ร้องนายกฯแพทย์รักษาหวัดผิด
|
ความคิดเห็นที่ 1 วิทยา สั่งกองโรคศิลปะ ตรวจสอบโรงพยาบาลเอกชนที่รักษาผู้ป่วยชายวัย 28 ปี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข สั่งกองการประกอบโรคศิลปะ ตรวจสอบโรงพยาบาลเอกชน 2 แห่งที่รักษาชายวัย 28 ปี พร้อมประสานแพทยสภาตรวจสอบด้านมาตรฐานการรักษา คาดอีก 5 วัน ทราบผล
จากกรณีที่นางพวงผกา พิพัฒน์เบญจพล อายุ 42 ปีชาวกทม. ได้ร้องเรียนนายกรัฐมนตรี กรณีนายพีรวีร์ ดวงสินกุลบดี อายุ 28 ปี ซึ่งเป็นหลานชาย ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่และเสียชีวิตแล้วเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2552 เนื่องจากได้รับยาต้านไวรัสโอเซลมิมเวียร์ช้า โดยผู้เสียชีวิตรายนี้ป่วยเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2552 ญาติพาไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งเนื่องจากเกรงว่าจะป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ เพราะมีบุคคลในบ้านป่วยอยู่ 1 คน แต่กลับได้รับการดูแลรักษาเช่นเดียวกับผู้ป่วยไข้หวัดธรรมดา นอนอยู่ 3 วันไม่ได้รับยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ และแพทย์ให้กลับบ้าน เสียค่ารักษา 3 หมื่นบาท เมื่อไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งที่ 2 ซึ่งเป็นเครือข่ายเดียวกัน นอนอยู่ 9 คืน เสียค่ารักษา 3 แสนบาท โดยได้รับยาต้านไวรัสโอเซลมามิเวียร์ประมาณวันที่ 3-4 โดยทางโรงพยาบาลบอกว่าหาเชื้อยังไม่เจอ และไม่เป็นโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 แต่อาการของผู้เสียชีวิตหนักมาก จึงย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ นอนอยู่ในห้องไอซียู 28 วัน ก็เสียชีวิตเมื่อ3 สิงหาคม 2552 เสียค่าใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น 3 ล้านบาท โดยไม่ติดใจร.พ.บำรุงราษฎร์ แต่ติดใจโรงพยาบาลเอกชนแห่งที่ 1 และ 2 ที่ให้ยาต้านไวรัสช้านั้น
เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงวสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งการให้กองการประกอบโรคศิลปะ ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงที่โรงพยาบาลเอกชนที่ผู้ป่วยเข้ารับการรักษา โดยจะขอรายละเอียดการดูแลรักษาผู้เสียชีวิต พร้อมทั้งดูมาตรฐานของโรงพยาบาลทั้งผู้ประกอบวิชาชีพ บุคลากร เครื่องมือแพทย์ และสถานที่ด้วยว่าเป็นไปตามข้อกำหนดตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 หรือไม่ เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และจะส่งข้อมูลให้แพทยสภา เพื่อตรวจสอบมาตรฐานการรักษาว่าเป็นไปตามจริยธรรมหรือไม่ คาดว่าจะทราบผลในอีก 5 วัน
นายแพทย์สุพรรณ กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขได้กระจายยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ไปยังโรงพยาบาลต่างๆทั้งรัฐเอกชนและคลินิก เพื่อให้ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ได้รับยาเร็วขึ้น พร้อมทั้งให้ทุกจังหวัดเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่ป่วยด้วยอาการไข้หวัด ให้ปฎิบัติตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข ประชาชนที่ไม่มีโรคประจำตัว หากมีไข้ ไอ และอาการไม่ดีขึ้น ไข้ไม่ลดลงภายใน 2 วัน ขอให้ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล
ส่วนกลุ่มเสี่ยงที่ต้องรีบพบแพทย์ตรวจรักษาหลังมีอาการป่วยไข้หวัดใหญ่ แม้ว่าอาการจะรุนแรงหรือไม่ก็ตาม ไม่ควรซื้อยากินเอง ได้แก่ ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่นโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไต โรคลมชัก โรคเลือด โรคมะเร็ง โรคเอสแอลอี ผู้ติดเชื้อเอชไอวี เด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ และผู้ที่มีภาวะ *** ขอให้ไปพบแพทย์ทันที เนื่องจากหากป่วยแล้ว อาจมีโรคแทรกซ้อนรุนแรงสูงกว่าคนทั่วไป และหากประชาชนมีข้อสงสัย ขอให้โทรสอบถามสายด่วนไข้หวัดใหญ่ทางหมายเลข 1422 และ 0-2590-3333 ตลอด 24 ชั่วโมง
แหล่งข่าวโดย.... สำนักสารนิเทศ ผู้จัดทำ.... ฝ่ายข่าวและสื่อมวลชนสัมพันธ์ กลุ่มสารนิเทศ [21/ส.ค/2552> | โดย: น้องพีรวีร์ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงร่างกายแข็งแรง..ยังตายได้เลย [21 ส.ค. 52 14:37] ( IP A:58.9.197.3 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 2 The Nation Thursday, August 20, 2009
