ร้องรพ.เบี้ยวค่าสำรองจ่าย
   ร้องรพ.เบี้ยวค่าสำรองจ่าย
วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2552


ผู้ป่วยประกันสังคมเข้ารักษามะเร็ง-เส้นเลือดโป่งพองร้องโรงพยาบาลไม่ยอมให้เบิกค่าสำรองจ่ายเหยียบแสนบาท

นายมงคล จรูญศักดิ์ อายุ 66 ปี ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม เปิดเผยว่า เมื่อปี 2550-2551 ป่วยจากอาการเส้นเลือดใหญ่ข้างกระดูกสันหลังโป่งพอง 3-4 เซนติเมตร และมีก้อนมะเร็งขวางบริเวณเส้นเลือด จึงได้ขอหนังสือส่งตัวจากโรงพยาบาลกาญจนบุรีเมโมเรียล ซึ่งเป็นโรงพยาบาลต้นสังกัดเพื่อเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช และสถาบันมะเร็งแห่งชาติ

ทั้งนี้ ในระหว่างที่รักษาตัวในโรงพยาบาลทั้ง 2 แห่งต้องสำรองเงินจ่ายไป 9.5 หมื่นบาท ทั้งๆ ที่โรงพยาบาลต้นสังกัดก็ทำหนังสือส่งตัวมารักษาตลอด และที่ผ่านมาก็จ่ายเงินสมทบประกันสังคมมาโดยตลอดในอัตราเต็มเพดานสูงสุด 750 บาทต่อเดือน และเมื่อแจ้งเรื่องไปยังสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ส่วนกลางก็ได้รับคำตอบว่าให้ใจเย็นๆ คณะกรรมการแพทย์กำลังพิจารณา “เรื่องนี้รอไม่ได้ เพราะการรักษาต้องดำเนินต่อไปตามขั้นตอนตามที่หมอแนะนำ และชีวิตก็รอไม่ได้ด้วย” นายมงคล กล่าว

นายมงคล กล่าวอีกว่า รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมจากสิทธิประกันสังคม และโรงพยาบาลต้นสังกัด เพราะในช่วงแรกที่สำรองจ่ายไปวงเงินไม่มาก ทางโรงพยาบาลต้นสังกัดก็ยอมให้เบิกคืนได้ แต่พอวงเงินเพิ่มมากขึ้นกลับไม่ให้เบิก จึงไม่เข้าใจเหตุผล

“ขณะนี้ได้ผ่าตัดเส้นเลือดไปแล้ว จะต้องไปรักษาเคมีบำบัดอีกครั้ง จากที่ก่อนหน้านี้ต้องหยุดไปเนื่องจากมีอาการแพ้ ซึ่งต้องใช้เงินอีกมาก แพทย์ที่ให้รักษาทั้งที่สถาบันมะเร็งฯ และโรงพยาบาลศิริราชต่างก็ให้กำลังใจว่าผมต้องได้รับสิทธิ” นายมงคล กล่าว

ผู้ประกันตนรายนี้ กล่าวว่า ปัญหานี้ได้เกิดขึ้นเมื่อได้ทำเรื่องขอใบส่งตัวว่าต้องผ่าตัดเส้นเลือดที่โป่งพองในวันที่ 28 ก.ค. มีค่าใช้จ่าย 6.36 แสนบาท แต่มีส่วนเกินที่ต้องจ่ายเอง 1.6 หมื่นบาท ทั้งนี้ทางโรงพยาบาลศิริราชได้แจ้งกลับไปยังโรงพยาบาลต้นสังกัดว่า โรงพยาบาลศิริราชไม่มีสัญญาสัมพันธ์กันกับโรงพยาบาลต้นสังกัด

นอกจากนี้ แจ้งให้ผู้ป่วยสำรองจ่ายไปก่อนและเบิกคืนภายหลัง ซึ่งค่าใช้จ่ายระหว่างวันที่ 31 ก.ค.-13 ส.ค. ประมาณ 8.86 หมื่นบาท จากนั้นก็มีการตรวจหลังผ่าตัดอีกในวันที่ 21 ส.ค. เป็นเงิน 5,125 บาท ทางโรงพยาบาลไม่ออกใบส่งตัวให้ แต่ให้สำรองจ่ายและเบิกในภายหลัง เช่นกัน

