consumer.pantown.com
Thai Iatrogenic Network รวมกระทู้เครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ <<
กลับไปหน้าแรก
พิสูจน์ สาวไตหาย พาทำ MRI พรุ่งนี้
พิสูจน์ สาวไตหาย พาทำ MRI พรุ่งนี้
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 16 กรกฎาคม 2551 18:55 น.
https://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9510000083935
แพทยสภา ไม่ฟันธง ไตหายไปไหน นัดพิสูจน์หาความจริงอีกรอบพรุ่งนี้ พาตรวจเอ็มอาร์ไอด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ให้ผลชัดเจน สันนิษฐานไม่มีไต แต่กำเนิด-ไตฝ่อ-ผลอัลตราซาวนด์ แจ้งมีไตครบผิดพลาด-ถูกขโมยไต เผย ผ่าซีสต์มดลูกล้วงถึงไตทำได้ยาก ด้าน สธ.ตั้งคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของโรงพยาบาลราชวิถี 3 สาขา ร่วมกับแพทยสภา เพื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบกับผลอัลตราซาวด์และเอ็กซเรย์ของโรงพยาบาลเอกชนที่เคยรักษา 3 แห่ง กับผลเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ที่ รพ.ราชวิถี แต่อ่านผลได้ไม่ชัดเจน คาดรู้ผลในต้นสัปดาห์หน้า
วันนี้ (16 ก.ค.) นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวถึงความคืบหน้าการพิสูจน์หาไตของของนางเกษร พุ่มแจ่ม อายุ 43 ปีจ.สมุทรปราการ หลังจากที่ผ่าตัดซีสต์ที่มดลูก เมื่อปี 2549 ที่โรงพยาบาลเอกชน แล้วไตหายไปนั้น ว่า จากข้อสันนิษฐานพบว่า สาเหตุการมีไตข้างเดียวของ นางเกษร มี 4 ประการ คือ 1.ไม่มีไตข้างขวาตั้งแต่กำเนิด หรือ 2.มีการฝ่อไปของไตขวาเนื่องจากอาการไตวาย ซึ่งภายในระยะเวลา 2 ปี ก็สามารถฝ่อเล็กลงไปได้เช่นกัน หรือ 3.การอ่านผลการตรวจอัลตราซาวนด์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 ธ.ค.2548 ของโรงพยาบาลกรุงเทพพระประแดง เกิดการผิดพลาด ซึ่งหากผิดจริงถือว่า มีความผิดฐานรักษาไม่ได้มาตรฐานด้วย และ 4.ไตขวาของ นางเกษร ถูกขโมยและหายไปจริงๆ
อย่างไรก็ตาม ทางแพทยสภาก็ยังไม่สรุปว่าเป็นตามข้อสันนิษฐานใด จะเป็นการขายไตเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ หรือเป็นการไม่มีไตแต่กำเนิด หรือไตฝ่อ แม้ว่าโอกาสของการไม่มีไตขวาตั้งแต่กำเนิดจะพบน้อยมากในประชาชนทั่วไป แต่ถือว่ามีโอกาสเกิดมากกว่าที่แพทย์ผ่าตัดเอาไตไปเปลี่ยนอวัยวะให้กับผู้อื่น นพ.สมศักดิ์ กล่าว
