consumer.pantown.com
Thai Iatrogenic Network รวมกระทู้เครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ <<
กลับไปหน้าแรก
ผ่าจรรยาบรรณหมอขบวนการซื้อขายไต
ศุกร์, 09 มีนาคม 2007
ผ่าจรรยาบรรณหมอขบวนการซื้อขายไต
ธรรมศักดิ์ งามเมืองแมน เรียบเรียง
"โวย รพ.ฆ่าคนไข้ ขายไต เปลี่ยนเศรษฐี ถูกรถชนผ่าตัดถึงตาย"
"แพทยสภา-กองปราบสอบลับพฤติกรรมโหด"
ย้อนหลังไปเมื่อกลางปี 2542 ข่าวพาดหัวตัวไม้บนหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐกรอบบ่าย ประจำวันที่ 18 กรกฎาคม
บอกเล่าเรื่องราวที่ช็อกความรู้สึกของผู้อ่านเป็นอย่างมาก
ยิ่งเมื่อได้อ่านในเนื้อหาของข่าวเดียวกันนี้ สิ่งที่ตามมาของผู้อ่านก็คือความฉงน สงสัย อยู่ระหว่างกึ่งกลาง ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ จริง-ไม่จริง เป็นได้หรือที่คนในวิชาชีพซึ่งผู้คนให้ความยอมรับนับถือ วิชาชีพที่เป็นที่พึ่งหวังของชาวบ้านในการให้การรักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วย คนที่เรียกกันว่า "คุณหมอ" จะมีพฤติกรรมอย่างที่ข่าวนำเสนอ
หนังสือพิมพ์ "ไทยรัฐ" นำเสนอเนื้อหาข่าววันแรกแบบเรียกความสนใจของผู้อ่าน ด้วยบทสัมภาษณ์ที่สร้างความฮือฮาด้วยการร้องเรียนของชาวบ้าน อ.คลองหาด จ.สระแก้ว ผ่านทางหนังสือพิมพ์ สงสัยว่าบุตรสาวจะถูกขโมยไต เพราะหลังจากเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลชื่อดังแห่งหนึ่งใน จ.สมุทรปราการ
เนื่องจากประสบอุบัติเหตุ รถจักรยานยนต์เฉี่ยวชน เสียชีวิตหลังการผ่าตัด โดยมีเงื่อนปมพิรุธก่อนการเสียชีวิตและหลังเสียชีวิตในหลายประเด็น ทั้งกรณีที่โรงพยาบาลปฏิเสธไม่ให้ญาติย้ายผู้ป่วยไปที่โรงพยาบาลอื่น การเร่งรีบนำเอกสารมาให้ญาติของผู้ป่วยเซ็น และสุดท้ายเมื่อผู้ป่วยเสียชีวิต มีการแจ้งให้ญาติไปรอรับศพผู้ตายที่วัด พบว่าศพถูกผ่าตั้งแต่หน้าอกจนถึงหัวเหน่า
และที่สำคัญคือ ข้อสงสัยเกี่ยวกับกรณีที่โรงพยาบาลนำเงินสดจำนวน 1 แสนบาท มามอบให้ญาติผู้ตาย โดยที่ไม่เรียกเก็บค่ารักษาพยาบาลแม้แต่บาทเดียว ?
ประกอบกับ "ไทยรัฐ" ได้รายงานบทสัมภาษณ์ของแหล่งข่าวที่เป็นนายแพทย์ในโรงพยาบาลเดียวกัน ซึ่งสงสัยในพฤติกรรมของหมอบางกลุ่มในโรงพยาบาลมาก่อน โดยแหล่งข่าวรายนี้ให้ข้อมูลว่า จะมีผู้ป่วยที่มีฐานะดีมารอรับการรักษาผ่าตัดไตและรอรับบริจาคไตที่โรงพยาบาลเป็นจำนวนมาก
ขณะที่ในการรับผู้ป่วยอาการสาหัสเข้ามารักษา ซึ่งเกือบทุกรายจะไม่แจ้งให้แพทย์ที่เข้าเวรประจำทราบ เพื่อเป็นเจ้าของไข้
แต่จะแจ้งให้แพทย์ที่อยู่ในข่ายสงสัยรับทราบแทน และหลังจากให้การรักษา จะมีการให้น้ำเกลือหรือกระทำการในลักษณะหนึ่งเพื่อให้สมองตาย จากนั้นจะนำเข้าห้องผ่าตัดด่วน เพื่อให้ญาติเซ็นเอกสารยินยอม ท้ายที่สุดผู้ป่วยเหล่านั้นก็จะเสียชีวิต
อาจมีการผ่าตัดขโมยไตคนไข้ออกไปก่อนตาย !!
