“ไชยา” ย้ำทบทวนซีแอลแค่ยามะเร็ง
    “ไชยา” ย้ำทบทวนซีแอลแค่ยามะเร็ง
[23 ก.พ. 51 - 03:43>

นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินการบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตร หรือซีแอลยารักษาโรคมะเร็ง 4 ชนิดว่า เหตุผล ที่ต้องทบทวนการทำซีแอลยารักษามะเร็งครั้งนี้ เนื่องจากได้รับการท้วงติงจากกระทรวงพาณิชย์ว่า ต้องตัดสินใจให้รอบคอบก่อน ไม่ควรเร่งรีบ เพราะเป็นเรื่องกฎหมาย ไม่ได้หมายความว่าจะยกเลิก เป็นเพียงการชะลอเรื่องชั่วคราวเพื่อศึกษาข้อมูลทุกด้าน โดยขอเวลาประมาณ 1 เดือน เพื่อให้ปลัด สธ.รวบรวมข้อมูลจำนวนผู้ป่วยมะเร็ง และจำนวนยาที่จะต้องใช้ต่อปีให้ครบถ้วน ซึ่งไม่ว่าผลการหารือทั้ง 3 กระทรวงจะออกมาอย่างไร ผู้ป่วยโรคมะเร็งจะเข้าถึงยาทุกคน กระทรวงสาธารณสุขจะไม่มีวันทอดทิ้งผู้ป่วยอย่างเด็ดขาด ส่วนกรณีบริษัทยาของอินเดีย ที่ผลิตยารักษาโคลพิโดเกรล ซึ่งเป็นยารักษาโรคหัวใจที่กระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศซีแอลเมื่อปี 2550 และได้มีการนำเข้ายาแล้ว แต่บริษัทผู้ผลิตอ้างว่ารัฐบาลไทยไม่มีความแน่นอนในเรื่องซีแอล อาจจะไม่ส่งยาให้นั้น ขอยืนยันว่าการชะลอซีแอลครั้งนี้ ทำเฉพาะยารักษาโรคมะเร็ง 4 ชนิดเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับยาต้านไวรัสเอดส์และยารักษาโรคหัวใจที่ทำมาแล้ว แต่อย่างใด

ด้าน นพ.วิทิต อรรถเวชกุล ผอ.องค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า หลังจากที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศทำซีแอลยาต้านไวรัสเอดส์ 2 ตัว และยาโคลพิโดเกรล (Clopidogrel) ที่ใช้ละลายลิ่มเลือดในผู้ป่วยโรคหัวใจ เมื่อเดือน ม.ค.2550 ในส่วนของยาโคลพิโดเกรล ขณะนี้องค์การเภสัชกรรมได้สั่งซื้อยาจากบริษัทคาดิล่า ฟาร์มาซูติคอล ประเทศอินเดีย รุ่นแรกจำนวน 2 ล้านเม็ด ได้รับการชี้แจงจากบริษัทดังกล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการผลิตตามที่ไทยสั่ง ไม่ได้มีการยกเลิกส่งยา แต่ขอเลื่อนกำหนดการส่งมอบจากเดือน มี.ค.เป็น เม.ย. 2551 ส่วนยาต้านไวรัสเอดส์ คือเอฟฟาวิเรนซ์ (Efavirenz) ซึ่งนำเข้าตัวแรก จากบริษัทแรนเด็กซี่ (Randexy) ประเทศอินเดีย ประมาณ 260,000 ขวด เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2550 ได้นำไปใช้บริการผู้ป่วยโรคเอดส์แล้วเป็นจำนวนมาก ส่วนยาอลูเวียร์ (Aluvir) จากบริษัทแมททริกซ์ (Matrix) เมื่อเดือน ก.พ. 2551 โดยผ่านการตรวจสอบคุณภาพ จากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และจัดส่งให้ โรงพยาบาลภาครัฐเรียบร้อยแล้วเช่นกัน.
โดย: copy [26 พ.ค. 51 8:36] ( IP A:58.9.185.40 X: )
Add to Facebook  Add to Twitter  Add to Multiply  Add to Google  Add to Blogger  Add to Live
ความคิดเห็นที่ 1
    บริการผู้ป่วยโรคเอดส์

ควรดีใจใช่ไหม ?

