สุนทรพจน์ของโอบาม่า คำสารภาพของความล้มเหลวทางสาธารณสุขมวลชน
|
ความคิดเห็นที่ 1 ระบบดูแลสุขภาพที่มีค่าใช้จ่ายสูงมากนี้ยังเป็นสภาวะที่ไม่เกื้อหนุนแม้สำหรับหมออย่าง Dr. Michale Kahn ใน New Hampshire ผู้ซึ่งอ้างว่าเขาต้องใช้เวลาถึงวันละ 20 % ทุกวันในการกำกับ/ดูแลทีมงานในความรับผิดชอบเพื่อชี้แจงเกี่ยวกับปัญหาของกรมธรรม์ประกันสุขภาพให้กับบรรดาคนไข้, กรอกแบบฟอร์มที่เกี่ยวข้องต่างๆ, และเขียนจดหมายอุทธรณ์/โต้แย้งสำหรับกรณีต่างๆ เป็นงานประจำซึ่งสำหรับเขาแล้วเป็นการขัดจังหวะและทำลายสมาธิในการทำงานตามวิชาชีพ ทั้งทำให้เขามีเวลาน้อยลงในการทำหน้าที่หมอที่ร่ำเรียนมาแทนที่จะเอาใจใส่คนไข้ได้อย่างจริงจัง สำหรับเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กอย่าง Chris และ Becky Link ในเมือง Nashville ก็กำลังดิ้นรนต่อสู้เช่นกัน พวกเขาเคยมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องให้กับคนงานของเขาภายในธุรกิจด้านการตลาดของครอบครัว แต่ที่สุดแล้วพวกเขาก็ต้องทำในสิ่งที่ไม่เคยแม้แต่จะคิดและปลดคนงานออกจำนวนหนึ่ง เป็นการปลดคนงานที่สมควรจะประวิงออกไปได้หากค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพจะไม่พุ่งขึ้นสูงมากมายขนาดนี้ พวกเขาเอ่ย และโดยภาพรวมทั้งประเทศแล้วกว่า 1 ใน 3 ของธุรกิจขนาดเล็กมีผลกำไรที่ลดลงในไม่กี่ปีที่ผ่านมา และ 1 ใน 3 ได้ยกเลิกการคลุมค่าใช้จ่ายส่วนนี้ให้กับคนงานออกไปทั้งหมดตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 1990
แม้แต่ในบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ของเราเองก็กำลังประสบปัญหาอย่างหนักหน่วงกับการแบกรับภาระนี้เช่นกัน เช่น เมื่อเอ่ยถึง GM และ Chrysler ส่วนของปัญหาที่ใหญ่และนำไปสู่ปัญหาของสองบริษัทนี้ในไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมานี้ก็คือ ค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาลที่ทับถมเพิ่มขึ้นมาในการคลุมการดูแลสุขภาพให้แก่คนงาน เป็นค่าใช้จ่ายที่ทำให้ผลกำไรลดลง ทำให้ศักยภาพในการแข่งขันด้อยลงเมื่อเทียบกับผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกรายอื่นๆ ซึ่งหากเราไม่แก้ไขปัญหาของระบบดูแลสุขภาพของเรา อเมริกาทั้งประเทศก็อาจเดินตามรอย GM ได้ในที่สุดคือ จ่ายมากกว่าแต่ได้น้อยกว่าและถังแตก
เมื่อเอ่ยถึงค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพของเรา สถานะของตัวมันเองก็ไม่ยั่งยืน การปฏิรูป (Reform) จึงไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือยแต่เป็นความจำเป็น ข้าพเจ้าทราบว่าได้มีการถกเถียงกันมากในประเด็นที่ว่าเราต้องจ่ายอะไรบ้างในการปฏิรูปที่ว่านี้และควรจะเป็นเท่าไร? และครั้งนี้เป็นการทดสอบทั้งพรรค Democrats และ พรรค Republican เช่นกันว่าเราจะจริงจังหรือไม่? ในการยึดกรอบ/ขีดเส้นการใช้จ่ายใหม่และฟื้นฟูวินัยทางงบประมาณของประเทศ
อย่างไรก็ตามขอให้เราอย่าได้สงสัยเลยว่ามูลค่าของการ ไม่ทำอะไร ในเรื่องนี้จะมากยิ่งกว่า หากเราล้มเหลวที่จะลงมือในเรื่องนี้ ค่าเบี้ยประกันจะไต่สูงขึ้น ผลประโยชน์ตอบแทนการเอาประกันจะกร่อนหายไปมากขึ้น และวงล้อของการไร้หลักประกันสุขภาพจะขยายตัวออกไปคลุมชาวอเมริกันนับล้านๆคน
