ศาลยกฟ้อง รพ.พญาไท 1 ฟ้องประธานเครือข่าย 100 ล้าน
|
ความคิดเห็นที่ 1 30 มีนาคม 2534 ดิฉันไปคลอดลูกชาย น้องเซ้นต์ ที่รพ.พญาไท 1 สูติแพทย์สั่งให้ยาเร่งคลอดทางโทรศัพท์โดยไม่ได้มาตรวจครรภ์ก่อนสั่งให้ยา จึงไม่รู้ว่าน้องเซ้นต์ตัวโตมากหนัก 4,050 กรัม และอยู่ในท่าคลอดที่ผิดปกติคือหงายหน้าออก สูติแพทย์ใช้เครื่องดูดในการช่วยคลอด ดูดบริเวณท้ายทอยน้องเซ้นต์จนห้อเลือดบวมเป็นก้อนโต การทำคลอดไม่ประสบความสำเร็จ จึงนำดิฉันไปผ่าตัดทำคลอดออกทางหน้าท้อง ต่อมาก้อนห้อเลือดละลายกลายเป็นน้ำดี น้องเซ้นต์ตัวเหลืองมากส่องไฟไม่ลด กุมารแพทย์จึงทำการถ่ายเลือดผ่านทางสายสะดือ ส่งผลให้น้องเซ้นต์ติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างรุนแรง น้องเซ้นต์มีไข้ เม็ดเลือดขาวสูงขึ้นผิดปกติ ร้องกวน น้ำหนักลด แต่แพทย์ไม่ให้แม้แต่ยาปฏิชีวนะ หนองเข้าไปทำลายข้อสะโพกซ้ายจนสลายไปหมดสิ้น ส่วนข้อไหล่ซ้ายก็ได้รับความเสียหายเช่นกัน น้องเซ้นต์กลายเป็นคนพิการขาสั้นยาวไม่เท่ากัน เดินกระเผลก หลังคด นั่งขัดสมาธิไม่ได้ แขนซ้ายสั้นกว่าแขนขวาอ่อนแรงและแกว่งเป็น 360 องศาไม่ได้ ต้องผ่านความเจ็บปวดเจ็บป่วยจากการผ่าตัดหลายครั้ง ทุกข์ทรมานเรื้อรังจากอาการปวดขาอย่างรุนแรง ดิฉันต้องทุบขาให้ลูกแรง ๆ ทุกคืนนานนับสิบปี วันนี้น้องเซ้นต์อายุ 18 ปี ปรากฏอาการปวดหลังร้าวลงไปที่ขามากขึ้น หลายครั้งปวดจนแทบจะไม่สามารถนอนหลับลงได้ ดิฉันพาลูกไปเอกซเรย์ผลพบว่า กระดูกสันหลังเคลื่อนและโพรงไขสันหลังตีบแคบ หมอนรองกระดูกเคลื่อนกดทับไขสันหลังและเส้นประสาท เป็นความเสียหายใหม่ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจากความเสียหายเดิม น้องเซ้นต์จะต้องผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียมทุก 10 ปีและเปลี่ยนข้อไหล่ซ้ายเพื่อแก้ไขความเสียหายของขาและแขนซ้าย อีกทั้งเพื่อแก้ไขอาการทรุดเคลื่อนตัวของหมอนรองกระดูกสันหลัง การที่เคยติดเชื้อในกระดูกมาก่อน การผ่าตัดจะมีความเสี่ยงสูงกว่าคนปกติ ดังนั้นข้อสะโพกเทียมที่จะนำมาใช้กับร่างกายน้องเซ้นต์ ต้องทำจากไทเทเนียมหรือเซรามิกซึ่งมีราคาสูงมาก ที่ผ่านมาการดูแลรักษาลูกอย่างต่อเนื่อง บวกกับการต้องต่อสู้หาความเป็นธรรมให้ลูก ทำให้ครอบครัวได้รับผลกระทบจนถึงกับสิ้นเนื้อประดาตัว ขณะที่ รพ.พญาไท 1 ไม่เคยแสดงความรับผิดชอบใด ๆ
ดิฉันร้องเรียนต่อแพทยสภา ซึ่งต่อมามีมติว่า คดีไม่มีมูล เนื่องจากแพทย์ดูแลรักษาถูกต้องตามหลักวิชาการและมาตรฐานแห่งวิชาชีพแล้ว จากการฟังความข้างเดียวและเชื่อในสรุปรายงานที่เป็นเท็จของโรงพยาบาลรพ.พญาไท 1 ดิฉันจึงฟ้องแพทยสภา 33 คนทั้งคณะ เป็นคดีอาญามาตรา 157 ข้อหาละเว้นและปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งต่อมาศาลฎีกาพิพากษาไม่รับฟ้องโดยวินิจฉัยว่า แม้จะเป็นความจริงว่าเป็นการช่วยเหลือแพทย์ผู้ถูกร้องไม่ให้ถูกลงโทษ ก็มิได้ก่อให้เกิดความเสียหายหรือกระทบกระเทือนสิทธิในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนโดยตรงแต่ประการใด โจทก์ทั้งสองไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องแพทยสภาทั้ง 33 คน
ดิฉันฟ้องรพ.พญาไท 1 เป็นคดีแพ่งเรียกค่าเสียหาย 57 ล้านบาท ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาว่าคดีหมดอายุความแพ่ง 1 ปี โดยไม่อาจนับอายุความทางอาญา 10 ปีได้ เหตุเพราะบรรยายฟ้องไม่ครบองค์ประกอบคดีอาญา แม้ว่าดิฉันจะอุทธรณ์ขอให้ศาลพิจารณาอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งมาตรา 448 วรรคสอง ซึ่งให้นับอายุความอาญาที่ยาวกว่า ดิฉันหมดโอกาสในการพิสูจน์ข้อเท็จจริง ขณะที่สภาพการละเมิดและความเสียหายยังเกิดกับลูกไม่มีที่สิ้นสุด ดิฉันจึงร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) ซึ่งต่อมามีมติว่า 1)แพทย์ผู้ทำคลอดและกุมารแพทย์ของโรงพยาบาลพญาไท 1 ประมาทเลินเล่อ รวมทั้งโรงพยาบาลพญาไท 1 ไม่มีมาตรการแก้ไขเยียวยา จึงก่อให้เกิดเหตุการณ์ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ให้ช่วยเหลือเยียวยาทันที 2)กระบวนการตรวจสอบของแพทยสภาไม่เป็นธรรมต่อผู้ร้องให้รื้อฟื้นเรื่องขึ้นพิจารณาใหม่ภายใน 30 วัน แต่รพ.พญาไท 1 และแพทยสภาต่างเพิกเฉยไม่ทำตามมติ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจึงรายงานต่อนายกรัฐมนตรี จากนั้นเรื่องจึงเข้าสู่รัฐสภาและวุฒิสภา แต่ก็ไม่มีใครสามารถทำให้รพ.พญาไท 1 รับผิดชอบต่อน้องเซ้นต์ได้ เนื่องจากรพ.พญาไท 1 อ้างว่าศาลฎีกาตัดสินไปแล้วว่าโรงพยาบาลไม่ผิด ทั้งที่ศาลฎีกาตัดสินว่าคดีหมดอายุความฟ้องไม่ได้ ยังไม่ได้พิสูจน์ว่าใครถูกใครผิด