...นี่คือ "ธงข่าว" ที่ตั้งขึ้น เป็นข้อสมมติฐานและข้อสงสัยจากข้อมูลที่มี
และจากนั้นก็มีการนำเสนอข่าวในลักษณะสืบสวนสอบสวน ที่ถือเป็น"ข่าวเจาะ" ซึ่งไทยรัฐถือว่าเป็น "ข่าวขาย"
เล่นเป็นซีรี่ส์ยาวต่อเนื่องนานครึ่งปี
ทั้งการเปิดข้อร้องเรียนของญาติผู้ตายที่ประสบเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันออกมาอีกหลายกรณี แฉพิรุธเอกสาร เปิดโปงหลักฐานการให้การรักษาพยาบาลต่างๆ ตลอดจนรายงานข่าวความตื่นตัวในวงการแพทย์ การตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงของแพทยสภา การแสดงความเห็นเรื่องการปลูกถ่ายอวัยวะของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
และในทางคดีความจากการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการกองปราบ และการรับร้องเรียนให้ความช่วยเหลือดูแลเรื่องคดีความให้กับญาติผู้เสียหายโดยสภาทนายความ โดยในที่สุดเรื่องก็ไปจบที่ศาล เข้าสู่ขั้นตอนการพิสูจน์ข้อเท็จจริงตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งถึงขณะนี้แม้ขั้นตอนในการพิจารณาคดีจะยังไม่เป็นที่ยุติ โดยเรื่องอยู่ในการพิจารณาในชั้นศาลอุทธรณ์
เนื่องจากในการพิจารณาคดีของศาลอาญาได้มีคำพิพากษาในคดีขโมยไต เมื่อวันที่ 22 ก.พ. 2548 ออกมาว่า ให้จำเลยที่เป็นแพทย์โรงพยาบาลวชิรปราการไม่มีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และข้อหาปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม โดยที่อัยการและญาติผู้ตายที่เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง
พื้นที่ตรงนี้จะไม่ขอไปเอ่ยอ้างในเรื่องของทางคดีที่ต้องว่ากันไปตามกระบวนการยุติธรรม แต่จะรายงานถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังที่มา เทคนิค วิธีการ ในการนำเสนอข่าวเจาะยอดเยี่ยมประจำปี 2542 รางวัลอิศรา อมันตกุล กับข่าวชิ้นนี้ "อลงกฎ จิตต์ชื่นโชติ" หัวหน้าข่าวแผนกอาชญากรรม กองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ และ "พรศักดิ์ เรืองวิเศษ" ผู้สื่อข่าวหนุ่มมือดีของแผนกอาชญากรรม ไทยรัฐ ประจำกองบังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และกองบังคับการสืบสวนสอบสวนเศรษฐกิจที่เป็นตัวหลักรับผิดชอบข่าวชิ้นนี้ จะมาบอกเล่าที่มาที่ไป
"อลงกฎ" เปิดฉากเล่าถึงวันแรกที่ข่าวชิ้นนี้ฮือฮาเมื่อปี 2542 ว่า เมื่อประมาณเดือนมีนาคม "พรศักดิ์" ผู้สื่อข่าวในแผนกที่ถือว่าเป็นลูกน้องที่เขาไว้ใจ เชื่อฝีมือในการทำงาน ได้โทรศัพท์มาพูดคุย และเล่าถึงประเด็นที่ไปรับรู้รับทราบมารายงาน ประกอบกับสมัยนั้นแวดวงสังคมชั้นสูงเริ่มมีการพูดกันเรื่องมีการซื้อขายไตกันบ้างแล้ว
"ก็ได้ยินมาเหมือนกันว่า มีบางโรงพยาบาลใช้วิธีการแบบนี้ คือมีคนตายสดๆ ร้อนๆ ตายจากอุบัติเหตุ คนมีเงินป่วยเป็นโรคไต นอกจากรู้กันกับหมอบางคนแล้ว ก็ไปขึ้นบัญชีไว้ ถ้ามีเคสแบบนี้เข้ามาก็จะแจ้งไป เกิดการซื้อขายแจ้งญาติ เรื่องนี้ พอนักข่าวแจ้งมา ผมก็มองว่ามันน่าสนใจดี ก็ลองให้เขาไปตามดู"
ขณะที่ "พรศักดิ์" บอกว่า จุดที่ทำให้เขาสนใจในประเด็นนี้มันเริ่มมาจากการออกปฏิบัติหน้าที่ในสนามข่าวตามปกติ
และด้วยความช่างสังเกต รู้จักตั้งข้อสงสัย และสนใจที่จะติดตามพิสูจน์ต่อ คือคุณสมบัติที่นักข่าวควรจะมี
โดยเมื่อมีโอกาสตระเวนข่าวไปที่ จ.สมุทรปราการ มีคนมาพูดให้ฟังหลายครั้งว่า มีโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในสมุทรปราการมีบริการซื้อขายไตกัน แม้กระทั่งในตลาด พ่อค้าแม่ขายก็ยังพูดถึงเรื่องนี้
"ที่สมุทรปราการตอนนั้นฮือฮากันมาก เรื่องโรงพยาบาลนี้ขายไต สมุทรปราการคนที่ป่วยโรคโตหลายคนไปรักษาที่นั่น
คือการป่วยเป็นโรคไตเนี่ย ต้องไปขึ้นทะเบียนตามโรงพยาบาลอื่นๆ รามาฯมั่ง ศิริราชมั่ง แล้วคนมีเงินรู้ข่าวจากคนวงใน ก็คุยก็บอกกันต่อว่า ที่นี่สามารถได้ไว ใครมีเงินมาลัดคิวได้"
หลังจากได้รับการอนุมัติจากหัวหน้าข่าวให้ลองติดตามเรื่องที่เขาเสนอ "พรศักดิ์" ก็เริ่มกระบวนการในการเสาะแสวงหารวบรวมข้อมูลเบื้องต้นในทันที โดยไหว้วานผู้กว้างขวางระดับผู้ใหญ่คนหนึ่งในพื้นที่ จ.สมุทรปราการ ให้ช่วยเป็นตัวเชื่อมในการเจาะเข้าถึงข้อมูลวงในโรงพยาบาล ซึ่งก็ใช้เวลาถึง 2-3 เดือน กว่าจะได้เวชระเบียนข้อมูลการให้การรักษาผู้ป่วยของโรงพยาบาลออกมา
