ขอเรียนปรึกษาคุณหมอเทพและประธานเครือข่าย ,สมาชิก
   เรียนคุณหมอเทพ ,คุณปรียนันท์(ดลพร) และสมาชิกเครือข่ายทุกท่าน

ผมมีเรื่องทุกข์ใจที่ขณะนี้ยังคิดไม่ตกว่าจะดำเนินการอย่างไรดี เรื่อง การจากไปของแม่อย่างไม่มีวันกลับ
วันนี้ผมได้เจอเวปของเครือข่ายโดยบังเอิญ จึงขออนุญาตเรียนปรึกษาด้วยครับ
วันที่ 17 มกราคม 2551 แม่ของผมเข้ารักษาที่รพ.ในจังหวัด ที่อาศัยอยู่ด้วยเรื่อง ซึม ทานอาหารได้น้อย ก่อนหน้านี้แม่ประสบอุบัติเหตุหกล้มและมีกระดูกเท้าแตกและหมอรักษากระดูกให้ใส่เฝือกและให้ยาแคลเซี่ยมและวิตามินดีมารับประทานที่บ้าน
และนัดมาตรวจในอีก 1สัปดาห์ถัดไป เมื่อมาตรวจตามนัดแม่ยังมีอาการทั่วไปปกติดี หมอรักษากระดูกจึงนัดอีก 2สัปดาห์ถัดไปแต่ไม่ได้มาตามนัดเพราะมานอน รพ.)หมอที่ห้องฉุกเฉิน(หมอฝึกหัด,intern)มาตรวจอาการ ซึ่งขณะนั้นแม่ยังรู้สึกตัวดีและบอกอยากกลับบ้าน เมื่อหมอคนนี้ตรวจเสร็จก็ให้นอน รพ.ที่ตึกอายุรกรรมหญิง เมื่อไปถึงตึกที่อายุรกรรมหญิง ก็ทราบว่า พญ...(ชำนาญด้านอายุรกรรมประสาท,neuro med)เป็นหมอเจ้าของไข้ จึงได้บอกกับพยาบาลเวร(incharge)ซึ่งรู้จักกันว่าขอเปลี่ยนหมอเจ้าของไข้ได้ไหม เพราะเมื่อ 2-3 ปีก่อนที่แม่เคยนอน รพ.ที่นี่ หมอหญิงคนนี้เป็นหมอเจ้าของไข้ แม่บอกพูดไม่ดีเลย ไม่ค่อยสนใจตรวจเท่าไหร่ ซึ่งก่อน admit(ด้วยเรื่องเหนื่อย,ปวดหัว) ครั้งนั้นหมอเวร ER ได้ส่งตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง(CT scan brain)ซึ่งไม่พบว่ามีสิ่งผิดปกติอย่างอื่นนอกจากเป็นไซนัสอักเสบ ซึ่งหมอหญิงคนนี้ได้รับปากว่าจะปรึกษา
หมอ หู คอ จมูก ให้ จนกระทั่งจำหน่ายกลับบ้านก็ไม่ได้ปรึกษาให้ตามที่รับปากไว้ ผมต้องนำฟิล์มเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ไปปรึกษาหมอ หู คอ จมูก เอง จึงได้ยากลับไปรับประทาน
ดังนั้นคราวนี้จึงไม่อยากให้หมอหญิงคนนี้ดูแลอีก แต่พยาบาลเวรบอกว่า ไม่น่าจะเปลี่ยนหมอนะเพราะหมอหญิงคนนี้รักษาคนไข้ดีออก (ซึ่งในช่วงแรก ๆ หมอหญิงคนนี้ก็ดูเหมือนว่าจะเอาใส่พอสมควรจึงไม่ได้เปลี่ยนหมอเจ้าของไข้)