ดิฉันถูกรพ.พญาไท 1 ฟ้องกลับทั้งทางแพ่งและอาญา ข้อหาหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาท คดีอาญาศาลชั้นต้นและอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องคดีสิ้นสุดแล้ว / ส่วนคดีแพ่งศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง และศาลอุทธรณ์นัดฟังคำพิพากษาในวันอังคารที่ 19 พฤษภาคม 2552 นี้
18 ปี ที่แม่อย่างดิฉันอดทนต่อสู้หาความเป็นธรรมให้กับลูก เพราะเชื่อตามที่กฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนดว่า สิทธิของผู้บริโภคย่อมได้รับการคุ้มครอง แต่จนถึงทุกวันนี้ผู้บริโภคอย่างดิฉันกับลูกก็ยังไม่มีใครคุ้มครอง วันนี้ดิฉันพาลูกมายื่นฟ้องรพ.พญาไท 1 อีกครั้ง ตามกฎหมายใหม่ พรบ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคพ.ศ.2551 มาตรา 13 ที่บัญญัติเอาไว้ว่า ในกรณีที่ความเสียหายเกิดขึ้นต่อชีวิต ร่างกาย สุขภาพ หรืออนามัยโดยผลของสารที่สะสมอยู่ในร่างกายของผู้บริโภค หรือเป็นกรณีที่ต้องใช้เวลาในการแสดงอาการ ผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภค ต้องใช้สิทธิเรียกร้องภายในสามปีนับแต่วันที่รู้ถึงความเสียหาย และรู้ตัวผู้ประกอบธุรกิจที่ต้องรับผิด แต่ไม่เกินสิบปีนับแต่วันที่รู้ถึงความเสียหาย
เหตุที่นำคดีมาฟ้องใหม่ 1) กฎหมายใหม่ให้สิทธิ 2) มีความเสียหายใหม่เกิดขึ้นจริง 3)ค่าผ่าตัดรักษาพยาบาลในอนาคตสูงเกินกำลังของครอบครัวจะรับภาระได้ 4)รพ.พญาไท 1 ไม่เคยบรรเทาเหตุร้ายและเยียวยาความเสียหายตามหลักมนุษยธรรม มิหนำซ้ำยังฟ้องกลับดิฉันทั้งทางแพ่งและอาญาเรียกค่าเสียหายสูงถึง 100 ล้านบาท 5)เพื่อพิสูจน์ว่าสิทธิของผู้บริโภคย่อมได้รับการคุ้มครองจริง ไม่ใช่เป็นเพียงสิ่งสมมุติที่เขียนให้สวยหรูเท่านั้น | โดย: ก๊อปจากข่าวแจกที่ศาล [23 พ.ค. 52 10:47] ( IP A:58.9.202.114 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 2 ดีใจจังเลยกับข่าวนี้ ทีจริง ความเป็นจริงเห็นกันอยู่ อาจจะดูว่า มันไม่ผิดในความเห็นของผู้บริหารของ รพ.พญาไท 1 ในการทำคลอดและรักษา แต่ตรงกันข้ามของความจริง ความเห็นเหล่านั้นเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด มันขัดแย้งต่อความเป็นจริงอย่างมาก กับความเสียหายที่เกิดกับเด็ก ยอมรับแต่แรก เยียวยากันตามความเหมาะสม ชื่อเสียงของ รพ. พญาไท 1 จะดูสวยงามกว่านี้ ส่วนผู้เสียหายไม่ต้องการชื่อเสียงใด ๆ ในเรื่องที่เกิดขึ้น เพียงแต่อยากได้มาซึ่งความยุติธรรม และเป็นจริงในการต่อสู้ที่ควรจะเป็นเท่านั้น เพราะผู้เสียเป็นคนไทย ที่เกิดมาแล้วต้องพึ่งกระบวนการยุติธรรม ที่คนไทยทุกคนคิดว่าเป็นที่พึ่งสุดท้าย เมื่อหน่วยงานราชการไทย พึ่งพาไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่เห็นว่า มันสามารถพิสูจน์ได้จริง ๆ
ดีใจกับประธานเครือข่ายและครอบครัว สู้กันต่อไป ..ไม่มีอะไรสายในการต่อสู้ครั้งนี้ เพราะพวกเราไม่มีอะไรจะแลก ไม่มีอะไรจะเสีย นอกจาก ใจสู้.... | โดย: จีเอ็น [25 พ.ค. 52 8:42] ( IP A:61.19.65.220 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 3 ยกสองของ "ครอบครัวล้อเสริมวัฒนา" สุดท้ายแล้วมันจะเลือนหายไปตามอำนาจ ของคู่ต่อสู้หรือไม่ | โดย: ต้องช่วยกันจับตามอง [25 พ.ค. 52 8:43] ( IP A:58.9.202.239 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 4 ยกแรกจบไปเมื่อ 14 ตุลาคม 2547 ศาลฎีกาพิพากษาว่าคดีหมดอายุความแพ่ง 1 ปี โดยไม่อาจนับอายุความทางอาญา 10 ปีได้ เหตุเพราะบรรยายฟ้องไม่ครบองค์ประกอบคดีอาญา แม้ว่าดิฉันจะอุทธรณ์ขอให้ศาลพิจารณาอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งมาตรา 448 วรรคสอง ซึ่งให้นับอายุความอาญาที่ยาวกว่า ดิฉันหมดโอกาสในการพิสูจน์ข้อเท็จจริง ขณะที่สภาพการละเมิดและความเสียหายยังเกิดกับลูกไม่มีที่สิ้นสุด
| โดย: ยกแรก [25 พ.ค. 52 8:56] ( IP A:58.9.202.239 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 5 ทุกย่างก้าวของการต่อสู้ ไม่เคยได้สิ่งไหนมาโดยง่าย กว่าคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนจะมีมติออกมาได้ ต้องเหนื่อยน่าดู เพราะแพทยสภาแทรกแซงการสอบสวน
| โดย: แพทยสภาทำไม่ถูกต้อง [25 พ.ค. 52 9:00] ( IP A:58.9.202.239 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 6 โดนฟ้องกลับ ศาลยกฟ้อง พูดความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองและลูกไม่มีความผิด