"บังเอิญว่าผู้หลักผุ้ใหญ่ใน จ.สมุทรปราการ ที่ผมรู้จักเคยเป็นคนที่ร่วมก่อตั้งโรงพยาบาลนี้ แล้วพยาบาลหลายคนเขาก็ฝากเข้าทำงานที่นี่ เขาก็เลยคุยกันได้ แต่ว่าพยาบาลเขาไว้ใจคนโน้นแต่ก็ไม่ไว้ใจเรา ไอ้คนที่เราสนิทเขาก็ยังไม่ไว้ใจเราเต็มที่หรอกว่า เอ็งจะไปทำเพื่ออะไรกันแน่ ต้องใช้เวลา สร้างความเชื่อถือ ถ้าเราทำแบบฉาบฉวย เราก็คุยกับเขาได้ทีเดียว แต่ถ้า
เกิดการไว้ใจขึ้นมา คุยกันได้ตลอด"
ภายหลังจากเทียวไปเทียวมาจนเรียกว่าได้ "คนใน" หลายรายยอมเป็น"แหล่งข่าว" ชั้นเยี่ยมให้ เขาเชื่อว่าส่วนหนึ่งที่ข้อมูลไหลออกมาเช่นนี้นอกจากความสนิทสนมแล้ว เรื่องของจิตสำนึก จรรยาบรรณทางวิชาชีพของแหล่งข่าวที่พบเห็นพฤติกรรมแบบนี้และยอมรับไม่ได้เป็นทุนเดิมก็น่าจะเป็นส่วนสำคัญเช่นกัน
ถึงกระนั้นก็ตาม แม้จะมีเอกสารหลักฐานทางการรักษาพยาบาลจากโรงพยาบาลที่สงสัยอยู่ในมือ
แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่ "พรศักดิ์" จะเดินหน้าต่อจิ๊กซอว์ทีละชิ้นๆ เพื่อให้สอดคล้องตามสมมติฐาน
การวิเคราะห์ประเมินสถานการณ์ไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะที่ยากสำหรับเขาก็คือเรื่องศัพท์แสงเฉพาะที่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญมาช่วยอธิบาย
"เวลาหมอเขียนใบสั่งยาอ่านออกไหม ลายมือเขา เออนั่นแหละ ไม่มีใครรู้หรอก แต่ก็ไม่ตัน กลางคืนก็อ่านข้อมูล นอนคิดแต่ว่าเราจะต่อสายหาหมอคนไหนดี เช้ามาก็ไปหาหมอที่สนิทๆ กัน ให้เขาช่วยแปลหน่อย คนนี้แปลอย่างนี้ แล้วก็ไปหาคนอื่นดูว่าเขาแปลเหมือนกันหรือเปล่า อธิบายเหมือนกันไหม บางทีบางครั้งคำพูดมันไม่เหมือนทั้งหมด แต่สรุปใจความแล้วได้ประเด็นเดียวกัน"
"และเราไม่ได้ดูเวชระเบียนอย่างเดียว เราได้มาก็มาศึกษาเวชระเบียน แล้วลงไปเจาะ ไปหานาย ก. เราก็อยากรู้ว่าหมอรักษา นาย ก. อย่างไร หมอที่วินิจฉัย วินิจฉัยยังไง ให้ยาถูกต้องมั้ย ใช้วิธีการรักษาแบบไหน แล้วเราก็ย้อนไปหาหมอ แต่ไม่ใช่หมอที่นี่
เราก็ดูว่านาย ก.ที่ป่วย หมอที่รักษาจบจากด้านไหน ถ้าเป็นหมอศัลยกรรมเราก็ไปคุยกับหมอศัลยกรรมที่อื่น โดยเราต้องเช็กประวัติ ว่าหมอคนนี้เป็นนักเรียนแพทย์รุ่นเดียวกับเจ้าของไข้หรือไม่ ถ้าเป็นรุ่นเดียวกันก็อาจจะเป็นพรรคพวกกัน เราก็ไม่เอา เราก็ไปที่อื่น"
นอกจากศึกษาตำรับตำรา ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ชนิดที่ "พรศักดิ์" เหมือนต้องเข้าไปเป็นนักเรียนแพทย์กลายๆ
กลับไปเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์อีกครั้ง เพราะต้องศึกษาทั้ง พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ร.บ.ประกอบวิชาชีพโรคศิลปะ ฯลฯ
ที่แม้จะไม่ต้องเปิดทุกหน้า อ่านทั้งเล่ม แต่ประเด็นที่เกี่ยวข้องก็ต้องเปิดหากันแบบรายมาตรา เพื่อจับผิดพฤติกรรมการให้รักษาของโรงพยาบาลและแพทย์บางราย ว่าจะมีรายการ "แหกกฎแหกคอก" อย่างที่ตั้งสมมติฐานไว้หรือไม่
"ผมดูหมด แม้แต่รายงานการสัมมนาประชุมโต๊ะกลมระหว่างคณะแพทยศาสตร์ของ ม.มหิดล ที่ ม.ธรรมศาสตร์ มีหน่วยงานไหนที่เกี่ยวข้องแพทยสภา หมอสิโรจน์ (น.พ.สิโรจน์ กาญจนปัญจพล ผู้บริหารโรงพยาบาล อดีต ผอ.โรงพยาบาลที่เป็นจำเลยในคดีซื้อขายไต) เป็นคนถามในที่ประชุมโต๊ะกลมว่า การบริจาคอวัยวะ ถ้าคนบริจาคเขายินยอม แล้วถ้าจ่ายเป็นเงินให้เป็นค่าตอบแทน ถือว่าเป็นการผิดจรรยาบรรณของหมอหรือเปล่า ไม่มีใครให้ข้อยุติตรงนี้ได้ ฝ่ายกฎหมายก็ให้ข้อยุติไม่ได้ว่า นั่นคือปี2537 ที่หมอถามประเด็นนี้ แล้วที่ประชุมไม่มีข้อยุติให้
หลังปี 2537 หมอสิโรจน์ก่อตั้งโรงพยาบาลนี้ขึ้นมา พอโรงพยาบาลเสร็จเรียบร้อยเข้าที่เข้าทาง เขาเปิดรับปลูกถ่ายอวัยวะ เอกสารทุกอย่างถ้าเราเอามาต่อจิ๊กซอว์แล้วเราจะเห็น
"ผมดูหมด ว่าคุณมองอะไร แล้วคุณต้องการทำอะไร"
