คนไข้ปกปิดข้อมูล เป็นความผิดคนไข้
   จำนวนคนอ่านล่าสุด 254 คน วันที่ 08 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 18 ฉบับที่ 6370 ข่าวสดรายวัน


นศ.สาวเสริมจมูกถึงโคม่า




โคม่า- น.ส.ชไมภรณ์ แก้วเกื้อ อายุ 19 ปี น.ศ.ปี 1 ม.มหิดล อาการโคม่านอนไม่รู้สึกตัวในห้องไอซียู ร.พ.เกษมราษฎร์ รัตนาธิเบศร์ โดยนางสุภัทรตรา มารดา สงสัยว่าสาเหตุเพราะลูกสาวเพิ่งไปผ่าตัดเสริมจมูกที่คลินิกความงามแห่งหนึ่งย่านรัชดาฯ


"น้องบุ๋ม"ชไมภรณ์ แก้วเกื้อนักกีฬากระโดดสูงทีมชาติวัย 19 ป่วยโคม่า หลังผ่าตัดเสริมจมูกในคลินิกดังย่านรัชดาฯ เผยเป็นนิสิตปี 1 คณะวิทยาศาสตร์ฯ ทำงานร้านอาหารหารายได้พิเศษเก็บหอมรอมริบไปทำจมูก หลังผ่าตัดสลบไม่ได้สติ รุ่งขึ้นกลับอาการหนักไข้ขึ้นสูง พูดจาเพ้อเจ้อต้องนำส่งร.พ. แพทย์เจ้าของคลินิกโต้ไม่เกี่ยวผ่าตัดจมูก อ้างคนไข้ติดเชื้อที่เยื่อหุ้มสมอง เพราะมีประวัติเคยเช็กสมอง

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 7 พ.ค. ที่ร.พ.เกษมราษฎร์ รัตนาธิเบศร์ จ.นนทบุรี ผู้สื่อข่าวรับแจ้งว่า มีนิสิตสาวนักกีฬาเยาวชนทีมชาติอาการโคม่ามานอนพักรักษาตัวอยู่ หลังผ่าตัดเสริมจมูกที่คลินิกดังย่านรัชดาภิเษก จึงไปตรวจสอบ ภายในห้องไอซียูชั้น 2 พบนางสุภัทรตรา แก้วเกื้อ อายุ 51 ปี อยู่บ้านเลขที่ 59/2 ม.12 ต.ควนกรด อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช นั่งเฝ้าดูอาการลูกสาวคือน.ส.ชไมภรณ์ หรือบุ๋ม แก้วเกื้อ อายุ 19 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล ชั้นปีที่ 1 คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา ลูกสาว ที่นอนไม่รู้สึกตัว

นางสุภัทรตรา เปิดเผยว่า ลูกสาวเป็นนักกีฬากระโดดสูงเยาวชนทีมชาติไทย หลังเรียนจบชั้นม.ปลายที่บ้านเกิดแล้วก็สอบเข้าเรียนต่อที่ม.มหิดล โดยพักอยู่ที่หอพักในมหาวิทยาลัย แต่ช่วงปิดเทอมมาอาศัยพักกับเพื่อนที่ย่านรามคำแหง เพราะต้องทำงานหารายได้พิเศษเป็นพนักงานอยู่ห้องอาหารแห่งหนึ่งย่านเกษตร-นวมินทร์ กระทั่งลูกสาวเก็บหอมรอมริบได้เงินมาก้อนหนึ่งจึงขออนุญาตไปทำศัลยกรรมเสริมจมูกที่คลินิกน.พ.ชวาลย์ อัศวดิษฐ์ เจ้าของสถานเสริมความงาม "ไนซ์เมดิก คลินิก" ย่านถนนรัชดาภิเษก แล้วป่วยหนักต้องนำตัวส่งโรงพยาบาล โดยครั้งแรกตนสอบถามอาการลูกสาวจากน.พ.ชวาลย์ อ้างว่าลูกสาวเล่นน้ำป่วยเป็นไวรัสขึ้นสมอง ไม่เกี่ยวกับการเสริมจมูกในครั้งนี้ แต่เพื่อมนุษยธรรมยินดีช่วยค่ารักษาพยาบาล 1 หมื่นบาท ทางตนกับสามีคือนายสุชีพ ไม่สามารถรับได้กับเรื่องที่เกิดขึ้นจึงได้เข้าแจ้งความกับร้อยเวร สน.สุทธิสาร เพื่อให้ดำเนินคดีกับน.พ.ชวาลย์