ผลตรวจเลือดที่หมอเวรห้องฉุกเฉินส่งตรวจส่งมาที่ตึก ปรากฏว่า มีแคลเซียมสูง(14mg) 2วันหลัง admit ช่วงเวลาประมาณ 1 ทุ่ม(19 มค.51)จากที่แม่รู้สึกตัว ช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง ทานอาหารได้บ้างสามารถยกก้นได้เอง(ให้ผมนำหม้อนอนรองที่ก้นแม่เพื่อปัสสาวะ) ผมสังเกตุว่าแม่หลับลึกผิดปกติ ปลุกไม่ตื่น จึงไปบอกพยาบาลเวร เขาก็มาดู และใช้มือหยิกหัวนมคนไข้เพื่อกระตุ้น และบอกว่า ก็ ok นี่พี่ คนไข้ activity ยังดี แต่ตลอดทั้งคืนแม่ก็ไม่รู้สึกตัว ตอนเช้าวันถัดมา พยาบาลเช้านำยามาให้ปรากฎว่ามียาแคลเซียม อยู่ด้วยจึงบอกพยาบาลว่า คนไข้มีแคลเซียมในเลือดสูงทำไมยังให้ยาตัวนี้อึก จึงบอกพยาบาล ว่าพี่ไม่ให้คนไข้กินก่อนนะขอถามหมอเจ้าของไข้ก่อน พอมาถึงยามื้อเที่ยงปรากฏว่าพยาบาล ก็ยังนำยาแคลเซี่ยมมาให้อีก ผมก็เก็บยาเอาไว้อีกไม่ให้ผู้ป่วยกิน จนกระทั่งช่วงบ่าย หมอหญิงเจ้าของไข้มาตรวจ และพบว่าผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวและพูดว่า "เมื่อวานยังพูดกันได้อยู่เลย" ผมจึงบอกว่า ได้แจ้งพยาบาลเวรบ่ายเมื่อวานแล้ว และได้ถามเรื่องยาแคลเซียมว่า ผลเลือดผู้ป่วยมีแคลเซียมสูงแต่พยาบาลยังนำยาแคลเซี่ยมมาให้ 2 มื้อ(เช้า-เที่ยง) แต่ผมไม่ได้ให้กินเพื่อรอถามหมอก่อน หมอหญิงจึงได้หันไปตำหนิพยาบาลว่า ยาแคลเซียมได้สั่งงดไปตั้งแต่วันศุกร์แล้ว(วันที่รู้ผลเลือด)ทำไมยังให้ยานี้กับคนไข้ อีก รวมทั้งคนไข้ไม่รู้สึกตัวทำไมไม่รายงานและให้พยาบาลเขียนรายงานด้วย
ผมเองรู้สึกสงสารพยาบาลที่โดนดุและโดนเขียนรายงาน เพราะไม่ได้ตั้งใจที่จะให้โดน
ดุและถึงกับโดนเขียนรายงาน จึงได้ไปขอโทษพยาบาลที่โดนดุภายหลังจากที่หมอหญิง
คนนี้กลับไปแล้ว พยาบาลบอกว่าไม่เป็นไร และพยาบาลได้ใส่สายสำหรับให้ยาและอาหาร ทางจมูก และใส่สายสวนปัสสาวะให้ ตามที่หมอหญิงสั่ง เนื่องจากคนไข้ไม่รู้สึกตัว(ได้ใส่สายทางจมูกและสายสวนปัสสาวะตั้งแต่คนไข้ไม่รู้สึกตัวจนถึงวันที่เสียชีวิต))
ถัดมาหมอหญิงคนนี้ได้ปรึกษาหมอเฉพาะทางผู้ชำนาญทางโรคไตเรื่อง