DOCTOR FACES MALPRACTICE OVER SWINE-FLU PATIENT A relative of a 28yearold man who died of acute lung disease earlier this month has called on the Medical Council to probe the ethics of a physiฌcian at a private hospital in the Bang Na area for medical malpractice. Peeravee Tuangsinkulabhodi's aunt said she believed her nephew had type A(H1N1) influenza. An executive of the private hospiฌtal said the treatment the doctor proฌvided followed medical standards. The man's aunt, Puangpaka Pipatbenjaphon, 42, said her nephew was in a critical condition and had trouble breathing. But when she asked the doctor about his symptoms, there were no clear answers. Peeravee developed flulike sympฌtoms on June 24 after seven people in his family had fallen ill with what Puangpaka described as a flulike illฌness. She said he was a strong and healthy person and did not have any preexisting diseases. The aunt, Puangpaka, said she believed Peeravee was exposed to the virus after he visited a niece who had typeA (H1N1) flu and was admitted to the Bang Na private hospital. Peeravee was later admitted to the same hospital with a high fever and cough. His aunt said the doctor at this hospital collected fluid samples from his sinuses but did not conduct an Xray examination to study the condition of his lungs. One day later, he still had high fever and vomiting. He could eat only small portions of food. Doctors told him he had a seasonal flu and gave him only a fever reducer, Puangpaka said. On June 26, he still had a cough and was vomiting. He had no fever but was drowsy. Doctors told him to stay at home for selfmedication but his mother wanted him to undergo treatฌment at hospital as his symptoms did not seem to improve. He went back to the hospital and this time had a chest Xray which showed that Peeravee's lungs were "almost destroyed,"according to his aunt. Doctors then said he suffered from a severe form of pulmonary infecฌtion. On June 28, he was transferred to the nearby hospital in the same area, as the first hospital said it did not have a specialised physician to provide treatment for him. A doctor "rescued" Peeravee by using an oxygen mask and admitted him to the hospital's intenฌsive care unit. Two days later, Peeravee's sympฌtoms were worse, Puangpaka said. "When I asked the nurses about my nephew they did not answer my quesฌtions. The doctor just told me my nephew was not infected by the new flu virus as he could not find any pathogen," she said. "On August 2, he was in critical conฌdition and could not breathe," Puangpaka says. She wanted to transฌfer him to yet other hospital which they thought could provide better treatฌment, but the doctor said they could not move Peeravee. On August 5, Puangpaka says, Peeravee's oxygen level had dropped more than 50 percent but the doctor said his heart was normal. Peeravee's relatives asked the secฌond hospital to copy the man's medฌical records and send him to a third hospital. He was transferred to this hospital in the Sukhumvit area and admitted for 28 days but his symptoms developed into a severe condition. For the treatment at this hospital, his famฌily had to pay Bt3 million. Then, on August 3, he died. Relatives took Peeravee's body to Chulalongkorn University for an autopsy examination but medical workers there said as the body was injected with formalin they could not find any pathogens. An executive of the second private hospital, who wanted to be unnamed, said his hospital insisted the doctor had provided treatment to the patient in accordance with medical standards and given information to the relatives. "The doctor is a serious man. When the patient's relatives asked him so much about the medical treatment he might have talked to them bluntly." The executive said the Peeravee might have suffered from respiratory distress syndrome . "We treated him with the supportive treatment but his symptoms did not improve," he said. Prime Minister Abhisit Vejjajiva, who also received a complaint from Peeravee's relatives, vowed to look into this case. | โดย: The Nation [21 ส.ค. 52 14:44] ( IP A:58.9.197.3 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 3 โรคคนรวย รพ รัฐ รักษาฟรีก็ไม่ไป | โดย: หมอ ก็เป็นตั้งหลายคน [21 ส.ค. 52 16:03] ( IP A:125.26.107.233 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 4 น้องพีรวีร์ ขอให้สู่สุขคติ
| โดย: สู่สุขคติ [21 ส.ค. 52 17:46] ( IP A:58.9.191.23 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 5 จะรอดูว่าแพทยสภาจะว่าอย่างไร อย่าเบี้ยว....