หากเราล้มเหลวที่จะลงมือ ในทุกๆ 1 ดอลล่าร์จาก 5 ดอลล่าร์ ที่เราทำมาหาได้จะต้องจ่ายเป็นค่าดูแลสุขภาพภายใน10ปีข้างหน้า ใน 30 ปีมันจะกลายเป็นราวทุก 1 จาก 3 ดอลล่าร์ เป็นแนวโน้มซึ่งจะหมายถึงการตกงาน เงินเหลือจากค่าแรงกลับเข้าบ้านน้อยลง ธุรกิจที่ปิด/เปิดได้ตลอดเวลา และมาตรฐานความเป็นอยู่ที่ต่ำลงสำหรับชาวอเมริกันทุกๆคน
ต่อ คห ที่ ๒ | โดย: คนรู้ทัน ไม่รู้จริง [14 ก.ค. 52 15:22] ( IP A:58.8.105.213 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 2 และหากเราล้มเหลวในการแก้ไขเรื่องนี้ ค่าใช้จ่ายของรัฐบาลกลางสำหรับระบบดูแลสุขภาพของเด็กและผู้สูงวัย (Medicaid and Medicare) จะเพิ่มสูงขึ้นในทศวรรษที่กำลังจะถึงนี้จนถึงระดับที่เกือบเทียบเท่ากับงบประมาณที่รัฐบาลนี้ใช้อยู่ตอนนี้สำหรับการป้องกันประเทศ ซึ่งที่จริงแล้วมันจะเติบโตเพิ่มขึ้นจนมากกว่าค่าใช้จ่ายสำหรับอะไรก็ตามที่รัฐบาลใช้อยู่ทุกวันนี้ในที่สุด เป็นปรากฏการณ์ซึ่งจะกินคืบเข้าไปในงบประมาณทั้งของมลรัฐและของสหพันธรัฐ
เท่าที่ข้าพเจ้าสามารถกล่าวได้ง่ายที่สุดแล้วก็คือ การปฏิรูประบบประกันสุขภาพเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดหนึ่งเดียวซึ่งเราสามารถทำได้สำหรับความยั่งยืนระยะยาวของระบบการงบประมาณของอเมริกา และนี่คือความจริง
และที่ชัดเจนยิ่งกว่านั้นระบบของเรานี้จำเป็นอย่างขาดเสียไม่ได้เลยที่ต้องมีการปฏิรูป!ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่สามารถเลี่ยงได้ ทั้งนี้ ได้มีสำนึกหรือการรับรู้ในสังคมของเราบางส่วนซึ่งบิดเบี้ยวอย่างเลวร้ายว่า ปีศาจที่เรารู้จักยังดีกว่าซาตานที่เราไม่รู้จัก นี่คือความกลัวของการเปลี่ยนแปลงทั้งเป็นความกังวลว่าเราอาจสูญเสียระบบดูแลสุขภาพของเราซึ่งทำงานดีอยู่แล้วขณะที่กำลังพยายามแก้ไขส่วนของระบบที่ไม่ทำงาน
ข้าพเจ้าเข้าใจความหวาดกลัวในแง่นี้ดีทั้งเข้าใจถึงแนวคิดแบบลัทธิ Cynicism (ความเชื่อที่ว่าการกระทำทุกอย่างของมนุษย์มาจากความเห็นแก่ตัว) สิ่งเหล่านั้นเป็นแผลเป็นที่หลงเหลือจากความพยายามที่จะปฏิรูปซึ่งเกิดขึ้นในอดีตที่ผ่านมา ประธานาธิบดีหลายๆคนได้เรียกร้องให้มีการปฏิรูประบบดูแลสุขภาพของเรามาเป็นเวลาเกือบร้อยปี Teddy Roosevelt เรียกร้องเรื่องนี้ Harry Truman ก็เรียกร้องสิ่งนี้ Richard Nixon, Jimmy Carter, Bill Clinton ต่างล้วนเรียกร้องเรื่องนี้ แต่ขณะที่มีการปฏิรูปที่สำคัญเป็นส่วนๆเฉพาะได้เกิดขึ้น เช่น ระบบ Medicare (ของผู้สูงอายุ), ระบบ Medicaid และโปรแกรมประกันสุขภาพอื่นๆสำหรับทารก ความพยายามในการปฏิรูปอย่างถี่ถ้วนทั่วถึงเพื่อให้คลุมถึงชาวอเมริกันทุกๆคนและลดค่าใช้จ่ายด้านนี้ลงกลับล้มเหลวเป็นส่วนใหญ่