นางสุภัทรตรา กล่าวด้วยว่า จากการสอบถาม น้องกอล์ฟ เพื่อนนิสิตที่พักอยู่ที่เดียวกันกับน้องบุ๋ม ทราบว่า วันเกิดเหตุ 29 เม.ย. เวลาราว 10.00 น. น้องบุ๋มชวนน้องกอล์ฟไปเป็นเพื่อนทำศัลยกรรมเสริมจมูกที่คลินิก แต่น้องกอล์ฟไม่ว่าง น้องบุ๋มจึงไปคนเดียว จนกระทั่งเวลา 20.00 น. น้องกอล์ฟเห็นว่าเพื่อนยังไม่กลับมา ด้วยความเป็นห่วงจึงโทรศัพท์ไปสอบถามกับน.พ.ชวาลย์ได้รับคำตอบว่า น้องบุ๋มยังสลบไม่ได้สติอยู่ ถ้าว่างก็ให้มารับกลับไปพักผ่อนต่อที่หอพักด้วย แต่น้องกอล์ฟไม่ว่างเพราะต้องไปทำงานที่ร้านอาหาร

นางสุภัทรตรา กล่าวอีกว่า สักครู่น.พ.ชวาลย์ขับรถมาหาน้องกอล์ฟที่ร้าน พร้อมทั้งขอให้น้องกอล์ฟพาน้องบุ๋ม ซึ่งนอนสลบไสลไม่ได้สติกลับหอพัก เมื่อมาถึงหอพัก นายนนท์เพื่อนนิสิตที่อยู่หอพักด้วยกันต้องอุ้มร่างน้องบุ๋มขึ้นไปนอนพักที่ห้อง โดยน.พ.ชวาลย์บอกว่าให้นอนพักสักครู่เดี๋ยวอาการก็ดีขึ้นเอง แต่ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นน้องบุ๋มกลับมีอาการหนักกว่าเดิมพูดจาเพ้อเจ้อ มีไข้ขึ้นสูงจึงได้นำตัวส่ง ร.พ.รามคำแหง ก่อนที่น.พ.ชวาลย์จะมารับตัวกลับไปที่คลินิกตนเองเพื่อนอนให้น้ำเกลือ แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น ตนกับสามีต้องขึ้นมาจากใต้เพื่อนำลูกสาวเข้ามารักษาตัวต่อที่ร.พ.เกษมราษฎร์ และต้องพักอยู่ในห้องไอซียูเนื่องจากอาการหนักโดยที่ตนเองก็ไม่ทราบว่ามาจากสาเหตุใด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ชไมภรณ์หรือน้องบุ๋มเป็นนักกีฬากระโดดสูงเยาวชนทีมชาติไทย เคยได้รับรางวัลเหรียญเงินมาแล้วโดยครั้งสุดท้ายเพิ่งเดินทางไปแข่งขันที่ประเทศมาเลเซีย และยังมีพี่ชายเป็นนักกีฬาว่ายน้ำอีกด้วย