| โดย: น่าสงสารน้องพีรวีร์ [21 ส.ค. 52 17:48] ( IP A:58.9.191.23 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 6 พวกเราไปยื่นเรื่องให้ท่านนายกฯ หลายเรื่อง ยกตัวอย่างเช่น 1. เรื่องขอให้ผลักดัน ร่างพรบ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ ให้มีผลบังคับใช้ ในเร็ววัน 2. ขอให้ตั้งคณะกรรมการกลางเฉพาะกิจ รองรับปัญหาร้องเรียน 3. พาผู้เสียหายที่มีปัญหาค้างคาติดขัด ไปเรียนให้ท่านนายกฯ ทราบ ถึงปัญหา ข้อจำกัดในการให้ความช่วยเหลือของหน่วยงาน เช่นไม่ มีเงินกองทุนจะเยียวยา
| โดย: เครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ [22 ส.ค. 52 8:50] ( IP A:58.9.184.71 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 7 นี่เป็นเพียงบางส่วนของพวกเราที่ไปพบนายกรัฐมนตรี
| โดย: เครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ [22 ส.ค. 52 8:51] ( IP A:58.9.184.71 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 8 วิทยา เต้นญาติผู้ป่วยหวัดร้อง มาร์ค สั่งสอบ 2 รพ.เอกชนจ่ายยาช้าทำหลานตาย โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 สิงหาคม 2552 14:34 น.
D:\\2-เครือข่ายฯ\\9-ผู้เสียหายหวัด2009\\พีรวีร์\\ข่าว\\Quality of Life - Manager Online.mht วิทยา เต้นญาติผู้ป่วยหวัดร้อง มาร์ค รพ.เอกชนจ่ายโอเซลทามิเวียร์ช้าทำหลานเสียชีวิต สั่งกองการประกอบโรคศิลปะ ตรวจสอบโรงพยาบาลเอกชน 2 แห่งทันที พร้อมประสานแพทยสภาตรวจสอบด้านมาตรฐานการรักษา คาดอีก 5 วัน ทราบผล จากกรณีที่นางพวงผกา พิพัฒน์เบญจพล อายุ 42 ปีชาวกทม. ได้ร้องเรียนนายกรัฐมนตรี กรณีนายพีรวีร์ ดวงสินกุลบดี อายุ 28 ปี ซึ่งเป็นหลานชาย ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่และเสียชีวิตแล้ว เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2552 เนื่องจากได้รับยาต้านไวรัสโอเซลมิมเวียร์ช้า โดยผู้เสียชีวิตรายนี้ป่วยเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2552 ญาติพาไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง เนื่องจากเกรงว่าจะป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ เพราะมีบุคคลในบ้านป่วยอยู่ 1 คน แต่กลับได้รับการดูแลรักษาเช่นเดียวกับผู้ป่วยไข้หวัดธรรมดา นอนอยู่ 3 วันไม่ได้รับยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ และแพทย์ให้กลับบ้าน เสียค่ารักษา 3 หมื่นบาท เมื่อไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งที่ 2 ซึ่งเป็นเครือข่ายเดียวกัน นอนอยู่ 9 คืน เสียค่ารักษา 3 แสนบาท โดยได้รับยาต้านไวรัสโอเซลมามิเวียร์ประมาณวันที่ 3-4 โดยทางโรงพยาบาลบอกว่าหาเชื้อยังไม่เจอ และไม่เป็นโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 แต่อาการของผู้เสียชีวิตหนักมาก จึงย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ นอนอยู่ในห้องไอซียู 28 วัน ก็เสียชีวิตเมื่อ3 สิงหาคม 2552 เสียค่าใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น 3 ล้านบาท โดยไม่ติดใจ รพ.บำรุงราษฎร์ แต่ติดใจโรงพยาบาลเอกชนแห่งที่ 1 และ 2 ที่ให้ยาต้านไวรัสช้านั้น เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมาตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ได้มอบหมายให้กองการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงที่โรงพยาบาลเอกชนที่ผู้ป่วยเข้ารับการรักษา โดยจะขอรายละเอียดการดูแลรักษาผู้เสียชีวิต พร้อมทั้งดูมาตรฐานของโรงพยาบาลทั้งผู้ประกอบวิชาชีพ บุคลากร เครื่องมือแพทย์ และสถานที่ด้วยว่าเป็นไปตามข้อกำหนดตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 