เหตุผลส่วนหนึ่งก็เนื่องจากมีกลุ่มอาชีพหลากหลายกลุ่มที่พัวพันอยู่ด้วย เช่น หมอ บริษัทประกันฯ ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง บุคลากรทั้งภายในและนอกวงการที่เกี่ยวเนื่องอยู่ด้วย ซึ่งทั้งหมดล้วนเพียงเพราะไม่ยอมเห็นด้วยกับความจำเป็นที่เราต้องทำการปฏิรูประบบประกันสุขภาพนี้ หรือไม่ก็ไม่เห็นด้วยกับผลการปฏิรูปที่จะเกิดขึ้น และอีกด้านหนึ่งของเหตุผลเบื้องหลังก็เพราะการต่อต้านอย่างดุเดือดที่ได้รับการสนับสนุนโดยกลุ่มผลประโยชน์และนักวิ่งเต้น/นายหน้าทั้งหลาย ซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับการปฏิรูปนี้ ที่ได้ใช้กลยุทธ์ "การป้ายสีให้เป็นเรื่องน่ากลัว" สำหรับความพยายามใดก็ตามที่จะปฏิรูปนี้ซึ่งจะทำให้บริการทางการแพทย์เป็นกิจกรรมเพื่อสังคมส่วนรวม
แหละแม้ว่าเรามีประวัติความล้มเหลวที่ยาวนานมากับเรื่องนี้ ข้าพเจ้าก็คงยืนหยัด ณ. ที่นี่ในวันนี้เพราะข้าพเจ้าคิดว่าเรากำลังอยู่ในจังหวะเวลาที่ต่างจากเดิม สัญญาณหนึ่งที่บ่งบอกว่าเงื่อนไขหลายอย่างเปลี่ยนไปก็จากเมื่อไปกี่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยสภาสูงได้ผ่านกฎหมายซึ่งจะปกป้องเด็กๆจากอันตรายของการสูบบุหรี่ซึ่งเป็นหนึ่งในการปฏิรูปที่สมาคมแพทย์อเมริกันเองครองความเป็นผู้นำมาช้านาน และเป็นหนึ่งของการปฏิรูปซึ่งไม่เคยมีอนาคตเลยเมื่อมันถูกเสนอขึ้นมาเมื่อกว่าทศวรรษที่ผ่านมา สิ่งที่ทำให้จังหวะเวลา ณ. วันนี้แตกต่างออกไปคือ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกซึ่งกลุ่มผู้ถือเดิมพันตัวหลักๆ (Stake holder หมายถึงผู้ที่มีอิทธิพลหรือเป็นกุญแจในการกำหนดความสำเร็จหรือล้มเหลวของเรื่องใดเรื่องหนึ่ง) วางตัวเห็นด้วยโดยไม่คัดค้านแต่กลับเอื้อต่อการปฏิรูป พวกเขารวมตัวเข้าด้วยกันจากการยอมรับที่ว่าขณะที่การปฏิรูปนี้จะทำให้ทุกๆคนในระบบการดูแลสุขภาพของเราต้องทำงานในส่วนของตนที่เกี่ยวข้องกับระบบนี้ แต่ที่สุดแล้วทุกๆคนจะได้ประโยชน์
ต่อ คห ที่ ๓ | โดย: คนรู้ทัน ไม่รู้จริง [14 ก.ค. 52 15:24] ( IP A:58.8.105.213 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 3 และข้าพเจ้าขอแสดงความชื่นชมโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อสมาคมแพทย์อเมริกัน ซึ่งได้เสนอตัวที่จะทำงานในส่วนของท่านที่จะตีกรอบค่าใช้จ่ายและบรรลุการปฏิรูปตามเป้าหมายนี้ เมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อนพวกท่านได้รวมตัวกับกลุ่มโรงพยาบาล, สหภาพแรงงาน, บริษัทประกัน, ผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์และบริษัทยาเพื่อทำบางสิ่งบางเรื่องซึ่งไม่มีแม้ใครก็ตามนึกขึ้นมาได้เมื่อไม่กี่ปีก่อน โดยพวกท่านได้สัญญาที่จะตัดค่าใช้จ่ายรวมในระดับชาติของการดูแลสุขภาพลงในวงเงินสองแสนล้านเหรียญในช่วงทศวรรษหน้า ซึ่งเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นหากไม่มีการปฏิรูป สิ่งนี้จะทำให้ค่าใช้จ่ายรายหัวลดลง ค่าเบี้ยประกันลดลง และนั่นคือรูปแบบของความร่วมมือที่ตรงจุดซึ่งเราจำเป็นต้องได้รับจากท่าน
ปัญหาต่อไปในขณะนี้คือเราจะทำให้งานนี้สำเร็จลุล่วงได้อย่างไร? เราจะทำอย่างไรให้การลดค่าใช้จ่ายครั้งนี้เป็นเรื่องยืนยงถาวร และทำให้บริการทางสุขภาพซึ่งมีคุณภาพเป็นเรื่องที่ชาวอเมริกันทุกๆคนสามารถเข้าถึงและแบกรับภาระได้ด้วยตัวเอง
