบครัวผู้ตายเตรียมเรื่องยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อให้โรงพยาบาลรับผิดชอบในกรณีที่เกิดขึ้น นพ.ชัยวัน กล่าวว่า ทางวชิรพยาบาลก็เตรียมตั้งทีมทนายเพื่อดำเนินการกับกรณีดังกล่าวด้วยเหมือนกัน หากมีการฟ้องร้องทีมแพทย์ เราก็จะสู้ในชั้นศาลอย่างเต็มที่
โดย: ฟ้องเสียงครับ [20 มิ.ย. 52 1:21] ( IP A:58.8.6.40 X: )
Add to Facebook  Add to Twitter  Add to Multiply  Add to Google  Add to Blogger  Add to Live
ความคิดเห็นที่ 1
    ส่วนกรณีที่ทางครอบครัวผู้ตายเตรียมเรื่องยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อให้โรงพยาบาลรับผิดชอบในกรณีที่เกิดขึ้น นพ.ชัยวัน กล่าวว่า ทางวชิรพยาบาลก็เตรียมตั้งทีมทนายเพื่อดำเนินการกับกรณีดังกล่าวด้วยเหมือนกัน หากมีการฟ้องร้องทีมแพทย์ เราก็จะสู้ในชั้นศาลอย่างเต็มที่
โดย: ท่าทางมั่นใจว่าไม่ผิด [20 มิ.ย. 52 1:22] ( IP A:58.8.6.40 X: )
ความคิดเห็นที่ 2
   ทำไมคนชอบฟ้องคดีแพทย์
เป็นคดีทรัพย์ซ้อน มิน่านี่เอง

โดย: เพิ่งเข้าใจ [20 มิ.ย. 52 1:30] ( IP A:58.8.6.40 X: )
ความคิดเห็นที่ 3
   แต่สังคมเข้าใจนานแล้วว่า
เวลาผอ.หรือหมอบางคนจะโกหกแล้วนี้
เป็นเรื่องไม่ซับซ้อน มักโกหกหน้าด้าน ๆ
และมักไม่ให้โอกาสผู้เสียหายได้พูด
เรื่องมักบานปลายเสมอ
โดย: ชอบโกหกจนสังคมไม่เชื่อ [20 มิ.ย. 52 15:46] ( IP A:58.9.11.5 X: )
ความคิดเห็นที่ 4
   ไม่ให้โอกาสผู้เสียหายได้พูดยังไง ได้ยินกันทั้งประเทศ
คนทั้งประเทศเข้าข้างผู้เสียหายอยู่แล้วด้วย ไม่ต้องห่วงเลย
โดย: 000 [20 มิ.ย. 52 19:18] ( IP A:58.8.85.83 X: )
ความคิดเห็นที่ 5
   หมายถึงเวลาอยู่ในห้องประชุมที่ทางโรงพยาบาลจัด
และเชิญผู้เสียหายพร้อมญาติรรับฟังคำชี้แจง
โดย: ในห้องประชุม [21 มิ.ย. 52 11:29] ( IP A:58.9.222.41 X: )
ความคิดเห็นที่ 6
   เรื่องนี้ เป็นคดีพิพาทแน่แล้ว "ทางสังคม"

ในทางหลักวิชาการแพทย์ จะมีคนผิดหรือไม่ "ยังรอการตรวจสอบอยู่"

แต่คนตรวจสอบตามหน้าที่ซึ่งก็คือ "แพทยสภา" นั้น แม้จะตรวจสอบเรื่องนี้อย่างถูกต้องเป็นกลาง เช่นไรก็ตาม

แต่คณะกรรมการแพทยสภาชุดนี้เกือบทั้งหมด ล้วนต้องสภาพ "ซึ่งไม่ใช่แค่ข้อครหา" ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ทุจริตต่อหน้าที่ในการเป็นตุลาการทางการแพทย์ รวมทั้งโกหกในตำแหน่งหน้าที่ในสาระสำคัญของวิชาชีพแพทย์ บางกรณีในชั้นศาลเอง "ก็ถึงกับไม่รับพิจารณา" คำตัดสินของแพทยสภาชุดเก่า ซึ่งมีกรรมการแพทยสภากว่าครึ่งในชุดปัจจุบันนี้เคยเป็นกรรมการอยู่ด้วย