คนไข้ไม่รู้สึกตัวและมีแคลเซียมสูง หมอที่รับปรึกษาได้สั่งให้ยาลดแคลเซียม(calcitonin)
หลังจากนั้นประมาณ 2-3วัน แม่ผมก็รู้สึกตัว สามารถถามตอบกันรู้เรื่อง
ดี หมอหญิงคนนี้ได้สั่งอาหารปั่นมาให้(BD)แต่ปรากฏว่ามีปัญหาเรื่องท้องอืด
แน่นท้องมาก เมื่อส่งเอกซเรย์ท้องพบว่ากระเพาะอาหารขยายโตมากและมีแต่ลม
ขังอยู่เต็ม ได้รับคำแนะนำให้ดูดลมในกระเพาะอาหารออก ท้องของแม่ก็แฟบ
ไม่แน่นอีก แต่ก็มีปัญหาท้องอืดทุกครั้งที่ให้อาหารปั่น จนหมอหญิงก็สั่งงดอาหาร
ไว้ก่อนบ้าง เปลี่ยนเป็นน้ำเต้าหู้บ้าง(ท้องก็อืดเหมือนเดิม)
ประมาณวันที่ 27 มค.51 ได้ย้ายจากเตียงสามัญไปอยู่ห้องพิเศษ ปัญหาเรื่องท้องอืดก็ยังไม่หาย หมอหญิงคนนี้ก็ส่งปรึกษาแผนกศัลยกรรมหมอศัลยกรรมก็มาตรวจคลำที่ท้องพบว่าคลำแล้วเหมือนมีก้อนที่เหนือสะดือ
บอกว่าสงสัยจะมีปัญหาเรื่องการอุดตันของกระเพาะอาหาร(gastric outlet
obstruction)จึงส่งตรวจลำไส้ใหญ่ด้วยการสวนแป้ง(Barium enema)
ก็ปกติ คือไม่พบว่ามีการอุดตันของกระเพาะอาหารและลำไส้แต่อย่างใด หมอศัลย์
จึงส่งตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ช่องท้อง(CT wholeabdomen)
ก็ไม่พบว่ามีการอุดตันของกระเพาะและลำไส้เช่นกันพบแต่เพียงกลุ่มไขมันที่อยู่บริเวณ
ที่คลำพบเหมือนเป็นก้อน(omentum fat)และพบว่าน่าจะมีตับอ่อน
อักเสบเฉียบพลัน(ตับอ่อนมีขนาดโตขึ้นเล็กน้อย),มีน้ำในช่องท้องปริมาณปานกลาง
(moderate ascites)และมีนิ่วที่ถุงน้ำดีขนาดประมาณเกือบ 2 ซม.รังสีแพทย์
ที่อ่านผล(รู้จักกัน)บอกว่า ให้ช่วยบอกพยาบาลส่งตรวจเอนไซม์ของตับอ่อนด้วย เพราะ
ต้องการทราบว่าเอนไซม์ของตับอ่อนสูงหรือไม ถ้าผลออกมาสูงก็สอดคล้องกับการ
วินิจฉัย(ตับอ่อนอักเสบ)ผลปรากฏว่าเอนไซม์สูง หมอศัลย์จึงให้ยาแก้อักเสบและ
สั่งงดอาหารและน้ำ (โดยก่อนหน้านั้นแม่ผมมีปัญหาเรื่องความเข้มข้นของเลือด(Hematocrit)ต่ำและปริมาณเกลือแร่ในร่างกายไม่สมดุลย์
มีบางตัวต่ำ ,โปรตีนไข่ขาวต่ำ(albumin)ระหว่างที่งดอาหารและน้ำนี้หมอหญิง
เจ้าของไข้ก็จะให้ยา,สารอาหารและเลือด ตามอาการโดยให้ทางน้ำเกลือ(เช่น kabivent,
