ศาลยกฟ้อง รพ.พญาไท 1 ฟ้องประธานเครือข่าย 100 ล้าน
   อุทธรณ์ยืนยกฟ้อง “ดลพร” สัมภาษณ์ละเมิด รพ.พญาไท 1 ทำคลอดลูกพิการ

โดย ทีมข่าวอาชญากรรม Manager online
19 พฤษภาคม 2552 15:48 น.

ศาลพิพากษาอุทธรณ์ยืน ยกฟ้อง “ปรียนันท์ ล้อเสริมวัฒนา” ประธานเครือข่ายแพทย์ ไม่ผิดฐานละเมิด “รพ.พญาไท 1” ฟ้องเรียก 100 ล้าน ชี้การให้สัมภาษณ์เรื่องโรงพยาบาลทำคลอดลูกชายส่งผลต้องพิการเพื่อเรียกร้องสิทธิ เจ้าตัวยังสู้ ยื่นฟ้องคดีผู้บริโภค เรียกโรงพยาบาลอีก 57 ล้าน หลังตรวจพบอาการผิดปกติเพิ่มเมื่อปี 51

วันนี้ (19 พ.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 713 ศาลแพ่ง ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีหมายเลขแดงที่ 2279/2547 ที่ บริษัท โรงพยาบาลพญาไท 1 จำกัด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นางปรียนันท์ หรือดลพร ล้อเสริมวัฒนา ประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ เป็นจำเลยเรื่องละเมิด เรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี กรณีเมื่อวันที่ 12 ก.ย.2545 จำเลยได้กล่าวผ่านรายการ “เมืองไทยรายวัน” ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี ช่อง 9 อ.ส.ม.ท.ว่า แพทย์โรงพญาไท 1 ได้ทำคลอด นายกฤตบุญ หรือพิทักษ์พงค์ ล้อเสริมวัฒนา หรือน้องเซนต์ บุตรชาย โดยประมาทปราศจากความระมัดระวัง และไม่รับผิดชอบที่ส่งผลให้บุตรชายต้องพิการขายาวไม่เท่ากัน

คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ยกฟ้องจำเลย เนื่องจากเห็นว่าคำกล่าวของจำเลยเป็นการกล่าวไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ไม่มีเจตนาใส่ร้าย จึงไม่เป็นการละเมิดโจทก์ ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ประชุมหารือตรวจสำนวนแล้ว เห็นว่าคำกล่าวของจำเลยในรายการเมืองไทยรายวัน เป็นการกล่าวไปตามความเข้าใจเพื่อความชอบธรรม และปกป้องสิทธิตามครองธรรม จึงไม่เป็นการละเมิด ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลพิจารณาว่าแพทย์ของโจทก์กระทำการโดยประมาทในการทำคลอดบุตรชายจำเลยหรือไม่ ศาลเห็นว่าเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ได้อยู่ในฟ้อง จึงไม่จำต้องพิจารณา ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย พิพากษายืน

ภายหลังฟังคำพิพากษาแล้ว นางปรียนันท์ ได้ยื่นฟ้อง บริษัท ประสิทธิ์พัฒนา จำกัด (มหาชน) ประกอบกิจการ รพ.พญาไท 1, พญ. ยรรยงค์ มังคละวิรัช และ นพ.สันติ สุทธิพินทะวงศ์ เป็นจำเลยที่ 1-3 คดีผู้บริโภค ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 เรียกค่าเสียหาย 57 ล้านบาท กรณีทำคลอดโดยประมาทเป็นเหตุให้บุตรชายต้องพิการ

โดยนางปรียนันท์ ประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ กล่าวว่า 18 ปีที่ผ่านมาได้พึ่งกฎหมายร้องทุกข์ต่อหน่วยงานมาโดยตลอด แต่ยังไม่เคยได้รับการคุ้มครองจากใคร ต้องต่อสู้เองจนสิ้นเนื้อประดาตัว ขณะที่น้องเซนต์บุตรชายมีอาการปวดขารุนแรงมากขึ้น โดยเมื่อปี 2551 ที่ผ่านมาได้ตรวจพบความเสียหายใหม่ที่เกิดขึ้นจากหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนลงไปกดทับไขสันหลังและเส้นประสาท เกิดอาการปวดหลังและร้าวมาที่ขาอย่างรุนแรง ซึ่งต้องทุกข์ทรมานมาก ดังนั้น เมื่อพาบุตรชายไปเอกซเรย์แล้วทราบผลความเสียหายใหม่ที่เกิดขึ้น จึงเป็นหลักฐานที่นำมายืนยันฟ้องคดีใหม่ได้ภายในอายุความ 3 ปี นับแต่วันที่รู้ถึงความเสียหาย ตามมาตรา 13 พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคฯ

“ดิฉันเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม แม้วันนี้รู้สึกท้อ เหนื่อย เศร้า แต่ก็ยังสู้ ทั้งที่รู้ว่าการสู้กับวงการแพทย์นั้น เปรียบเหมือนมวยวัดสู้กับแชมป์โลก” นางปรียนันท์ ประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ กล่าว

ขณะที่ นายพิทักษ์พงค์ หรือน้องเซนต์ ซึ่งปัจจุบัน อายุ 18 ปี กล่าวว่า อาการที่ตรวจพบใหม่ทำให้การดำรงชีวิตยากขึ้นกว่าเดิม โดยเมื่อต้องนั่งเรียนเป็นเวลานานๆ จะปวดหลัง และจะมีอาการเหนื่อยกว่าคนปกติเมื่อต้องเดินขากะเผลก ส่วนแขนข้างซ้ายอ่อนแรงกว่าแขนข้างขวา หมุนรอบ 360 องศาไม่ได้ และเมื่อขาสั้นยาวไม่เท่ากัน ก็ทำให้เล่นกีฬา และเข้าเป็นนักศึกษาวิชาทหารไม่ได้