ฉะนั้น คดีนี้ จะอีรุงตุงนัง และเป็นตัวอย่างแก่วงการแพทย์และสังคมสาธารณะว่า การปล่อยให้ "กลุ่มแพทย์ที่ถูกตีตราว่าเป็นโจรในเสื้อกาวน์แล้ว" ยังดำรงตำแหน่งทางกฎหมายในการเป็นตุลาการวิชาชีพเฉพาะ จะมีผลเช่นไรตามที่ผมเคยอ้างว่า "เป็นความวิบัติชิบหาย" ของวงการแพทย์

และขอส่งความปรารถนาดี ไปยังท่านผู้อำนวยการโรงพยาบาลวชิระว่า ท่านไม่ควรกล่าวสบถแบบเหยียบย่ำจิตใจ หรือท้าทายแบบพร้อมประจัญหน้ากับ "ญาติผู้ตาย"

เพราะนั่นเท่ากับแสดงว่า ท่านเองในฐานะ "ผู้ใหญ่ในวงวิชาชีพ" คนหนึ่ง เห็นการตายของคนไข้เป็นเรื่องไร้ค่า และเห็นการรักษาหน้าของหน่วยงานวิชาชีพสำคัญกว่า

ท่านลืมมองไปว่า มีคนตายขึ้นแล้วอย่างน้อยสองชีวิต ซึ่งเป็น "คน" เช่นเดียวกับท่านและลูกเมียของท่าน

นั่นย่อมหมายความว่า มีความ "ผิดพลาด" เกิดขึ้นแน่นอน ซึ่งเหลือแต่แยกกันออกมาดูว่า "เป็นเรื่องที่ป้องกันได้" หรือ "เป็นเหตุสุดวิสัย"

เรื่องจะให้เชื่อหรือรอการพิจารณาของแพทยสภานั้น ไม่ต้องพูดถึง เพราะโจรในเสื้อกาวน์ที่โกหกมาเป็นแรมปีแล้ว ต่อให้พูดเรื่องจริง "ก็ไม่มีใครเชื่อ"

ทีนี้ก็ต้องมาดูกันเองในระหว่าง "ผู้เสียหาย" ล่ะว่า จะ "มีความผิดพลาดที่ป้องกันได้" ตรงไหนบ้าง???

ที่ท่านกล่าว (สารภาพบ้างแล้วส่วนหนึ่ง) ออกมาเองก็คือ กรณีเช่นนี้มีความเสี่ยงทางด้านคนไข้ต่อการรักษาในกรณีแวดล้อมเช่นนี้ ซึ่งแสดงว่า "ท่านรู้สภาพนี้อยู่แล้ว" ที่เหลือก็เพียงแต่ดูว่า ในกระบวนการรักษานั้น มีตรงไหนที่ท่านได้พลาดไป ที่สำคัญ ท่านได้พูดเองว่า "ตามสถิติในวชิรพยาบาลพบผู้ป่วยในกรณีที่รกลอกก่อนกำหนด ปีละประมาณ 10 ราย ซึ่งส่วนใหญ่สามารถช่วยชีวิตได้ทั้งแม่ และเด็ก"

เพราะฉะนั้น ก็ต้องมีจุดบกพร่องพิเศษจริงๆ ที่เป็นปุจฉาว่า "แล้วทำไมกรณีนี้ ถึงไม่รอด????!!!!!!"