นั่นคือสิ่งที่ข้าพเจ้ามาเพื่อพูดถึงในวันนี้ เราต่างตระหนักว่าจังหวะเวลานี้ถูกต้องแล้วสำหรับการปฏิรูป เรารู้ว่านี่จะเป็นโอกาสครั้งประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนและอาจไม่ได้เห็นอีกแล้วหลังจากนี้ไป แต่เราก็รู้ด้วยว่าจะมีคนบางกลุ่มพยายามและจะหลบเลี่ยงโอกาสเช่นนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผู้ซึ่งจะใช้กลยุทธ์จุดกระแสความกลัวและโหมกระพือออกไปซึ่งใช้ได้ผลมาแล้วในอดีต พวกเขาจะชี้เตือนถึงความเลวร้ายของการทำให้บริการทางการแพทย์เป็นกิจกรรมเพื่อสังคมและการที่รัฐบาลจะเข้าครอบกิจการ, การมีแถวรอบริการที่ยาวเหยียดและการปันส่วนบริการที่มีอย่างจำกัด, การตัดสินการให้บริการที่เป็นขั้นเป็นตอนซึ่งไม่ใช่ตัวหมอเป็นผู้ตัดสินใจ เรื่องต่างๆเหล่านี้ซึ่งเราล้วนเคยได้ยินมาก่อนแล้วทั้งหมด และเพราะว่ากลยุทธ์การสร้างกระแสความหวาดวิตกนี้เคยได้ผลมาก่อน ระบบดูแลสุขภาพของเราก็คงอยู่ในสภาพที่เลวร้ายต่อไป
ดังนั้นขอให้ข้าพเจ้าได้เริ่มต้นด้วยการพูดว่า ข้าพเจ้าทราบว่ามีคนอเมริกันนับล้านคนที่พอใจแล้วกับโปรแกรมการประกันสุขภาพของตนเองที่มีอยู่ พวกเขาพึงใจแล้วและให้ราคาสูงในความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาและหมอประจำของพวกเขา และนั่นต้องหมายความว่าไม่ว่าเราจะปฏิรูประบบดูแลสุขภาพอย่างไรก็ตามท่านก็คงได้กับหมอคนเดิม หากท่านพอใจกับโปรแกรมการประกันสุขภาพที่มีอยู่แล้วท่านก็ยังคงเก็บโปรแกรมนั้นไว้ได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจะไม่มีใครฉวยมันไปจากท่านได้ ความเห็นของข้าพเจ้าก็คือ การปฏิรูประบบนี้ควรได้รับการชี้นำด้วยหลักการเพียงง่ายๆว่า แก้ไขส่วนที่เสียหายและต่อเติมส่วนที่ดีแล้วขึ้นไป
หากเราทำตามนั้นเราสามารถที่จะสร้างระบบดูแลสุขภาพซึ่งจะเอื้อให้ท่าน (หมายถึงหมอ) เป็นหมอตามวิชาชีพแทนที่จะเป็นผู้อำนวยการและคนทำบัญชี เราจะได้ระบบซึ่งให้บริการทางสุขภาพที่ดีที่สุดสำหรับชาวอเมริกันด้วยค่าใช้จ่ายที่ต่ำสุด สามารถสร้างงานได้เป็นแสนตำแหน่งงาน ทำให้เงินค่าแรงที่เหลือกลับเข้าบ้านสูงขึ้นหลายพันเหรียญต่อหลัง และทำให้เศรษฐกิจของเราเติบโตขึ้นในระดับหลายหมื่นล้านเหรียญมากๆขึ้นทุกปี และนั่นคือวิธีที่เราจะหยุดการจ่ายเงินจากภาษีของเราไปเพื่อหนุนระบบที่ไม่มีความยั่งยืนสำหรับเราแล้วเริ่มนำเงินเหล่านั้นไปลงทุนในนวัตกรรมและความล้ำหน้าทางวิทยาการซึ่งจะทำให้ระบบดูแลสุขภาพและระบบเศรษฐกิจของเราแข็งแกร่งขึ้น
ต่อ คห ที่ ๔ | โดย: คนรู้ทัน ไม่รู้จริง [14 ก.ค. 52 15:29] ( IP A:58.8.105.213 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 4 และนั่นคือสิ่งที่เราสามารถทำได้ด้วยจังหวะแห่งโอกาสนี้ สิ่งที่เราต้องทำ ณ. วินาทีนี้
ทีนี้ ข่าวดีก็คือในบางจุดบางที่นั้นได้เกิดข้อตกลงที่แพร่ขยายออกไปแล้วสำหรับก้าวย่างที่จำเป็นในการทำให้ระบบดูแลสุขภาพทำงานได้ดียิ่งขึ้น
ขั้นแรกคือ เราจำเป็นต้องยกระดับมาตรฐานด้านเวชระเบียนผู้ป่วยของเราจากระบบกระดาษมาเป็นระบบฐานข้อมูลทางอีเล็คทรอนิคส์ และเราได้เริ่มดำเนินการไปแล้วในการลงทุนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายงบฟื้นฟูเศรษฐกิจที่เรียกว่า Recovery Act.