kidmin,human albumin)และหมอศัลย์ก็ไม่ได้มาดูคนไข้อีก
จนแม่ผมบ่นหิวมากกินอะไรได้รึยัง(มีของเหลวสีเขียวไหลออกมาทางสายที่ใส่จมูก
เป็นครั้งคราวในช่วงแรก ๆ แต่บางครั้งก็เป็นสีน้ำตาล)หมอหญิงเจ้าของไข้
จึงให้พยาบาลสอบถามหมอศัลย์ จึงอนุญาตให้ลองกินน้ำหวานดูก่อนถ้ารับได้จึง
ค่อยให้อาหารปั่นต่อไป หลังจากนั้นหมอศัลย์ก็ไม่ได้มาดูอีก(รวมเวลาที่งดอาหารและน้ำนานประมาณ 14 วัน)
โดยในการให้อาหารปั่นต้องมีการทดสอบก่อนว่ามีอาหารเหลือค้างอยู่ในกระเพาะมากหรือไม่ บางครั้งก็จะพบว่ามีเศษของลิ่มเลือดเล็ก ๆ ไหลติดออกมาด้วย (ปัญหาเรื่องท้องอืดก็ยังมีอยู่ตลอด ต้องกินยาแก้ท้องอืดตลอด และดูเหมือนท้องจะใหญ่ขึ้น บางครั้งจะตึงจนเห็นผิวหนังแววใส) จนถึงต้นเดือน มี.ค.51 เริ่มสังเกตุเห็นผู้ป่วยมีการเหนื่อยมากขึ้นจากเดิมที่สามารถเอาสายให้ออกซิเจนทางจมูกออกเป็นครั้งคราวได้ เป็นว่าต้องให้ออกซิจนตลอดและจากเดิมที่เคยลุกนั่งโดยช่วยประคองให้นั่งได้ประมาณครั้งละ5-10นาที ก็สามารถนั่งได้แป็บเดียวไม่ถึง 2 นาทีก็ต้องให้นอน ผมและคนที่จ้างเฝ้าก็ใช้วิธีไขเตียงให้หัวสูงเพื่อให้นั่งพิงบ้าง แต่ก็ได้ไม่นานเหมือนเดิม แม่บ่นเหนื่อยมากตลอดจะให้
ไขเตียงลงตลอด ซึ่งได้แจ้งให้หมอหญิงเจ้าของไข้ทราบ เขาก็บอกว่า อาการเหนื่อย
มาจากท้องที่อืดและปัญหาน้ำในช่องท้องได้ และให้ญาติใจแข้งต้องให้นั่งนานหน่อย
และทุกครั้งที่มาตรวจประจำวันก็จะถามแต่ว่าคนไข้รับอาหารปั่นได้มากไหม
ท้องอืดมากไหม และใช้มือคลำท้อง แล้วก็จดบันทึกในแฟ้มบันทึกการตรวจ โดยไม่ได้
ใส่ใจปัญหาเรื่องคนไข้เหนื่อยเลย ไม่เคยใช้หูฟัง ฟังปอดเลยว่ามีอะไรผิดปกติไหม
ประมาณกลางเดือน มี.ค.51 เริ่มสังเกตุเห็นว่าแม่จะชอบนอนตะแคงเอา
ข้างขวาลงตลอดไม่ยอมนอนหงาย ไม่ยอมนอนตะแคงไปทางซ้ายเลย เมื่อเกลี้ย
กล่อมขอร้องให้แม่พลิกตัวบ้างเพราะแกรงว่าจะเป็นแผลกดทับที่ตะโพก แม่ก็จะยอม
บ้างเป็นบางครั้งแต่ก็ได้เพียงแป็บเดียวก็จะพลิกกลับไปตะแคงขวาลงเหมือนเดิม
ถ้าฝืนจะพลิกตัวให้ได้ทุก 2 ชม.(ป้องกันแผลกดทับ)โดยที่แม่ไม่ยอมเพราะรู้สึก