และที่พิเศษอย่างนั้น ก็ต้องเป็น "ทำนองเดียวกัน" กับกรณีของ "คหบดีของขอนแก่น " ที่ส่งลูก/เมียที่เคยท้อง" มาคลอดที่ ร.พ. ถึง กทม. ที่ ย่านซอยกลาง สุขุมวิท แล้วตายทั้งกลมแบบเดียวกัน กรณีนี้เกิดขัดแย้งทางหลักวิชาการมากจนกระทั่ง "อนุกรรมการด้านสูตินรีเวชทั้งคณะ" ลาออกกลางคันก่อนที่จะจบการพิจารณา

ซึ่งถ้าเข้าข่ายลักษณะนั้น ท่านก็น่าจะรอดตัวไป แต่ชื่อเสียงจะมัวหมองได้ แต่ที่ผมเห็นว่า "ไม่น่าเลย" ก็ตรงที่ "ท่านไม่น่าแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ ที่อ้อมโลกเพียงเพื่อรักษาหน้า (ตามลมปากเหม็นๆของใครบางคนหรือเปล่า??) แก้ปัญหาแบบซุกไว้ใต้พรม"

ให้ระวังว่า ท่านจะถูก "สนตะพาย" โดนพวกโจรที่ไม่สามารถลบภาพความเป็นโจรออกไปได้ "ลากท่านเข้าเป็นพวกโดยไม่รู้ตัวในที่สุด"

คดีที่ร่อนพิบูลย์ นั่นเป็นตัวอย่างตรงๆ

อ้อ อีกนิดนะครับ ถ้าท่านคิดว่าเครือข่ายนี้ "เป็นศัตรู" กับท่านล่ะก็ ท่านไม่ลองไตร่ตรองดูทีหรือว่า เครือข่ายที่เป็นศัตรูโดยเปิดเผยตัวตรงๆ เฉพาะกับควาฉ้อฉลโดยไม่เลือกว่าหน้าอินทร์หน้าพรหมนั้น จะดีกว่าไหมเมื่อเทียบกับ "เพื่อนพ้องในวิชาชีพที่ถูกตราหน้าว่าเป็นโจรที่ค่อยแอบๆจูงท่านเข้าเป็นพวกถาวร" ซึ่งกว่าท่านจะรู้ตัว "ก็สายซะแล้ว" ซึ่งถ้าท่านมองไม่ออกว่า เพื่อนแบบนี้เป็นศัตรูที่เลือดเย็นกว่า นั่นก็แล้วแต่ท่านเองนะ ผมก็ได้แต่ยืนดูเฉยๆ พร้อมๆกับคนที่ยุให้ท่านทำอย่างที่ท่านได้ทำและที่กำลังจะทำอยู่นี้

เฮ้อ
โดย: คนรู้ทัน ไม่รู้จริง [22 มิ.ย. 52 9:04] ( IP A:58.8.109.141 X: )
ความคิดเห็นที่ 7
   ท่านลืมมองไปว่า มีคนตายขึ้นแล้วอย่างน้อยสองชีวิต ซึ่งเป็น "คน" เช่นเดียวกับท่านและลูกเมียของท่าน

นั่น ย่อมหมายความว่า มีความ "ผิดพลาด" เกิดขึ้นแน่นอน ซึ่งเหลือแต่แยกกันออกมาดูว่า "เป็นเรื่องที่ป้องกันได้" หรือ "เป็นเหตุสุดวิสัย"

+
+
+
นิยามของคำว่าผิดพลาด ดูจะไม่ค่อยตรงกันเสียทีเดียว...
เพราะความเสียหายสามารถเกิดขึ้นได้แม้ไม่มีข้อผิดพลาด...
(ส่วนกรณีนี้ความจริงจะเป็นยังไงนั้น ไม่ืทราบ)
โดย: +++ [22 มิ.ย. 52 17:57] ( IP A:202.28.183.10 X: )
ความคิดเห็นที่ 8
   ความเห็นแย้ง คห ที่ 7 ในฐานะ "คนธรรมดาที่ไม่ใช่หมอ และด้วยสามัญสำนึกอย่างสาธารณชนทั่วๆไป ซึ่งไม่ใช่นักวิชาการ"