และในช่วงเวลาเดียวกันนั้น การแกะรอยเพื่อต่อยอดข้อมูลและเอกสารเวชระเบียนก็ดำเนินไปพร้อมๆ กัน ผู้สื่อข่าวแผนกอาชญากรรมไทยรัฐรายนี้ต้องเว้นวรรคจากงานในหน้าที่ประจำ เพื่อลุยเรื่องนี้แบบเต็มตัว เพื่อที่เอาเวลาไปทุ่มกับการออกตระเวนตามหาผุ้เสียหาย ซึ่งเป็นญาติของผู้เสียชีวิตภายหลังเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลนี้ ทั้งนี้ ผู้เสียหายรายสำคัญก็คือ น.ส.ลัดดา ดีโยธา ซึ่งประสบอุบัติเหตุและเสียชีวิตภายหลังเข้ารับการผ่าตัด เป็นกรณีตัวอย่างหลัก
"ผมออกต่างจังหวัดเลย หลายที่ ที่เปิดเป็นข่าวก็ 2-3ราย แต่ที่ไม่เปิดเป็นข่าวอีกเยอะ ก็คุยเอามาเป็นข้อมูลสนับสนุนเพื่อที่เราจะแกะไป โดยเฉพาะรายของลุงเจริญ ดีโยธา พ่อ น.ส.ลัดดา ผมไปที่สระแก้ว เที่ยวตามหาบ้านจนเที่ยงคืนถึงเจอ
ทหารก็มาล้อมกันหมด ไปคุยกับแก แกก็ไม่พร้อม เพราะแกไม่เชื่อ แต่พอเห็นเอกสารหลักฐาน มีเจ้าหน้าที่ไปช่วย แกถึงเชื่อ แกร้องไห้ แล้วก็สู้ แต่ต้องคุยนานเหมือนกัน กว่าจะให้เข้าใจ ให้แกเล่าให้ฟังตั้งแต่ลูกเข้าโรงพยาบาล จนลูกตาย ไปทำอะไรมั่ง ซึ่งมันสอดรับกับเอกสารทั้งหมด"
"ส่วนตัวละครอื่นที่เป็นผู้เสียหาย มีหลายรายที่ติดตาม ทุกรายเหมือนกันหมด คนป่วยที่ถูกให้หลอกบริจาคส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยอุบัติเหตุ สอดรับกับเอกสารหมด ก็เจอเอกสารตามข่าว เอกสารที่ว่าไตถูกขโมย แล้วก็ถูกแกล้งให้ตาย คือการรักษาเขาทำให้สมองตาย แกนสมองตาย"
ทั้งนี้ตลอด 3-4 เดือน ในการเก็บข้อมูลทั้งเอกสาร หลักฐาน การให้สัมภาษณ์จากญาติผู้เสียหายที่ไปตระเวนคุยมาทั้งหมดพร้อมพอสมควรที่จะนำเสนอข่าว แต่ถึงตรงนี้หัวหน้าทีมอย่าง "อลงกฎ" ก็ยังกำชับลูกน้องว่า ต้องตรวจสอบข้อมูล เช็กความถูกต้อง ผ่านการพูดคุยหารือกันอย่างละเอียด ในประเด็นไหนที่ยังหมิ่นเหม่ว่าจะใช่ไม่ใช่ ก็จะยังไม่นำมาเสนอ
ก่อนสรุปทั้งหมดเสนอให้ผู้ใหญ่ในกองบรรณาธิการพิจารณาเป็นขั้นตอนสุดท้าย
ส่วน "มือเจาะ" คนสำคัญ ตัวหลักของ "ทีมเฉพาะกิจ ข่าวหมอลักไต" ของกองบรรณาธิการไทยรัฐอย่าง "พรศักดิ์" เองก็ยอมรับว่า ถึงตัวเองจะมั่นใจว่าได้เตรียมข้อมูลนำเสนอทั้งหมดอยู่ในขั้นที่สมบูรณ์พร้อมแล้วก็ตาม แต่การนำเสนอข่าวแนวสุ่มเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องแบบนี้ ต้องมีวิธีการให้คนอ่านค่อยๆ รับรู้ตามไปด้วย โดยไทยรัฐเลือกเรียงลำดับในการนำเสนอให้คนอ่านรับรู้เป็นชอตๆ และนำเสนอข้อมูลรอบด้าน ความเห็นจากทุกฝ่าย
"เราไม่ได้ชี้ว่าคุณผิด ไม่ได้ไปตัดสิน หรือเจาะจงว่าคุณทำแน่ ความสงสัยอยู่แค่ในใจ เราสงสัยได้ แต่ว่าเราจะทำยังไงว่า แล้วจริงๆ มันเป็นยังไง เอาข้อเท็จจริงออกมาให้ได้ และไม่ได้ฟันธง ไม่ได้มั่นใจว่าเขาจะฆ่าคน แต่ประเด็นที่ตั้งไว้คือว่า เราจะพิสูจน์ให้ได้ว่าข้อเท็จจริงมันเป็นยังไง ซื้อขายกันจริงมั้ย เราก็เอาเอกสารมาพิสูจน์ เราสู้ด้วยเอกสาร ให้สาธารณชนพิสูจน์"
"อย่างลุงเจริญพ่อของ น.ส.ลัดดาบอกว่า วันที่เซ็นบริจาค เป็นกระดาษเปล่าๆ แล้วก็สักอาทิตย์ทางโรงพยาบาลก็ให้มาติดต่อ บอกว่า น.ส.ลัดดาเสียชีวิต แล้วก็เรียกไปในห้องให้เงินมา 2 แสนบาท บอกให้เป็นค่าเรียนบุตรเอย ค่าทำศพเอย ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะน.ส.ลัดดา รายอื่นที่โรงพยาบาลไปทำศพให้ คือโรงพยาบาลตั้งศพให้วันเดียวแล้วก็เผาเลย"
เมื่อถึงวันที่ตีพิมพ์ข่าวนี้ออกมาทางหน้าหนังสือพิมพ์ ก็เป็นไปอย่างที่คาดการณ์ ข่าวชิ้นนี้สร้างความสนใจแก่ผู้คนในสังคมวงกว้าง กระแสตอบรับค่อนข้างฮือฮา นอกเหนือจากคนอ่านจะตกตะลึงในเนื้อหาที่พาดพิงถึงพฤติกรรมซึ่งคาดไม่ถึงของคนที่เป็นหมอแล้ว
"ข่าวขาย" ของ "ไทยรัฐ" ชิ้นนี้ยังจัดว่ามีองค์ประกอบข่าวน่าสนใจ ชนิดที่สอดคล้องและสะท้อนความเป็นจริงของสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นความไม่เท่าเทียมกันในสังคม การเอารัดเอาเปรียบ มีตัวละครดี ตัวละครร้าย เหยื่อของเรื่องก็หนีไม่พ้นคนจนๆ ที่ชีวิตมีราคาค่างวดแค่ใช้เงินไม่กี่มากน้อยยัดปากฟาดหัว เพื่อให้หมอที่ต้องการรักษาคนมีเงินคนหนึ่งให้มีชีวิตอยู่ต่อให้ได้
แม้จะใช้วิธีการหลอกให้บริจาคอวัยวะ แล้วทำให้ตาย เปิดมาแค่นี้ก็น่าติดตามตอนต่อไปแล้ว
แต่ก็อีกนั่นแหละ ใช่จะมีแต่กระแสตอบรับในทางบวกทั้งหมด !!