ทั้งนี้ ทางโพสต์ทูเดย์ได้พยายามสอบถามเรื่องดังกล่าวไปยังโรงพยาบาลกาญจนบุรีเมโมเรียล ทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่าจะต้องให้ผู้บริหารเป็นผู้อธิบายเหตุผลเท่านั้น แต่ยังไม่สามารถติดต่อผู้บริหารได้
โดย: แล้วจะมีประกันสังคมไปทำไม [2 ก.ย. 52 12:59] ( IP A:58.9.204.124 X: )
Add to Facebook  Add to Twitter  Add to Multiply  Add to Google  Add to Blogger  Add to Live
ความคิดเห็นที่ 1
   ผู้ป่วยรายนี้ส่งเบี้ยประกันมานานกว่า 20 ปี
เคยขาดส่งแค่ครั้งเดียว โดนปรับ 200 บาท
ตั้งแต่นั้นมาไม่เคยขาดส่ง

พอแก่ตัวมีปัญหาสุขภาพ จะหวังพึ่งกลับพึ่งไม่ได้
มีปัญหา แล้วจะส่งประกันสังคมไปทำไม
โดย: เบื๊อกเอ๊ย [2 ก.ย. 52 13:00] ( IP A:58.9.204.124 X: )
ความคิดเห็นที่ 2
   คนไข้ประกันสังคมโวยลูกเล่น รพ.“ไม่ต่อหนังสือส่งตัวหลังค่ารักษาสูง-อ้างไม่ใช่คู่สัญญา”

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 กันยายน 2552 09:20 น.


ผู้ป่วยมะเร็ง-เส้นเลือดโป่งพองข้างกระดูกสันหลัง ผู้ประกันตนสิทธิประกันสังคม ร้องขอความเป็นธรรม จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนตลอด แต่ป่วยแล้วไม่ยอมรับผิดชอบค่ารักษา ค้างจ่ายเฉียดแสน รพ.ตามสิทธิ์อ้างสถาบันมะเร็ง-ศิริราช ไม่ใช่ รพ.คู่สัญญา ทั้งๆ ที่เป็นผู้ส่งต่อไปรักษาแต่แรก แถมบอกหมอรักษาเกินจำเป็น

นายมงคล จรูญศักดิ์ อายุ 66 ปี ชาวจังหวัดกาญจนบุรี อาชีพธุรกิจส่วนตัว ผู้ประกันตนในสิทธิประกันสังคม ได้ร้องเรียนต่อสื่อมวลชนกรณีเข้ารับการรักษาตามสิทธิประกันสังคม แต่โรงพยาบาลไม่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลเพียงบางส่วน หลังจากที่ได้ส่งตัวต่อไปสถาบันมะเร็งแห่งชาติ และโรงพยาบาลศิริราช ว่า ที่ผ่านมา ได้เป็นผู้ประกันตนในมาตรา 39 ตั้งแต่ปี 2533 และจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมมาจนถึงปัจจุบัน แต่เมื่อปี 2550-2551 ช่วงอายุประมาณ 64-65 ปี มีอาการปวดท้อง และไปหาหมอที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ใน จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลตามสิทธิ์ เมื่ออาการดีขึ้นก็กลับบ้าน จากนั้นมีอาการปวดท้องอีกจึงได้ไปโรงพยาบาลธนบุรี 2 พบว่า มีเส้นเลือดใหญ่ข้างกระดูกสันหลังโป่งพอง 3-4 เซนติเมตร และมีก้อนมะเร็งขวางอยู่บริเวณเส้นเลือด สถานพยาบาลต้นสังกัดได้ทำหนังสือส่งตัวมารักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราชและสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ได้ทำเคมีบำบัดให้ก้อนเนื้อยุบแล้วจึงรักษาเส้นเลือดโป่งก่อนจะฉายแสง