นพ.สมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ เนื่องจากแผลของการผ่าตัดอยู่บริเวณหัวเหน่า การผ่าตัดเปลี่ยนไตจึงเป็นไปได้ยากมาก และหากดำเนินการจริงจะต้องล้วงผ่านลำไส้ ม้าม ฯลฯ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องยากมาก ประกอบกับการผ่าตัดเปลี่ยนไตไม่สามารถใช้เวลาได้เพียง 30 นาทีเท่านั้น อีกทั้งประสิทธิภาพของโรงพยาบาลกรุงธน 2 ที่ทำการผ่าตัดซีสต์ไม่เพียงพอที่จะผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะได้ รวมทั้งต้องใช้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญและถือว่าเป็นผ่าตัดใหญ่ อีกทั้งก่อนการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะต้องมีการตรวจสอบความเข้ากันของเนื้อเยื่อก่อนด้วย
นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า แพทยสภาจะส่งเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะอนุกรรมการจริยธรรมของแพทยสภา โดยไม่ต้องมีการร้องเรียน อีกทั้งจะพานางเกษรไปตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (เอ็มอาร์ไอ) ที่ศูนย์เอ็มอาร์ไอประชาชื่น ซึ่งเป็นวิธีที่แม่นย้ำและชัดเจน ในวันที่ 17 ก.ค.เวลา 08.30 น.เพื่อพิสูจน์ว่าไตหายไปจริงด้วยการขโมย หรือว่าไตฝ่อ โดยหากตรวจแล้วพบว่า มีรูท่อไตทั้ง 2 ข้าง แสดงว่า มีไตไม่ได้พิการแต่กำเนิด และเนื่องจากผลการตรวจที่โรงพยาบาลราชวิถี พบว่า มีไตด้านขวา 2 เซนติเมตร จึงน่าจะเป็นการฝ่อของไตมากกว่าการผ่าตัดอวัยวะ เนื่องจากการผ่าไตเพื่อปลูกถ่ายจะต้องผ่ารวมไปถึงท่อกรวยไตด้วย
จนกระทั่งเวลา 16.30 น.นางเกษร เดินทางมายังแพทยสภา เพื่อนำข้อมูลมาให้กับคณะกรรมการแพทยสภาพิจารณา อาทิ ฟิล์มเอกซเรย์เปรียบเทียบระหว่างวันที่ 24 ธ.ค.2548 ที่โรงพยาบาลกรุงเทพพระประแดง ได้อัลตราซาวนด์ว่า มีไตกับ ก.ค.2551 ที่โรงพยาบาลบางปะกอก3 แจ้งว่าไม่มีไตข้างขวา
นางเกษร กล่าวว่า หลังจากที่ได้ตรวจซีทีสแกนที่โรงพยาบาลราชวิถีเมื่อวันที่ 15 ก.ค.ก็ยังไม่มีแพทย์หรือพยาบาลมาอธิบายว่าเพราะเหตุใดไตขวาถึงหายไป ไม่ได้รับความกระจ่างใดๆ เลย ซึ่งตนมีความสงสัยว่าการผ่าตัดซีสต์ที่มดลูกในปี 2549นั้นจะกระทบต่อไต ทำให้ไตฝ่อได้หรือไม่ด้วย
นพ.ณรงค์ ธาราเดช ศัลยแพทย์ช่องท้องโรงพยาบาลอุดรธานี และกรรมการราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการผ่าตัดไตมี 3 ช่องทาง คือ การผ่าตัดทางช่องท้อง ซึ่งจะมีแผลในแนวตั้ง 2 การผ่าตัดโดยมีแผลบริเวณสีข้าง และ3 การผ่าตัดด้วยการส่องกล้อง ทั้งนี้เนื่องจากไตอยู่บริเวณด้านหลัง หากผ่าตัดผ่านด้านหน้าจะต้องผ่านลำไส้ใหญ่และเปิดม้าม ซึ่งเป็นไปได้ยากมากและต้องใช้เวลาพอสมควร