ตอนนี้โรคนี้คนเป็นเยอะมากเพียงแต่ไม่เปิดเผยตัวตน จึงไปซื้อยาที่คลีนิคนิรนาม ราคายาแพงมาก

เป็นตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป หลายสาเหตุ เท่าที่ทราบ จากสามี-ภรรยาตัวเอง
อุบัติเหตุ เข็มทิ้มหลังจากทำงานกับผู้ติดเชื้อ ฯลฯ ความคึกคะนองของเด็กวัยรุ่น เป็นสาเหตุหลัก แต่นีที่แน่ๆ ในหลายสาเหตุ ไม่มีใครอยากเป็นโรคพวกนี้เลย แต่เป็นแล้วก็ต้องยอมรับและปรับสภาพ ที่สำคัญการอยู่ร่วมในสังคม บางแห่งอยู่ยากมากเพราะไม่เป็นที่ยอมรับ แต่ก็มีบางแห่งที่โชคดีคนรอบข้างเข้าใจโรคนี้มากขึ้น

ในฐานะเป็นผู้ติดเชื้อ อยากให้มีการควบคุมราคายาต้าน ในคลินิคนิรนาม ด้วยจะดีมาก เพราะตอนนี้เพื่อนๆที่ไปซื้อยาบอกว่าแพงมาก ไม่เหมือนคนไข้บัตรทอง ได้ฟรีตลอดงาน

และการให้ข่าว ควรแก้ไขปรับปรุงไปในทางที่ดี ตอนนี้คนเป็นเอดส์ยังไม่ตายง่าย ๆ สามารถอยู่ได้เท่าคนไม่เป็นด้วยซ้ำ .....


กฏหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเอดส์
1. การบังคับตรวจเลือด ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 31
2. การเลิกจ้างพนักงานเพราะเหตุที่ติดเชื้อ ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 30
3. รพ.ให้บริการตรวจเอดส์โดยไม่ได้รับคำยินยอมจากผู้ถูกตรวจ ขัดต่อข้อบังคับ
แพทยสภาหมวด 3 ข้อ 4
4. รพ.แจ้งผลการตรวจเลือดเอดส์ให้บริษัททราบโดยมิได้รับคำยินยอมจาก
ผู้ถูกตรวจ ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 34 ขัดต่อกฎหมายอาญามาตรา 323
ขัดต่อข้อบังคับแพทยสภาหมวด 3 ข้อ 9
5. ผู้ใดเปิดผนึกซองผลเลือดของพนักงานเพื่อล่วงรู้ผลการตรวจเลือด โดยไม่ได้รับคำยินยอมจากผู้ถูกตรวจ ขัดต่อกฎหมายอาญามาตรา 322
6. ผู้ใดประมาทเลินเล่อทำให้ผู้อื่นทราบว่าใครติดเชื้อ ขัดต่อกฎหมายแพ่งมาตรา 420
7. ผู้ใดแจ้งให้ผู้อื่นทราบว่าใครติดเชื้อโดยไม่ได้รับคำยินยอมจากผู้ติดเชื้อนั้น ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 34 ขัดต่อกฎหมายอาญามาตรา 323
ขัดต่อกฎหมายแพ่งมาตรา 420

ส่วนเรื่องกฎหมายยังไม่ได้เรียน ก็อปเขามา เห็นว่าคนไทยที่เป็นโรคนี้น่าจะรู้ไว้บ้าง สิทธิของเราเอง
โดย: GN. [26 พ.ค. 51 10:55] ( IP A:61.19.65.133 X: )
ความคิดเห็นที่ 2
    ความเห็นที่ #6 ( 189076 )

กฏหมายมีระบุไว้อย่างชัดเจน

"แต่"

ผู้ติดเชื้อเอง.. ที่ไม่กล้าทำอะไร เพราะกลัวจะอับอาย

ง่ายๆ เลย อย่างเช่น โดนบังคับให้ตรวจเลือดตอนสมัครงาน
ทั้งๆที่ผิดกฎหมาย แต่ว่า.. ผู้ติดเชื้อเองไม่เอาเรื่อง
เพราะว่า ไม่อยากจะเปิดเผยตัวเองกับสังคมว่าตัวเองเป็น

แล้วจะทำไงกันดีครับเนี้ย..



เพราะ "สื่อ" ... ประชาสัมพันธ์เรื่องโรคเอดส์มาอย่างผิดๆ ตั้งแต่ไหนแต่ไร..


สื่อไม่ได้นำเสนอการป้องกัน การติดต่อ และการใช้ชีวิตร่วมกับผู้ติดเชื้อมากเท่าที่ควร..

แต่สื่อ .. ประชาสัมพันธ์ให้คนเรารับรู้โดยการ "รังเกียจ" ..
โดย: เพื่อนสมาชิก GN. [26 พ.ค. 51 11:22] ( IP A:61.19.65.133 X: )
ความคิดเห็นที่ 3
   รมต.ไชยา นี่แสบใช่ย่อย
เห็นหรือยังว่า ไม่กลับใจหรอก
เชอะ...!

ชี้ให้เห็นว่า สุขภาพ ชีวิตคนไข้ไทย
ฝากไว้กับ รมต.คนนี้ได้หรือเปล่า..