"ก็มีคนต่อต้าน เขาไม่พอใจเรามาก สมมุติว่าเราป่วยเป็นโรคไต แล้วเรามีแหล่งแล้ว เขาไม่เชื่อ เขาบูชาหมอที่เราสงสัยในพฤติกรรมเหมือนพระเจ้าเลยนะ เขาเข้าข้างหมอกันมาก เขาเป็นหมอชื่อดัง เป็นอาจารย์สอนผ่าตัดให้นักเรียน ลูกศิษย์ลูกหาเขาก็เยอะ เป็นหมอที่เก่งด้านการผ่าตัด หมอจบศัลยแพทย์ โรงพยาบาลนี้ก็มีชื่อดัง หรือพวกหมอก็ต้องช่วยกัน เคยเห็นมั้ย เข้ามาในเว็บไซต์ด่าไทยรัฐมั่ง ด่านักข่าวมั่ง"
ถึงตอนนี้ข้อมูลการนำเสนอข่าววันต่อๆ ไปก็ไม่ใช่เรื่องยาก เหยื่อของการรักษาที่เปิดไปก็ยังเป็นตัวละครหลักอยู่ มีการเปิดเอกสารเวชระเบียนเปิดรายชื่อเพิ่มเติมเป็นชุดๆ และเหยื่อที่ออกมาร้องเรียนอีกต่างหาก ขณะเดียวกันก็มีการนำเสนอความเห็นของผู้เกี่ยวข้อง ทั้งแพทย์คณะผู้บริหารโรงพยาบาลวชิรปราการ จ.สมุทรปราการ ที่ถูกร้องเรียน ฝ่ายการเมือง กระทรวงสาธารณสุข วงการแพทย์ สมาคมปลูกถ่ายอวัยวะแห่งประเทศไทย สภากาชาดไทย สภาทนายความ เจ้าหน้าที่ตำรวจ
ข่าวขาย ชิ้นนี้ไทยรัฐมอบหมายหน้าที่ให้กับผู้สื่อข่าวแต่ละแผนกของกองบรรณาธิการที่จะช่วยกันรับผิดชอบติดตามในลักษณะ "ทีมข่าวกอง บก." ทีมใหญ่ ขณะที่ทีมเฉพาะกิจจะมีอยู่ 5-6 คน สำหรับ "พรศักดิ์" ก็ยังเป็นตัวหลัก ร่วมหารือเชื่อมต่อประเด็นกับหัวหน้าทีมที่จะคอยเป็นแก่นแกนของการเสนอข่าวเจาะชิ้นนี้ โดยเฉพาะจุดหลัก ๆ ภายหลังการนำเสนอคือการพิสูจน์ข้อเท็จจริงด้วยเอกสารที่กุมอยู่ในมือ ชนิดที่เป็นการดวลสู้พิสูจน์กันระหว่าง "ไทยรัฐ" กับโรงพยาบาลที่ถูกกล่าวหาเกือบทุกเรื่อง
"เขาก็ไม่รู้ว่าเรามีอะไรมั่ง เชื่อมั้ยว่าโรงพยาบาลจ้างเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทำโอทีตลอดทั้งคืน 3-4วัน เพื่อทำลายเอกสาร เอกสารถูกเอาเข้าเครื่องทำลายทิ้งไปเป็น 10 กระสอบ แล้วเขาไปทิ้งที่บ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านบางนา ผมก็ตามไปเอามาก็มี"
แต่ก็มีอยู่บ้างบางกรณีที่เป็นจุดที่น่าจะทำให้ข้อสมมติฐานที่ตั้งไว้ออกอาการแกว่งไปบ้าง เช่น กรณีที่มีผู้เสียหายมาร้องเรียน เกรงว่าจะมีการลักไตของญาติที่เสียชีวิตไปแล้วแบบที่หนังสือพิมพ์ลงข่าว แต่เมื่อภายหลังเมื่อผ่าพิสูจน์ศพแล้ว อวัยวะภายในยังอยู่ครบ
ประเด็นนี้ "อลงกฎ" บอกว่า การเสนอข่าวก็ยังยึดมั่นในแนวทางเดิมโดยไม่หวั่นไหว เพราะกรณีนี้มีผู้เสียหาย เอกสาร หลักฐานกรณีหลักที่สนับสนุนข้อสมมติฐานอย่างแข็งขัน
"เราไม่เป๋ กอง บก.ไทยรัฐได้ตั้งเป้าจะนำเสนอข่าวให้ถึงที่สุด แม้มันจะตันถึงที่สุดตรงจุดไหน ขอให้นำเสนอแต่เราจะเอาตามข้อเท็จจริง เดินตามเจ้าทุกข์ ทนายความตำรวจ ไม่ใช่แหลมไป และที่ผู้บริหารและหมอขัดแย้งกันเองเลยออกมากลั่นแกล้ง ตรงนี้ก็มีส่วน เราก็ยังเสนอข่าวไปตามเหตุการณ์ข้อเท็จจริง"
การนำเสนอข่าวนี้แบบต่อเนื่องเกือบ 1 ปี จนสุดท้าย นอกจากแพทยสภามีมติลงโทษทีมแพทย์ผ่าตัดเปลี่ยนไตโรงพยาบาลวชิรปราการ จ.สมุทรปราการ เนื่องจากพบความผิดเกี่ยวกับการปลูกถ่ายไต มีการเพิกถอนและพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมแล้ว
ส่วนในทางคดีมีการร้องทุกข์กล่าวโทษทีมแพทย์เพื่อดำเนินการสอบสวนโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อนสรุปสำนวนส่งอัยการส่งฟ้องต่อศาลเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในเวลาต่อมา นี่คือที่มาของรางวัลข่าวยอดเยี่ยม รางวัลอิศรา อมันตกุล จากสมาคมนักข่าวฯ