ส่วนประเด็นเรื่องที่การผ่าตัดซีสต์มดลูกจะกระทบการผ่าตัดไตนั้น ถือว่าเป็นไปได้ยากเช่นกัน เพราะการผ่าตัดซีสต์หรือขูดผังพืด อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อท่อไต ซึ่งสามารถแก้ไขได้ทันทีขณะผ่าตัด แต่ถ้ามีผลกระทบโดยไม่ทราบในระหว่างผ่าตัด กลายเป็นผลแทรกซ้อน ผู้ป่วยจะปวดหลังอย่างมากหลังผ่าตัด พร้อมกับมีอาการท่อปัสสาวะรั่ว ไตบวมโต ติดเชื้อในช่องท้องได้ ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องไตฝ่อ นพ.ณรงค์ กล่าว
ด้าน นายวิชาญ มีนชัยนันท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากการเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ที่โรงพยาบาลราชวิถี เมื่อเย็นวานนี้ (15 ก.ค.) ทีมแพทย์ได้ผลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่อ่านผลได้ไม่ชัดเจน เนื่องจากขณะนี้ผู้ป่วยมีภาวะไตเสื่อม ทำงานได้ไม่เต็มที่อยู่แล้ว ดังนั้น ต้องใช้ข้อมูลผลอัลตราซาวนด์และเอกซเรย์ของโรงพยาบาลบางปะกอก 3 โรงพยาบาลกรุงเทพ-พระประแดง และโรงพยาบาลกรุงธน 2 ที่ผู้ป่วยเคยเข้ารักษาตัวมาก่อน มาประกอบ โดยได้ตั้งคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของโรงพยาบาลราชวิถี 1 ชุด ประกอบด้วย รังสีแพทย์ อายุรแพทย์ด้านไต และศัลยแพทย์ทางเดินปัสสาวะ ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากแพทยสภา เพื่อทำการวิเคราะห์ผลโดยละเอียดและเร็วที่สุด คาดว่า จะทราบผลในต้นสัปดาห์หน้า
ด้าน นพ.ธารา ชินะกาญจน์ ผู้อำนวยการกองการประกอบโรคศิลปะ กล่าวว่า จากการตรวจร่างกายของผู้ป่วยรายนี้เมื่อวันที่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมา พบมีรอยแผลผ่าตัดที่บริเวณเหนือหัวเหน่า ยาว 9 เซนติเมตร ไม่มีรายผ่าตัดที่บริเวณสีข้าง ซึ่งเป็นจุดที่ทำผ่าตัดไตแต่อย่างใด ซึ่งในการดูการทำงานของไต ต้องใช้วิธีฉีดสีแล้วทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ทำให้เห็นภาพไตได้ชัดเจน แต่ในผู้ป่วยรายในไตทำงานได้เพียง 40 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ไม่สามารถใช้วิธีฉีดสีได้ ทำให้ภาพเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ที่ได้ไม่ชัดเจนเท่าที่ควร
โดย: เครือข่ายฯ [17 ก.ค. 51 1:08] ( IP A:58.9.183.123 X: )
ความคิดเห็นที่ 1
3.การอ่านผลการตรวจอัลตราซาวนด์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 ธ.ค.2548 ของโรงพยาบาลกรุงเทพพระประแดง เกิดการผิดพลาด ซึ่งหากผิดจริงถือว่า มีความผิดฐานรักษาไม่ได้มาตรฐานด้วย
เอ่อ...นายกสมศักดิ์ โล่ห์เลขา รู้หรือยังว่า....