เหนื่อยมาก แล้วยังไปฝืนจะพลิกตัวให้แม่จะมีอาการเกร็งจนน่าตกใจ จนไม่ค่อยมี
ใครกล้าพลิกตัวอีก ต้องอาศัยช่วงที่จะต้องเช็ดตัว ,เช็ดก้น ซึ่งต้อง
รีบทำและนุ่มนวล เพราะมีปัญหาเรื่องถ่ายเหลวตลอด จนก้นเปื่อยเป็นแผลรอบ ๆ รูทวารหนัก ต้องใช้ยาทาแผลแต่ก็เอาไม่อยู่ เพราะถ่ายตลอด แจ้งหมอหญิงเจ้าของไข้ แรก ๆ ก็ให้ยาหยุดถ่าย แต่ช่วงหลังก็ไม่ให้ยาหยุดถ่ายอีกบอกว่าให้ถ่ายไปไม่เป็นไร
จากการที่ได้แจ้งให้หมอหญิงเจ้าของไข้ทราบทุกครั้งที่มาตรวจ เรื่องแม่เหนื่อยมากและไม่ยอมพลิกตัว เขาก็ไม่เคยใช้หูฟังเพื่อฟังปอดคนไข้ เลยว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า คลำแต่ท้องและสนใจแต่เรื่องรับ อาหารแต่ละมื้อได้มากน้อยเท่าไหร่เท่านั้น(ผมเข้าใจครับว่าหมอหญิงคงมุ่ง แต่ปัญหาเรื่องกลือแร่ที่ไม่สมดุลย์ แต่ก็ควรสนใจปัญหาอาการผิดปกติของคนไข้ที่เปลี่ยนไปตามที่ญาติบอกบ้าง)
26 มี.ค.51 ด้วยความอึดอัดที่หมอหญิงเจ้าของไข้ไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่แม่มีอาการเหนื่อยมากขึ้น จึงตัดสินใจเอกซเรย์ปอดให้แม่ด้วยตนเอง(ผมทำงานอยู่แผนกเอกซเรย์)เพราะจากประสบการณ์ที่ทำงานด้านนี้พบเห็นคนไข้ประเภทนี้มามาก จึงคิดว่าน่าจะมีอะไรที่ผิดปกติที่ปอด หลังจากเอกซเรย์แล้วจึงพบว่าที่ปอดข้างขวาของแม่ผิดปกติ คือ มีลักษณะเป็นปื้นขาวเหมือนน้ำอยู่เต็มปอดของข้างขวาทั้งข้างส่วนปอดข้างซ้ายยังปกติ จึงได้นำฟิล์มเอกซเรย์ไปปรึกษารังสีแพทย์ที่แผนกเอกซเรย์เพื่อให้ช่วยดูว่ามีอะไรผิดปกติอีกไหม รังสีแพทย์แจ้งว่า มีน้ำเต็มปอด(massive right pleural effusion)ทำให้คนไข้เหนื่อย ให้รีบนำฟิล์มเอกซเรย์ไปให้พยาบาลที่ตึกและให้รายงานหมอเจ้าของไข้ทราบเพื่อจะได้รีบรักษาแต่พยาบาลท่าอึดอัดไม่กล้ารายงาน เพราะหมอเจ้าของไข้ไม่ได้สั่งเอกซเรย์ผมจึงบอกจะรับผิดชอบเองถ้าโดนหมอตำหนิ พยาบาลจึงโทรศัพท์รายงาน
ให้หมอเจ้าของไข้ทราบ(เวลา 14.00น.) และถามว่าหมอจะให้อะไรไหม คำตอบคือ ไม่ต้องจะมาดูเอง ผมจึงบอกพยาบาลไว้ว่าถ้าหมอมาตรวจรบกวนช่วยตามผมด้วยเพื่อจะได้
คุยกับหมอเรื่องการรักษา เพราะในเวลาทำการผมต้องไปทำงานและจ้างเสมียนตึกเฝ้า(พนักงานวัดไข้,วัดความดันฯ)