ทั้งนี้เป็นเรื่องที่ขัดสามัญสำนึกง่ายๆที่ว่าคนไข้ในศตวรรษที่ 21 นี้ยังคงกรอกแบบฟอร์มทางการแพทย์ด้วยปากกาลงบนกระดาษซึ่งจะต้องถูกนำไปเก็บไว้ที่ไหนสักแห่ง และอย่างที่ท่านวุฒิสมาชิก Newt Gingrich กล่าวไว้ถูกเผงที่ว่าเราสามารถติดตามตำแหน่งบนเส้นทางของพัสดุที่ส่งผ่านบริการ FedEx ในประเทศนี้ได้ดีกว่าที่เราจะติดตามบันทึกในเวชระเบียนของคนไข้ พวกเราชาวอเมริกันไม่สมควรที่ต้องมานั่งเล่าให้หมอทุกๆคนที่เราเพิ่งเข้าไปหาเป็นครั้งแรกเกี่ยวกับประวัติการรักษาทางการแพทย์ในอดีตของเรา หรือยาอะไรบ้างที่เรากำลังใช้อยู่ และเราไม่ควรต้องทำการทดสอบที่แพงๆซ้ำอีก ข้อมูลทั้งหมดเหล่านั้นควรได้รับการเก็บไว้ในประวัติทางการแพทย์ส่วนตัวของแต่ละคนและสามารถติดตามได้จากหมอคนหนึ่งสู่หมออีกคน ทั้งนี้ ไม่ว่าคนคนนั้นจะเปลี่ยนงาน ย้ายที่อยู่ และแม้กระทั่งเมื่อต้องไปแสวงคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญที่แตกต่างหลากหลายสาขา
นั่นไม่ได้หมายเพียงว่าปริมาณกระดาษที่ถาโถมเข้ามาน้อยลงและค่าใช้จ่ายด้านการบริหารจัดการ (ข้อมูลทางการแพทย์ของคนไข้) น้อยลง และประหยัดเงินภาษีของประชาชนนับพันล้านเหรียญเท่านั้น มันยังทำให้หมอทำงานได้ง่ายขึ้น ข้อมูลในรูปนี้จะบอกพวกท่าน (หมอ) ว่าคนไข้กำลังใช้ยาอะไรบ้าง? เพื่อที่ท่านสามารถเลี่ยงการจ่ายยาซึ่งอาจก่อปฏิกิริยาที่เป็นอันตรายต่อตัวคนไข้ มันจะช่วยป้องกันการให้ยาที่ผิดขนาดป้อนสู่คนไข้ และมันจะลดความผิดพลาดทางการแพทย์ซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิตที่ไม่จำเป็นต้องเสียของคนไข้กว่า 100,000 คนตามโรงพยาบาลของเราในทุกๆปี
ขั้นที่สอง เราน่าจะเห็นด้วยร่วมกันต่อการลงทุนมากขึ้นในกระบวนการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันเพื่อที่เราสามารถเลี่ยงความเจ็บป่วยและการติดเชื้อได้แต่เนิ่นๆ ซึ่งนั่นเริ่มจากเราเองแต่ละคนต้องเพิ่มความรับผิดชอบมากขึ้นต่อสุขภาพของเราและของเด็กๆของเรา นั่นหมายถึงเราต้องหยุดบุหรี่ เข้ารับการตรวจหามะเร็งทรวงอกและมะเร็งลำไส้ มันหมายถึงเราต้องวิ่งออกกำลังหรือเข้าโรงยิมเพื่อการออกกำลังกายและดูแลให้เด็กของเราให้เติบโตขึ้นห่างจากวีดีโอเกมส์และใช้เวลามากขึ้นในการละเล่นกลางแจ้ง
มันยังหมายถึงการตัดทอนการบริโภคบรรดาอาหารขยะ (Junk food) ทั้งหลายซึ่งจะหนุนให้ภาวะโรคเบาหวานระบาดได้เป็นครั้งคราว ทำให้ชาวอเมริกันจำนวนมากไม่ว่าจะวัยเยาว์หรือวัยชราสุ่มเสี่ยงมากขึ้นกับสภาพเจ็บป่วยเรื้อรังที่แพงด้วยค่าใช้จ่าย ซึ่งนั่นเป็นหนึ่งใน บทเรียนที่ข้าพเจ้าและ Michelle (ชื่อภรรยาของโอบาม่า) พยายามปลูกฝังในตัวลูกสาวของเรา ซึ่งเราทำด้วยการมีสวนผักอยู่ภายในทำเนียบขาวโดยที่ Michelle เป็นผู้ลงแรงปลูกด้วยตนเอง และนั่นคือบทเรียนหนึ่งซึ่งเราควรทำร่วมกับโรงเรียนตามพื้นที่เขตต่างๆเพื่อบรรจุเข้าไปในโครงการอาหารกลางวันของโรงเรียน | โดย: คนรู้ทัน ไม่รู้จริง [14 ก.ค. 52 15:34] ( IP A:58.8.105.213 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 5 ขยันแปลจังเลยท่าน... ขอบคุณครับ | โดย: เจ้าบ้าน [14 ก.ค. 52 16:45] ( IP A:210.86.181.20 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 6 คนเป็นประธานาธิบดีทำการบ้านมาดีมาก ถึงพูดได้มากข้อมูลแน่นขนาดนี้ | โดย: สมกับเป็นประธานาธิบดี [14 ก.ค. 52 23:25] ( IP A:58.9.186.115 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 7 ขอย้ำที่ตรงนี้ว่า
จะคัดค้านทุกวิถีทางทั้งทางตรงและทางอ้อม