ต้องไปถามพันธมิตรซะแล้วววววววว
โดย: แสบจริง ๆ [26 พ.ค. 51 22:49] ( IP A:58.9.189.244 X: )
ความคิดเห็นที่ 4
    สงสารคนเป็นมะเร็งมากกว่าเพราะว่า ร้ายแรงกว่าเอดส์เยอะ ในความคิดตัวเอง อยากให้เขาได้รับยาและการรักษาที่ดีที่สุดเช่นกันค่ะ
โดย: GN. [27 พ.ค. 51 10:21] ( IP A:61.19.65.28 X: )
ความคิดเห็นที่ 5
   เห็นด้วยกับ คห ที่ 4 ท่านยังดีที่รู้จักคำว่าสงสาร

ท่านน่าจะไปเปิดอบรมสอนความเข้าใจแค่คำนี้ กับท่าน ร.ม.ต. แล้วก็บรรดากรรมหน้าใหม่ของ อ.ย. และองค์การเภสัชกรรมด้วย โดยเฉพาะบรรดาคนที่เป็นหมอด้วย เพราะผมเห็นว่าหลายคนในนั้น โดยเฉพาะท่าน ร.ม.ต. และ ปลัดกระทรวง จะไม่เข้าใจคำนี้เอาซะเลย

คนเป็นมะเร็ง หรือ เอดส์ น่าสงสารพอกันทั้งคู่ เพราะหาก "เป็น" และ "ต้องตาย" หรือ "อยู่ในระหว่างพยายามรักษา" ก็เหมือนตกนรกทั้งเป็นๆอยู่แล้วทั้งคู่ แต่ทั้งสอง ของ ร.ม.ต. และปลัดประทรวงฯ ต่างก็ดูเหมือนไร้เดียงสาที่จะเข้าใจ โดยเฉพาะตอนที่ ท่าน ร.ม.ต. อ้างผ่าน มติชนว่า "ไม่รู้เรื่อง" ที่ลงชื่อถอดท่านอาจารย์วิชัยทั้งคณะเพื่อแต่งตั้งคนใหม่เข้าไปแทน ท่านพูดได้หน้าตาเฉยราวกับว่า "ใครก็ตามที่ได้ยินอย่างนี้จะไร้เดียงสา เชื่อในความใสซื่อบริสุทธิ์ของท่านว่าไม่รู้เรื่อง"

ไม่รู้ว่า ที่ท่าน "ขอให้ใจเย็นๆน่ะ" ท่านจะเข้าใจไหมว่า ท่านกำลังนั่งทับโอกาสในการบรรเทาทุกข์เวทนา และ/หรือ โอกาสในการรอดชีวิตต่อไป ของบรรดาคนที่กำลังเป็นทั้งสองโรคร้ายแรงนี้ อีกนับพันนับหมื่นชีวิตอยู่อย่างจังและโดยเจตนา เป็น "กรรม" อันหนักหนาสาหัสที่ท่านและบรรดา "นายหน้าสอพลอ" ที่คอยเป่าหูอยู่นั้น ไม่มีวันจะรู้ได้จนกว่ามันตามมาถึงตัวท่านแล้ว ระวังนะครับ หลวงพ่อพยอมท่านว่า "เวรกรรมน่ะ มีจริง แล้วก็สมัยนี้ กรรมมันไม่รอข้ามภพข้ามชาติหรอก มันจะตามทันในชาตินี้ชาติเดียวกันเลย
โดย: คนรู้ทัน ไม่รู้จริง [27 พ.ค. 51 10:55] ( IP A:58.8.104.118 X: )
ความคิดเห็นที่ 6
    ท่าน ร.ม.ต. แล้วก็บรรดากรรมหน้าใหม่ของ อ.ย. และองค์การเภสัชกรรมด้วย โดยเฉพาะบรรดาคนที่เป็นหมอด้วย เพราะผมเห็นว่าหลายคนในนั้น โดยเฉพาะท่าน ร.ม.ต. และ ปลัดกระทรวง จะไม่เข้าใจคำนี้เอาซะเลย

.....
.......คงจะไม่ทันการแล้วค่ะเปิดหลักสูตรอบรม เพราะว่ามันแก่เกินแกงไปแล้วและอีกอย่างเขาคงเรียนวิชาเศรษฐศาตร์มาจนเข้าสายเลือดแล้วค่ะประมาณว่าคิดทุกบาททุกสตังค์และต้องได้กำไร กำไร กำไร เท่านั้น ........ด้วยประการฉะนี้แล


เพราะวิชาพวกนี้ต้องอยู่ในจิตสำนึกมาแต่ต้น คำว่า สงสาร เมตตา มนุษธรรม คนไทยทุกคนต้องรู้จักโดยไม่ต้องสอนด้วยซ้ำไปค่ะ
โดย: เขาจะยอมเรียนกะสมองขี่เลื่อยรึท่าน???.... [27 พ.ค. 51 17:38] ( IP A:61.19.65.54 X: )

คลิกที่นี่เพื่อกลับหน้าบ้าน