คนที่จะมีความผิดฐานรักษาไม่ได้มาตรฐานของ รพ.กรุงเทพพระประแดงนั้นคือ นพ.วิสูตร ฟองศิริไพบูลย์ กรรมการแพทยสภา
โดย: เอาล่ะสิ [17 ก.ค. 51 1:12] ( IP A:58.9.183.123 X: )
ความคิดเห็นที่ 2
น่าสังเกต
วันนี้ทางรพ.กรุงธน 2 ออกมาปฏิเสธ ไม่เกี่ยวข้องกับไตหาย
ขณะที่แพทยสภาไม่ตั้งประเด็นเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ทั้งที่ควรตั้ง
นางเกษร กล่าวว่า หลังจากที่ได้ตรวจซีทีสแกนที่โรงพยาบาลราชวิถีเมื่อวันที่ 15 ก.ค.ก็ยังไม่มีแพทย์หรือพยาบาลมาอธิบายว่าเพราะเหตุใดไตขวาถึงหายไป ไม่ได้รับความกระจ่างใดๆ เลย ซึ่งตนมีความสงสัยว่าการผ่าตัดซีสต์ที่มดลูกในปี 2549นั้นจะกระทบต่อไต ทำให้ไตฝ่อได้หรือไม่ด้วย
โดย: แพทยสภาคุณกำลังทำอะไร [17 ก.ค. 51 1:15] ( IP A:58.9.183.123 X: )
ความคิดเห็นที่ 3
แพทยสภา รวมหัว แตะมือกันโกหกผู้เสียหาย
ยังมีหน้ามาโทษเครือข่ายฯ
พวกคุณแก่หัวหงอกแล้ว สันดานไม่เคยเปลี่ยน
สิบกว่าปีเป็นอย่างไร ปัจจุบันก็เป็นอย่างนั้น
เก่งแต่โยนความผิดให้เครือข่ายฯ
แพทยสภาเป็นพวกfix ไอเดียชอบคิดว่า
1.ผู้เสียหายเขาโกรธเองไม่เป็น ต้องให้เครือข่ายฯ บอกให้โกรธ
2.ผู้เสียหายไม่มีสมองคิดเองไม่เป็น ต้องให้เครือข่ายฯ บอกให้คิด
3.ผู้เสียหายร้องเรียนสื่อไม่เป็น ต้องให้เครือข่ายฯ บอกให้ร้องเรียน
ยุคนี้ชาวบ้านเขาไม่ได้โง่ มีแต่พวกคุณนั่นแหละที่งมโข่งคิดได้แค่นี้
มันถึงแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ มองปัญหาไม่ทะลุจะแก้ปัญหาได้อย่าง
ไร เก่งแต่ป้ายขี้ให้ผู้เสียหาย ชาวบ้านเขาหวังพึ่งพวกคุณ พวกคุณ
แก้ปัญหาไม่ได้ทำไมไม่ลาออกกันให้หมด อยู่ไปทำไมถ้าไม่มีผล
ประโยชน์ทับซ้อน
งานนี้เครือข่ายฯ บอกผู้เสียหายตลอดเวลาว่า เขาไม่ได้โขมยไต
แน่นอน แต่อย่างอื่นคุณต้องให้แพทยสภาตรวจสอบ พอพวกคุณ
ตรวจสอบ ไม่ได้ซักรายละเอียดจากคนไข้แบบใส่ใจเลย แย่งกัน
อธิบายถึงความเป็นไปได้น่าจะเป็นที่ช่วยพวกเดียวกันเอง เหมือน
พวกคุณราดน้ำมันเข้ากองไฟ พวกคุณนี่มันสันดานที่ไม่เคยเปลี่ยน
คือไม่เคยรู้ตัวว่าทำร้ายจิตใจคนไข้คนแล้วคนเล่า รู้กันบ้างหรือเปล่า
ว่าคนไข้รู้สึกอย่างไรเวลาไปชี้แจงที่แพทยสภา เขาแทบไม่ได้ชี้แจง
และแทบไม่มีคนฟังเขา ดีแต่แย่งกันอวดภูมิ อวดว่าข้าเก่งบรรยาย