| โดย: ยกฟ้อง [25 พ.ค. 52 9:02] ( IP A:58.9.202.239 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 7 ดิฉันร้องเรียนต่อแพทยสภา ซึ่งต่อมามีมติว่า คดีไม่มีมูล เนื่องจากแพทย์ดูแลรักษาถูกต้องตามหลักวิชาการและมาตรฐานแห่งวิชาชีพแล้ว จากการฟังความข้างเดียวและเชื่อในสรุปรายงานที่เป็นเท็จของโรงพยาบาลรพ.พญาไท 1 ดิฉันจึงฟ้องแพทยสภา 33 คนทั้งคณะ เป็นคดีอาญามาตรา 157 ข้อหาละเว้นและปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งต่อมาศาลฎีกาพิพากษาไม่รับฟ้องโดยวินิจฉัยว่า แม้จะเป็นความจริงว่าเป็นการช่วยเหลือแพทย์ผู้ถูกร้องไม่ให้ถูกลงโทษ ก็มิได้ก่อให้เกิดความเสียหายหรือกระทบกระเทือนสิทธิในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนโดยตรงแต่ประการใด โจทก์ทั้งสองไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องแพทยสภาทั้ง 33 คน
| โดย: รอนาน 6 ปี ศาลไม่รับฟ้อง [25 พ.ค. 52 9:04] ( IP A:58.9.202.239 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 8 รพ.พญาไททุ่ม3.2พันล.ออกรบ ดึงดร.ศิรินั่งซีอีโอ-เล็งควบรวมเปาโล รพ.พญาไท เร่งขยายธุรกิจครั้งใหญ่หลังออกแผนฟื้นฟู ทุ่ม 3.2 พันล้านบาท รีโนเวตใหม่ สั่งเครื่องมือแพทย์ยกใหญ่ พร้อมปรับตัวเป็นตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์แพทย์ชั้นนำ ล่าสุดดึง ดร.ศิริ การเจริญดี นั่งแท่นซีอีโอ ชูวิชั่นใหม่ขยายฐานลูกค้าคนไทยระดับซี ปีหน้าเตรียมเพิ่มทุน ระบุเล็งนำพญาไท-เปาโลควบรวม 3 ปีตั้งเป้าพญาไทโตปีละ 25%
นายวิชัย ทองแตง ประธานกรรมการ เครือโรงพยาบาลพญาไท เปิดเผยว่า หลังจากที่โรงพยาบาลฯ ออกจากแผนฟื้นฟูตั้งแต่ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานี้ ดังนั้นจึงได้เตรียมทุ่มงบ 3,200 ล้านบาท ขยายโรงพยาบาลพญาไทภายในช่วง 2-3 ปีจากนี้ โดยแบ่งเป็น ลงทุนเครื่องมือทางการแพทย์ 1,450 ล้านบาท นำร่องปีนี้ด้วยการทุ่มงบ 850 ล้านบาท ซื้อเครื่องมือการแพทย์ใหม่ พร้อมกันนี้ยังได้เจรจาผู้จำหน่ายเครื่องมือทางการแพทย์ซึ่งยังไม่สามาถเปิดเผยรายละเอียดได้ โดยได้ทุ่มงบ 650 ล้านบาท ในการเป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์จำหน่ายเครื่องมือแพทย์ในประเทศไทย และจะเป็นรายแรกที่จะได้ใช้เครื่องมือการแพทย์ระดับสูง
ส่วนงบที่เหลือบริษัทฯได้นำมาปรับปรุงอาคารสถานที่ในโรงพยาบาลใหม่ราว 1,350 ล้านบาท โดยได้เตรียมจัดแยกแผนกการรักษาไว้อย่างชัดเจน จากรูปแบบเดิมแผนการรักษาอยู่รวมกัน ทั้งนี้เพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้กับคนไข้ที่เข้ามาใช้บริการ ขณะที่งบอีก 400ล้านบาท ได้เตรียมปรับระบบคอมพิวเตอร์ใหม่ทั้งหมด พร้อมกันนี้บริษัทยังได้ทุ่มงบอีก 50-60ล้านบาท ลงทุนในเรื่องของการพัฒนาบุคลากร ทั้งแพทย์ นางพยาบาล
นายวิชัย กล่าวว่า ในแง่ของการบริหารงานล่าสุดได้ดึง ดร.ศิริ การเจริญดี รับตำแหน่งประธานบริหารแทนตน หลังจากที่ตนควบ 2 ตำแหน่ง ทั้งประธานกรรมการ และ ประธานบริหารมานาน พร้อมกันนี้ยังได้ปรับวิชั่นใหม่ โดยวางตำแหน่งโรงพยาบาลพญาไท เป็นสถาบันแนวหลักในการรักษาพยาบาลที่คนไทยเข้าถึงได้ โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายระดับซีถึงซีบวก จากที่ผ่านมาจะเน้นเจาะกลุ่มชาวต่างประเทศเป็นหลัก โดยรพ.จะนำกลยุทธ์ ในการบริหารโรงพยาบาลแนวใหม่ Multi Disciplinary คือ การเน้นให้แพทย์ต่างสาขาทำงานร่วมกันเป็นทีม กรณีมีคนไข้หนักเข้ามา แพทย์ที่มาจากต่างสาขา จะมาร่วมประชุมกันเพื่อออกแบบการรักษาคนไข้รายเดียวกัน เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับคนไข้
ผมมีแนวคิดที่จะนำโรงพยาบาลพญาไท ซึ่งปัจจุบันถือหุ้นในสัดส่วน 48% และโรงพยาบาลเปาโล ถือหุ้นมากกว่า 51% มาควบรวมกันในอนาคต โดยในปีหน้านี้ได้เตรียมเพิ่มทุนรพ.พญาไท ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะหาพันธมิตรมาร่วมทุนหรือลงทุนเอง
ด้านดร.ศิริ การเจริญดี ประธานกรรมการบริหาร เครือโรงพยาบาลพญาไท กล่าวถึงในแง่ของการบริหารงานโรงพยาบาลพญาไทว่า ต้องเป็นสถาบันที่มีการบริหารที่ได้มาตรฐานสากลและอยู่ในระดับแนวหน้า รวมทั้งต้องมีการบริการที่ดี และสถานที่จะต้องมีความสะอาด ซึ่งขณะนี้มีหลายที่จะต้องปรังปรุงใหม่ ขณะเดียวกันยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านบุคลากร ส่วนด้านการตลาดจะเน้นขยายฐานลูกค้าคนไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มระดับกลาง เนื่องจากเป็นฐานประชากรที่ใหญ่ในประเทศไทย จากที่ผ่านมาโรงพยาบาลมุ่งเน้นเจาะแต่ลูกค้าจากต่างประเทศเป็นหลัก