เรื่องนี้หัวหน้าทีมข่าวเจาะผลงานชิ้นโบแดงอย่าง "อลงกฎ" บอกว่า ข่าวในลักษณะนี้เป็นกรณีใหม่ เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ถ้าเทียบแล้วก็ระดับอินเตอร์ก็ว่าได้ ส่วนในเรื่องกระบวนการยุติธรรม ที่ต้องพิจารณาด้วยองค์ประกอบพยาน วัตถุพยาน พยานบุคคล หลักฐาน การพิจารณาของศาล สุดท้ายจะออกมาเช่นไร แต่เขาก็ถือว่าได้ทำหน้าที่ของสื่อมวลชนที่ดีเต็มที่แล้ว
"ถ้าถามว่า ทำข่าวนี้สนุกมั้ย มันไม่สนุกเลย เป็นข่าวที่เครียด แต่จะบอกว่าได้ช่วยเหลือสังคมอีกทางหนึ่งในการสกัดกั้นเรื่องพวกนี้ เพราะยังมีโรงพยาบาลอีกเยอะที่หากินกับ.. .เมกมันนี่เอากับคนรวย แล้วคนจนที่ประสบอุบัติเหตุมาแมตช์กัน"
และแน่นอนสำหรับผู้ที่รับผิดชอบจับข่าว "หมอขายไต" มาตั้งแต่แรกเริ่ม "พรศักดิ์" บอกว่า นี่คืองานหนักอีกงานของเขา ตั้งแต่ทำงานข่าวมา และทุกอย่างก็พิสูจน์แล้วว่า สื่อทำหน้าที่ ไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้ง และไม่ได้โจมตีเพื่อผลประโยชน์อื่นใด
"ใจผมคิดเองตั้งแต่รวบรวมเอกสาร มองรูปแบบของคดีในการประทุษกรรมของกลุ่มหมอกลุ่มคนร้าย มองว่าเหยื่อที่อยู่ในขบวนการนี้ส่วนใหญ่เป็นคนจนทั้งหมด คนที่ไม่มีรายได้อะไรมากมาย เป็นคนตามต่างจังหวัด ถูกเอามากระทำ แล้วก็มองว่าจะทำยังไง ไม่ให้คนจนตกเป็นเหยื่อคนพวกนี้อีกต่อไป แล้วเอาข้อเท็จจริงออกมาให้ได้ คิดว่าเหมือนเราสร้างโบสถ์หลังใหญ่หลังหนึ่ง คิดแค่นั้น ไม่ได้ไปหวังอะไร"
เขาทิ้งท้ายแบบที่สีหน้ายังนิ่งเฉย ในขณะที่สองดวงตาส่องประกายแวววาว
โดย: ใครจะเถียงว่าไม่มี [16 ก.ค. 51 18:53] ( IP A:58.9.189.121 X: )
ความคิดเห็นที่ 1
เถียง เถียง เถียง
ตกลงคุณเชื่อนักข่าว..... หรือ.... เชื่อศาล... มากกว่ากันหล่ะ
นักข่าวบอกว่าหมอทำ....แต่ศาลบอกว่าหมอไม่มีความผิด
นักข่าวตามข่าวมาครึ่งปี เป็นผมก็คงไม่พูดหรอก " เอ่อ... ความจริงก็ไม่มีอะไรหรอกครับ.... แต่ข่าวมันขายดีอ่ะ ดูดิได้รางวัลด้วย... เพราะบริษัทก็ชอบ คนก็ชอบ งั้นผมก็ต้องเล่นตามบทต่อไป หมอก็ยอมๆผิดต่อไปละกัน ก็ไม่ได้เสียหายไรนี่?! ถึงศาลจะว่างัย แต่ผมก็ต้องไว้ลายไม่ให้เสียหน้าหน่อย รับรางวัลเค้ามาแล้ว"
โดย: ในขณะที่สองตาส่องประกายแวววาว..... แหม่จบได้กินใจจริงๆ ไปเขียนนิยายดีกว่ามั้ย [16 ก.ค. 51 20:42] ( IP A:202.28.181.200 X: )
ความคิดเห็นที่ 2
ปล. ผมอยากเห็นรายละเอียดการตัดสินลงโทษของแพทยสภามากกว่า ที่ได้ลงโทษเพิกถอนใบอนุญาติ ด้วยเหตุใดแล้วทำไมศาลถึงตัดสินอีกอย่าง ตรงนี้น่าสนกว่า ใครช่วยหามาให้อ่านที
ปล.แพทยสภาที่พวกๆคุณเกลียดหน่ะ
โดย: จะรออ่านนะ [16 ก.ค. 51 20:46] ( IP A:202.28.181.200 X: )
ความคิดเห็นที่ 3
เจตนาฆ่า นั้นไม่ชัดเจน ศาลเอาผิดไม่ได้ แต่เรื่องขโมยไตโดยฉ้อฉล อ่านดูก็รู้ว่าเป็นอย่างไร และเป็นหน้าที่โดยตรงของแพทยสภาที่จะต้องจัดการล้างขี้ที่พรรคพวกทำเรี่ยราดไว้ แต่ได้ทำหรือไม่ หรือแค่นั่งทับกองอาจม(รวมทั้งของตัวเองด้วย)เหล่านี้ไว้เช่นเดียวกับคดีอื่นๆนับพันเคส ถ้าวงการแพทย์ไม่มีคนกล้าไปถีบกลุ่มก๊วนทุนสามานย์กลุ่มนี้ออกไป แล้วช่วยกันกวาดกองอาจมเหล่านั้นทิ้งไป เสียวันหนึ่งผมทำนายว่าแพทยสภาทั้งคณะที่นำโดยกลุ่มโรงพยาบาลเอกชน จะต้องกลิ้งตกจากกองภูเขา อาจม เน่าเหม็นไปทั้งวงการแพทย์
โดย: เจ้าบ้าน
[17 ก.ค. 51] ( IP A:124.121.143.233 X: )
ความคิดเห็นที่ 4
ตอนนี้ในแพทยสภามันมั่วกันไปหมด
ไม่รู้ใครดี ใครร้าย ยิ้มเหมือนหลอก