“ได้ทำการรักษาที่สถาบันมะเร็ง เพื่อให้รักษาเคมีบำบัดจำนวน 16 ครั้ง ตั้งแต่เดือน ก.ย.ปี2551 จนเมื่อ 9 มิ.ย.2552 เกิดอาการแพ้ ทำให้ต้องหยุดการให้เคมีบำบัด และแพทย์สถาบันมะเร็งได้นัดให้ไปรักษาอีกครั้งในวันที่ 17 มิ.ย.จึงได้แจ้งให้กับทางโรงพยาบาลต้นสังกัดทราบ แต่โรงพยาบาลแจ้งว่าระยะเวลากระชั้นชิดออกหนังสือให้ไม่ทัน ทำให้ผมต้องสำรองจ่ายไปก่อนถึง 1.4 หมื่นบาท” นายมงคล กล่าว

นายมงคล กล่าวต่อว่า จากนั้น 26 มิ.ย.และวันที่ 10 ก.ค.คุณหมอได้นัดตรวจสแกนขนาดเส้นเลือดที่โป่ง โดยในครั้งนี้ได้รับใบส่งตัวจากโรงพยาบาลต้นสังกัด โดยได้สำรองจ่ายไปครั้งละ 2,500 บาท ซึ่งได้เบิกคืนเรียบร้อย จากนั้นโรงพยาบาลศิริราชนัดเจาะเลือดและจองเลือดจากธนาคารเลือด จำนวน 1,760 บาท ซึ่งได้หนังสือส่งตัวก็สามารถเบิกคืนได้ แต่พอคุณหมอ การตรวจหาความผิดปกติด้วยเครื่องเอ็มอาร์ไอ เพื่อเช็คหัวใจ โดยมีหนังสือส่งตัว ซึ่งได้สำรองจ่ายไปแล้ว 1.7 หมื่นบาท แต่ยังไม่ได้รับเงินคืน

นายมงคล กล่าวว่า เมื่อ 24 ก.ค.-30 ก.ค.ได้ทำเรื่องขอใบส่งตัวว่าต้องผ่าตัดเส้นเลือดที่โป่งพองในวันที่ 28 ก.ค.มีค่าใช้จ่าย 6.36 แสนบาท แต่มีส่วนเกินที่ต้องจ่ายเอง 1.6 หมื่นบาท ทั้งนี้ในวันที่ 25 ก.ค.ทางโรงพยาบาลศิริราชได้แจ้งกลับไปยังโรงพยาบาลต้นสังกัด ว่า ให้ต่ออายุใบส่งตัวอีก 1-2 สัปดาห์ เนื่องจากคนไข้อาการยังไม่ดีขึ้น แต่โรงพยาลแจ้งว่า ไม่ออกใบส่งตัวให้ตั้งแต่วันที่ 31 ก.ค.เป็นต้นไป เนื่องจากว่า โรงพยาบาลศิริราชไม่มีสัญญาสัมพันธ์กันกับโรงพยาบาลต้นสังกัด คือ ให้ผู้ป่วยสำรองจ่ายไปก่อนและเบิกคืนภายหลัง ซึ่งค่าใช้จ่ายระหว่างวันที่ 31 ก.ค.-13 ส.ค.ประมาณ 8.86 หมื่นบาท จากนั้นก็มีการตรวจหลังผ่าตัดอีกในวันที่ 21 ส.ค.เป็นเงิน 5,125 บาท ทางโรงพยาบาลไม่ออกใบส่งตัวให้แต่แจ้งให้สำรองจ่ายและเบิกในภายหลังเช่นกัน

“ขณะนี้ผมได้สำรองเงินจ่ายไปแล้ว แต่ยังเบิกไม่ได้ทั้งสิ้น 5 ครั้ง เป็นเงินกว่า 9.59 หมื่นบาท ทั้งที่ผ่านมาผมก็จ่ายเงินประกันสังคมมาโดยตลอด ในอัตราเต็มเพดานสูงสุด 750 บาทต่อเดือน และที่ผ่านมา ทางโรงพยาบาลก็ทำหนังสือส่งตัวให้มาโดยตลอด แต่พอมีค่ารักษาสูง กลับแจ้งมาว่า โรงพยาบาลที่เคยทำหนังสือส่งตัวมาให้นั้นไม่ได้เป็นคู่สัญญากัน นั่นหมายความว่าอะไร เมื่อแจ้งเรื่องไปยังสำนักงานประกันสังคมส่วนกลาง ก็ได้รับคำตอบเพียงว่า ให้ใจเย็นๆ อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการแพทย์ อีกทั้งพูดด้วยท่าทีและน้ำเสียงเหมือนกับว่าเราพูดไม่รู้เรื่อง ให้รอไปก่อน ซึ่งเรื่องนี้รอไม่ได้ เพราะการรักษาต้องดำเนินต่อไปเป็นขั้นตอนตามที่หมอแนะนำ และชีวิตก็รอไม่ได้ด้วย”นายมงคล กล่าว