นายอัฐ ทองแตง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เครือโรงพยาบาลพญาไท กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วง 2 ปีนี้รพ.พญาไท เน้นการสร้างฐานให้มีความแข็งแกร่งเป็นหลักก่อน เพื่อให้สามารกแข่งขันกับต่างประเทศได้ ดังนั้นจึงไม่ได้มองในเรื่องของกำไรมากนัก สำหรับในช่วง 3 ปีข้างหน้านี้โรงพยาบาลพญาไท ตั้งเป้ามีอัตราการเติบโตปีละ 25% สำหรับในปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโต 15% สำหรับโรงพยาบาลพญาไทได้ปรับโครงสร้างหนี้เมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมา จากหนี้ 5,800 ล้านบาท เนื่องจากกู้เงินไปดำเนินธุรกิจที่นอกเหนือจากธุรกิจโรงพยาบาล อาทิ โรงเรียน เป็นต้น
จุดยืนของพญาไทเป็นโรงพยาบาลที่มีมาตรฐานการบริการทางการแพทย์ในระดับเวิลด์คลาสเพื่อคนไทย ด้วยการต้อนรับและดูแลเอาใจใส่อย่างไทยๆ พญาไทให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรทางการแพทย์ ที่ต้องก้าวให้ทันกับวิทยาการทางการแพทย์สากลที่มีพัฒนาการอย่างไม่หยุดยั้ง ไปจนถึงบุคลากรของโรงพยาบาล ที่มุ่งเน้นการบริการที่เป็นเลิศ นายอัฐกล่าวทิ้งท้าย | โดย: ค้าขายแต่ขอให้มีความรับผิดชอบ [25 พ.ค. 52 9:12] ( IP A:58.9.202.239 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 9 รพ.พญาไทลุยทำกำไร"วิชัย"โรดโชว์หุ้นปลายปี
ผู้จัดการรายวัน(26 เมษายน 2547)
"วิชัย ทองแตง" เตรียมโรดโชว์หุ้นพญาไท - PYT ที่สหรัฐฯ ปลายปีนี้ นำเสนอข้อมูลให้กับกองทุนต่างประเทศ และนักธุรกิจโรงพยาบาล หลังมีคนให้ความสนใจแผนรัฐบาลผลักดันไทยเป็นศูนย์กลาง การแพทย์ในเอเชีย และธุรกิจโรงพยาบาลในไทย พร้อมรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับ Harvard มหาวิทยาลัยชื่อดังด้านโรงพยาบาล พันธมิตรเก่าด้านโรคหัวใจหลังจากขาดการติดต่อมานานตั้งแต่เกิดวิกฤต เล็งนำหุ้น PYT เข้าเทรดต้นปี 48
นายวิชัย ทองแตง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ประสิทธิ์พัฒนา จำกัด (มหาชน) (PYT) หรือ โรงพยาบาลพญาไท เปิดเผยว่า ประมาณปลายปี 47 จะไปโรดโชว์ หรือนำเสนอข้อมูลของบริษัทที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยจะมีการพูดคุยกับนักลงทุนสองประเภทด้วยกัน คือ กลุ่มแรกเป็นกลุ่มกองทุนต่างประเทศ กลุ่มที่สองเป็นกลุ่มที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจโรงพยาบาลเหมือนกัน เนื่องจากที่ผ่านมามีผู้แสดงความสนใจในธุรกิจโรงพยาบาลค่อนข้างมาก
"ปกติเราจะมีการพูดคุยกับกลุ่มนักลงทุนในเอเชียเป็นระยะๆ อย่างที่สิงคโปร์เราจะไปบ่อยเพราะกลุ่มเรามีพันธมิตรอยู่ที่นั่น แต่ในปลายปีนี้ซึ่งยังไม่ได้กำหนดวันที่แน่นอน เราจะไปคุยกับกลุ่มพันธมิตรที่รู้จักในสหรัฐอเมริกา เพราะมีคนให้ความสนใจธุรกิจโรงพยาบาลของเราค่อนข้างมาก ซึ่งส่วนใหญ่ที่คุยกับนักลงทุนต่างประเทศเขาจะพูดถึงนโยบายของท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ที่ที่ต้องการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการแพทย์ และเขาก็เห็นว่า เรามีชาวต่างประเทศเข้ามาใช้บริการด้านโรงพยาบาลมากขึ้น"
นอกจากนี้ในการโรดโชว์ที่สหรัฐอเมริกาครั้งนี้ ยังมีแผนที่จะคืนความสัมพันธ์กลับไปติดต่อกับพันธมิตรเก่า Harvard Medical University ซึ่งเป็นพันธมิตรเก่าด้านวิชาการแพทย์โรคหัวใจ ที่ติดต่อ กันมาตั้งแต่สมัย ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ บริหารงานอยู่
"เราหยุดติดต่อกับฮาร์วาร์ดไปหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ตอนนี้ถึงเวลาที่เราต้องไปคุยเพื่อจอยน์ กันในด้านวิชาการเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับการร่วมทุนหาแนวทางใหม่ๆ มาใช้พัฒนา แล้วเราก็มีแผนจะไปพบพูดคุยกับโรงพยาบาล 5 แห่ง ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งในการติดต่อกันก็จะเป็นการติดต่อกันในลักษณะ เรื่องของการส่งคนไข้มาที่เรา มีการทรานสเฟอร์เทคโนโลยีระหว่างกัน หรืออาจจะเชิญแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดัง ๆ ของที่นั่นมาแนะนำเรา" นายวิชัย กล่าว