วันที่ 27 มี.ค.51 (ประมาณบ่าย 3โมง,25 ชม.หลังจากพยาบาลรายงานให้ทราบ)หมอจึงมาตรวจ พยาบาลจึงโทรศัพท์ตามผมตามที่บอกไว้ เมื่อมาถึงผมจึงคุยกับหมอ
ผม:"ไม่ทราบว่าหมอได้ดูฟิล์มเอกซเรย์หรือยังครับ"
หมอเจ้าของไข้:"ดูแล้ว"
ผม:"ไม่ทราบว่าหมอจะทำยังไงต่อดีครับ"
หมอเจ้าของไข้:"ก็เดี๋ยวเจาะน้ำไปตรวจดูก็แล้วกัน"
หลังจากนั้นพยาบาลก็นำชุดเครื่องมือเจาะปอดมา หมอก็เดินไปทางข้างซ้ายของแม่ โดยพยาบาลเข็นรถเครื่องมือตามไป หมอใส่ถุงและจะทำความสะอาดผิวหนังก่อนเจาะน้ำในปอด ผมเอะใจ จึงบอกหมอ
ผม:"หมอครับ คนไข้เป็นข้างขวาครับ"
แต่ดูเหมือนไม่สนใจหรือไม่ได้ยิน ผมต้องบอกซ้ำเป็นครั้งที่สอง
หมอเจ้าของไข้:"อุ้ยเหรอ สับสนหมดแล้ว ข้างไหนซ้าย ข้างไหนขวา"
ผมนึกในใจว่า ก็ไหนบอกว่าดูฟิล์มแล้วไง นี่ถ้าผมไม่อยู่ด้วยหมอก็คง เจาะผิดข้างไปแล้ว หลังจากนั้นจึงให้พยาบาลเข็นรถเครื่องมือมาทางขวาของ แม่ โดยในระหว่างที่เจาะปอดดูดน้ำในปอดข้างขวาเพื่อนำไปตรวจ หมอก็พูดขึ้นว่า
หมอเจ้าของไข้:"ดีนะวันนี้ลูกชายอยู่ ทุกทีเวลามาตรวจโดนด่าทุกที"
ผมไม่เข้าใจว่าหมอพูดแก้เขินที่ถูกผมทักท้วงเรื่องจะเจาะปอดผิดข้าง หรือโดนแม่
ผมด่าจริง ๆ เวลามาตรวจ แต่เสมียนที่ผมจ้างเฝ้าแม่เวลาผมไปทำงาน ไม่เคย
บอกหรือเล่าให้ฟังเลยว่าแม่ผมด่าหมอ เพราะปกติแม่ไม่ใช่คนกร้าวร้าว หาก
ไม่ได้ไปทำอะไรให้แม่โกรธมากๆ และถ้าแม่ผมด่าหมอจริง ก็คงด้วยสภาพจิตใจที่
อาจไม่ค่อยปกติด้วยโรคที่เป็นอยู่และนอน รพ.นาน ก็อาจทำให้หงุดหงิดได้ง่าย
หมอซึ่งมีวุฒิภาวะปกติและสูงกว่าก็มิควรถือสา เก็บมาเป็นอารมณ์ แล้วทำไม
ถึงเพิ่งมาบอกทั้งๆ ที่ผมก็เจอหมอบ่อย ผมจึงถามหมอต่อว่า
ผม:"ไม่ทราบว่าน้ำที่ขังอยู่ในปอดต้องดูดออก หรือต้องใส่สายเพื่อระบายออกหรือไม่
ครับ"
หมอเจ้าของไข้:"ถ้าจะให้ดูดออก ก็ต้องหัดนั่งให้ได้นาน ๆ ก่อนเพราะต้องดูดหลาย
ครั้ง"
ผมนึกในใจว่า แล้วทำไมคนไข้ที่อุบัติเหตุมาและมีน้ำขังอยู่ในปอดซึ่งมีน้อยว่า
ของแม่ผมอีก ทำไมแพทย์ศัลย์ยังเจาะใส่สายระบายน้ำออกในท่านอนได้เลย และกรณี