โดย: ข่าวจากผู้จัดการออนไลน์ [23 พ.ค. 52 10:46] ( IP A:58.9.202.114 X: )
Add to Facebook  Add to Twitter  Add to Multiply  Add to Google  Add to Blogger  Add to Live
ความคิดเห็นที่ 1
   30 มีนาคม 2534 ดิฉันไปคลอดลูกชาย ”น้องเซ้นต์” ที่รพ.พญาไท 1 สูติแพทย์สั่งให้ยาเร่งคลอดทางโทรศัพท์โดยไม่ได้มาตรวจครรภ์ก่อนสั่งให้ยา จึงไม่รู้ว่าน้องเซ้นต์ตัวโตมากหนัก 4,050 กรัม และอยู่ในท่าคลอดที่ผิดปกติคือหงายหน้าออก สูติแพทย์ใช้เครื่องดูดในการช่วยคลอด ดูดบริเวณท้ายทอยน้องเซ้นต์จนห้อเลือดบวมเป็นก้อนโต การทำคลอดไม่ประสบความสำเร็จ จึงนำดิฉันไปผ่าตัดทำคลอดออกทางหน้าท้อง ต่อมาก้อนห้อเลือดละลายกลายเป็นน้ำดี น้องเซ้นต์ตัวเหลืองมากส่องไฟไม่ลด กุมารแพทย์จึงทำการถ่ายเลือดผ่านทางสายสะดือ ส่งผลให้น้องเซ้นต์ติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างรุนแรง น้องเซ้นต์มีไข้ เม็ดเลือดขาวสูงขึ้นผิดปกติ ร้องกวน น้ำหนักลด แต่แพทย์ไม่ให้แม้แต่ยาปฏิชีวนะ หนองเข้าไปทำลายข้อสะโพกซ้ายจนสลายไปหมดสิ้น ส่วนข้อไหล่ซ้ายก็ได้รับความเสียหายเช่นกัน น้องเซ้นต์กลายเป็นคนพิการขาสั้นยาวไม่เท่ากัน เดินกระเผลก หลังคด นั่งขัดสมาธิไม่ได้ แขนซ้ายสั้นกว่าแขนขวาอ่อนแรงและแกว่งเป็น 360 องศาไม่ได้ ต้องผ่านความเจ็บปวดเจ็บป่วยจากการผ่าตัดหลายครั้ง ทุกข์ทรมานเรื้อรังจากอาการปวดขาอย่างรุนแรง ดิฉันต้องทุบขาให้ลูกแรง ๆ ทุกคืนนานนับสิบปี
วันนี้น้องเซ้นต์อายุ 18 ปี ปรากฏอาการปวดหลังร้าวลงไปที่ขามากขึ้น หลายครั้งปวดจนแทบจะไม่สามารถนอนหลับลงได้ ดิฉันพาลูกไปเอกซเรย์ผลพบว่า “กระดูกสันหลังเคลื่อนและโพรงไขสันหลังตีบแคบ หมอนรองกระดูกเคลื่อนกดทับไขสันหลังและเส้นประสาท” เป็นความเสียหายใหม่ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจากความเสียหายเดิม น้องเซ้นต์จะต้องผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียมทุก 10 ปีและเปลี่ยนข้อไหล่ซ้ายเพื่อแก้ไขความเสียหายของขาและแขนซ้าย อีกทั้งเพื่อแก้ไขอาการทรุดเคลื่อนตัวของหมอนรองกระดูกสันหลัง การที่เคยติดเชื้อในกระดูกมาก่อน การผ่าตัดจะมีความเสี่ยงสูงกว่าคนปกติ ดังนั้นข้อสะโพกเทียมที่จะนำมาใช้กับร่างกายน้องเซ้นต์ ต้องทำจากไทเทเนียมหรือเซรามิกซึ่งมีราคาสูงมาก ที่ผ่านมาการดูแลรักษาลูกอย่างต่อเนื่อง บวกกับการต้องต่อสู้หาความเป็นธรรมให้ลูก ทำให้ครอบครัวได้รับผลกระทบจนถึงกับสิ้นเนื้อประดาตัว ขณะที่ รพ.พญาไท 1 ไม่เคยแสดงความรับผิดชอบใด ๆ

ดิฉันร้องเรียนต่อ”แพทยสภา” ซึ่งต่อมามีมติว่า “คดีไม่มีมูล” เนื่องจากแพทย์ดูแลรักษาถูกต้องตามหลักวิชาการและมาตรฐานแห่งวิชาชีพแล้ว จากการฟังความข้างเดียวและเชื่อในสรุปรายงานที่เป็นเท็จของโรงพยาบาลรพ.พญาไท 1 ดิฉันจึงฟ้องแพทยสภา 33 คนทั้งคณะ เป็นคดีอาญามาตรา 157 ข้อหาละเว้นและปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งต่อมาศาลฎีกาพิพากษาไม่รับฟ้องโดยวินิจฉัยว่า “แม้จะเป็นความจริงว่าเป็นการช่วยเหลือแพทย์ผู้ถูกร้องไม่ให้ถูกลงโทษ ก็มิได้ก่อให้เกิดความเสียหายหรือกระทบกระเทือนสิทธิในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนโดยตรงแต่ประการใด โจทก์ทั้งสองไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องแพทยสภาทั้ง 33 คน”

ดิฉันฟ้องรพ.พญาไท 1 เป็นคดีแพ่งเรียกค่าเสียหาย 57 ล้านบาท ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาว่าคดีหมดอายุความแพ่ง 1 ปี โดยไม่อาจนับอายุความทางอาญา 10 ปีได้ เหตุเพราะบรรยายฟ้องไม่ครบองค์ประกอบคดีอาญา แม้ว่าดิฉันจะอุทธรณ์ขอให้ศาลพิจารณาอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งมาตรา 448 วรรคสอง ซึ่งให้นับอายุความอาญาที่ยาวกว่า ดิฉันหมดโอกาสในการพิสูจน์ข้อเท็จจริง ขณะที่สภาพการละเมิดและความเสียหายยังเกิดกับลูกไม่มีที่สิ้นสุด ดิฉันจึงร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) ซึ่งต่อมามีมติว่า 1)แพทย์ผู้ทำคลอดและกุมารแพทย์ของโรงพยาบาลพญาไท 1 ประมาทเลินเล่อ รวมทั้งโรงพยาบาลพญาไท 1 ไม่มีมาตรการแก้ไขเยียวยา จึงก่อให้เกิดเหตุการณ์ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ให้ช่วยเหลือเยียวยาทันที 2)กระบวนการตรวจสอบของแพทยสภาไม่เป็นธรรมต่อผู้ร้องให้รื้อฟื้นเรื่องขึ้นพิจารณาใหม่ภายใน 30 วัน แต่รพ.พญาไท 1 และแพทยสภาต่างเพิกเฉยไม่ทำตามมติ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจึงรายงานต่อนายกรัฐมนตรี จากนั้นเรื่องจึงเข้าสู่รัฐสภาและวุฒิสภา แต่ก็ไม่มีใครสามารถทำให้รพ.พญาไท 1 รับผิดชอบต่อน้องเซ้นต์ได้ เนื่องจากรพ.พญาไท 1 อ้างว่าศาลฎีกาตัดสินไปแล้วว่าโรงพยาบาลไม่ผิด ทั้งที่ศาลฎีกาตัดสินว่าคดีหมดอายุความฟ้องไม่ได้ ยังไม่ได้พิสูจน์ว่าใครถูกใครผิด

ดิฉันถูกรพ.พญาไท 1 ฟ้องกลับทั้งทางแพ่งและอาญา ข้อหาหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาท คดีอาญาศาลชั้นต้นและอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องคดีสิ้นสุดแล้ว / ส่วนคดีแพ่งศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง และศาลอุทธรณ์นัดฟังคำพิพากษาในวันอังคารที่ 19 พฤษภาคม 2552 นี้

18 ปี ที่แม่อย่างดิฉันอดทนต่อสู้หาความเป็นธรรมให้กับลูก เพราะเชื่อตามที่กฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนดว่า “สิทธิของผู้บริโภคย่อมได้รับการคุ้มครอง” แต่จนถึงทุกวันนี้ผู้บริโภคอย่างดิฉันกับลูกก็ยังไม่มีใครคุ้มครอง วันนี้ดิฉันพาลูกมายื่นฟ้องรพ.พญาไท 1 อีกครั้ง ตามกฎหมายใหม่ พรบ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคพ.ศ.2551 มาตรา 13 ที่บัญญัติเอาไว้ว่า “ในกรณีที่ความเสียหายเกิดขึ้นต่อชีวิต ร่างกาย สุขภาพ หรืออนามัยโดยผลของสารที่สะสมอยู่ในร่างกายของผู้บริโภค หรือเป็นกรณีที่ต้องใช้เวลาในการแสดงอาการ ผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภค ต้องใช้สิทธิเรียกร้องภายในสามปีนับแต่วันที่รู้ถึงความเสียหาย และรู้ตัวผู้ประกอบธุรกิจที่ต้องรับผิด แต่ไม่เกินสิบปีนับแต่วันที่รู้ถึงความเสียหาย”