นายวิชัย กล่าวว่า การดำเนินการดังกล่าว ก็เพื่อที่จะเตรียมความพร้อมสำหรับการขยายตัวให้โรงพยาบาลพญาไทไปสู่นานาชาติ เพราะในทางการแพทย์ต้องมีการพัฒนาตลอดเวลา เครื่องไม้ เครื่องมือ อุปกรณ์ต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ต้องตามให้ทัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเราต้องการที่จะเป็นโรงพยาบาลระดับแนวหน้าของประเทศไทยและในเอเชียจำเป็นต้องพัฒนาให้ทันสมัย
"เราไม่ได้ต้องการเป็นเบอร์ 1 ของเอเชีย แต่เราต้องการเป็นอันดับต้นๆ ของเมืองไทย ซึ่งถ้ารัฐบาลผลักดันต่อเนื่อง การที่ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ในเอเชีย ไทยก็มีโอกาสสูงที่จะทำได" นายวิชัย กล่าว
ส่วนการนำหุ้นโรงพยาบาลพญาไทย หรือ PYT เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯนั้นนายวิชัย กล่าวคาดว่า จะยื่นขอตลาดหลักทรัพย์ฯนำ PYT เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ในต้นปี 48 ซึ่งในปี 46 ที่ผ่านมา บริษัทมีกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้และมีกำไรจากการแฮร์คัตหนี้เล็กน้อย แต่ในไตรมาสแรกของปี 47 นี้บริษัทเริ่มมีกำไรจากการดำเนินงานแล้ว
"ผลกำไรไตรมาสแรก ไตรมาสสอง และไตรมาสสาม ที่ติดต่อกันจะเป็นเครื่องชี้วัด ซึ่งเราอยากให้หุ้น PYT ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเมื่อเข้าเทรด"
นายวิชัย กล่าวต่อไปว่า สำหรับแผนการดำเนินงานและทิศทางของ PYT ในอนาคตทั้งหมดนั้นทางคณะผู้บริหารได้มีการวางแผนไว้แล้ว แต่เนื่องจากต้องการคำแนะนำจากผู้ถือหุ้นกลุ่มอื่นด้วย ดังนั้นในวันที่ 29 เม.ย.47 เวลา 11.00 น. ซึ่งจะมีการ ประชุมใหญ่สามัญครั้งที่ 1/2547 จะมีการรายงานการบริหารงานและแผนงานให้กับที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อขอรับฟังความคิดเห็นและคำแนะนำจากผู้ถือหุ้นก่อน
"เราขอฟังความเห็นของผู้ถือหุ้นก่อน ซึ่งเราจะบอกทิศทางของบริษัทฯให้ผู้ถือหุ้นฟังว่าเรากำลังทำอะไรแล้วเราอยากได้ความเห็น และคำชี้แนะคำแนะนำจากผู้ถือหุ้นด้วย" นายวิชัย กล่าว
นายวิชัย กล่าวถึงกรณีความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่ และกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมกลุ่ม ดร. อาทิตย์ อุไรรัตน์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่า เรื่องความขัดแย้งขณะนี้ถือว่า แยกออกจากกันไปแล้วปัจจุบันไม่มีความขัดแย้งในการบริหาร งาน ความขัดแย้งดังกล่าวเป็นเรื่องระหว่างผู้บริหารแผนชุดเดิมกับกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม ปัจจุบันโครงสร้าง ผู้ถือหุ้น PYT ปัจจุบัน ดร.อาทิตย์ ถือหุ้นอยู่ประมาณ 3% กว่าของทุนจดทะเบียน 4,430 ล้านบาท นอกจากนี้มีเจ้าหนี้แบงก์พาณิชย์ที่แปลงหนี้เป็นทุน ได้แก่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกรุงเทพ บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM) "ส่วนผมถือหุ้นประมาณ 20% ไม่รวมพันธมิตร ในกลุ่ม"
สำหรับคณะกรรมการบริษัทฯ ปัจจุบันประกอบด้วย นายวิชัย ทองแตง, นายชนินทร์ เย็นสุดใจ, นายสิทธิชัย สุขเจริญมิตร, นายอาทิตย์ อุไรรัตน์, นายธราธร เปรมสุนทร, นายสหรัตน์ เพ็ญกุล, นายวิโรจน์ เศรษฐปราโมทย์, นางสาวปนัดดา วาริธร, นายแดร์ริล คิดท แมย์ทอม, นายอัฐ ทองแตง, นายจิตเกษม แสงสิงแก้ว และนายณัฐวุฒิ เภาโบรมย์ | โดย: มีเงิน มีอำนาจ ไม่ต้องรับผิด [25 พ.ค. 52 9:14] ( IP A:58.9.202.239 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 10 "อาทิตย์" เปิดอกถูก "ชินวัตร" ฮุบ สู้ยิบตาแย่ง "พญาไท" คืน ข่าวจาก นสพ. ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 21 ก.ค. 2546 ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ เปิดอกช้ำ ถูกกลุ่มชินวัตรฮุบพญาไท สุดแค้น สู้ยิบตา พึ่งอำนาจศาลปลดไพร้ซฯ ลั่นพร้อมเข้าบริหารแผนด้วยตัวเอง กรีดนายกฯร่ำรวยยังไม่พออีกหรือ ? ซื้อกิจการทุกอย่างในประเทศจนหมด ทั้งโรงพยาบาล ธุรกิจบันเทิง ประกัน วอนเหลือไว้ให้คนอื่นทำมาหากินบ้าง ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารโรงพยาบาลพญาไท ให้สัมภาษณ์ "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงกรณีการฟ้องศาลล้มละลายกลางเพื่อขอให้ปลดบริษัทไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส คอร์ปอเรทรีสตรัคเจอริ่ง จำกัด ออกจากการเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการบริษัท ประสิทธิพัฒนา จำกัด (มหาชน) ว่า ตนต้องการจะให้กรณีนี้เป็นกรณีตัวอย่าง ซึ่งตามหลักแล้วการบริหารแผนฟื้นฟูนั้น