ด้านน.พ.ชวาลย์ เจ้าของสถานเสริมความงาม "ไนซ์เมดิก คลินิก" ชี้แจงว่า กรณีของน้องบุ๋มไม่ได้เกิดจากการผ่าตัดจมูก เนื่องจากหากมีสิ่งผิดปกติจมูกที่ได้รับการผ่าตัดจะต้องมีอาการบวมแดง หรือมีน้ำหนองไหล แต่บาดแผลจากการผ่าตัดไม่มีอะไรผิดปกติ และเมื่อสอบถามจากแพทย์เจ้าของไข้แล้ว ทราบว่าเกิดจากการติดเชื้อที่เยื่อหุ้มสมอง ไม่เกี่ยวกับการผ่าตัด ส่วนกรณีที่เพื่อนน้องบุ๋มกล่าวว่า เป็นผู้ที่พาน้องบุ๋มซึ่งยังไม่ได้สติไปหาที่ห้องพักนั้น วันผ่าตัดให้น้องบุ๋มทานยาเพื่อช่วยให้นอนหลับสำหรับผ่าตัด แต่น้องบุ๋มไม่หลับจึงต้องฉีดยาเพิ่ม หลังผ่าตัดเสร็จน้องบุ๋มฟื้นขึ้นมาแล้วแต่ยังสะลึมสะลืออยู่ จึงให้นอนพักที่เตียงคนไข้ และมีเพื่อนน้องบุ๋มโทรศัพท์เข้ามาหาที่โทรศัพท์ของน้องบุ๋ม จึงรับสายและแจ้งว่าน้องบุ๋มยังอยู่ในอาการสะลึมสะลือ แต่เพื่อนเขาเป็นห่วงมากจึงบอกให้พาไปส่ง เมื่อไปส่งแล้วยังไม่ได้คิดว่าจะเป็นอะไร เพราะไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างใดทั้งสิ้น

น.พ.ชวาลย์ กล่าวว่า รุ่งขึ้นโทรศัพท์ไปถามอาการหลังการผ่าตัดของน้องบุ๋ม แต่ไม่มีคนรับสายซึ่งไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องผิดปกติอะไร แต่หลังจากทราบข่าวว่าน้องบุ๋มเข้าโรงพยาบาลจึงรีบไปเยี่ยมอาการ เพราะครั้งแรกที่ทราบข่าวตกใจมากคิดว่าเป็นผลมาจากการผ่าตัดหรือไม่ แต่เมื่อพูดกับแพทย์เจ้าของไข้แล้วจึงทราบว่าไม่เกี่ยวกัน แต่ยังมีความเป็นห่วงอาการของน้องบุ๋มจึงบอกกับญาติของน้องบุ๋มว่า อยากจะช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรม ด้วยการจะจองเตียงคนไข้ที่โรงพยาบาลรัฐให้ เพื่อทุ่นค่าใช้จ่ายในการรักษา พร้อมขอดูประวัติการรักษาของน้องบุ๋ม แต่ญาติกลับไม่ยอมให้ดูประวัติและบอกว่าหากอยากจะช่วย ต้องไปลงชื่อรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลไว้เป็นหลักฐาน จึงต้องถอยออกมาเพราะกลัวว่าเรื่องจะบานปลายเป็นการยอมรับความผิดไป

น.พ.ชวาลย์ กล่าวอีกว่า จากการขอดูประวัติการรักษาของน้องบุ๋มจากทางโรงพยาบาล ในเวชระเบียนระบุว่า เคยมีประวัติการตรวจเช็กสมอง มีอาการหวัดและเจ็บคอบ่อยครั้ง จึงทำให้ทราบว่าคนไข้ปิดบังประวัติการรักษาไว้ เพราะตอนที่เข้ารับการผ่าตัดแจ้งว่า ไม่เคยเป็นอะไร ร่างกายแข็งแรงดี และขณะนั้นจากการตรวจร่างกายไม่พบว่ามีอาการผิดปกติจึงลงมือผ่าตัดจนสำเร็จตามที่ต้องการ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเข้าใจว่า อาการของน้องบุ๋มในวันที่เข้ารับการผ่าตัด เป็นระยะฟักตัวของโรคอาจมีไข้อยู่ ประกอบกับเป็นผู้ที่ทำงานกลางคืนการพักผ่อนอาจไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายอ่อนแอ เมื่อผ่าตัดจมูกภูมิคุ้มกันจึงต่ำลงจนกำเริบขึ้นดังกล่าว

(กรอบบ่าย)
โดย: แม่ปูกับลูกปู [8 พ.ค. 51 11:14] ( IP A:58.8.211.135 X: )
Add to Facebook  Add to Twitter  Add to Multiply  Add to Google  Add to Blogger  Add to Live
ความคิดเห็นที่ 1
   อยากจะช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรม ด้วยการจะจองเตียงคนไข้ที่โรงพยาบาลรัฐให้
โดย: สำนวนคุ้นๆหู [8 พ.ค. 51 11:15] ( IP A:58.8.211.135 X: )
ความคิดเห็นที่ 2
   แม่ปู = แพทยสภา
ลูกปู = หมอคู่กรณี
โดย: ใช่เลย [8 พ.ค. 51 11:30] ( IP A:58.9.220.202 X: )
ความคิดเห็นที่ 3
    หือ

เสริมจมูก มันรุนแรงงี้เลยรึ

แล้วจะทำไงเนี่ย ??