นายมงคล กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา การจ่ายเงินสมทบกับประกันสังคมตั้งแต่มีกฎหมายนี้ เท่ากับเป็นเรื่องที่หลอกหรือโกหกกัน เพราะไม่ได้ชี้แจงว่าเป็นการรักษาที่เกินสิทธิ์หรือมีเงื่อนไขอื่นใดที่เบิกจ่ายไม่ได้ แต่กลับให้เหตุผลว่าแพทย์รักษาเกินความจำเป็น แล้วคนปกติที่ไหนบ้างที่จะไปนอนพักโรงพยาบาลเป็นหลายสัปดาห์ อีกทั้งโรงพยาบาลศิริราชก็ไม่อนุญาตให้คนไม่ป่วยมานอนเล่น แต่เชื่อว่า เป็นเพราะมีค่าใช้จ่ายที่สูงและทางโรงพยาบาลไม่อยากเบิกให้มากกว่า และพยายามให้ไปใช้สิทธิบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้าแทน แต่ในเมื่อจ่ายเงินสมทบไปตั้งแต่ต้นแล้ว จึงคิดที่จะใช้สิทธิประกันสังคมต่อไป

“ผมรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากสิทธิประกันสังคมและโรงพยาบาลต้นสังกัด ทั้งที่ผมก็จ่ายเงินสมทบมาโดยคตลอด และหลังจากนี้ยังมีโปรแกรมที่ยังต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้ได้ผ่าตัดในส่วนของเส้นเลือดไปแล้ว จะต้องกลับไปรักษาเคมีบำบัดอีกครั้งหลังจากที่ก่อนหน้านี้ต้องหยุดไปเนื่องจากมีอาการแพ้ โดยต้องถอนฟันให้หมดก่อนฉายแสง เพราะหากดำเนินการภายหลังจากเกรงว่าจะมีการติดเชื้อ ซึ่งจำนวนเงินที่ใช้คงต้องใช้อีกมาก และที่ผ่านมาก็สำรองจ่ายไปจำนวนมาก แต่กลับยังไม่ได้เบิกคืนหรือได้รับความเป็นธรรมอย่างใด ซึ่งแม้แต่แพทย์ที่ให้การรักษาทั้งสถาบันและโรงพยาบาลศิริราชก็ต่างให้กำลังใจว่าสิทธิ์นั้นผมควรต้องได้รับจากประกันสังคม ไม่มีอะไรที่เกินความจำเป็น”นายมงคล กล่าว
โดย: ดูมันทำกับชาวบ้าน [2 ก.ย. 52 13:21] ( IP A:58.9.204.124 X: )
ความคิดเห็นที่ 3
   รับออกใบส่งตัวคนไข้ เข้ารพ.ไม่ใช่คู่สัญญา
วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552

รองผอ.โรงพยาบาลกาญจน์ฯ ยอมรับได้ออกใบส่งตัวคนไข้มะเร็งไปผ่าตัดที่ศิริราชทั้งที่ไม่ใช่คู่สัญญา ปัดจ่ายเบิกค่ารักษาเพราะหนังสือมั่ว

นางจินดาวรรณ พรหมศิริพัฒน์ รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร โรงพยาบาลกาญจนบุรีเมโมเรียล เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาทางโรงพยาบาลได้ ออกใบส่งตัวให้นายมงคล จรูญศักดิ์ ผู้ป่วยโรคมะเร็งและเส้นเลือดโป่งพองข้างกระดูกสันหลังโดยตลอด และได้ ออกค่าใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลที่ไปรักษาตัวที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติให้ทั้งหมดด้วย
สำหรับค่ารักษาที่ไปรักษากับโรงพยาบาลศิริราชที่อ้างว่าเบิกไม่ได้นั้น ได้ชี้แจงกับนายมงคลตั้งแต่แรกแล้วว่า โรงพยาบาลศิริราชไม่ใช่คู่สัญญากับโรงพยาบาล แต่ก็ยังยอมออกใบส่งตัวให้นายมงคลไป ซึ่งทางโรงพยาบาลศิริราชก็ได้ตีกลับหนังสือส่งตัวกลับมาทุกครั้ง ยกเว้นแต่ครั้งที่นายมงคลจะต้องมีการผ่าตัดเมื่อวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่โรงพยาบาลศิริราชรับหนังสือส่งตัว เพื่อผ่าตัดให้นายมงคล ซึ่งต่อมามีค่าใช้จ่าย 6.36 แสนบาท และนายมงคล มาขอเบิกค่าสำรองจ่ายส่วนเกิน 1.6 หมื่นบาท