ของแม่น้ำเต็มปอดขนาดนี้เจาะเข้าไปตรงไหนก็เจอน้ำทั้งนั้นทำไมต้องหัดนั่งด้วย
เพราะตอนนี้แกนั่งไม่ไหวแล้วและจะเกร็งจนน่าตกใจถ้าฝืนหรือบังคับ แต่ผมก็ไม่ได้พูด
อะไรตามที่นึก เพราะดูท่าทางหมอจะไม่พอใจ ที่เราไปเอกซเรย์ให้แม่เองโดยหมอไม่ได้
สั่ง แล้วมันมีสิ่งผิดปกติจริงๆ(น้ำในปอดเต็มทั้งข้างขวา)และถูกทักเรื่องจะเจาะปอดผิดข้างอีก
ผลตรวจน้ำในปอดพบว่ามีน้ำตาลและโปรตีนสูง แต่ไม่พบว่ามีเซลมะเร็งหรือสิ่งผิดปกติอย่างอื่น หลังจากนั้นหมอเจ้าของไข้ก็ไม่ได้ทำอะไรอีกและโดยไม่ได้ปรึกษาหมอผู้ชำนาญด้านโรคทรวงอก ของรพ. แม่ผมยังคง มีน้ำขังอยู่ในปอดเหมือนเดิม
รังสีแพทย์ที่ทำงานแผนกเอกซเรย์ที่เดียวกับผมที่ดูฟิล์มเอกซเรย์ให้ตอนแรก ได้ถามผมว่า หมอเจ้าของไข้เขาทำอะไรบ้างไหม/ส่งปรึกษาใครไหม ผมบอกว่าไม่ได้ทำอะไรต่อนอกจากส่งน้ำเจาะปอดตรวจอย่างเดียว รังสีแพทย์จึงว่า ไม่รู้จะช่วยยังไงเพราะไม่สนิทกับหมอเจ้าของไข้ ถ้าเป็นหมอคนอื่นที่สนิทอาจจะช่วยพูดให้ได้ หรืออาจจะให้พี่เขยซึ่งเป็นหมออายุรกรรมไปช่วยดูให้ ในระหว่างนี้แม่ผมมีไข้ต่ำๆ บางครั้งปัสสาวะที่ออกมาทางสายสวนปัสสาวะขุ่นข้น แต่ปัสสาวะก็ยังออกดีวันละประมาณพันว่าซีซีตลอด
ต่อมาคืนวันที่ 2 เม.ย.51 เวลาประมาณ 02.00น. ผมสังเกตุว่าน้ำปัสสาวะของแม่ที่อยู่ในถุงมีน้อยผิดปกติ ซึ่งปกติในช่วงเวลานี้น้ำปัสสาวะต้องออกมาอย่างน้อย 400-500 ซีซี (ช่วงเวลา ห้าทุ่ม ยังมีปัสสาวะออกมาปกติ คือประมาณ 500 ซีซี)จึงได้ไปแจ้งพยาบาลเวรดึกทราบและให้ช่วยมาดูว่ามีปัญหาเรื่องสายสวนปัสสาวะตันหรือไม่ พยาบาล
บอกว่าทดสอบแล้วไม่น่าจะตัน เดี๋ยวอีก 1 ชม.ค่อยมาดูให้ใหม่ก็แล้วกันพอตี 3 ก็ตามพยาบาลมาดู ก็เหมือนเดิมบอกว่าไม่ตัน และบอกว่าจะมาดูให้อีกครั้งตอน 6 โมงเช้า เมื่อตามพยาบาลให้มาดูอีกครั้ง เขาก็ทดสอบฉีดน้ำเข้าไปและดูดออกแล้วบอกว่าสายไม่ตัน เอาเป็นว่าจะเปลี่ยนถุงปัสสาวะให้ก็แล้วกัน
เมื่อพยาบาลเวรเช้า(08.00น.)มารับเวรก็มาบอกว่าเดี๋ยวเปลี่ยนสายสวนปัสสาวะให้ก็แล้วกันเผื่อสายตัน เมื่อเปลี่ยนสายฯ ปรากฏว่าปลายสายเดิมงอเล็กน้อย แต่เมื่อเปลี่ยนสายสวนใหม่แล้วปัสสาวะก็ยังไม่ออก พยาบาลจึงเขียนบันทึกในแฟ้มบันทึกการรักษาให้หมอเจ้าของไข้ทราบ