ในที่ชุมนุมนี้ ผมขออ้างว่า ต้องถือว่าทุกๆคนที่ผ่านไปมาย่อมต้องมีสามัญสำนึกอย่างคนธรรมดาที่ไม่ใช่หมอ ส่วนท่านที่แสดงข้อความว่าตัวเองเป็นหมอนั้น ก็มักไม่เข้าใจหรือพยายามเข้าใจตรงนี้ จึงต้องถือว่า ท่านเหล่านั้นเป็นคนส่วนน้อย ย่อมต้องปรับทัศนะและความคิดของตนให้เข้ากับคนส่วนใหญ่ของที่นี้ ที่สำคัญ คนส่วนใหญ่ของที่นี้ "เป็นผู้เสียหาย" ซึ่งเป็น "ผู้ได้รับผลแห่งการกระทำ หรือละเลยที่จะกระทำตามหน้าที่ที่และความรับผิดชอบโดยสามัญสำนึกที่สังคมมอบให้อย่างเคยมีเกียรติและยังมีอยู่" แก่และจากฝ่ายชนกลุ่มน้อยกว่าที่เราเรียกกันว่า "หมอ"

ฉะนั้น ขอให้ "หมอ" ทุกๆท่านพยายามทำความเข้าใจอย่างคนธรรมดาสามัญ ขออย่าได้พยายามใช้สำนวนทางวิชาการ ไม่ว่าจะเป็นวิชาการทางกฎหมาย ทางการปกครอง ทางการแพทย์ เพราะทั้งหมดนั้นไม่ได้ช่วยสื่อทำความเข้าใจที่ดีขึ้นร่วมกันระหว่างผู้คนในสังคมส่วนใหญ่ของประเทศนี้ ที่มีเกษตรกรและผู้ใช้แรงงานในภาคอุตสาหกรรมการผลิตและการขนส่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศนี้

คำว่า "หมอ" หรือ "สถานพยาบาล/สาธารณสุข" ย่อมเป็นที่เข้าใจโดยสามัญว่า เป๋นที่ซึ่ง "คนป่วยไข้" เข้าไปใช้บริการเพื่อขอให้บรรเทาหรือหายจากอาการป่วยไข้ และเป็นเช่นนี้มานับ 100 ปี ตั้งแต่เรารู้จักฟรอเร๊นซ์ ไนติงเกล และ หลุยส์ ปาสเตอร์

และในเมื่อในกรณีของคนไข้ที่เข้าไปในสถานที่เช่นนี้ หากไม่สามารถหายหรือแม้แต่ดีขึ้น นั่นย่อมเป็นเรื่องที่ยอมรับได้โดยปรกติกันอยู่แล้วหากต้องเจอโรคที่การแพทย์ไม่มีทางออก แต่เฉพาะในกรณีนี้ หรือที่คล้ายคลึงกัน

เป็นเรื่องการทำคลอด ซึ่งเป็นกรณีส่วนใหญ่ของการเกิดข้อผิดพลาดทางการรักษาในสถานพยาบาลและเป็นที่รับรู้กันโดยส่วนใหญ่ของสาธารณชน ในเมื่อทั้งแม่และเด็กตายทั้งคู่ ประกอบกับตัวผู้อำนวยการก็ได้ประกาศไว้แล้วว่าเป็นกรณีที่พบได้ปีละกว่าสิบรายแล้วส่วนใหญ่รอด โดยความเข้าใจของคนธรรมดา ย่อมเข้าใจว่ากรณีเช่นนี้ หมอและโรงพยาบาลรู้วิธีการจัดการ และ/หรือ รักษากับกรณีเช่นนี้ "ซึ่งเคยรักษาทั้งชีวิตแม่และเด็กให้รอดมาได้และเป็นส่วนใหญ่"