นอกจากนี้ ที่ผ่านมาทางโรงพยาบาลได้รับเรื่องการเบิกจากสถาบันมะเร็งฯ แห่งเดียว และทางสถาบันมะเร็งฯ ก็ไม่ได้แจ้งรายละเอียดคำแนะนำว่านายมงคลจำเป็นต้องไปรักษาที่โรงพยาบาลศิริราชมาอย่างเป็นทางการ หากมีมาให้ในนามสถานพยาบาลก็ยินดีรับผิดชอบในค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น

“เวลาผู้ป่วยมาขอให้ทำหนังสือส่งตัวก็จะเป็นจดหมายจากแพทย์เจ้าของไข้ที่โรงพยาบาลศิริราช แต่มีหัวกระดาษหนังสือเป็นของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ทำให้ทางโรงพยาบาลไม่สามารถเบิกคืนเงินที่สำรองจ่ายไปให้ได้ แต่ก็ได้ทำหนังสือส่งตัวไปให้เท่านั้น” นางจินดาวรรณ กล่าว

ด้านนายมงคล ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมในฐานะผู้เสียหาย กล่าวว่า หากเบิกไม่ได้ หรือไม่ได้เป็นคู่สัญญากัน ทางโรงพยาบาลต้นสังกัดจะออกใบส่งตัวให้ไปรักษาตัวทำไม ดังนั้นเป็นไปได้ หรือไม่ที่โรงพยาบาลศิริราชซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่จะตีกลับใบส่งตัวตามที่อ้าง เพราะโรงพยาบาลศิริราชได้รับเข้าผ่าตัดจากใบส่งตัวที่ได้มา

นางสุพัชรี มีครุฑ ผู้อำนวยการกองประสานการแพทย์ สำนักงานประกันสังคม กล่าวว่า ขณะนี้เรื่องร้องเรียนของนายมงคลอยู่ระหว่างการพิจารณาของกองนิติการอุทธรณ์ตามขั้นตอนและหลักเกณฑ์การเบิกค่าใช้จ่ายจากสำนักงานประกันสังคมนั้น สถานพยาบาลต้นสังกัดจะต้องทำหนังสือส่งตัวไปให้สถานพยาบาลระดับตติยภูมิ หรือสถานพยาบาลที่มีความสามารถในการรักษาโรคระดับสูง ซึ่งสถานพยาบาลแต่ละแห่งต่างมีสถานพยาบาลตติยภูมิไม่เหมือนกัน

ทั้งนี้ หากโรงพยาบาลตติยภูมิเห็น ว่าจำเป็นต้องส่งตัวไปยังสถานพยาบาลแห่งอื่นต่อเป็นแห่งที่ 3 สถานพยาบาลต้นสังกัดต้องไปตามรับผิดชอบค่าใช้ จ่าย
โดย: ประกันสังคม มีไว้เพื่ออะไร [8 ก.ย. 52 21:04] ( IP A:58.9.206.94 X: )
ความคิดเห็นที่ 4
   รพ.กาญจนบุรี เมโมเรียล แจงออกค่ารักษาพยาบาลกับสถาบันมะเร็งทั้งหมด แต่ที่ รพ.ศิริราช เบิกไมได้ เหตุสถาบันมะเร็งฯ ไม่ทำหนังสือเป็นทางการแจ้ง รพ.ต้นสังกัดว่าต้องส่งต่อรักษาที่ศิริราช