หรือไม่ เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และจะส่งข้อมูลให้แพทยสภา เพื่อตรวจสอบมาตรฐานการรักษาว่าเป็นไปตามจริยธรรมหรือไม่ คาดว่าจะทราบผลในอีก 5 วัน ผู้เสียหายร้องเรียนการวินิจฉัยโรคที่คลาดเคลื่อนและการให้ยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ช้าเกินไป ส่วนค่ารักษาพยาบาลไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ดังนั้น คงต้องพิจารณาว่า โรงพยาบาลเอกชนได้ปฏิบัติตามแนวทางการรักษาโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 มีอยู่ในคู่มือแพทย์อยู่แล้วหรือไม่ เช่น ลักษณะอาการที่ต้องได้รับยาต้านไวรัส คือ มีไข้ร่วมกับอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นปวดกล้ามเนื้อ อาเจียน หรือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องได้รับยาทันท่วงทีหรือไม่ นายวิทยากล่าว นายวิทยา กล่าวด้วยว่า เมื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว พบว่าเป็นความบกพร่องของโรงพยาบาลเอกชนจริง อาจจะมีการเรียกประชุมโรงพยาบาลเอกชนเพื่อทำความเข้าใจอีกครั้ง แต่หากไม่ได้เกิดจากความผิดพลาดของโรงพยาบาลทุกฝ่ายต้องได้รับความเป็นธรรม อย่างไรก็ตาม ต้องแสดงความเสียใจกับญาติของผู้เสียชีวิตด้วย เมื่อถามว่า คิดเห็นอย่างไรที่มีผู้ที่ร้องเรียนนายกรัฐมนตรีโดยไม่มาร้องเรียนกับกระทรวงสาธารณสุขก่อน นายวิทยา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเป็นหลักของประเทศ ไปร้องเรียนกับนายกฯ แต่ท่านก็ต้องส่งเรื่องกลับมาที่กระทรวงสาธารณสุขอยู่ดี แต่เรื่องนี้ยังไม่มีโอกาสหารือกับนายกฯ นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขได้กระจายยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ไปยังโรงพยาบาลต่างๆทั้งรัฐเอกชนและคลินิก เพื่อให้ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ได้รับยาเร็วขึ้น พร้อมทั้งให้ทุกจังหวัดเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่ป่วยด้วยอาการไข้หวัด ให้ปฎิบัติตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข ประชาชนที่ไม่มีโรคประจำตัว หากมีไข้ ไอ และอาการไม่ดีขึ้น ไข้ไม่ลดลงภายใน 2 วัน ขอให้ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล นพ.สุพรรณ กล่าวต่อว่า ส่วนกลุ่มเสี่ยงที่ต้องรีบพบแพทย์ตรวจรักษาหลังมีอาการป่วยไข้หวัดใหญ่ แม้ว่าอาการจะรุนแรงหรือไม่ก็ตาม ไม่ควรซื้อยากินเอง ได้แก่ ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่นโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไต โรคลมชัก โรคเลือด โรคมะเร็ง โรคเอสแอลอี ผู้ติดเชื้อเอชไอวี เด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ และผู้ที่มีภาวะ *** ขอให้ไปพบแพทย์ทันที เนื่องจากหากป่วยแล้ว อาจมีโรคแทรกซ้อนรุนแรงสูงกว่าคนทั่วไป และหากประชาชนมีข้อสงสัย ขอให้โทรสอบถามสายด่วนไข้หวัดใหญ่ทางหมายเลข 1422 และ 0-2590-3333 ตลอด 24 ชั่วโมง | โดย: เครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ [22 ส.ค. 52 8:58] ( IP A:58.9.184.71 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 9 งานนี้ กลิ่นตุๆแรงมั๊กมาก แรงอย่างเตะจมูกแทบสำลัก
ก็ในเมื่อญาติคนตายแจ้งโรงพยาบาลที่ ๑ ตั้งแต่แรกที่พาคนไข้ที่ตายเข้าไปว่า ญาติพี่น้องรอบตัวผู้ตายเป็นหวัด 2009 ซึ่งยืนยันกันแน่ชัดไม่มีเดา
แล้วก็ สธ. ก็กำหนดข้อปฏิบัติชัดเจนให้รักษาโดยถือว่าคนไข้ติดเชื้อหวัด 2009 ในกรณีที่คนไข้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงอันดับ ๑ ต้องตรงตามกรณีของคนไข้รายนี้
แล้วทำไมไม่รักษาไปเลย ทำไมต้องรอ????? !!!!!!!!!!!!!