ในการที่วงการแพทย์ของไทยภาครัฐ (และอาจต้องคลุมทางภาคเอกชนด้วย โดยเฉพาะในกลุ่มเมดิคอลฮับ) ที่จะใช้การบันทึกเวชระเบียนในระบบอีเล็คทรอนิคส์ หรือ ถือเอาข้อมูลในเวชระเบียนชนิดนี้เป็นหลักฐานหลักอย่างเป็นทางการ อย่างน้อยก็ตราบเท่าที่แพทยสภายังคงมีกรรมการเป็นแพทย์ที่ต้องคดีที่ถูกฟ้องมาตรา 157 โดยประธานเครือข่ายฯแล้ว ศาลยกฟ้องฎีกาในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ซึ่งได้ระบุในคำพิจารณาว่า มีการช่วยเหลือกันของแพทยสภาที่จะปิดบังข้อเท็จและผิดพลาดของโรงพยาบาลพญาไท๑ ในคดีร้องเรียนต้นเรื่องของการฟ้องคดี
ทั้งนี้เพราะ
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของบรรดาผู้เสียหายในเครือข่ายฯ นับจำนวนร้อยกรณี
การยึดถือเวชระเบียนตามระบบบันทึกกระดาษด้วยลายมือ อยู่เดิมนั้น
ก็เชื่อถือไม่ได้อยู่แล้วว่าถูกต้อง เพราะเมื่อเกิดข้อผิดพลาดขึ้น ฝ่ายหมอคู่กรณีเกือบจะทั้งหมด (กว่า 90%) มีพฤติการณ์อย่างแย่น้อยที่สุดก็เตะถ่วงในการให้สำเนา หรือ ให้สำเนาไม่ครบหน้า หรือไม่ครบเอกสารที่ต้องพ่วงด้วย เช่น ฟิลม์ X-ray , ผลแล็ป
และอย่างเลวที่สุด คือ การทำสำเนาเท็จ และ/หรือ แก้ไขเวชระเบียนในส่วนที่เป็นสาระสำคัญที่แสดงความผิดพลาดทางการแพทย์ เช่นกรณีของโรงพยาบาลพญาไท ๑ กับประธานเครือข่าย ซึ่งเลวร้ายถึงขนาดที่ทางโรงพยาบาลแถลงเท็จต่อแพทย์สภา และแพทยสภาเองทั้งคณะอ้างอิงคำแถลงของโรงพยาบาลนี้ในการชี้ว่า เป็นคดีร้องเรียนที่ไม่มีมูล โดยมี แพทย์หญิงประสบศรี อึ้งถาวร ลงนามแทนในตำแหน่งเลขาธิการแพทยสภา
ถ้าเรามีแพทยสภาที่มีพฤติการณ์เป็นโจรเช่นนี้ ถ้าเรามีพฤติการณ์ของแพทย์ที่ร่วมมือกันเตะถ่วง ปิดบัง ซ่อนเร้น ไปตลอดถึงแม้แต่ทำลายเวชระเบียนเป็นตัวอย่างให้เห็นได้จนชินตาในบรรดาคดีของสมาชิกเครือข่ายเรานี้ ถ้าเรามีกรรมการแพทยสภาที่จบมาทางเนติบัณฑิตและต้องข้อหาทุจริตทางการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งโดยตรงได้โดยลอยนวลไปได้ด้วยการเอื้อกันทางข้อกฎหมายผ่านศาลได้
และถ้าเรามีกรรมการแพทยสภาที่มีความเชี่ยวชาญทางระบบคอมพิวเตอร์/อีเล็ทรอนิคส์ ที่สามารถเข้ามาป่วนที่ชุมนุมนี้ได้
และตราบเท่าที่ ไม่มีบทลงโทษที่หนักและจริงจังทางกฎหมายต่อแพทย์อย่างหมอสุรพงษ์ อำพันวงษ์และคณะแพทย์ของโรงพยาบาลที่แก้ไข/เปลี่ยนแปลงเวชระเบียนคนไข้แล้วใช้อ้างอิงเท็จในกระบวนการยุติธรรมโดยไม่ได้การลงโทษ เพราะการเอื้อกันในแง่มุมข้อกฎหมายแล้ว
การใช้เวชระเบียนระบบอีเล็คทรอนิคส์ รังแต่จะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อความผิดพลาดทางการแพทย์ที่จะหนักหนาสาหัสต่อชีวิตคนไข้มากยิ่งๆขึ้น และเปิดช่องให้มีการทุจริตทางฝ่ายหมอผู้ให้บริการมากยิ่งขึ้น | โดย: คนรู้ทัน ไม่รู้จริง [15 ก.ค. 52 15:08] ( IP A:58.8.104.77 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 8 ท่อนต่อจาก คห ที่4
***********************************
การสร้างระบบดูแลสุขภาพขึ้นมาเพื่อส่งเสริมการป้องกันมากกว่าที่จะเป็นเพียงการบริหารจัดการโรคนั้นจำเป็นที่เราทั้งหลายต้องปฏิบัติตนในส่วนของเราเองด้วย มันหมายถึงคุณหมอทั้งหลายต้องบอกเราว่าอะไรคือปัจจัยเสี่ยงที่เราควรเลี่ยงและอะไรคือมาตรการป้องกันที่เราควรทำไป มันหมายถึงบรรดาผู้เป็นนายจ้างทั้งหลายทำตามตัวอย่างเช่นที่กิจการ Safeway (อาหารจานด่วนแบบเดียวกับ KFC) ตกรางวัลให้กับพนักงานที่สามารถดูแลสุขภาพของตนเองได้ดีกว่าคนอื่นๆขณะที่ *** ค่าใช้จ่ายของสวัสดิการด้านสุขภาพในระบบของบริษัทไปด้วย