ใครปกปิดข้อเท๊จจริงระหว่าง คนไข้ และ คุณหมอ ๆ
โดย: ขอดั้งหักเหมือนเดิมดีกว่า....เรา [8 พ.ค. 51 13:50] ( IP A:61.19.65.161 X: )
ความคิดเห็นที่ 4
   ข่าวเขาบอกว่า ไข้เยื่อหุ้มสมองอักเสบ กับการผ่าตัดเสริมจมูก มันไม่เกี่ยวกันต่างหาก แต่ดันบังเอิญเกิดขึ้นในจังหวะเดียวกัน ไม่ได้เกี่ยวกับคนไข้ปกปิดข้อมูลแล้วเป็นความผิดคนไข้เหมือนชื่อกระทู้ งงจัง
โดย: Anonymous [8 พ.ค. 51 15:52] ( IP A:125.26.41.208 X: )
ความคิดเห็นที่ 5
   ทีแรกก็โทษคนไข้ไว้ก่อน จนหาเหตุผลเจอ

ถ้ามันบังเอิญเป็นไข้สมองอักเสบจริง ๆ หมอคนนี้ก็บรมมหาซวย

แต่โทษทีเครือข่ายฯ ไม่เห็นเวชระเบียน ก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่
โดนหลอกเสียจนกลัว

พูดจริงก็เหมือนหลอก หยอกก็เหมือนขู่
พวกเรามักรู้สึกแบบนี้จริง ๆ
โดย: เครือข่ายฯ [8 พ.ค. 51 21:04] ( IP A:58.9.217.141 X: )
ความคิดเห็นที่ 6
   กรณีนี้คุณหมอชวาลย์ตามที่ออกข่าวสดทางช่อง 5 เมื่อวาน ท่าทางพิรุธและไม่ตรงไปตรงมาหลายจุด ก็อาจเป็นจากความตื่นๆกับเรื่องที่ไม่เคยเจอมาทำนองนี้ อย่างไรก็ตาม โดยหลักการผมยอมรับได้ว่า ถ้าไม่ได้ทำผิดก็ไม่ต้องไปชดใช้เขา ไม่ต้องไปอ้างเรื่องความช่วยเหลือด้านมนุษย์ธรรมหรอก เพราะเรื่องแบบนี้ในฐานะคู่กรณีถ้าเจตนาดีก็ให้ทำเลย ไม่ควรพูดอ้างความดีเข้าตัว หากต้องการพูดทำนองนี้ จะพูดได้เต็มปากก็ต่อเมื่อพิสูจน์แล้วว่าเหตุไม่ได้เกิดจากที่คุณหมอ งานนี้ไม่ใช่การให้การรับบริการด้านรักษาพยาบาลอย่างที่รัฐให้กับประชาชน เป็นการซื้อ-ขายบริการบนผลประโยชน์เชิงการค้าล้วนๆ ดังนั้น ประเด็นจึงอยู่ที่ การบริการนั้น มีความผิดพลาดที่ป้องกันได้เกิดขึ้นหรือไม่?? หากคุณหมอชวาลมั่นใจว่าไม่ได้ทำอะไรที่ต่ำกว่า หรือ ละเลยมาตรฐานทางปฏิบัติในวิชาชีพ หรือ ทำอะไรเกินไปหรือเพราะความไม่รู้จริงในสิ่งที่ทำไปจนก่อผลถึงคนไข้รายนี้ ผมก็ขอแสดงความเห็นว่า คุณหมอไม่ต้องรับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น

แต่ผมติดใจคำให้สัมภาษณ์ของตัวหมอเองที่อ้างว่า หากหมอผู้ใหญ่ตัดสินว่าตนเป็นผู้ผิดก็ยินดีรับผิดชอบ