พอมาดูโรงพยาบาลที่ 2 ซ้ำร้ายเลยเถิดเข้าไปอีก กว่าจะให้ยาต้านเชื้อได้ก็ปาเข้าไปวันที่ 3 แล้ว ทั้งที่ (ถ้าจำไม่ผิด) ยาต้านเชื้อนี้จะให้ผลได้ตามฤทธิ์ยาก็ต้องภายใน 48 ชั่วโมงหรือ 2 วันไม่ใช่หรือ??
แต่พอนึกดูตามเนื้อข่าว อ้าว!!! ทั้งสองของโรงพยาบาลที่ 1 และที่ 2 ดั๊นเป็นโรงพยาบาลเอกชนเครือเดียวกันซะอีก
สถานะการณ์ไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่ระบาดหนักขนาดนี้ สธ.ก็มีข้อปฏิบัติแจ้งชัดว่าให้ยาต้านโดยถือว่า "เป็นแล้ว" ได้เลยในกลุ่มเสี่ยงอย่างกรณีตรงๆอย่างนี้ แล้วก็ตัว โรงพยาบาลทั้งสองซึ่งเป็นเอกชน ก็ย่อมมีหมอผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์แล้วประจำทำงานกันทั้งนั้น ซึ่งย่อมไม่ใช่อย่างกรณีโรงเรียนแพทย์หรือโรงพยาบาลรัฐ หรือ ร.พ.ช. ที่อาจเจอแพทย์ In-tern และ/หรือ คนไข้ล้น
ซ.ต.พ. ที่ตั้งเป็นปุจฉาเดียวๆโดดๆตรงๆกลางแสกหน้า ผ.อ. ฝ่ายแพทย์ของโรงพยาบาลทั้งสองก็คือ "ใช่หมอเจ้าของไข้ของท่าน เอาชีวิตคนไข้มาล้อเล่น เพื่อเลี้ยงไข้เสี่ยงชีวิตคนไข้เพื่อดูดเงิน ใช่ไหมเอ่ย?? จนชีวิตคนไข้มอดม้วยไปอีกหนึ่งอย่างในกรณีนี้ ซึ่งเป็นความ "ความผิดพลาดทางการแพทย์ที่ป้องกันได้ แต่เจตนาผิด ใช่หรือไม่?????" | โดย: คนรู้ทัน ไม่รู้จริง [24 ส.ค. 52 9:54] ( IP A:58.8.98.41 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 10 โรคไข้หวัดมาแรง สอนให้รู้ว่า ตายเร็วกว่าเอดส์ แล้วทำไม๊กลัวและรังเกียจคนเป็นเอดส์กันนัก รับทำงานก็ย๊าก ยาก แล้วตอนนี้พอรู้ถึง สัจธรรมกันหรือยังหล่ะ ว่าอะหยัง เป็น อะหยัง ไม่อยากจะพูด .....คนไทยเป็นอย่างนี้แหล่ะ ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา
แสดงความเสียใจกับผู้ติดเชื้อหวัดด้วย....ติดจริง ก็ ตายจริง
กว่าจะรับความจริงกันได้ ก็ ตายจริงหล่ะทีนี้
ที่แน่ ๆ ประธานเครือข่ายเราเป็น ฮีโร่ สำหรับผู้เสียหาย.....
ขอให้งานของท่านประธานสำเร็จด้วยดี
ปล.ท่านนายก หล่อเหมือนกันเนอะ ...
โอ๊ยเครียด .... | โดย: จีเอ็น [24 ส.ค. 52 12:22] ( IP A:118.172.98.204 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 11 ถ้าจะดูดเงิน ก็ให้ยากับคนที่มีไข้ทุกคนเลย ดีกว่าไหม อย่างน้อยคนไข้ก็ได้ประโยชน์ด้วย | โดย: 888 [24 ส.ค. 52 13:49] ( IP A:202.28.183.10 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 12 คห ที่ 13 นี่ คุ้นๆว่า "รู้เรื่องหมอ" ดีทีเดียว
แต่คราวนี้ กลับมาปรากฏตัวแค่ประชดสั้นๆ แล้ว
ไม่แตะ + ไม่แย้ง ข้อความพื้นฐานการดำเนินของเหตุการณ์ ของเรื่องนี้ และ ข้อความที่ผมอ้างว่า เป็นข้อปฏิบัติทางการแพทย์ที่กำหนดไว้สำหรับผู้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงอันดับ ๑ และคุณสมบัติของตัวยาต้านหวัด
ก็ขอให้ผมทึกทักเองว่า "ท่านยอมรับที่ผมอ้างมานี้ใช่ไหมเอ่ย???!!!" | โดย: คนรู้ทัน ไม่รู้จริง [27 ส.ค. 52 10:23] ( IP A:58.8.107.84 X: ) |  |
|