เหตุที่นำคดีมาฟ้องใหม่ 1) กฎหมายใหม่ให้สิทธิ 2) มีความเสียหายใหม่เกิดขึ้นจริง 3)ค่าผ่าตัดรักษาพยาบาลในอนาคตสูงเกินกำลังของครอบครัวจะรับภาระได้ 4)รพ.พญาไท 1 ไม่เคยบรรเทาเหตุร้ายและเยียวยาความเสียหายตามหลักมนุษยธรรม มิหนำซ้ำยังฟ้องกลับดิฉันทั้งทางแพ่งและอาญาเรียกค่าเสียหายสูงถึง 100 ล้านบาท 5)เพื่อพิสูจน์ว่า“สิทธิของผู้บริโภคย่อมได้รับการคุ้มครอง”จริง ไม่ใช่เป็นเพียงสิ่งสมมุติที่เขียนให้สวยหรูเท่านั้น
โดย: ก๊อปจากข่าวแจกที่ศาล [23 พ.ค. 52 10:47] ( IP A:58.9.202.114 X: )
ความคิดเห็นที่ 2
   ดีใจจังเลยกับข่าวนี้
ทีจริง ความเป็นจริงเห็นกันอยู่
อาจจะดูว่า มันไม่ผิดในความเห็นของผู้บริหารของ รพ.พญาไท 1
ในการทำคลอดและรักษา
แต่ตรงกันข้ามของความจริง ความเห็นเหล่านั้นเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด
มันขัดแย้งต่อความเป็นจริงอย่างมาก กับความเสียหายที่เกิดกับเด็ก
ยอมรับแต่แรก เยียวยากันตามความเหมาะสม ชื่อเสียงของ รพ. พญาไท 1 จะดูสวยงามกว่านี้
ส่วนผู้เสียหายไม่ต้องการชื่อเสียงใด ๆ ในเรื่องที่เกิดขึ้น เพียงแต่อยากได้มาซึ่งความยุติธรรม และเป็นจริงในการต่อสู้ที่ควรจะเป็นเท่านั้น เพราะผู้เสียเป็นคนไทย ที่เกิดมาแล้วต้องพึ่งกระบวนการยุติธรรม
ที่คนไทยทุกคนคิดว่าเป็นที่พึ่งสุดท้าย เมื่อหน่วยงานราชการไทย พึ่งพาไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่เห็นว่า มันสามารถพิสูจน์ได้จริง ๆ


ดีใจกับประธานเครือข่ายและครอบครัว
สู้กันต่อไป ..ไม่มีอะไรสายในการต่อสู้ครั้งนี้
เพราะพวกเราไม่มีอะไรจะแลก ไม่มีอะไรจะเสีย
นอกจาก ใจสู้....
โดย: จีเอ็น [25 พ.ค. 52 8:42] ( IP A:61.19.65.220 X: )
ความคิดเห็นที่ 3
   ยกสองของ "ครอบครัวล้อเสริมวัฒนา"
สุดท้ายแล้วมันจะเลือนหายไปตามอำนาจ
ของคู่ต่อสู้หรือไม่
โดย: ต้องช่วยกันจับตามอง [25 พ.ค. 52 8:43] ( IP A:58.9.202.239 X: )
ความคิดเห็นที่ 4
   ยกแรกจบไปเมื่อ 14 ตุลาคม 2547
ศาลฎีกาพิพากษาว่าคดีหมดอายุความแพ่ง 1 ปี โดยไม่อาจนับอายุความทางอาญา 10 ปีได้ เหตุเพราะบรรยายฟ้องไม่ครบองค์ประกอบคดีอาญา แม้ว่าดิฉันจะอุทธรณ์ขอให้ศาลพิจารณาอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งมาตรา 448 วรรคสอง ซึ่งให้นับอายุความอาญาที่ยาวกว่า ดิฉันหมดโอกาสในการพิสูจน์ข้อเท็จจริง ขณะที่สภาพการละเมิดและความเสียหายยังเกิดกับลูกไม่มีที่สิ้นสุด

โดย: ยกแรก [25 พ.ค. 52 8:56] ( IP A:58.9.202.239 X: )
ความคิดเห็นที่ 5
   ทุกย่างก้าวของการต่อสู้ ไม่เคยได้สิ่งไหนมาโดยง่าย
กว่าคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนจะมีมติออกมาได้
ต้องเหนื่อยน่าดู เพราะแพทยสภาแทรกแซงการสอบสวน

โดย: แพทยสภาทำไม่ถูกต้อง [25 พ.ค. 52 9:00] ( IP A:58.9.202.239 X: )
ความคิดเห็นที่ 6
   โดนฟ้องกลับ ศาลยกฟ้อง
พูดความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองและลูกไม่มีความผิด

โดย: ยกฟ้อง [25 พ.ค. 52 9:02] ( IP A:58.9.202.239 X: )
ความคิดเห็นที่ 7
   ดิฉันร้องเรียนต่อ”แพทยสภา” ซึ่งต่อมามีมติว่า “คดีไม่มีมูล” เนื่องจากแพทย์ดูแลรักษาถูกต้องตามหลักวิชาการและมาตรฐานแห่งวิชาชีพแล้ว จากการฟังความข้างเดียวและเชื่อในสรุปรายงานที่เป็นเท็จของโรงพยาบาลรพ.พญาไท 1 ดิฉันจึงฟ้องแพทยสภา 33 คนทั้งคณะ เป็นคดีอาญามาตรา 157 ข้อหาละเว้นและปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งต่อมาศาลฎีกาพิพากษาไม่รับฟ้องโดยวินิจฉัยว่า “แม้จะเป็นความจริงว่าเป็นการช่วยเหลือแพทย์ผู้ถูกร้องไม่ให้ถูกลงโทษ ก็มิได้ก่อให้เกิดความเสียหายหรือกระทบกระเทือนสิทธิในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนโดยตรงแต่ประการใด โจทก์ทั้งสองไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องแพทยสภาทั้ง 33 คน”

โดย: รอนาน 6 ปี ศาลไม่รับฟ้อง [25 พ.ค. 52 9:04] ( IP A:58.9.202.239 X: )
ความคิดเห็นที่ 8
   รพ.พญาไททุ่ม3.2พันล.ออกรบ ดึงดร.ศิรินั่งซีอีโอ-เล็งควบรวมเปาโล
รพ.พญาไท เร่งขยายธุรกิจครั้งใหญ่หลังออกแผนฟื้นฟู ทุ่ม 3.2 พันล้านบาท รีโนเวตใหม่ สั่งเครื่องมือแพทย์ยกใหญ่ พร้อมปรับตัวเป็นตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์แพทย์ชั้นนำ ล่าสุดดึง ดร.ศิริ การเจริญดี นั่งแท่นซีอีโอ ชูวิชั่นใหม่ขยายฐานลูกค้าคนไทยระดับซี ปีหน้าเตรียมเพิ่มทุน ระบุเล็งนำพญาไท-เปาโลควบรวม 3 ปีตั้งเป้าพญาไทโตปีละ 25%

นายวิชัย ทองแตง ประธานกรรมการ เครือโรงพยาบาลพญาไท เปิดเผยว่า หลังจากที่โรงพยาบาลฯ ออกจากแผนฟื้นฟูตั้งแต่ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานี้ ดังนั้นจึงได้เตรียมทุ่มงบ 3,200 ล้านบาท ขยายโรงพยาบาลพญาไทภายในช่วง 2-3 ปีจากนี้ โดยแบ่งเป็น ลงทุนเครื่องมือทางการแพทย์ 1,450 ล้านบาท นำร่องปีนี้ด้วยการทุ่มงบ 850 ล้านบาท ซื้อเครื่องมือการแพทย์ใหม่ พร้อมกันนี้ยังได้เจรจาผู้จำหน่ายเครื่องมือทางการแพทย์ซึ่งยังไม่สามาถเปิดเผยรายละเอียดได้ โดยได้ทุ่มงบ 650 ล้านบาท ในการเป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์จำหน่ายเครื่องมือแพทย์ในประเทศไทย และจะเป็นรายแรกที่จะได้ใช้เครื่องมือการแพทย์ระดับสูง