นางจินดาวรรณ พรหมศิริพัฒน์ รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารโรงพยาบาลกาญจนบุรีเมโมเรียล กล่าวถึงกรณี นายมงคล จรูญศักดิ์ อายุ 66 ปี ชาวจังหวัดกาญจนบุรี อาชีพธุรกิจส่วนตัว ผู้ประกันตนในสิทธิประกันสังคม ที่ร้องเรียนผ่านสื่อมวลชน ว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรม เนื่องจากโรงพยาบาลต้นสังกัดไม่เบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามสิทธิ์ โดยต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองเป็นจำนวนมากว่า ที่ผ่านมา ทางโรงพยาบาลได้ออกใบส่งตัวให้กับนายมงคลมาโดยตลอด และได้ออกค่าใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลของนายมงคลที่ต้องไปรักษาตัวที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติทั้งหมด แต่ในส่วนของที่นายมงคลไปรักษากับโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งได้ชี้แจงกับนายมงคลตั้งแต่แรกแล้ว ว่า โรงพยาบาลศิริราชไม่ใช่คู่สัญญากับโรงพยาบาลฯ ซึ่งสถานพยาบาลระดับตติยภูมิทางด้านเส้นเลือดคือ สถาบันโรคทรวงอก

“เรื่องดังกล่าวไม่ใช่โรงพยาบาลเพิกเฉย โดยโรงพยาบาลได้ออกใบส่งตัวให้กับนายมงคลทุกครั้ง แม้ว่าจะไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลศิริราชที่ไม่ใช่สถานพยาบาลคู่สัญญาก็ตาม ซึ่งทางโรงพยาบาลศิริราชได้ตีกลับหนังสือส่งตัวทุกครั้ง เว้นแต่ครั้งที่นายมงคลจะต้องมีการผ่าตัดเมื่อวันที่ 24 ก.ค.เท่านั้น อย่างไรก็ตามทางโรงพยาบาลไม่เคยได้รับหนังสืออย่างเป็นทางการจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติว่านายมงคลต้องรักษาที่โรงพยาบาลศิริราชเลย เพราะเรื่องดังกล่าวเป็นคนละโรคกัน”นางจินดาวรรณ กล่าว

นางจินดาวรรณ กล่าวต่อว่า ได้แต่ทำเรื่องเบิกค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นกับสถาบันมะเร็งแห่งชาติเพียงอย่างเดียว ไม่ได้สอบถามถึงรายละเอียดของผู้ป่วยว่าเป็นอย่างไร และทางสถาบันมะเร็งฯก็ไม่ได้แจ้งกลับมาด้วยเช่นกัน ซึ่งหากสถาบันมะเร็งฯมีการแจ้งรายละเอียดคำแนะนำว่านายมงคลจำเป็นต้องไปรักษาที่โรงพยาบาลศิริราชด้วยหนังสืออย่างเป็นทางการในนามสถานพยาบาลก็ยินดีรับผิดชอบในค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น

“ผู้ป่วยเวลามาขอให้ทำหนังสือส่งตัวก็จะเป็นจดหมายจากแพทย์เจ้าของไข้ที่โรงพยาบาลศิริราช แต่มีหัวกระดาษหนังสือเป็นของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ทำให้ทางโรงพยาบาลไม่สามารถเบิกคืนเงินที่สำรองจ่ายไปให้ได้ แต่ก็ได้ทำหนังสือส่งตัวไปให้เท่านั้น”นางจินดาวรรณ กล่าว

นายมงคล จรูญศักดิ์ อายุ 66 ปี ผู้ป่วยโรคมะเร็งและเส้นเลือดโป่งพองข้างกระดูกสันหลัง กล่าวว่า ที่ผ่านมา มีหนังสือจากแพทย์เจ้าของไข้ที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติและโรงพยาบาลศิริราชไปชี้แจงต่อโรงพยาบาลต้นสังกัดมาโดยตลอด แต่ก็ยังไม่สามารถเบิกจ่ายได้ในส่วนที่รักษาไปกับโรงพยาบาลศิริราช หากเบิกไม่ได้ทางโรงพยาบาลฯออกใบส่งตัวได้อย่างไร และเป็นไปได้หรือไม่ที่โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่ตีคืนใบส่งตัวมาให้โรงพยาบาลต้นสังกัดทุกครั้ง จนมาถึงการผ่าตัดถึงรับใบส่งตัวดังกล่าว