ทางหนึ่งแสดงความจริงใจและสำนึกที่ถูกต้อง ในตอนนั้น (ตอนนี้อาจเปลี่ยนใจไปแล้ว เพราะลมเป่าหู)

แต่อีกทางหนึ่งก็เท่ากับว่า ยังไม่รู้ว่า สาเหตุของอาการคนไข้ที่เสียหายนั้น เกิดจากตนหรือไม่?? จนต้องอิง "หมอผู้ใหญ่"

ถ้าหมอผู้ใหญ่ที่คุณหมอหมายถึง คือกลุ่มแพทยสภาในปัจจุบันล่ะก็

คุณหมอน่าจะคิดให้ดี เพราะกลุ่มนี้ "พูดหรือตัดสินเรื่องใดก็ตาม ปัจจุบันแทบจะหาคนที่ไม่ใช่หมอเชื่อคำพูดหรือเชื่อคำตัดสินได้ยากมากๆ แม้แต่ศาลก็ตามเถอะ"

ผมว่างานนี้ คุณหมอควรแสดงความจริงใจและตรงไปตรงมาให้ถึงที่สุด ยอมเปิดเผยเวชระเบียนในส่วนที่ตนรักษาคนไข้รายนี้ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุนี้ สู่สายตาสาธารณชน โดยเฉพาะเครือข่ายฯนี้ จะดีกว่า

แต่

หากหมอดันเชื่อกลุ่มแพทยสภา หรือ "หมอผู้ใหญ่" และโดยเฉพาะกับ "หมอผู้ใหญ่ที่มีแผลเหวอะหวะจากพฤติการณ์ฉ้อฉลตามข้อครหาของสังคม"

คุณหมอก็จะเดินสู่หนทางแห่งชื่อเสียงในวิชาชีพแบบตกต่ำ เช่นกรณีคล้ายกับ "คดีร่อนพิบูลย์" นั่นเลย

อยากเตือนอีกด้วยว่า คนที่เชียร์คุณหมอให้ โกหก และ/หรือ ทำอะไรก็ตามที่ฉ้อฉล โกงไปโกงมาน่ะ เขาแนะนำเพราะเชื่อในความถูกต้องชอบธรรม หรือ เขาต้องการรวบคุณหมอให้ตกกระไดพลอยโจนเข้ากลุ่มแกะดำของสังคมแพทย์ส่วนที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ กันแน่

ขอปิดท้ายว่า แม้คุณหมอจะอ้างเหตุและผลทางวิชาการหมอๆอย่างไรก็แล้วแต่ หากโดยสามัญสำนึกของคนธรรมดาทั่วไป เด็กอายุ 19 ปีที่เป็นทั้งนักกีฬาทีมชาติ ขนาดนี้แล้ว เดินเข้าไปหาซื้อบริการเสริมจมูกจากคุณหมอในสภาพดีพร้อม แต่กลับออกมาในสภาพของ "อาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบที่ร้ายแรงขนาดนี้" ผมว่ามันคงไม่ใช่อย่างที่คุณหมอจะอ้างเอาว่า คนไข้ปกปิดประวิติ์การรักษาเก่าก่อน ที่มีการเจ็บคอบ่อยๆหรืออะไรทำนองนั้น แล้วที่คุณหมอไปได้ประวัติ์เก่าของคนไข้จากโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ จะโดยวิธีไหนก็แล้วแต่ "เป็นเรื่องไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง" ทั้งทางโรงพยาบาลที่ให้มาอย่างไม่สมควรให้ ทั้งโดยความชอบธรรมซึ่งทางมารดาคนไข้ไม่ได้ให้ยินยอมไว้ ทั้งในฐานะที่คุณหมอก็ไม่ได้แสดงความต้องการที่จะรับผิดชอบผลเสียหายที่เกิดกับคนไข้และไม่ได้เป็นผู้รักษาต่อ ทั้งยังมีสถานะเป็นคู่กรณีที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นต้นเหตุของเรื่อง

ผมชอบคำพูดบางคำที่ผ่านตาในบอร์ดนี้นานมาแล้วว่า

ความผิดพลาดเป็นเรื่องปรกติของมนุษย์ ให้อภัยกันได้ แต่การปิดบังเป็นเรื่องที่อภัยไม่ได้ และความล้มเหลวที่จะเรียนรู้เพื่อปรับปรุงก็เป็นเรื่องที่ยกโทษให้ไม่ได้