ฉะนั้น โดยสามัญสำนึก ย่อมเป็นที่เข้าใจว่าเกิดความผิดพลาดจากที่เคยทำแล้วแม่และเด็กรอดชีวิตได้ แต่คราวนี้ไม่ได้ ทั้งนี้ ยังต้องย้ำอีกด้วยว่า ในเมื่อชีวิตคนสองคนตายไปอย่างที่ไม่สมควรตาย ต้องมีคำอธิบายทางการแพทย์ที่ยอมรับได้ และจากหมู้ผู้เชี่ยวชาญที่ยอมรับและไม่มีประวัติ์ด่างพร้อยในการเป็นผู้เชี่ยวชาญเช่นนั้นด้วย

นอกจากนี้ ยังมีร่องรอยปลีกย่อยอื่นๆ เช่น การบ่ายเบี่ยงที่จะเปิดเผยเวชระเบียน การอำนวยการและสมรู้กันระหว่างตำรวจและโรงพยาบาลในการขัดขวางและ/หรือเตะถ่วงการตรวจสอบหลักฐานและศพของผู้เสียชีวิตทั้งแม่และลูก

งานนี้ ร่องรอยแบบนี้ ขอบอกได้เลยครับท่านผู้อำนวยการ รอดยาก!!!!

ผมบอกแล้วว่า ทางแก้ปัญหาแบบง่ายๆตรงๆ มีให้ท่านเลือกเดิน ท่านกลับไม่เอา

งานนี้ แม้แต่คนธรรมดาอย่างผม ยังมองออก ไปถึงศาล ศาลท่านที่ทำตามหน้าที่และยุติธรรม ก็ย่อมมองออก ซึ่งหากจะมีการช่วยกันอีก ก็ "ย่อมไม่ฟรี" ซึ่งท้ายที่สุด งานนี้แม้ท่านอาจรอดตัว (ด้วยการฉ้อฉลหรือไม่ก็ตาม) ท่านก็มีแต่ "บาดเจ็บสาหัสอย่างเดียวดายและโดดเดี่ยว" เหมือนแพทยสภานั่นแหละ
โดย: คนรู้ทัน ไม่รู้จริง [23 มิ.ย. 52 8:58] ( IP A:58.8.109.8 X: )
ความคิดเห็นที่ 9
   ดังนั้น เนื่องจากเป็นกรณีที่คนทั่วไปก็สามารถตัดสินได้โดยง่ายแล้ว หากศาลยังจะตัดสินว่าไม่ผิดอีก แสดงว่าเกิดจากการฉ้อฉลเป็นแน่แท้
โดย: คนรู้จริง [23 มิ.ย. 52 17:21] ( IP A:202.28.183.10 X: )
ความคิดเห็นที่ 10
   อ๋อ ใช่ แม่นแล้ว

คดีที่ศาลฉ้อฉล หรือไม่???

ก็ลองไตร่ตรองพิจารณาดูที่ คดีที่ศาลยกฟ้องของท่านประธานเครือข่ายฯ ที่ฟ้องโรงพยาบาลพญาไท๑

คดีนี้ ศาลท่านบอกว่า คำฟ้องบรรยายไม่ครบองค์ประกอบการเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา ตรงนั้นถือว่าพอจะรับได้นะ ถ้าจะเล่นอ้างกันเรื่องข้อกฎหมาย (แบบศรีธนญชัย??) แต่ถ้าลองพิจารณาคำฟ้องแบบพื้นๆนะ ว่าได้บรรยายพร้อมหลักฐานแสดงที่ตัวคนว่า "สภาพแห่งการละเมิดนั้นอยู่ครบ และยังไม่ได้รับการแก้ไขหรือเยียวยาเลยแม้แต่น้อย" ฉะนั้น โดยสามัญสำนึกของชาวบ้านธรรมดา ก็ไม่สามารถนับอายุความได้ เพราะสภาพแห่งการละเมิดไม่ได้สะดุดหยุดลง ใช่ไหม??

ฉะนั้น คดีนั้นศาลตัดสินออกมาแล้วนั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่เมื่อคิดแบบชาวบ้านธรรมดา จะนับอายุตวามกันยังไงเนี่ย???? ฮ้า

หรือว่าไง คุณหมอ อุตส่าห์จบเนติฯ มา เรื่องการพิจารณาเรื่องละเมิดง่ายๆแบบนี้ พอจะเข้าใจไหมครับ?