เมื่อผู้บริหารแผนดำเนินการเสร็จแล้วก็จะต้องนำกลับส่งต่อให้กับผู้บริหารเดิม แต่การบริหารแผนฟื้นฟูกิจการของไพร้ซฯ มีเจตนาที่แอบแฝงและไม่สุจริต โดยเฉพาะกรณีการปลดคุณพ่อ (นายประสิทธิ์ อุไรรัตน์) จากตำแหน่งประธานกรรมการ ที่อ้างหนังสือลาออกเมื่อเดือนมิถุนายน 2544 ซึ่งมีข้อเท็จจริงว่านายประสิทธิ์ได้ทำหนังสือลาออกแจ้งไปยังโรงพยาบาลพญาไททั้ง 3 แห่ง เนื่องจากเสียใจที่โรงพยาบาลที่ก่อตั้งมากับมือมีปัญหาและต้องการจะแสดงความรับผิดชอบ แต่เมื่อกรรมการท่านอื่นๆ ทราบเรื่องก็ได้ยับยั้ง ซึ่งนายประสิทธิ์ก็ยอมและได้ขอจดหมายลาออกคืนจากโรงพยาบาลทั้ง 3 แห่ง พฤติกรรมไพร้ซฯน่าสงสัย ทั้งพญาไท 1 และพญาไท 3 คืนหนังสือฉบับดังกล่าวมา แต่พญาไท 2 อ้างว่าจดหมายหาย แต่ต่อมาไพร้ซฯก็ได้ใช้หนังสือดังกล่าวมาใช้ เป็นเหตุในการปลดนายประสิทธิ์และแต่งตั้งผู้บริหารจากโรงพยาบาลคู่แข่งคือ เปาโลและศิครินทร์เข้ามาแทน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง นอกจากนี้ ไพร้ซฯยังมีพฤติกรรมที่ไม่ชอบมาพากลอีกหลายเรื่อง ดร.อาทิตย์กล่าวว่า เดิมประสิทธิ์พัฒนามีหนี้เพียง 5,000 ล้านบาท พอเกิดวิกฤตในปี 2540 หนี้ก็เพิ่มเป็น 10,000 ล้านบาท เมื่อรวมดอกเบี้ยเบ็ดเสร็จประมาณ 13,000 ล้านบาท แทนที่ไพร้ซฯจะแยกแก้ปัญหาของแต่ละโรงพยาบาล คือ พญาไท 1 พญาไท 2 และพญาไท 3 เพราะผู้ถือหุ้นเป็นคนละกลุ่มกัน แต่ไพร้ซฯกลับจับทั้ง 3 โรงพยาบาลมามัดรวมกัน ปัจจุบันหนี้ที่มีอยู่ประมาณ 13,000 ล้านบาทได้แฮร์คัตไปแล้ว 4,000 ล้านบาท เหลืออีกประมาณ 9,000 ล้าบาท แบ่งเป็นหนี้ที่คงไว้ 4,700 ล้านบาท ที่เหลืออีก 4,300 ล้านบาทจะแปลงหนี้เป็นทุน ส่วนการบริหารแผนนั้น แม้ว่าไพร้ซฯจะยอมคิดเป็นแบบเหมาจ่ายในอัตรา 1.2 ล้านบาท/เดือน จากเดิมที่คิดค่าตัวเป็นแพงมากชั่วโมงละ 10,000-14,000 บาท รวมเบ็ดเสร็จทั้งหมดที่บริษัทต้องจ่ายประมาณ 140 ล้านบาท ขณะเดียวกันก็เริ่มเห็นสัญญาณที่ทำให้บริษัทเสียหาย อย่างกรณีของบริษัท คลาส วี จำกัด ที่กำลังดำเนินการก่อสร้างอาคารบนถนนศรีอยุธยา ตั้งอยู่เยื้องกับ ร.พ.พญาไท 1 และ ร.พ.พญาไท 4 ที่มีโครงการจะก่อสร้างที่บริเวณสี่แยกมักกะสัน ทั้ง 2 แห่งนี้เป็นบริษัทในเครือของประสิทธิ์พัฒนา มีมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท และ 850-900 ล้านบาท ตามลำดับ แต่ปรากฏว่าไพร้ซฯนำไปขายในราคาที่ถูกมาก คลาสวีขายไปประมาณ 100 ล้านบาท และพญาไท 4 ขายไป 200 ล้านบาท แต่เงินทั้งหมดขณะนี้ไม่รู้ไปอยู่ที่ใคร เพราะไม่มีการเอามาตัดหนี้ทั้งๆ ที่เป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงมาก ดร.อาทิตย์ระบุอีกว่า ยังมีอีกหลายเรื่อง เช่น ค าบริหารแผนที่บอกว่า 1.2 ล้านบาท/เดือน แต่เบิกเกินไปมากเป็น 1.4-1.7 ล้านบาท/เดือน นอกจากนี้ยังมีการเบิกเงินค่าใช้จ่ายต่างๆ เพิ่ม เช่น ค่าที่ปรึกษาทางกฎหมาย ค่าที่ปรึกษาการเงิน ฯลฯ ซึ่งในช่วงปีเศษๆ เบิกไปถึง 200 ล้านบาท มีการจัดซื้อเครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์ ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์กว่า 200 ล้านบาท แต่เครื่องก็ใช้การไม่ได้ การเข้าไปบริหารและจัดการโรงพยาบาลของกลุ่มไพร้ซฯมุ่งแต่จะลดค่าใช้จ่ายจนทำให้คุณภาพด้านการรักษา การให้บริการลดลง และมีหลายเคสมากที่ทำให้เกิดความเสียหายกับคนไข้ ทนายคู่ใจนายกฯเล็งฮุบกิจการ ที่สำคัญคือ ไพร้ซฯไม่ได้คำนึงถึงหลักการในการบริหารให้เป็นไปตามแผนเพื่อที่จะได้นำกลับส่งต่อคืนให้กับผู้บริหารเดิม แต่กลับเปิดโอกาสให้คนอื่นเข้ามาฮุบกิจการไป ซึ่งเป็นไปได้อย่างไรที่ปล่อยหมอบุญ (วนาสิน) วิชัย (ทองแตง ทนายความคดีซุกหุ้น) ชนินทร์ เย็นสุดใจ (กรรมการผู้จัดการ บริษัท เปาโล เมดิค จำกัด ผู้บริหารโรงพยาบาลเปาโล) ให้เข้ามาทำอะไรในโรงพยาบาล แต่ไพร้ซฯโดยที่ไม่เคยแจ้งหรือบอกอะไรกับตนเลย "คุณวิชัยเขาบอกว่าเขาซื้อหนี้ 20% ซื้อจากเจ้าหนี้ต่างประเทศในราคาที่ถูกมากเพียง 10% ของราคาเท่านั้น ถ้าหุ้นทั้งหมด 4,000 ล้านบาท ผู้ถือหุ้นเดิมถืออยู่ 20% หนี้ที่ต้องแปลงเป็นทุนในส่วนของแบงก์กรุงศรีฯ กรุงไทย กรุงเทพ คุณวิชัยบอกว่าจะเจรจาซื้อหมด เขาก็ไปกู้เงิน 4,700 ล้านบาท ล้างหนี้นั้นหมดไป แล้วซื้อส่วนที่แปลงเป็นทุนด้วยเขาก็จะเป็นเจ้าของคนเดียวทั้งหมด ซึ่งเจ้าหนี้ก็เห็นดีเห็นงามด้วย" "เราบอกว่าเขาทำไม่ถูกต้อง ฟ้องฐานปฏิบัติไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น ประชุมไม่ได้ประชุมผู้ถือหุ้นจริง ฉะนั้น สิ่งที่เขาทำไปมันน่าจะโมฆะทั้งหมด เราชี้ให้เห็นมูลเหตุของการบริหารแผน เป็นการบริหารแผนโดยไม่สุจริต โดยไม่เป็นกลาง ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของลูกหนี้และเจ้าหนี้ตามเจตนารมณ์ของกระบวนการและกฎหมาย" ผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องนี้มองว่าเป็นเรื่องการเมืองด้วยหรือไม่ ดร.