ส่วนงบที่เหลือบริษัทฯได้นำมาปรับปรุงอาคารสถานที่ในโรงพยาบาลใหม่ราว 1,350 ล้านบาท โดยได้เตรียมจัดแยกแผนกการรักษาไว้อย่างชัดเจน จากรูปแบบเดิมแผนการรักษาอยู่รวมกัน ทั้งนี้เพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้กับคนไข้ที่เข้ามาใช้บริการ ขณะที่งบอีก 400ล้านบาท ได้เตรียมปรับระบบคอมพิวเตอร์ใหม่ทั้งหมด พร้อมกันนี้บริษัทยังได้ทุ่มงบอีก 50-60ล้านบาท ลงทุนในเรื่องของการพัฒนาบุคลากร ทั้งแพทย์ นางพยาบาล

นายวิชัย กล่าวว่า ในแง่ของการบริหารงานล่าสุดได้ดึง ดร.ศิริ การเจริญดี รับตำแหน่งประธานบริหารแทนตน หลังจากที่ตนควบ 2 ตำแหน่ง ทั้งประธานกรรมการ และ ประธานบริหารมานาน พร้อมกันนี้ยังได้ปรับวิชั่นใหม่ โดยวางตำแหน่งโรงพยาบาลพญาไท เป็นสถาบันแนวหลักในการรักษาพยาบาลที่คนไทยเข้าถึงได้ โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายระดับซีถึงซีบวก จากที่ผ่านมาจะเน้นเจาะกลุ่มชาวต่างประเทศเป็นหลัก โดยรพ.จะนำกลยุทธ์ ในการบริหารโรงพยาบาลแนวใหม่ “Multi Disciplinary” คือ การเน้นให้แพทย์ต่างสาขาทำงานร่วมกันเป็นทีม กรณีมีคนไข้หนักเข้ามา แพทย์ที่มาจากต่างสาขา จะมาร่วมประชุมกันเพื่อออกแบบการรักษาคนไข้รายเดียวกัน เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับคนไข้

“ผมมีแนวคิดที่จะนำโรงพยาบาลพญาไท ซึ่งปัจจุบันถือหุ้นในสัดส่วน 48% และโรงพยาบาลเปาโล ถือหุ้นมากกว่า 51% มาควบรวมกันในอนาคต โดยในปีหน้านี้ได้เตรียมเพิ่มทุนรพ.พญาไท ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะหาพันธมิตรมาร่วมทุนหรือลงทุนเอง“

ด้านดร.ศิริ การเจริญดี ประธานกรรมการบริหาร เครือโรงพยาบาลพญาไท กล่าวถึงในแง่ของการบริหารงานโรงพยาบาลพญาไทว่า ต้องเป็นสถาบันที่มีการบริหารที่ได้มาตรฐานสากลและอยู่ในระดับแนวหน้า รวมทั้งต้องมีการบริการที่ดี และสถานที่จะต้องมีความสะอาด ซึ่งขณะนี้มีหลายที่จะต้องปรังปรุงใหม่ ขณะเดียวกันยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านบุคลากร ส่วนด้านการตลาดจะเน้นขยายฐานลูกค้าคนไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มระดับกลาง เนื่องจากเป็นฐานประชากรที่ใหญ่ในประเทศไทย จากที่ผ่านมาโรงพยาบาลมุ่งเน้นเจาะแต่ลูกค้าจากต่างประเทศเป็นหลัก

นายอัฐ ทองแตง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เครือโรงพยาบาลพญาไท กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วง 2 ปีนี้รพ.พญาไท เน้นการสร้างฐานให้มีความแข็งแกร่งเป็นหลักก่อน เพื่อให้สามารกแข่งขันกับต่างประเทศได้ ดังนั้นจึงไม่ได้มองในเรื่องของกำไรมากนัก สำหรับในช่วง 3 ปีข้างหน้านี้โรงพยาบาลพญาไท ตั้งเป้ามีอัตราการเติบโตปีละ 25% สำหรับในปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโต 15% สำหรับโรงพยาบาลพญาไทได้ปรับโครงสร้างหนี้เมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมา จากหนี้ 5,800 ล้านบาท เนื่องจากกู้เงินไปดำเนินธุรกิจที่นอกเหนือจากธุรกิจโรงพยาบาล อาทิ โรงเรียน เป็นต้น

“จุดยืนของพญาไทเป็นโรงพยาบาลที่มีมาตรฐานการบริการทางการแพทย์ในระดับเวิลด์คลาสเพื่อคนไทย ด้วยการต้อนรับและดูแลเอาใจใส่อย่างไทยๆ พญาไทให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรทางการแพทย์ ที่ต้องก้าวให้ทันกับวิทยาการทางการแพทย์สากลที่มีพัฒนาการอย่างไม่หยุดยั้ง ไปจนถึงบุคลากรของโรงพยาบาล ที่มุ่งเน้นการบริการที่เป็นเลิศ” นายอัฐกล่าวทิ้งท้าย
โดย: ค้าขายแต่ขอให้มีความรับผิดชอบ [25 พ.ค. 52 9:12] ( IP A:58.9.202.239 X: )
ความคิดเห็นที่ 9
   รพ.พญาไทลุยทำกำไร"วิชัย"โรดโชว์หุ้นปลายปี

ผู้จัดการรายวัน(26 เมษายน 2547)

"วิชัย ทองแตง" เตรียมโรดโชว์หุ้นพญาไท - PYT ที่สหรัฐฯ ปลายปีนี้ นำเสนอข้อมูลให้กับกองทุนต่างประเทศ และนักธุรกิจโรงพยาบาล หลังมีคนให้ความสนใจแผนรัฐบาลผลักดันไทยเป็นศูนย์กลาง การแพทย์ในเอเชีย และธุรกิจโรงพยาบาลในไทย พร้อมรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับ Harvard มหาวิทยาลัยชื่อดังด้านโรงพยาบาล พันธมิตรเก่าด้านโรคหัวใจหลังจากขาดการติดต่อมานานตั้งแต่เกิดวิกฤต เล็งนำหุ้น PYT เข้าเทรดต้นปี 48

นายวิชัย ทองแตง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ประสิทธิ์พัฒนา จำกัด (มหาชน) (PYT) หรือ โรงพยาบาลพญาไท เปิดเผยว่า ประมาณปลายปี 47 จะไปโรดโชว์ หรือนำเสนอข้อมูลของบริษัทที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยจะมีการพูดคุยกับนักลงทุนสองประเภทด้วยกัน คือ กลุ่มแรกเป็นกลุ่มกองทุนต่างประเทศ กลุ่มที่สองเป็นกลุ่มที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจโรงพยาบาลเหมือนกัน เนื่องจากที่ผ่านมามีผู้แสดงความสนใจในธุรกิจโรงพยาบาลค่อนข้างมาก