หยอกเหมือนขู่ ปากพูดกับเราดี ๆ มืออาจซ่อนมีดไว้แทงเราข้างหลัง
โดย: กลัว...แพทยสภา [17 ก.ค. 51 1:36] ( IP A:58.9.183.123 X: )
ความคิดเห็นที่ 5
จำได้ว่า คนไข้คนนี้ตายแล้ว และไม่มีญาติมาติดต่อ หมอเลยผ่าเอาไตออกมา ในขณะที่ยังพอใช้ได้อยู่ แต่แล้วก็มีญาติมาติดต่อ ก็เลยนำเงินมาให้
โดย: เรื่องเป็นงี้แหละ [17 ก.ค. 51 14:44] ( IP A:125.26.107.111 X: )
ความคิดเห็นที่ 6
แหม ท่านจ้าวบ้าน งานนี้ของขึ้นแรงจริงจิ๊ง
ดุเดือดเลือดพล่าน น่ากั๊ว น่ากัว
โดย: คนรู้ทัน ไม่รู้จริง [18 ก.ค. 51 7:21] ( IP A:58.8.99.88 X: )
ความคิดเห็นที่ 7
เจ้าบ้านนี่เก่งจริงๆ อ่านปุ๊ปรู้ปั๊ป เกิดอะไรขึ้นในระหว่างผ่าตัด ศาลคิดอย่างไร แพทยสภาตัดสินเพราะอะไร
โดย: สรุปสุดท้ายไม่มีสาระอะไร หาเรื่องด่าแพทยสภา [18 ก.ค. 51 8:45] ( IP A:202.28.181.200 X: )
ความคิดเห็นที่ 8
แพทยสภา รวมหัว แตะมือกันโกหกผู้เสียหาย
ยังมีหน้ามาโทษเครือข่ายฯ
พวกคุณแก่หัวหงอกแล้ว สันดานไม่เคยเปลี่ยน
สิบกว่าปีเป็นอย่างไร ปัจจุบันก็เป็นอย่างนั้น
เก่งแต่โยนความผิดให้เครือข่ายฯ
แพทยสภาเป็นพวกfix ไอเดียชอบคิดว่า
1.ผู้เสียหายเขาโกรธเองไม่เป็น ต้องให้เครือข่ายฯ บอกให้โกรธ
2.ผู้เสียหายไม่มีสมองคิดเองไม่เป็น ต้องให้เครือข่ายฯ บอกให้คิด
3.ผู้เสียหายร้องเรียนสื่อไม่เป็น ต้องให้เครือข่ายฯ บอกให้ร้องเรียน
ยุคนี้ชาวบ้านเขาไม่ได้โง่ มีแต่พวกคุณนั่นแหละที่งมโข่งคิดได้แค่นี้
มันถึงแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ มองปัญหาไม่ทะลุจะแก้ปัญหาได้อย่าง
ไร เก่งแต่ป้ายขี้ให้ผู้เสียหาย ชาวบ้านเขาหวังพึ่งพวกคุณ พวกคุณ
แก้ปัญหาไม่ได้ทำไมไม่ลาออกกันให้หมด อยู่ไปทำไมถ้าไม่มีผล
ประโยชน์ทับซ้อน
งานนี้เครือข่ายฯ บอกผู้เสียหายตลอดเวลาว่า เขาไม่ได้โขมยไต
แน่นอน แต่อย่างอื่นคุณต้องให้แพทยสภาตรวจสอบ พอพวกคุณ
ตรวจสอบ ไม่ได้ซักรายละเอียดจากคนไข้แบบใส่ใจเลย แย่งกัน
อธิบายถึงความเป็นไปได้น่าจะเป็นที่ช่วยพวกเดียวกันเอง เหมือน
พวกคุณราดน้ำมันเข้ากองไฟ พวกคุณนี่มันสันดานที่ไม่เคยเปลี่ยน
คือไม่เคยรู้ตัวว่าทำร้ายจิตใจคนไข้คนแล้วคนเล่า รู้กันบ้างหรือเปล่า
ว่าคนไข้รู้สึกอย่างไรเวลาไปชี้แจงที่แพทยสภา เขาแทบไม่ได้ชี้แจง
และแทบไม่มีคนฟังเขา ดีแต่แย่งกันอวดภูมิ อวดว่าข้าเก่งบรรยาย
แก้ตัวแทนหมอทุกครั้งไป
มิหนำซ้ำ รับตัวเขาไปตรวจ ฟิล์ม+เอกซ์เรย์ไม่ให้เขา
พาไปทำ MRI ผลอ่าน ก็ไม่ให้เขาเห็น แล้วรีบแถลงข่าว
ไตอยู่ครบ ๆ ๆ ๆ แต่มันฝ่อ อาจฝ่อแต่กำเนิด ให้ข่าวไปแล้ว
คนไข้เขาจะรู้สึกอย่างไร ยังไม่ได้สอบสวนครบถ้วนกระบวนความ
เลยก็สรุปแล้ว พวกคุณคิดหรือว่าแค่นี้ก็เคลียร์ทุกเรื่องให้จบ
แล้วโยนขี้ให้เครือข่ายฯ
แน่จริงก็ฟ้องสิ ฟ้องว่าเครือข่ายฯ ยุยงให้เกิดความแตกแยก
บอกไปเลยว่าความวุ่นวายทุกวันนี้มันเกิดจากเครือข่ายฯ
ไม่ได้เกิดจากความขี้โกง ความชั่ว สันดานเลวของใคร
เขาร้องเรียน
สื่อก็เป็นสิทธิ์ของเขาที่จะไม่ไว้ใจแพทยสภา เพราะพฤติกรรมที่
ผ่านมาเขาก็ดูโทรทัศน์ว่าพวกคุณมีนิสัยกันเป็นอย่างไร
โดย: สันดานไม่เคยเปลี่ยน [18 ก.ค. 51 11:55] ( IP A:58.9.220.145 X: )
ความคิดเห็นที่ 9
ข้าพเจ้านางเกษร พุ่มแจ่ม อายุ 43 ปี ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 41 ปี ข้าพเจ้ามีสุขภาพที่แข็งแรงดี ทำงานประกอบอาชีพเย็บผ้าได้เป็นอย่างดีไม่เคยเจ็บป่วยอย่างรุนแรงมาก่อน
24 ธันวาคม 2548