แก้ตัวแทนหมอทุกครั้งไป
มิหนำซ้ำ รับตัวเขาไปตรวจ ฟิล์ม+เอกซ์เรย์ไม่ให้เขา
พาไปทำ MRI ผลอ่าน ก็ไม่ให้เขาเห็น แล้วรีบแถลงข่าว
ไตอยู่ครบ ๆ ๆ ๆ แต่มันฝ่อ อาจฝ่อแต่กำเนิด ให้ข่าวไปแล้ว
คนไข้เขาจะรู้สึกอย่างไร ยังไม่ได้สอบสวนครบถ้วนกระบวนความ
เลยก็สรุปแล้ว พวกคุณคิดหรือว่าแค่นี้ก็เคลียร์ทุกเรื่องให้จบ
แล้วโยนขี้ให้เครือข่ายฯ
แน่จริงก็ฟ้องสิ ฟ้องว่าเครือข่ายฯ ยุยงให้เกิดความแตกแยก
บอกไปเลยว่าความวุ่นวายทุกวันนี้มันเกิดจากเครือข่ายฯ
ไม่ได้เกิดจากความขี้โกง ความชั่ว สันดานเลวของใคร
เขาร้องเรียน
สื่อก็เป็นสิทธิ์ของเขาที่จะไม่ไว้ใจแพทยสภา เพราะพฤติกรรมที่
ผ่านมาเขาก็ดูโทรทัศน์ว่าพวกคุณมีนิสัยกันเป็นอย่างไร
โดย: สันดานไม่เคยเปลี่ยน [18 ก.ค. 51 11:55] ( IP A:58.9.220.145 X: )
ความคิดเห็นที่ 4
ข้าพเจ้านางเกษร พุ่มแจ่ม อายุ 43 ปี ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 41 ปี ข้าพเจ้ามีสุขภาพที่แข็งแรงดี ทำงานประกอบอาชีพเย็บผ้าได้เป็นอย่างดีไม่เคยเจ็บป่วยอย่างรุนแรงมาก่อน
24 ธันวาคม 2548
ข้าพเจ้าประสบอุบัติเหตุจากการนั่งรถ 2 แถวเฉี่ยวชนกับรถบรรทุก 10 ล้อ แต่ไม่รุนแรง ข้าพเจ้าโดนข้อศอกของผู้โดยสารอื่นกระแทกท้อง มีอาการจุก เข้ารักษาตัวที่รพ.กรุงเทพ-พระประแดง ผลจากอัลตร้าซาวด์อวัยวะภายในปกติ ไตทั้ง 2 ข้างอยู่ครบปกติดังภาพที่เห็น ไม่มีเลือดออกตกค้างในช่อท้อง และไม่ได้ทำผ่าตัดใด ๆ ทั้งสิ้น
(ระยะเวลาที่พบว่ามีไตครบ 2 ข้างกับวันที่ผ่าตัด ห่างกัน 7 เดือน)
กรกฎาคม 2549
ข้าพเจ้ามีอาการปวดรุนแรงบริเวณท้องน้อยบ่อย ๆ จึงไปตรวจที่ รพ.กรุงธน 2 ผลการตรวจพบช็อคโกแล็ตซีสต์บริเวณ ใต้รังไข่ด้านขวา
9 สิงหาคม 2549
แพทย์ รพ.กรุงธน 2 ทำการผ่าตัดเอาซีสต์และเลาะพังผืดในช่องท้องออก มีแผลผ่าตัดบริเวณท้องน้อยยาวประมาน 10 ซม. ใช้เวลาผ่าตัดประมาน 1 ชม. โดยการฉีดยาชาบริเวณไขสันหลัง ข้าพเจ้าพักฟื้นอยู่ในรพ. 5 วัน และกลับไปรักษาตัวต่อที่บ้านอีก 1 เดือน
หลังการผ่าตัดข้าพ ระหว่างพักฟื้น 1 เดือนกับ 5 วันนั้นข้าพเจ้ามีอาการปวดแผลผ่าตัด ปวดหลังปวดเอวเอวร้าวมาถึงขาตลอดเวลา หน้ามืดวูบเป็นระยะ ทุกข์ทรมานมาก ปวดทั้งแผลผ่าตัดกับปวดหลังปวดเอว แพทย์ได้ให้ยาแก้อักเสบ ยาลดไข้ ยาแก้ปวด ไปกินต่อที่บ้าน