หวังว่าคุณหมอและคนที่ไม่ใช่ ทุกคนจะเห็นด้วยกับคำพูดเหล่านี้
โดย: โดน ผ.อ.ร.พ. หลอกจนชิน [9 พ.ค. 51 13:44] ( IP A:58.8.101.216 X: )
ความคิดเห็นที่ 7
   เห็นด้วยกับความเห็นที่ 7
ทุกประการ
โดย: เครือข่ายฯ [10 พ.ค. 51 20:26] ( IP A:58.9.207.121 X: )
ความคิดเห็นที่ 8
   โดนผอ ประตูน้ำ หลอกจนชิน
โดย: เห็นด้วยกับความเห็นที่9 [12 พ.ค. 51 22:27] ( IP A:117.47.10.27 X: )
ความคิดเห็นที่ 9
   คุณ จขคห ที่ 9

ผอ. ประตูน้ำนี่ ท่านคงเก่งน่าดู หลอกใครบางคนแถวๆนี้ให้เชื่อได้สนิทใจ เป็นปีๆก็ไม่ยักกะมีคนเลิกเชื่อ มีแต่จะเชื่อกันมากขึ้นมากขึ้นไปอีก

แต่ไหง ทำไมหนอ??!! สามสิบกว่าคนในแพทยสภาเนี่ย เป็นปีๆ ทุ่มเงินทั้งบนโต๊ะ ใต้โต๊ะไปเท่าไหร่? กลับจะมีแต่คนเลิกเชื่อ หรือ เชื่อน้อยลงทุกทีทุกที

ที่น่าสนุก สมมตินะ สมมติ

ลองจัดให้ ผอ. ประตู้น้ำ กับ กก.แพทยสภา ยกเอากรณีที่แพทยสภาบอกว่าคดีไม่มีมูลซักเรื่อง ออกมาซักฟอกกันที่สนามหลวงสักครั้ง

แล้วลองออกเสียงกันแบบลงคะแนนลับ ว่าคนดูจะเชื่อใครมากกว่ากัน

ดีไหม???

หรือหากท่าน จขคห จะใจกล้า หัวไม่หดอยู่แต่ในกระดองอย่างหลายๆคนที่แพทยสภา รับอาสาเป็นตัวแทนแพทยสภาในงานนี้

ผมรับรองมีคนเชียร์ คนตามไปดูมหาศาลเลย ว่าแต่ กล้าหรือเปล่า??
โดย: มันแปลกดีนะ [15 พ.ค. 51 8:17] ( IP A:58.8.104.190 X: )
ความคิดเห็นที่ 10
    สมมตินะ สมมติ

ลองจัดให้ ผอ. ประตู้น้ำ กับ กก.แพทยสภา ยกเอากรณีที่แพทยสภาบอกว่าคดีไม่มีมูลซักเรื่อง ออกมาซักฟอกกันที่สนามหลวงสักครั้ง

แล้วลองออกเสียงกันแบบลงคะแนนลับ ว่าคนดูจะเชื่อใครมากกว่ากัน

ดีไหม???
หรือหากท่าน จขคห จะใจกล้า หัวไม่หดอยู่แต่ในกระดองอย่างหลายๆคนที่แพทยสภา รับอาสาเป็นตัวแทนแพทยสภาในงานนี้

ได้ใจอย่างแรง จะกู้เงินร้อยละ 20 %แล้วขึ้นรถไปเชียร์ก็ยอมหล่ะงานนี้ แล้วจะได้ฉลองตำแหน่งใหม่ให้ท่าน ผอ .ประตูน้ำโพลิคลีนิคไปเลยเชียวแหล่ะ
โดย: เห็นด้วยกับความเห็นที่ 10 ทุกประการแล [15 พ.ค. 51 9:18] ( IP A:61.19.65.144 X: )
ความคิดเห็นที่ 11
   
โดย: a@a.com [8 มิ.ย. 51 22:02] ( IP A:124.120.20.231 X: )

คลิกที่นี่เพื่อกลับหน้าบ้าน