“เป็นหน้าที่ของแพทย์ที่โรงพยาบาลต้นสังกัดกับสถาบันมะเร็งแห่งชาติที่ต้องหารือกันว่า ผู้ป่วยที่ส่งต่อมาให้สถาบันฯรักษามีความจำเป็นที่จะต้องส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลศิริราชหรือไม่ ก็ต้องเป็นเรื่องที่โรงพยาบาลต้นสังกัดต้องประสานกันเอง ไม่ใช่หน้าที่ของคนไข้ เพราะคนไข้บอกไม่ได้ว่าจะต้องไปรักษาที่ใด และที่ผ่านมาก็นำหนังสือจากแพทย์เจ้าของไข้ที่สถาบันมะเร็งฯไปยืนยันกับโรงพยาบาลต้นสังกัดเพื่อออกหนังสือส่งตัวตลอด จะมากล่าวหาว่าไม่ทราบได้อย่างไร”นายมงคล กล่าว

นอกจากนี้ การที่หมอที่สถาบันมะเร็งฯจะหารือเคสผู้ป่วยกับอาจารย์หมอของเขาที่โรงพยาบาลศิริราชจะประสานงานกันเอง และหมอที่โรงพยาบาลศิริราชมีความตั้งใจในการรักษาผู้ป่วยโดยทำหนังสือเพื่อให้โรงพยาบาลต้นสังกัดทำหนังสือส่งตัวมารักษานั้นก็ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะการดำเนินการนั้นอยู่ภายใต้ของโรงพยาบาลรัฐ และดำเนินการโดยผู้ป่วยได้แจ้งให้สถานพยาบาลต้นสังกัดทราบตลอด

นางสุพัชรี มีครุฑ ผู้อำนวยการกองประสานการแพทย์ สำนักงานประกันสังคม กล่าวว่า ขณะนี้เรื่องของนายมงคล จรูญศักดิ์ อยู่ระหว่างการพิจารณาของกองนิติการอุทธรณ์พิจารณาอยู่ ทั้งนี้ ตามขั้นตอนและหลักเกณฑ์ของการเบิกค่าใช้จ่ายจากสปส.นั้น สถานพยาบาลต้นสังกัดจะต้องทำหนังสือส่งตัวไปให้สถานพยาบาลระดับตติยภูมิ หรือสถานพยาบาลที่มีความสามารถในการรักษาโรคระดับสูง ซึ่งสถานพยาบาลแต่ละแห่งต่างมีสถานพยาบาลตติยภูมิไม่เหมือนกัน

“ทั้งนี้ หากมีกรณีที่โรงพยาบาลตติยภูมิเห็นว่าจำเป็นต้องส่งตัวไปยังสถานพยาบาลแห่งอื่นต่อเป็นแห่งที่ 3 ซึ่งสถานพยาบาลต้นสังกัดต้องไปตามรับผิดชอบค่าใช้จ่าย สถานพยาบาลตติยภูมิที่เป็นคู่สัญญาจะต้องแจ้งกลับไปยังสถานพยาบาลต้นสังกัดของผู้ป่วยทราบเพื่อรับผิดชอบค่าใช้จ่าย ซึ่งในรายของนายมงคล ขณะนี้เรื่องยังอยู่ระหว่างการพิจารณาจึงไม่ทราบรายละเอียดว่าเป็นอย่างไร” นางสุพัชรี กล่าว
โดย: ประกันสังคม มีไว้เพื่ออะไร [8 ก.ย. 52 21:05] ( IP A:58.9.206.94 X: )
ความคิดเห็นที่ 5
   เรื่องนี้ประกันสังคมจะรับผิดชอบอย่างไร ต่อผู้ประกันตน
โดย: xxx [26 ต.ค. 52 21:33] ( IP A:202.139.223.18 X: )
ความคิดเห็นที่ 6
   โรงพยาบาลต้นสังกัด ที่ผู้ป่วยเป็นผู้ประกันตนสังกัด อยู่ ต้องรับผิดชอบในการประสานงาน และออกใบส่งตัวผู้ป่วย ให้ครบถ้วน ในทุกกรณี
โดย: a [26 ต.ค. 52 21:50] ( IP A:202.139.223.18 X: )

คลิกที่นี่เพื่อกลับหน้าบ้าน