หลังจากพักฟื้นครบ 1 เดือน อาการก็ยังไม่ดีขึ้น ร่างกายอ่อนแอและผ่ายผอมลงอย่างผิดปกติ แต่ก็ต้องจำใจกลับเข้าทำงานเพราะกลัวถูกให้ออกจากงาน ครอบครัวจะลำบาก ระหว่างทำงานเดือนแรกมีประจำเดือนไหลออกทั้งเดือน อาการเจ็บปวดเอวด้านหลัง ปวดร้าวมาจนถึงหน้าขา และหน้ามืดวูบเป็นระยะ ๆ แพทย์ให้ยาแก้ปวด แก้อักเสบ และยาลดไข้ กลับไปกินที่บ้าน
เมื่อข้าพเจ้ากลับไปพบแพทย์ที่รพ.กรุงธน 2 แพทย์ตรวจแล้วบอกว่าอาจเป็นผลข้างเคียงของการผ่าตัด ให้ยาแก้ปวด แก้อักเสบ และยากลดไข้ ยาบำรุงเลือดกลับไปกินต่อที่บ้านเหมือนเดิม บางครั้งที่ยาลดไข้ยังเหลือแพทย์ก็ไม่จ่ายให้ ให้ใช้ยาเดิม
ต่อมาไม่นาน รพ.กรุงธน 2 ยกเลิกการรักษาผู้ป่วยประกันสังคม ข้าพเจ้าไปใช้สิทธิ์ที่รพ.บางปะกอก 3 แทน
( หมายเหตุ หลังการผ่าตัดข้าพเจ้าได้ตรวจร่างกายประจำปีกับทางโรงงาน 2 ครั้ง โดยรพ.บางกอก 9 ผลการตรวจพบโปรตีนกับเม็ดเลือดแดงรั่วทางปัสสาวะสูงทั้ง 2 ครั้ง ซึ่งการตรวจร่างกายประจำปีก่อนจะทำการผ่าตัดนั้นผลไม่เคยพบว่ามีโปรตีนและเม็ดเลือดแดงรั่วทางปัสสาวะแต่อย่างใด)
ต่อมาข้าพเจ้าไปรักษาตัวที่รพ.บางปะกอก 3 หลายครั้ง โดยแจ้งให้แพทย์ทราบถึงผลการตรวจร่างกายประจำปีกับทางโรงงานด้วย แพทย์สงสัยว่าไตจะมีปัญหา นัดเจาะเลือด นัดตรวจปัสสาวะ ได้ให้ยาขับปัสสาวะ แก้อักเสบ ลดความดันไปทานที่บ้าน แต่อาการของข้าพเจ้าไม่ดีขึ้นแย่ลงเรื่อย ๆ ร่างกายผ่ายผอม
กลางเดือนพฤษภาคม 2551
มีอาการหน้ามืดและปวดร้าวไปทั้งตัว แพทย์รพ.บางปะกอก 3 นัดให้ไปทำอัลตร้าซาวด์
(ระยะเวลาจากวันผ่าตัดถึงวันที่พบว่าไตขวาหายไป จาก 9 ส.ค.49 10 มิ.ย. 51 รวม 1 ปี 6 เดือน)
10 มิถุนายน 2551
รพ.บางปะกอก 3 ได้ทำอัลตร้าซาวด์ ผลพบว่าไตข้างขวาไม่มี เหลือไตซ้ายข้างเดียวและเสื่อมมากทำงานได้ไม่เต็มที่ จึงส่งผลต่อร่างกายดังกล่าว
ข้าพเจ้าสงสัยว่าไตข้างขวาหายไปได้อย่างไร จึงไปขอดูประวัติที่รพ.กรุงเทพพระประแดง ได้ขอผลอ่านพร้อมฟิล์มอัลตร้าซาวด์ ซึ่งก็พบว่าไตทั้ง 2 ข้างอยู่ครบ
ข้าพเจ้าจึงสงสัยว่าไตหายไปได้อย่างไร เกี่ยวข้องการรักษาผ่าตัดที่รพ.กรุงธน 2 หรือไม่
โดย: นางเกษร พุ่มแจ่ม [20 ก.ค. 51 7:07] ( IP A:58.9.188.230 X: )
คลิกที่นี่เพื่อกลับหน้าบ้าน