อาทิตย์ตอบว่า คงไม่ถึงกับเป็นเรื่องการเมือง แต่เป็นเรื่องของการเทกโอเวอร์ผลประ โยชน์ คุณวิชัยเขาก็เป็นมือของคุณทักษิณ (ชินวัตร) แต่เขาก็ออกมาปฏิเสธข่าวเราออกไป เพียง 2 วันก็มีชื่อของคุณวิชัยไปบริหารทีพีไอ เขารีบออกมาปฏิเสธว่าไม่เอาแล้วก็ไม่ได้จริงๆ แต่เขาไปเป็นที่ปรึกษาอยู่ เพราะเขาไม่กล้าออกหน้า ถ้าเขาออกมาก็ชัดเลย เขาจะเอาอะไรนักหนา ยังรวยไม่พออีกหรือ ทั้งประเทศแล้วนะ กิจการทุกกิจการฮุบหมดแล้ว แกรมมี่ก็ฮุบแล้ว จะเอาทุกอย่าง โรงหนัง บริษัทประกันภัย โรงพยาบาล "ผมไม่มีเงินจะไปแข่งแย่งซื้อกับเขา แต่ผมต้องอาศัยคำสั่งศาลตัดสินว่าอย่างนี้มันไม่ถูกต้อง เขาจะขอออกจากศาล ต้องไม่ให้ออก มันไม่ถูกต้องเลย เขาทำไม่ถูกต้องเลย ยังไม่ได้ใช้เงินต้นสักบาทเลย จะเรียกว่าปฏิบัติตามแผนแล้วอย่างไร ส่วนเงินรายได้ที่ได้มาแล้วไม่จ่ายเขาไปก็ถลุงกันเต็มที่ อย่างไรก็ตาม มั่นใจในความยุติธรรมของศาล ของระบบของประเทศไทย" ไม่อยากเสียสมบัติของตระกูล ดร.อาทิตย์กล่าวในช่วงท้ายว่า ร.พ.พญาไทไม่ได้เริ่มต้นแบบธุรกิจ คุณพ่อผมเริ่มต้นกิจการโรงพยาบาลเพื่อที่จะได้ไว้พึ่งพาอาศัย ด้วยความเชื่อศรัทธาในความบริสุทธิ์ ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย แต่ตอนนี้พยายามมากล่าวหาว่าบริหารไม่ดีถึงได้เจ๊ง มันไม่ใช่ เราเจอเหตุการณ์ปี 2540 เลยแก้ไม่ตก "ร.พ.พญาไทตั้งมาตั้งแต่ปี 2519 ปัจจุบันรวมแล้วประมาณ 27 ปี ถือได้ว่าเป็นสมบัติของครอบครัว ถ้าเผื่อจำเป็นที่จะต้องหลุดมือไปเราก็ต้องยอมรับ แต่ก็ด้วยความขมขื่น" ก่อนหน้านี้ตนได้ขอร้องไปแล้วว่าอันนี้เป็นกิจการครอบครัว ถ้าเขาไม่ได้อันนี้ไป คงไม่ทำให้เขาจนลง หรือทำให้เขาถึงทางตันอะไรหรอก สแปรเอาไว้ให้เราสักที่หนึ่ง เอาไว้ให้หากินไม่ได้หรือ ? เพราะว่าอย่างน้อยชื่อบริษัทก็เป็นชื่อพ่อกับแม่ ชื่อพญาไทก็เป็นชื่อที่เราคิดขึ้นมาเอง หากศาลตัดสินปลดไพร้ซฯออก ตนจะเสนอตัวเข้าบริหารหนี้สินจำนวนนี้ด้วยตนเอง ปัจจุบันหากไม่นับธุรกิจโรงพยาบาล ตระกูลอุไรรัตน์จะเหลือเพียงธุรกิจด้านการศึกษาเท่านั้น คือมหาวิทยาลัยรังสิต โรงเรียนนานาชาติที่ภูเก็ต และโรงเรียนสาธิตรังสิตที่กำลังจะเปิดเร็วๆ นี้ ศาลนัดสืบพยานกันยายน ผู้สื่อข่าวรายงานจากศาลล้มละลายกลางว่า เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคมที่ผ่านมา นายกงจักร โพธิ์พร้อม ผู้พิพากษาศาลล้มละลาย ได้พิจารณาคำร้องของฝ่ายลูกหนี้ที่ยื่นขอปลดบริษัทไพร้ซฯ จากการเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการบริษัท ประสิทธิพัฒนา จำกัด (มหาชน) เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงกรรมการใหม่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ตามที่ได้ยื่นเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยศาลให้ผู้บริหารแผนยื่นคำคัดค้านมาภายในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ และนัดสืบพยานฝ่ายผู้ร้อง (ลูกหนี้ คือ นายอาทิตย์ อุไรรัตน์) ในวันที่ 15, 22 และ 29 กันยายน ส่วนนัดสืบพยานฝ่ายผู้บริหารแผน (ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์ฯ) ในวันที่ 20, 27 ตุลาคมและ 3 พฤศจิกายน ที่มา : https://www.matichon.co.th/prachachat | โดย: เวรกรรม [25 พ.ค. 52 9:17] ( IP A:58.9.202.239 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 11 จุดยืนของพญาไทเป็นโรงพยาบาลที่มีมาตรฐานการบริการทางการแพทย์ในระดับเวิลด์คลาสเพื่อคนไทย ด้วยการต้อนรับและดูแลเอาใจใส่อย่างไทยๆ พญาไทให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรทางการแพทย์ ที่ต้องก้าวให้ทันกับวิทยาการทางการแพทย์สากลที่มีพัฒนาการอย่างไม่หยุดยั้ง ไปจนถึงบุคลากรของโรงพยาบาล ที่มุ่งเน้นการบริการที่เป็นเลิศ นายอัฐกล่าวทิ้งท้าย