"ปกติเราจะมีการพูดคุยกับกลุ่มนักลงทุนในเอเชียเป็นระยะๆ อย่างที่สิงคโปร์เราจะไปบ่อยเพราะกลุ่มเรามีพันธมิตรอยู่ที่นั่น แต่ในปลายปีนี้ซึ่งยังไม่ได้กำหนดวันที่แน่นอน เราจะไปคุยกับกลุ่มพันธมิตรที่รู้จักในสหรัฐอเมริกา เพราะมีคนให้ความสนใจธุรกิจโรงพยาบาลของเราค่อนข้างมาก ซึ่งส่วนใหญ่ที่คุยกับนักลงทุนต่างประเทศเขาจะพูดถึงนโยบายของท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ที่ที่ต้องการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการแพทย์ และเขาก็เห็นว่า เรามีชาวต่างประเทศเข้ามาใช้บริการด้านโรงพยาบาลมากขึ้น"

นอกจากนี้ในการโรดโชว์ที่สหรัฐอเมริกาครั้งนี้ ยังมีแผนที่จะคืนความสัมพันธ์กลับไปติดต่อกับพันธมิตรเก่า Harvard Medical University ซึ่งเป็นพันธมิตรเก่าด้านวิชาการแพทย์โรคหัวใจ ที่ติดต่อ กันมาตั้งแต่สมัย ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ บริหารงานอยู่

"เราหยุดติดต่อกับฮาร์วาร์ดไปหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ตอนนี้ถึงเวลาที่เราต้องไปคุยเพื่อจอยน์ กันในด้านวิชาการเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับการร่วมทุนหาแนวทางใหม่ๆ มาใช้พัฒนา แล้วเราก็มีแผนจะไปพบพูดคุยกับโรงพยาบาล 5 แห่ง ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งในการติดต่อกันก็จะเป็นการติดต่อกันในลักษณะ เรื่องของการส่งคนไข้มาที่เรา มีการทรานสเฟอร์เทคโนโลยีระหว่างกัน หรืออาจจะเชิญแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดัง ๆ ของที่นั่นมาแนะนำเรา" นายวิชัย กล่าว

นายวิชัย กล่าวว่า การดำเนินการดังกล่าว ก็เพื่อที่จะเตรียมความพร้อมสำหรับการขยายตัวให้โรงพยาบาลพญาไทไปสู่นานาชาติ เพราะในทางการแพทย์ต้องมีการพัฒนาตลอดเวลา เครื่องไม้ เครื่องมือ อุปกรณ์ต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ต้องตามให้ทัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเราต้องการที่จะเป็นโรงพยาบาลระดับแนวหน้าของประเทศไทยและในเอเชียจำเป็นต้องพัฒนาให้ทันสมัย

"เราไม่ได้ต้องการเป็นเบอร์ 1 ของเอเชีย แต่เราต้องการเป็นอันดับต้นๆ ของเมืองไทย ซึ่งถ้ารัฐบาลผลักดันต่อเนื่อง การที่ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ในเอเชีย ไทยก็มีโอกาสสูงที่จะทำได" นายวิชัย กล่าว

ส่วนการนำหุ้นโรงพยาบาลพญาไทย หรือ PYT เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯนั้นนายวิชัย กล่าวคาดว่า จะยื่นขอตลาดหลักทรัพย์ฯนำ PYT เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ในต้นปี 48 ซึ่งในปี 46 ที่ผ่านมา บริษัทมีกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้และมีกำไรจากการแฮร์คัตหนี้เล็กน้อย แต่ในไตรมาสแรกของปี 47 นี้บริษัทเริ่มมีกำไรจากการดำเนินงานแล้ว

"ผลกำไรไตรมาสแรก ไตรมาสสอง และไตรมาสสาม ที่ติดต่อกันจะเป็นเครื่องชี้วัด ซึ่งเราอยากให้หุ้น PYT ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเมื่อเข้าเทรด"

นายวิชัย กล่าวต่อไปว่า สำหรับแผนการดำเนินงานและทิศทางของ PYT ในอนาคตทั้งหมดนั้นทางคณะผู้บริหารได้มีการวางแผนไว้แล้ว แต่เนื่องจากต้องการคำแนะนำจากผู้ถือหุ้นกลุ่มอื่นด้วย ดังนั้นในวันที่ 29 เม.ย.47 เวลา 11.00 น. ซึ่งจะมีการ ประชุมใหญ่สามัญครั้งที่ 1/2547 จะมีการรายงานการบริหารงานและแผนงานให้กับที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อขอรับฟังความคิดเห็นและคำแนะนำจากผู้ถือหุ้นก่อน

"เราขอฟังความเห็นของผู้ถือหุ้นก่อน ซึ่งเราจะบอกทิศทางของบริษัทฯให้ผู้ถือหุ้นฟังว่าเรากำลังทำอะไรแล้วเราอยากได้ความเห็น และคำชี้แนะคำแนะนำจากผู้ถือหุ้นด้วย" นายวิชัย กล่าว

นายวิชัย กล่าวถึงกรณีความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่ และกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมกลุ่ม ดร. อาทิตย์ อุไรรัตน์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่า เรื่องความขัดแย้งขณะนี้ถือว่า แยกออกจากกันไปแล้วปัจจุบันไม่มีความขัดแย้งในการบริหาร งาน ความขัดแย้งดังกล่าวเป็นเรื่องระหว่างผู้บริหารแผนชุดเดิมกับกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม ปัจจุบันโครงสร้าง ผู้ถือหุ้น PYT ปัจจุบัน ดร.อาทิตย์ ถือหุ้นอยู่ประมาณ 3% กว่าของทุนจดทะเบียน 4,430 ล้านบาท นอกจากนี้มีเจ้าหนี้แบงก์พาณิชย์ที่แปลงหนี้เป็นทุน ได้แก่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกรุงเทพ บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM) "ส่วนผมถือหุ้นประมาณ 20% ไม่รวมพันธมิตร ในกลุ่ม"

สำหรับคณะกรรมการบริษัทฯ ปัจจุบันประกอบด้วย นายวิชัย ทองแตง, นายชนินทร์ เย็นสุดใจ, นายสิทธิชัย สุขเจริญมิตร, นายอาทิตย์ อุไรรัตน์, นายธราธร เปรมสุนทร, นายสหรัตน์ เพ็ญกุล, นายวิโรจน์ เศรษฐปราโมทย์, นางสาวปนัดดา วาริธร, นายแดร์ริล คิดท แมย์ทอม, นายอัฐ ทองแตง, นายจิตเกษม แสงสิงแก้ว และนายณัฐวุฒิ เภาโบรมย์
โดย: มีเงิน มีอำนาจ ไม่ต้องรับผิด [25 พ.ค. 52 9:14] ( IP A:58.9.202.239 X: )
ความคิดเห็นที่ 10
   "อาทิตย์" เปิดอกถูก "ชินวัตร" ฮุบ สู้ยิบตาแย่ง "พญาไท" คืน
ข่าวจาก นสพ. ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 21 ก.ค. 2546


ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ เปิดอกช้ำ ถูกกลุ่มชินวัตรฮุบพญาไท สุดแค้น สู้ยิบตา พึ่งอำนาจศาลปลดไพร้ซฯ ลั่นพร้อมเข้าบริหารแผนด้วยตัวเอง กรีดนายกฯร่ำรวยยังไม่พออีกหรือ ? ซื้อกิจการทุกอย่างในประเทศจนหมด ทั้งโรงพยาบาล ธุรกิจบันเทิง ประกัน วอนเหลือไว้ให้คนอื่นทำมาหากินบ้าง

ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารโรงพยาบาลพญาไท ให้สัมภาษณ์ "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงกรณีการฟ้องศาลล้มละลายกลางเพื่อขอให้ปลดบริษัทไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส คอร์ปอเรทรีสตรัคเจอริ่ง จำกัด ออกจากการเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการบริษัท ประสิทธิพัฒนา จำกัด (มหาชน) ว่า ตนต้องการจะให้กรณีนี้เป็นกรณีตัวอย่าง ซึ่งตามหลักแล้วการบริหารแผนฟื้นฟูนั้น เมื่อผู้บริหารแผนดำเนินการเสร็จแล้วก็จะต้องนำกลับส่งต่อให้กับผู้บริหารเดิม แต่การบริหารแผนฟื้นฟูกิจการของไพร้ซฯ มีเจตนาที่แอบแฝงและไม่สุจริต

โดยเฉพาะกรณีการปลดคุณพ่อ (นายประสิทธิ์ อุไรรัตน์) จากตำแหน่งประธานกรรมการ ที่อ้างหนังสือลาออกเมื่อเดือนมิถุนายน 2544 ซึ่งมีข้อเท็จจริงว่านายประสิทธิ์ได้ทำหนังสือลาออกแจ้งไปยังโรงพยาบาลพญาไททั้ง 3 แห่ง เนื่องจากเสียใจที่โรงพยาบาลที่ก่อตั้งมากับมือมีปัญหาและต้องการจะแสดงความรับผิดชอบ แต่เมื่อกรรมการท่านอื่นๆ ทราบเรื่องก็ได้ยับยั้ง ซึ่งนายประสิทธิ์ก็ยอมและได้ขอจดหมายลาออกคืนจากโรงพยาบาลทั้ง 3 แห่ง

พฤติกรรมไพร้ซฯน่าสงสัย
ทั้งพญาไท 1 และพญาไท 3 คืนหนังสือฉบับดังกล่าวมา แต่พญาไท 2 อ้างว่าจดหมายหาย แต่ต่อมาไพร้ซฯก็ได้ใช้หนังสือดังกล่าวมาใช้ เป็นเหตุในการปลดนายประสิทธิ์และแต่งตั้งผู้บริหารจากโรงพยาบาลคู่แข่งคือ เปาโลและศิครินทร์เข้ามาแทน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง นอกจากนี้ ไพร้ซฯยังมีพฤติกรรมที่ไม่ชอบมาพากลอีกหลายเรื่อง

ดร.อาทิตย์กล่าวว่า เดิมประสิทธิ์พัฒนามีหนี้เพียง 5,000 ล้านบาท พอเกิดวิกฤตในปี 2540 หนี้ก็เพิ่มเป็น 10,000 ล้านบาท เมื่อรวมดอกเบี้ยเบ็ดเสร็จประมาณ 13,000 ล้านบาท แทนที่ไพร้ซฯจะแยกแก้ปัญหาของแต่ละโรงพยาบาล คือ พญาไท 1 พญาไท 2 และพญาไท 3 เพราะผู้ถือหุ้นเป็นคนละกลุ่มกัน แต่ไพร้ซฯกลับจับทั้ง 3 โรงพยาบาลมามัดรวมกัน

ปัจจุบันหนี้ที่มีอยู่ประมาณ 13,000 ล้านบาทได้แฮร์คัตไปแล้ว 4,000 ล้านบาท เหลืออีกประมาณ 9,000 ล้าบาท แบ่งเป็นหนี้ที่คงไว้ 4,700 ล้านบาท ที่เหลืออีก 4,300 ล้านบาทจะแปลงหนี้เป็นทุน

ส่วนการบริหารแผนนั้น แม้ว่าไพร้ซฯจะยอมคิดเป็นแบบเหมาจ่ายในอัตรา 1.2 ล้านบาท/เดือน จากเดิมที่คิดค่าตัวเป็นแพงมากชั่วโมงละ 10,000-14,000 บาท รวมเบ็ดเสร็จทั้งหมดที่บริษัทต้องจ่ายประมาณ 140 ล้านบาท

ขณะเดียวกันก็เริ่มเห็นสัญญาณที่ทำให้บริษัทเสียหาย อย่างกรณีของบริษัท คลาส วี จำกัด ที่กำลังดำเนินการก่อสร้างอาคารบนถนนศรีอยุธยา ตั้งอยู่เยื้องกับ ร.พ.พญาไท 1 และ ร.พ.พญาไท 4 ที่มีโครงการจะก่อสร้างที่บริเวณสี่แยกมักกะสัน ทั้ง 2 แห่งนี้เป็นบริษัทในเครือของประสิทธิ์พัฒนา มีมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท และ 850-900 ล้านบาท ตามลำดับ แต่ปรากฏว่าไพร้ซฯนำไปขายในราคาที่ถูกมาก คลาสวีขายไปประมาณ 100 ล้านบาท และพญาไท 4 ขายไป 200 ล้านบาท แต่เงินทั้งหมดขณะนี้ไม่รู้ไปอยู่ที่ใคร เพราะไม่มีการเอามาตัดหนี้ทั้งๆ ที่เป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงมาก

ดร.อาทิตย์ระบุอีกว่า ยังมีอีกหลายเรื่อง เช่น ค าบริหารแผนที่บอกว่า 1.2 ล้านบาท/เดือน แต่เบิกเกินไปมากเป็น 1.4-1.7 ล้านบาท/เดือน นอกจากนี้ยังมีการเบิกเงินค่าใช้จ่ายต่างๆ เพิ่ม เช่น ค่าที่ปรึกษาทางกฎหมาย ค่าที่ปรึกษาการเงิน ฯลฯ ซึ่งในช่วงปีเศษๆ เบิกไปถึง 200 ล้านบาท มีการจัดซื้อเครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์ ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์กว่า 200 ล้านบาท แต่เครื่องก็ใช้การไม่ได้

การเข้าไปบริหารและจัดการโรงพยาบาลของกลุ่มไพร้ซฯมุ่งแต่จะลดค่าใช้จ่ายจนทำให้คุณภาพด้านการรักษา การให้บริการลดลง และมีหลายเคสมากที่ทำให้เกิดความเสียหายกับคนไข้

ทนายคู่ใจนายกฯเล็งฮุบกิจการ
ที่สำคัญคือ ไพร้ซฯไม่ได้คำนึงถึงหลักการในการบริหารให้เป็นไปตามแผนเพื่อที่จะได้นำกลับส่งต่อคืนให้กับผู้บริหารเดิม แต่กลับเปิดโอกาสให้คนอื่นเข้ามาฮุบกิจการไป ซึ่งเป็นไปได้อย่างไรที่ปล่อยหมอบุญ (วนาสิน) วิชัย (ทองแตง ทนายความคดีซุกหุ้น) ชนินทร์ เย็นสุดใจ (กรรมการผู้จัดการ บริษัท เปาโล เมดิค จำกัด ผู้บริหารโรงพยาบาลเปาโล) ให้เข้ามาทำอะไรในโรงพยาบาล แต่ไพร้ซฯโดยที่ไม่เคยแจ้งหรือบอกอะไรกับตนเลย

"คุณวิชัยเขาบอกว่าเขาซื้อหนี้ 20% ซื้อจากเจ้าหนี้ต่างประเทศในราคาที่ถูกมากเพียง 10% ของราคาเท่านั้น ถ้าหุ้นทั้งหมด 4,000 ล้านบาท ผู้ถือหุ้นเดิมถืออยู่ 20% หนี้ที่ต้องแปลงเป็นทุนในส่วนของแบงก์กรุงศรีฯ กรุงไทย กรุงเทพ คุณวิชัยบอกว่าจะเจรจาซื้อหมด เขาก็ไปกู้เงิน 4,700 ล้านบาท ล้างหนี้นั้นหมดไป แล้วซื้อส่วนที่แปลงเป็นทุนด้วยเขาก็จะเป็นเจ้าของคนเดียวทั้งหมด ซึ่งเจ้าหนี้ก็เห็นดีเห็นงามด้วย"