แล้วอย่างนี้ ศาลฉ้อฉลหรือเปล่า ผมคงไม่ต้องบอก ใครๆก็คิดเอาเองได้

นี่บอกไว้เลยนะครับท่านหมอ (เนติฯ) ไอ้หลุมนี้ รู้ว่าขุดล่อไว้ แต่พอถึงประโยคนี้ ก็ยังไม่รู้ว่า "ใครล่อให้ใครลงหลุม" รอให้รู้กันอีกที่แน่ๆ

โน่นที่ศาลนู่น ถึงตอนนั้น เราก็จะได้รู้กันให้มัน "ดังระเบิดเถิดเทิง" อีกซักครั้ง ว่า คดีหมดอายุความหรือเปล่า แล้วศาลน่ะ "ฉ้อฉลหรือเปล่า?"

ศาลก็ศาลเหอะ ในเมื่อท่านใช้อำนาจภายใต้พระปรมาภิไท ท่านย่อมต้องพิจารณาคดี "ให้ครอบคลุมถึงศีลธรรมจรรยา และตามสภาพที่เป็นจริงด้วย" ตามกระแสพระราชดำรัสขององค์ในหลวง ซึ่งในเมื่อผลการพิจารณาขัดกับกระแสพระราชดำรัสนี้เป็นตรงกันข้าม ศาลตัดสินถูกต้องตามกระแสพระราชดำรัสหรือไม่ ผมไม่สามารถฟันธงได้ มหาชนชาวสยามเป็นผู้ตัดสิน

ขอเทิดทูนกระแสพระราชดำรัสขององค์พ่อหลวงอีกครั้ง ทรงตรัสชอบแล้วด้วยทศพิธราชธรรมโดยแท้

อ้อ ขอบคุณนะครับคุณหมอ ที่อุตส่าห์ "ขุดหลุมเปิดทาง" ให้ผมได้ขยี้บาดแผลทางจริยธรรมของท่านให้กว้างขวางเป็นที่ประจักษ์มากๆขึ้น

ขอบคุณด้วยความจริงใจ
โดย: คนรู้จริง แต่เกือบรู้ไม่ทัน [24 มิ.ย. 52 8:13] ( IP A:58.8.99.48 X: )
ความคิดเห็นที่ 11
   ถ้าหากว่าแพทย์ที่พูด ไม่มีหุ้นใน รพ .เอกชน /เล่นหุ้น รพ.
หรือ มีส่วนได้ส่วนเสียกับการเปิดคลินิตของตัวเอง
หรือเกี่ยวข้อง บริษัทยา ผมจะเชื่อครับ
แต่ผมคิดว่า วงการแพทย์ต้องเปิดเผยมากกว่านี้ครับ
และที่สำคัญครับ เน้นการป้องกัน รักษา และ บอกว่าต้งทำอย่างไรหากเกิดอาการอย่างนี้ อธิบายตามระดับความรู้ของ ผู้ป่วย/ญาติด้วยครับ
ผมก็ไม่เห็นด้วยที่มีการฟ้องแพทย์ครับ แต่ผมวิเคราะห์ดู บางกรณีก็ควรฟ้อง กรณีนี้ผมไม่รู้นะครับ
อย่าง กรณี นพ. ปิยสกล สกลสัตยาธร ที่มีความเกี่ยวข้องกับ ระ.เอกชนเป็นต้น
บางทีก็เป็นDomino ต่างๆ
โดย: MAn [24 มิ.ย. 52 19:47] ( IP A:58.9.130.228 X: )
ความคิดเห็นที่ 12
   ใช่แล้วหมอนั่นแหละไม่พูดความจริง
โดย: suriya_tapar@hotmail.com [24 ก.ค. 52 12:25] ( IP A:125.24.170.41 X: )

คลิกที่นี่เพื่อกลับหน้าบ้าน