ข้าพเจ้าประสบอุบัติเหตุจากการนั่งรถ 2 แถวเฉี่ยวชนกับรถบรรทุก 10 ล้อ แต่ไม่รุนแรง ข้าพเจ้าโดนข้อศอกของผู้โดยสารอื่นกระแทกท้อง มีอาการจุก เข้ารักษาตัวที่รพ.กรุงเทพ-พระประแดง ผลจากอัลตร้าซาวด์อวัยวะภายในปกติ ไตทั้ง 2 ข้างอยู่ครบปกติดังภาพที่เห็น ไม่มีเลือดออกตกค้างในช่อท้อง และไม่ได้ทำผ่าตัดใด ๆ ทั้งสิ้น
(ระยะเวลาที่พบว่ามีไตครบ 2 ข้างกับวันที่ผ่าตัด ห่างกัน 7 เดือน)
กรกฎาคม 2549
ข้าพเจ้ามีอาการปวดรุนแรงบริเวณท้องน้อยบ่อย ๆ จึงไปตรวจที่ รพ.กรุงธน 2 ผลการตรวจพบช็อคโกแล็ตซีสต์บริเวณ ใต้รังไข่ด้านขวา
9 สิงหาคม 2549
แพทย์ รพ.กรุงธน 2 ทำการผ่าตัดเอาซีสต์และเลาะพังผืดในช่องท้องออก มีแผลผ่าตัดบริเวณท้องน้อยยาวประมาน 10 ซม. ใช้เวลาผ่าตัดประมาน 1 ชม. โดยการฉีดยาชาบริเวณไขสันหลัง ข้าพเจ้าพักฟื้นอยู่ในรพ. 5 วัน และกลับไปรักษาตัวต่อที่บ้านอีก 1 เดือน
หลังการผ่าตัดข้าพ ระหว่างพักฟื้น 1 เดือนกับ 5 วันนั้นข้าพเจ้ามีอาการปวดแผลผ่าตัด ปวดหลังปวดเอวเอวร้าวมาถึงขาตลอดเวลา หน้ามืดวูบเป็นระยะ ทุกข์ทรมานมาก ปวดทั้งแผลผ่าตัดกับปวดหลังปวดเอว แพทย์ได้ให้ยาแก้อักเสบ ยาลดไข้ ยาแก้ปวด ไปกินต่อที่บ้าน
หลังจากพักฟื้นครบ 1 เดือน อาการก็ยังไม่ดีขึ้น ร่างกายอ่อนแอและผ่ายผอมลงอย่างผิดปกติ แต่ก็ต้องจำใจกลับเข้าทำงานเพราะกลัวถูกให้ออกจากงาน ครอบครัวจะลำบาก ระหว่างทำงานเดือนแรกมีประจำเดือนไหลออกทั้งเดือน อาการเจ็บปวดเอวด้านหลัง ปวดร้าวมาจนถึงหน้าขา และหน้ามืดวูบเป็นระยะ ๆ แพทย์ให้ยาแก้ปวด แก้อักเสบ และยาลดไข้ กลับไปกินที่บ้าน
เมื่อข้าพเจ้ากลับไปพบแพทย์ที่รพ.กรุงธน 2 แพทย์ตรวจแล้วบอกว่าอาจเป็นผลข้างเคียงของการผ่าตัด ให้ยาแก้ปวด แก้อักเสบ และยากลดไข้ ยาบำรุงเลือดกลับไปกินต่อที่บ้านเหมือนเดิม บางครั้งที่ยาลดไข้ยังเหลือแพทย์ก็ไม่จ่ายให้ ให้ใช้ยาเดิม
ต่อมาไม่นาน รพ.กรุงธน 2 ยกเลิกการรักษาผู้ป่วยประกันสังคม ข้าพเจ้าไปใช้สิทธิ์ที่รพ.บางปะกอก 3 แทน
( หมายเหตุ หลังการผ่าตัดข้าพเจ้าได้ตรวจร่างกายประจำปีกับทางโรงงาน 2 ครั้ง โดยรพ.บางกอก 9 ผลการตรวจพบโปรตีนกับเม็ดเลือดแดงรั่วทางปัสสาวะสูงทั้ง 2 ครั้ง ซึ่งการตรวจร่างกายประจำปีก่อนจะทำการผ่าตัดนั้นผลไม่เคยพบว่ามีโปรตีนและเม็ดเลือดแดงรั่วทางปัสสาวะแต่อย่างใด)
ต่อมาข้าพเจ้าไปรักษาตัวที่รพ.บางปะกอก 3 หลายครั้ง โดยแจ้งให้แพทย์ทราบถึงผลการตรวจร่างกายประจำปีกับทางโรงงานด้วย แพทย์สงสัยว่าไตจะมีปัญหา นัดเจาะเลือด นัดตรวจปัสสาวะ ได้ให้ยาขับปัสสาวะ แก้อักเสบ ลดความดันไปทานที่บ้าน แต่อาการของข้าพเจ้าไม่ดีขึ้นแย่ลงเรื่อย ๆ ร่างกายผ่ายผอม
กลางเดือนพฤษภาคม 2551
มีอาการหน้ามืดและปวดร้าวไปทั้งตัว แพทย์รพ.บางปะกอก 3 นัดให้ไปทำอัลตร้าซาวด์
(ระยะเวลาจากวันผ่าตัดถึงวันที่พบว่าไตขวาหายไป จาก 9 ส.ค.49 10 มิ.ย. 51 รวม 1 ปี 6 เดือน)
10 มิถุนายน 2551
รพ.บางปะกอก 3 ได้ทำอัลตร้าซาวด์ ผลพบว่าไตข้างขวาไม่มี เหลือไตซ้ายข้างเดียวและเสื่อมมากทำงานได้ไม่เต็มที่ จึงส่งผลต่อร่างกายดังกล่าว
ข้าพเจ้าสงสัยว่าไตข้างขวาหายไปได้อย่างไร จึงไปขอดูประวัติที่รพ.กรุงเทพพระประแดง ได้ขอผลอ่านพร้อมฟิล์มอัลตร้าซาวด์ ซึ่งก็พบว่าไตทั้ง 2 ข้างอยู่ครบ
ข้าพเจ้าจึงสงสัยว่าไตหายไปได้อย่างไร เกี่ยวข้องการรักษาผ่าตัดที่รพ.กรุงธน 2 หรือไม่
โดย: นางเกษร พุ่มแจ่ม [20 ก.ค. 51 7:09] ( IP A:58.9.188.230 X: )
คลิกที่นี่เพื่อกลับหน้าบ้าน