"เราบอกว่าเขาทำไม่ถูกต้อง ฟ้องฐานปฏิบัติไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น ประชุมไม่ได้ประชุมผู้ถือหุ้นจริง ฉะนั้น สิ่งที่เขาทำไปมันน่าจะโมฆะทั้งหมด เราชี้ให้เห็นมูลเหตุของการบริหารแผน เป็นการบริหารแผนโดยไม่สุจริต โดยไม่เป็นกลาง ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของลูกหนี้และเจ้าหนี้ตามเจตนารมณ์ของกระบวนการและกฎหมาย"

ผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องนี้มองว่าเป็นเรื่องการเมืองด้วยหรือไม่ ดร.อาทิตย์ตอบว่า คงไม่ถึงกับเป็นเรื่องการเมือง แต่เป็นเรื่องของการเทกโอเวอร์ผลประ โยชน์ คุณวิชัยเขาก็เป็นมือของคุณทักษิณ (ชินวัตร) แต่เขาก็ออกมาปฏิเสธข่าวเราออกไป เพียง 2 วันก็มีชื่อของคุณวิชัยไปบริหารทีพีไอ เขารีบออกมาปฏิเสธว่าไม่เอาแล้วก็ไม่ได้จริงๆ แต่เขาไปเป็นที่ปรึกษาอยู่ เพราะเขาไม่กล้าออกหน้า ถ้าเขาออกมาก็ชัดเลย เขาจะเอาอะไรนักหนา ยังรวยไม่พออีกหรือ ทั้งประเทศแล้วนะ กิจการทุกกิจการฮุบหมดแล้ว แกรมมี่ก็ฮุบแล้ว จะเอาทุกอย่าง โรงหนัง บริษัทประกันภัย โรงพยาบาล

"ผมไม่มีเงินจะไปแข่งแย่งซื้อกับเขา แต่ผมต้องอาศัยคำสั่งศาลตัดสินว่าอย่างนี้มันไม่ถูกต้อง เขาจะขอออกจากศาล ต้องไม่ให้ออก มันไม่ถูกต้องเลย เขาทำไม่ถูกต้องเลย ยังไม่ได้ใช้เงินต้นสักบาทเลย จะเรียกว่าปฏิบัติตามแผนแล้วอย่างไร ส่วนเงินรายได้ที่ได้มาแล้วไม่จ่ายเขาไปก็ถลุงกันเต็มที่ อย่างไรก็ตาม มั่นใจในความยุติธรรมของศาล ของระบบของประเทศไทย"

ไม่อยากเสียสมบัติของตระกูล
ดร.อาทิตย์กล่าวในช่วงท้ายว่า ร.พ.พญาไทไม่ได้เริ่มต้นแบบธุรกิจ คุณพ่อผมเริ่มต้นกิจการโรงพยาบาลเพื่อที่จะได้ไว้พึ่งพาอาศัย ด้วยความเชื่อศรัทธาในความบริสุทธิ์ ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย แต่ตอนนี้พยายามมากล่าวหาว่าบริหารไม่ดีถึงได้เจ๊ง มันไม่ใช่ เราเจอเหตุการณ์ปี 2540 เลยแก้ไม่ตก

"ร.พ.พญาไทตั้งมาตั้งแต่ปี 2519 ปัจจุบันรวมแล้วประมาณ 27 ปี ถือได้ว่าเป็นสมบัติของครอบครัว ถ้าเผื่อจำเป็นที่จะต้องหลุดมือไปเราก็ต้องยอมรับ แต่ก็ด้วยความขมขื่น"

ก่อนหน้านี้ตนได้ขอร้องไปแล้วว่าอันนี้เป็นกิจการครอบครัว ถ้าเขาไม่ได้อันนี้ไป คงไม่ทำให้เขาจนลง หรือทำให้เขาถึงทางตันอะไรหรอก สแปรเอาไว้ให้เราสักที่หนึ่ง เอาไว้ให้หากินไม่ได้หรือ ? เพราะว่าอย่างน้อยชื่อบริษัทก็เป็นชื่อพ่อกับแม่ ชื่อพญาไทก็เป็นชื่อที่เราคิดขึ้นมาเอง หากศาลตัดสินปลดไพร้ซฯออก ตนจะเสนอตัวเข้าบริหารหนี้สินจำนวนนี้ด้วยตนเอง

ปัจจุบันหากไม่นับธุรกิจโรงพยาบาล ตระกูลอุไรรัตน์จะเหลือเพียงธุรกิจด้านการศึกษาเท่านั้น คือมหาวิทยาลัยรังสิต โรงเรียนนานาชาติที่ภูเก็ต และโรงเรียนสาธิตรังสิตที่กำลังจะเปิดเร็วๆ นี้

ศาลนัดสืบพยานกันยายน
ผู้สื่อข่าวรายงานจากศาลล้มละลายกลางว่า เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคมที่ผ่านมา นายกงจักร โพธิ์พร้อม ผู้พิพากษาศาลล้มละลาย ได้พิจารณาคำร้องของฝ่ายลูกหนี้ที่ยื่นขอปลดบริษัทไพร้ซฯ จากการเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการบริษัท ประสิทธิพัฒนา จำกัด (มหาชน) เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงกรรมการใหม่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ตามที่ได้ยื่นเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยศาลให้ผู้บริหารแผนยื่นคำคัดค้านมาภายในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ และนัดสืบพยานฝ่ายผู้ร้อง (ลูกหนี้ คือ นายอาทิตย์ อุไรรัตน์) ในวันที่ 15, 22 และ 29 กันยายน ส่วนนัดสืบพยานฝ่ายผู้บริหารแผน (ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์ฯ) ในวันที่ 20, 27 ตุลาคมและ 3 พฤศจิกายน
ที่มา : https://www.matichon.co.th/prachachat
โดย: เวรกรรม [25 พ.ค. 52 9:17] ( IP A:58.9.202.239 X: )
ความคิดเห็นที่ 11
   “จุดยืนของพญาไทเป็นโรงพยาบาลที่มีมาตรฐานการบริการทางการแพทย์ในระดับเวิลด์คลาสเพื่อคนไทย ด้วยการต้อนรับและดูแลเอาใจใส่อย่างไทยๆ พญาไทให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรทางการแพทย์ ที่ต้องก้าวให้ทันกับวิทยาการทางการแพทย์สากลที่มีพัฒนาการอย่างไม่หยุดยั้ง ไปจนถึงบุคลากรของโรงพยาบาล ที่มุ่งเน้นการบริการที่เป็นเลิศ” นายอัฐกล่าวทิ้งท้าย

ไม่บอกด้วยล่ะว่า...เวลาเจ็บ ตาย พิการ จากความผิดพลาดขึ้นมาไม่รับผิดชอบ แถมจะฟ้องกลับด้วยหากไปออกข่าว
โดย: ได้มาตรฐานจริงหรือ [25 พ.ค. 52 12:44] ( IP A:58.9.190.93 X: )
ความคิดเห็นที่ 12
   ไม่อยากเสียสมบัติของตระกูล
ดร.อาทิตย์กล่าวในช่วงท้ายว่า ร.พ.พญาไทไม่ได้เริ่มต้นแบบธุรกิจ คุณพ่อผมเริ่มต้นกิจการโรงพยาบาลเพื่อที่จะได้ไว้พึ่งพาอาศัย ด้วยความเชื่อศรัทธาในความบริสุทธิ์ ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย แต่ตอนนี้พยายามมากล่าวหาว่าบริหารไม่ดีถึงได้เจ๊ง มันไม่ใช่ เราเจอเหตุการณ์ปี 2540 เลยแก้ไม่ตก