ไม่บอกด้วยล่ะว่า...เวลาเจ็บ ตาย พิการ จากความผิดพลาดขึ้นมาไม่รับผิดชอบ แถมจะฟ้องกลับด้วยหากไปออกข่าว | โดย: ได้มาตรฐานจริงหรือ [25 พ.ค. 52 12:44] ( IP A:58.9.190.93 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 12 ไม่อยากเสียสมบัติของตระกูล ดร.อาทิตย์กล่าวในช่วงท้ายว่า ร.พ.พญาไทไม่ได้เริ่มต้นแบบธุรกิจ คุณพ่อผมเริ่มต้นกิจการโรงพยาบาลเพื่อที่จะได้ไว้พึ่งพาอาศัย ด้วยความเชื่อศรัทธาในความบริสุทธิ์ ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย แต่ตอนนี้พยายามมากล่าวหาว่าบริหารไม่ดีถึงได้เจ๊ง มันไม่ใช่ เราเจอเหตุการณ์ปี 2540 เลยแก้ไม่ตก
"ร.พ.พญาไทตั้งมาตั้งแต่ปี 2519 ปัจจุบันรวมแล้วประมาณ 27 ปี ถือได้ว่าเป็นสมบัติของครอบครัว ถ้าเผื่อจำเป็นที่จะต้องหลุดมือไปเราก็ต้องยอมรับ แต่ก็ด้วยความขมขื่น"
ก่อนหน้านี้ตนได้ขอร้องไปแล้วว่าอันนี้เป็นกิจการครอบครัว ถ้าเขาไม่ได้อันนี้ไป คงไม่ทำให้เขาจนลง หรือทำให้เขาถึงทางตันอะไรหรอก สแปรเอาไว้ให้เราสักที่หนึ่ง เอาไว้ให้หากินไม่ได้หรือ ? เพราะว่าอย่างน้อยชื่อบริษัทก็เป็นชื่อพ่อกับแม่ ชื่อพญาไทก็เป็นชื่อที่เราคิดขึ้นมาเอง หากศาลตัดสินปลดไพร้ซฯออก ตนจะเสนอตัวเข้าบริหารหนี้สินจำนวนนี้ด้วยตนเอง
เจ้าของเก่า....นี่คือกรรมที่ตามสนอง เจ้าของใหม่...ไม่มีแผ่นดินจะอยู่ | โดย: กรรมที่ทำเอาไว้กับผู้บริสุทธิ์ [25 พ.ค. 52 14:41] ( IP A:58.9.190.93 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 14 เวลาทำคนไข้เสียหายจากความประมาทเลินเล่อของตนเอง
ทั้งหมอทั้งผู้อำนวยการรพ.ร่วมกันโกหกคนไข้ ปัดความรับผิดชอบ
ปัญหาจึงบานปลายจากความไม่รู้สึกผิดชอบชั่วดี
ไม่ใช่เรื่องปลงไม่ปลง เพราะเด็กเสียหายทุกวันไม่สิ้นสุด | โดย: บอกได้แต่จะฟังไม่ฟังอีกเรื่องหนึ่ง [26 พ.ค. 52 7:29] ( IP A:58.9.196.226 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 15 อ้าว ก็เห็นหมอเทพบอกว่า .. ก็มีสิทธิทางกฎหมายนี่นา ที่จะฟ้องกลับ.. | โดย: หมอก้อนหิน [26 พ.ค. 52 15:59] ( IP A:117.47.128.228 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 16 การฟ้องกลับ ต้องใช้สิทธิโดยสุจริต ไม่ใช่ตะบี้ตะบันฟ้องเพราะอยากปิดปากคนไข้ ที่ทำเขาเสียหาย ถือเป็นการใช้อำนาจในทางไม่ถูกต้อง แต่สุดท้ายศาลก็ตัดสินออกมาแล้วว่าแม่เด็กไม่ผิด คุณมีปัญหาอะไรหรือ | โดย: ก้อนอิฐหักแต่ปาหัวแตก [26 พ.ค. 52 17:55] ( IP A:58.9.217.166 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 17 โรงพยาบาลที่อวดอ้างมาตรฐานบริการระดับโลก ฟังดูก็สวยหรูดูน่าเชื่อถือ แต่
ตัวผู้อำนวยการฝ่ายแพทย์ ตัวกรรมการที่นั่งเป็นคณะบริหารอยู่ทั้งฝูงด้วยกัน ในเมื่อนิ่งเฉยดูหัวหน้าทางฝ่ายบริหารและฝ่ายการแพทย์ที่โกหกต่อวิชาชีพ โกหกต่อกระบวนการทางกฏหมายมหาชนได้อย่างนิ่งเฉย
ไอ้ที่โฆษณาอยู่นั้น ก็เท่ากับยืนยันกับประชาชนคนไข้ว่า
เป็นโรงพยาบาลที่โกหก คดโกง ไม่น่าเชื่อถือแล้ว
โรงพยาบาลที่มีฝ่ายบริหารทั้งคณะที่นั่งหน้าสลอนฉ้อฉลต่อเรื่องที่ตนเองโฆษณาไว้ แล้วใครที่จะวางใจเอาชีวิตไปฝากไว้อย่างสนิทใจล่ะ | โดย: คนรู้ทัน ไม่รู้จริง [29 พ.ค. 52 12:29] ( IP A:58.8.107.97 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 18 ขอโทษคนไข้ยังไม่เป็น นับประสาอะไรจะให้มารับผิดชอบกับชีวิตคน ผลกำไรเท่านั้นที่คนเหล่านี้ต้องการ
ทำกำไร ควบคู่กับทำบาปกรรมกับชีวิตผู้คน กรรมหนัก กรรมหนา กี่ชาติ ๆ ก็จะไม่มีความสุข | โดย: กรรมหนัก [29 พ.ค. 52 18:22] ( IP A:58.9.200.248 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 19 พวกนี้มันเห็นคนไข้เป็นหนูทดลอง ชีวิตคนอื่นไม่มีค่าหรอก มีค่าแต่พวกมันเอง พอพลาดก็บอกว่ารักษาตามมาตรฐานแล้ว ***ถ้าคนไข้ไม่เป็นไร แสดงว่าสูงกว่ามาตรฐานใช่ไหม*** อย่าถามหาจรรยาบรรจากคนพวกนี้ มันลืมตั้งแต่ได้รับใบปริญญาแล้ว อย่าถามหาความเป็นธรรมจากแพทยสภาเพราะมันเป็นสภาของแพทย์ อย่าถามหาความช่วยเหลือจากผู้เป็นใหญ่ในบ้านเมืองเพราะลำพังพวกเขาเองก็จะเอาตัวไม่รอด | โดย: ผู้เคยได้รับความเสียหาย [30 พ.ค. 52 9:05] ( IP A:124.157.224.160 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 20 กรรมไม่ต้องรอชาติหน้า จะมีสักกี่คนจำได้ครอบครัว เจ้าของรพ.พญาไทคนเก่า เป็นข่าวฉาวโฉ่ขึ้นหน้าหนึ่ง ให้ได้อับอายขายหน้าไปทั้งประเทศ ทั้งพ่อทั้งลูกสาว
ส่วนเจ้าของคนใหม่ก็ไม่มีประเทศจะอยู่หนีหัวซุกหัวซุน
กรรมหนัก คือกรรมที่ทำกับคนบริสุทธิ์ ทำเขาทุกข์ แล้วยังซ้ำเติมความทุกข์ ก็จะดูว่ากิจการเขาจะเจริญ รุ่งเรืองไปได้กี่น้ำ ครอบครัวเขาจะมีความสุขกันดีอยู่ หรือไม่ | โดย: จะคอยดูกรรมตามสนองคนเหล่านั้น [30 พ.ค. 52 12:20] ( IP A:61.90.109.189 X: ) |  |
|