และหากท่านทั้งหลายเป็นหนึ่งในพนักงานของ Safeway จำนวน 3 ใน 4 ซึ่งสมัครเข้าในโครงการ Healthy Measures Program (โปรแกรมด้านการดูแลสุขภาพแบบป้องกันไว้ก่อน) คุณก็จะได้รับการคัดกรองปัญหาด้านสุขภาพจำพวก ระดับคลอเรสเตอรอลที่สูง หรือความดันเลือดสูง และหากคุณมีคะแนนดีภายใต้โครงการนี้คุณก็จะได้สิทธิในการจ่ายค่าเบี้ยประกันสุขภาพที่ต่ำ นี่เป็นโปรแกรมซึ่งช่วยให้ Safeway ตัดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพสำหรับพนักงานลงได้ถึง 13% และพนักงานเองก็สามารถประหยัดค่าเบี้ยประกันสุขภาพได้ถึง 20% และเรา (หมายถึงรัฐบาลอเมริกัน) ก็ได้เปิดโอกาสมากยิ่งขึ้นเพื่อช่วยบรรดานายจ้างประยุกต์หรือขยายโปรแกรมทำนองนี้ออกไป
รัฐบาลกลางของเรายังได้เร่งรัดงานไปในทิศทางของการขยายสภาพความเป็นอยู่ที่มีสุขภาพดีของประชาชน ทั้งนี้ เราตระ *** ว่ามี 5 โรคที่มีราคาแพง คือ มะเร็ง โรคหัวใจ เบาหวาน โรคปอด (ถุงลมโป่งพอง+อื่นๆที่ต่อเนื่อง) และหัวใจวายนั้นล้วนสามารถป้องกันได้ และที่ยิ่งกว่านั้นคือมีเพียงเสี้ยวเดียวของทุกๆหนึ่งดอลล่าร์ที่หมุนเวียนอยู่ในระบบดูแลสุขภาพของเรานั้นถูกใช้ไปเพื่อการป้องกันหรือเพื่อการสาธารณสุข และนั่นคือสิ่งที่กำลังเริ่มเปลี่ยนด้วยการลงทุนที่เรากำลังจะทำโปรแกรมด้านการป้องกันและเพื่อสุขภาวะที่ดี ซึ่งจะสามารถช่วยให้เราเลี่ยงอาการเจ็บป่วยที่เป็นอันตรายทั้งต่อสุขภาพของเราและสุขภาพของเศรษฐกิจของเราด้วย
แต่แม้ว่ามันจะสำคัญมากอย่างที่มันเป็นนั้น การลงทุนในระบบฐานข้อมูลเวชระเบียนระบบอีเล็คทรอนิคส์และมาตรการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันจะเป็นก้าวย่างแรก เป็นเพียงการประทับรอยลงบนโรคระบาดของค่าใช้จ่ายที่กำลังไต่สูงขึ้นในประเทศนี้
แหละทั้งที่มีบางท่านชี้แนะถึงเหตุผลที่ทำไมเราถึงมีค่าใช้จ่ายที่สูงเหล่านี้ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงเพราะเรามีประชากรผู้สูงอายุเท่านั้น แม้การศึกษาด้านประชากรจะชี้เน้นว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้ค่าใช้จ่ายเหล่านี้กำลังทะยานสูงขึ้นเพราะสังคมที่มีสมาชิกสูงอายุกว่า/ป่วยมากกว่าย่อมต้องจ่ายมากกว่าในการดูแลสุขภาพเมื่อเทียบกับสังคมที่สมาชิกอ่อนวัยกว่าและสุขภาพดีกว่า แต่ส่วนที่เป็นก้อนส่วนใหญ่ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดของเรานี้คือ ลักษณะโดยธรรมชาติของระบบดูแลสุขภาพของเราเอง ระบบซึ่งใช้จ่ายเงินก้อนมหึมาไปบนสิ่งที่ไม่ได้ทำให้ประชาชนของเรามีสุขภาพที่ดีขึ้นเลย ระบบซึ่งทำให้การดูแลสุขภาพที่ดีกว่าก็ต้องแพงกว่าด้วยโดยอัตโนมัติเสมอไป
ขอยกกรณีตัวอย่างจากข้อเขียนใน น.ส.พ. the New Yorker เมื่อเร็วๆนี้ซึ่งระบุว่าเมืองที่ชื่อ McAllen ในรัฐเท็กซัสทางใต้กำลังใช้เงินมากกว่าถึงสองเท่าเมื่อเทียบกับเขตปกครอง El Paso county ทางตอนเหนือของประเทศ ซึ่งไม่ใช่เพราะว่าคนในเมือง McAllen ป่วยมากกว่าและไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาได้รับการดูแลทางสุขภาพที่ดีกว่า แต่เป็นเพียงเพราะพวกเขาใช้การบำบัดทางการแพทย์มากกว่า การบำบัดซึ่งไม่ได้จำเป็นจริงๆสำหรับพวกเขา การบำบัดซึ่งในบางกรณีแล้วสามารถก่ออันตรายต่อผู้คนจากการเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อและความผิดพลาดทางการแพทย์ได้ และปัญหาในกรณีตัวอย่างเช่นนี้ก็คือ รูปแบบเช่นนี้กำลังซ้ำตัวมันเองไปทั่วทั้งประเทศสหรัฐอเมริกาของเรานี้ ในรายงานการศึกษาฉบับหนึ่งของ Dartmouth (ชื่อองค์กรหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงทางด้านการรวบรวม/ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับระบบสาธารณสุขของอเมริกา) ได้บอกเราว่าพวกเราไม่ได้มีโอกาสตายน้อยลงจากอาการหัวใจวายและการเจ็บป่วยอื่นๆเลยในพื้นที่ซึ่งมีการใช้จ่ายกับระบบดูแลสุขภาพที่มากกว่า