"ร.พ.พญาไทตั้งมาตั้งแต่ปี 2519 ปัจจุบันรวมแล้วประมาณ 27 ปี ถือได้ว่าเป็นสมบัติของครอบครัว ถ้าเผื่อจำเป็นที่จะต้องหลุดมือไปเราก็ต้องยอมรับ แต่ก็ด้วยความขมขื่น"

ก่อนหน้านี้ตนได้ขอร้องไปแล้วว่าอันนี้เป็นกิจการครอบครัว ถ้าเขาไม่ได้อันนี้ไป คงไม่ทำให้เขาจนลง หรือทำให้เขาถึงทางตันอะไรหรอก สแปรเอาไว้ให้เราสักที่หนึ่ง เอาไว้ให้หากินไม่ได้หรือ ? เพราะว่าอย่างน้อยชื่อบริษัทก็เป็นชื่อพ่อกับแม่ ชื่อพญาไทก็เป็นชื่อที่เราคิดขึ้นมาเอง หากศาลตัดสินปลดไพร้ซฯออก ตนจะเสนอตัวเข้าบริหารหนี้สินจำนวนนี้ด้วยตนเอง


เจ้าของเก่า....นี่คือกรรมที่ตามสนอง
เจ้าของใหม่...ไม่มีแผ่นดินจะอยู่
โดย: กรรมที่ทำเอาไว้กับผู้บริสุทธิ์ [25 พ.ค. 52 14:41] ( IP A:58.9.190.93 X: )
ความคิดเห็นที่ 13
   ไปกระทู้นี้เลยครับ สิ่งที่อยากจะบอก

https://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L7902881/L7902881.html#3
โดย: เรื่องเดิมๆ ใครที่ไม่ปลงกันแน่ [26 พ.ค. 52] ( IP A:124.121.104.67 X: )
ความคิดเห็นที่ 14
   เวลาทำคนไข้เสียหายจากความประมาทเลินเล่อของตนเอง

ทั้งหมอทั้งผู้อำนวยการรพ.ร่วมกันโกหกคนไข้ ปัดความรับผิดชอบ

ปัญหาจึงบานปลายจากความไม่รู้สึกผิดชอบชั่วดี

ไม่ใช่เรื่องปลงไม่ปลง เพราะเด็กเสียหายทุกวันไม่สิ้นสุด
โดย: บอกได้แต่จะฟังไม่ฟังอีกเรื่องหนึ่ง [26 พ.ค. 52 7:29] ( IP A:58.9.196.226 X: )
ความคิดเห็นที่ 15
   อ้าว ก็เห็นหมอเทพบอกว่า .. ก็มีสิทธิทางกฎหมายนี่นา ที่จะฟ้องกลับ..
โดย: หมอก้อนหิน [26 พ.ค. 52 15:59] ( IP A:117.47.128.228 X: )
ความคิดเห็นที่ 16
   การฟ้องกลับ ต้องใช้สิทธิโดยสุจริต
ไม่ใช่ตะบี้ตะบันฟ้องเพราะอยากปิดปากคนไข้
ที่ทำเขาเสียหาย ถือเป็นการใช้อำนาจในทางไม่ถูกต้อง
แต่สุดท้ายศาลก็ตัดสินออกมาแล้วว่าแม่เด็กไม่ผิด
คุณมีปัญหาอะไรหรือ
โดย: ก้อนอิฐหักแต่ปาหัวแตก [26 พ.ค. 52 17:55] ( IP A:58.9.217.166 X: )
ความคิดเห็นที่ 17
   โรงพยาบาลที่อวดอ้างมาตรฐานบริการระดับโลก ฟังดูก็สวยหรูดูน่าเชื่อถือ แต่

ตัวผู้อำนวยการฝ่ายแพทย์ ตัวกรรมการที่นั่งเป็นคณะบริหารอยู่ทั้งฝูงด้วยกัน ในเมื่อนิ่งเฉยดูหัวหน้าทางฝ่ายบริหารและฝ่ายการแพทย์ที่โกหกต่อวิชาชีพ โกหกต่อกระบวนการทางกฏหมายมหาชนได้อย่างนิ่งเฉย

ไอ้ที่โฆษณาอยู่นั้น ก็เท่ากับยืนยันกับประชาชนคนไข้ว่า

เป็นโรงพยาบาลที่โกหก คดโกง ไม่น่าเชื่อถือแล้ว

โรงพยาบาลที่มีฝ่ายบริหารทั้งคณะที่นั่งหน้าสลอนฉ้อฉลต่อเรื่องที่ตนเองโฆษณาไว้ แล้วใครที่จะวางใจเอาชีวิตไปฝากไว้อย่างสนิทใจล่ะ
โดย: คนรู้ทัน ไม่รู้จริง [29 พ.ค. 52 12:29] ( IP A:58.8.107.97 X: )
ความคิดเห็นที่ 18
   ขอโทษคนไข้ยังไม่เป็น
นับประสาอะไรจะให้มารับผิดชอบกับชีวิตคน
ผลกำไรเท่านั้นที่คนเหล่านี้ต้องการ

ทำกำไร ควบคู่กับทำบาปกรรมกับชีวิตผู้คน
กรรมหนัก กรรมหนา กี่ชาติ ๆ ก็จะไม่มีความสุข
โดย: กรรมหนัก [29 พ.ค. 52 18:22] ( IP A:58.9.200.248 X: )
ความคิดเห็นที่ 19
   พวกนี้มันเห็นคนไข้เป็นหนูทดลอง ชีวิตคนอื่นไม่มีค่าหรอก มีค่าแต่พวกมันเอง พอพลาดก็บอกว่ารักษาตามมาตรฐานแล้ว
***ถ้าคนไข้ไม่เป็นไร แสดงว่าสูงกว่ามาตรฐานใช่ไหม***
อย่าถามหาจรรยาบรรจากคนพวกนี้ มันลืมตั้งแต่ได้รับใบปริญญาแล้ว
อย่าถามหาความเป็นธรรมจากแพทยสภาเพราะมันเป็นสภาของแพทย์
อย่าถามหาความช่วยเหลือจากผู้เป็นใหญ่ในบ้านเมืองเพราะลำพังพวกเขาเองก็จะเอาตัวไม่รอด
โดย: ผู้เคยได้รับความเสียหาย [30 พ.ค. 52 9:05] ( IP A:124.157.224.160 X: )
ความคิดเห็นที่ 20
   กรรมไม่ต้องรอชาติหน้า จะมีสักกี่คนจำได้ครอบครัว
เจ้าของรพ.พญาไทคนเก่า เป็นข่าวฉาวโฉ่ขึ้นหน้าหนึ่ง
ให้ได้อับอายขายหน้าไปทั้งประเทศ ทั้งพ่อทั้งลูกสาว

ส่วนเจ้าของคนใหม่ก็ไม่มีประเทศจะอยู่หนีหัวซุกหัวซุน

กรรมหนัก คือกรรมที่ทำกับคนบริสุทธิ์ ทำเขาทุกข์
แล้วยังซ้ำเติมความทุกข์ ก็จะดูว่ากิจการเขาจะเจริญ
รุ่งเรืองไปได้กี่น้ำ ครอบครัวเขาจะมีความสุขกันดีอยู่
หรือไม่
โดย: จะคอยดูกรรมตามสนองคนเหล่านั้น [30 พ.ค. 52 12:20] ( IP A:61.90.109.189 X: )

คลิกที่นี่เพื่อกลับหน้าบ้าน