มีเหตุผลอยู่สองข้อที่จะอธิบายเรื่องนี้ได้ หนึ่งคือระบบการให้รางวัลจูงใจ (Incentives) ซึ่งมุ่งที่การทดสอบและบริการ (ทางการแพทย์) ที่ยิ่งทำมากก็ยิ่งได้รับค่าตอบแทนมาก และหลายๆท่าน (หมอทั้งนั้น) ในห้องนี้ (ที่ประชุมในสมาคมแพทย์อเมริกัน) รู้ว่าข้าพเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ มันเป็นรูปแบบของการให้รางวัลโดยมุ่งที่ปริมาณของตัวบริการมากกว่าที่จะมุ่งที่คุณภาพของการให้บริการ ซึ่งนั่นคือแรงผลักดันให้พวกท่านเหล่าคุณหมอรับการเยี่ยมหน้าของคนไข้มากๆทั้งๆที่เวลาที่จะให้คนไข้แต่ละรายก็น้อยอยู่แล้ว ทั้งยังให้แรงจูงใจตามเงื่อนไขทุกๆข้อเท่าที่มีแก่พวกท่าน (เหล่าหมอ) ที่จะสั่งหรือส่งคนไข้ไปทำการทดสอบส่วนเพิ่มพวก MRI หรือ EKG แม้ว่าการทดสอบเช่นนั้นไม่ได้จำเป็นจริงๆสำหรับคนไข้เลยก็ตาม และนั่นคือ รูปแบบความเป็นไปที่เกิดขึ้นซึ่งพาให้อาชีพหมอกลายจากวิชาชีพเฉพาะทางเป็นเรื่องที่เราเรียกว่า การทำธุรกิจ
แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่พวกท่านถูกกำหนดให้มีอาชีพหมอ และนั่นก็ไม่ใช่เหตุที่ทำให้พวกท่านใช้เวลานับชั่วโมงๆไปกับการศึกษาสรีระร่างกายมนุษย์จากศพหรือหุ่นจำลอง หรือที่แผนกผู้ป่วยนอก นั่นไม่ใช่สิ่งที่จะนำพวกท่านกลับไปยืนอยู่ที่ข้างเตียงคนไข้เพื่อตรวจเยี่ยมไข้หรือทำให้ท่านต้องเรียกญาติคนไข้มาปลอบว่าคนไข้จะปลอดภัย พวกท่านไม่ได้เข้าสู่วิชาชีพนี้เพื่อเป็นคนทำบัญชีหรือเสมียนงานเอกสาร แต่พวกท่านเข้าสู่วิชาชีพนี้เพื่อเป็นผู้บำบัดรักษาอาการเจ็บป่วยให้แก่เพื่อนมนุษย์ และนั่นคือสิ่งที่ระบบการดูแลสุขภาพของประเทศนี้สมควรกำหนดให้พวกท่านเป็น | โดย: คนรู้ทัน ไม่รู้จริง [16 ก.ค. 52 10:00] ( IP A:58.8.104.25 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 9 ฟ้องกันเยอะๆ จะได้เป็นแบบอเมริการเร็วขึ้น | โดย: คนรู้จริง ไม่รู้ทัน [18 ก.ค. 52 12:48] ( IP A:203.154.66.94 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 10 ที่สมควรฟ้องกันเยอะๆก็คือ
แพทยสภาทั้งคณะ 33 คน ที่มีพฤติการณ์เป็น "โจร" ถาวรมาตลอดระยะเวลานับสิบปี กับความเสียหายต่อเนื่องของคนไข้ในเครือข่ายนี้นับร้อยๆรายที่ได้รับผลจากความผิดพลาดทางการแพทย์ที่มีมูลเห็นๆจากหลักฐานปรากฎที่ตัวผู้ตายหรือรอดชีวิตอยู่ สภาแพทยโจรกลุ่มเดียวกันนี้ ที่ไม่แนะนำและไม่เผยแพร่วิธีแก้ปัญหาความผิดพลาดทางการแพทย์อย่างเปิดเผยตามหน้าที่ของหน่วยงานอย่างที่สมควรทำ แต่กลับทำหน้าที่ในฐานะตุลาการทางวิชาชีพเฉพาะที่ "ฉ้อฉลสกปรก" พร้อมกับยุยงส่งเสริมให้วงการแพทย์ทั้งในและนอกระบบของรัฐ ทั้งปิดบัง/ซ่อนเร้น/แม้กระทั่งโกหก ต่อการตรวจสอบของสาธารณชนในกรณ๊ความผิดพลาดทางการแพทย์นับร้อยคดีที่เปิดเผยสู่สาธารณชนตลอดมานับสิบปี
ฉะนั้น หากจะมีการยุยงให้ "ฟ้องหมอ" เครือข่ายนี้ก็สมควรยุยงให้บรรดาผู้เสียหายที่ได้รับผลการปฏิบัติหน้าที่ "ที่ฉ้อแลเยี่ยงโจร" ของแพทยสภา รวมกันฟ้องหมอกรรมการหน่วยงานนี้ให้มันล้มหรือล่มจมไปเสียที อยู่ไปก็เปลืองงบประมาณแผ่นดินโดยเปล่าประโยชน์ | โดย: คนรู้ทัน ไม่รู้จริง [21 ก.ค. 52 11:37] ( IP A:58.8.101.220 X: ) |  |
|