หมอเจ้าของไข้ทราบแล้วก็ยังคงให้การรักษาแนวเดิมต่อไป โดยไม่ได้ส่งปรึกษา
หมออายุรกรรมโรคไต เหมือนวันแรกที่มา admit ด้วยเรื่องไม่รู้สึกตัวจากแคลเซี่ยมสูง และช่วยให้แม่ผมฟื้นขึ้นมาได้
ตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย.51 เป็นต้นมาแม่ผม ปัสสาวะออกน้อยมากไม่เกิน 50-60 ซีซี ผมจึงคิดว่าแนวทางการรักษาของหมอคนนี้อาจจะไม่ถูกต้อง และหากเราจะไปปรึกษาหมอเฉพาะทางใน รพ.เอง หมอเจ้าของไข้ก็อาจจะไม่พอใจเราอีกเหมือนที่ผมไปเอกซเรย์แม่เอง และที่สำคัญเขาควรจะรู้ดีที่สุดว่าเมื่อคนไข้มีภาวะอย่างนี้(ปัสสาวะไม่ออก หรือออกน้อยผิดปกติ)แสดงว่าไตทำงานผิดปกติแล้วสมควรต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์เฉพาะทางอย่างรวดเร็ว แต่หมอเจ้าของไข้กลับไม่ได้ส่งปรึกษา
วันที่ 5 เม.ย.51 ผมจึงไปปรึกษาหมอคนที่รู้จักกันที่ รพ.เอกชนแห่งหนึ่งในต่างจังหวัด ซึ่งรู้จักกัน เมื่อเล่าประวัติ อาการ และผลตรวจ lab ให้ฟัง หมอที่ไปปรึกษาแสดงอาการหนักใจและบอกว่า หมอเฉพาะทางก็มีทำไม เขาถึงไม่ส่งปรึกษา จะรักษาตามอาการเดิม (เกลือแร่ไม่สมดุลย์,โปรตีนไข่ขาวต่ำ) ก็ไม่เป็นไรถ้าเป็นหมอเองก็อาจจะรักษาแบบนี้ แต่นี่ผู้ป่วยมีภาวะแทรกซ้อนอย่างนี้(น้ำในช่องปอด ,ไตทำงานน้อยลง)ประกอบกับมีโรคประจำตัวทั้ง หัวใจและเบาหวาน น่าจะส่ง ปรึกษาหมอที่ชำนาญเรื่องนี้ เอาเป็นว่า หมอแนะนำให้ส่งตัวผู้ป่วยมารักษาที่ รพ.มหาวิทยาลัย ซึ่งมีอาจารย์หมอหลายคนที่ชำนาญ จะได้ช่วยดูแลให้ แต่ปัญหาคือ เตียงมักจะเต็มต้องหาอาจารย์หมอรับ
เป็นคนไข้แล้วรีบส่งตัวมา แต่เนื่องจากสัญญาณชีพ(vital sign) ยังไม่ค่อยดี ให้เขาดูแลเรื่องนี้ให้ดีแล้วรีบส่งตัวไปรักษา แต่ปรากฏว่า ไม่ทันครับ ระหว่างที่ผมยังอยู่ที่ต่างจังหวัด(มาปรึกษาหมอเรื่องอาการของแม่) น้องสาวโทรศัพท์ มาบอกว่า แม่อาการหนักแล้ว ช็อค หมอฝึกหัดกำลังช่วยอยู่ ผมจึงโทรศัพท์ ไปถามพยาบาลที่ตึกอายุรกรรมหญิงว่าหมอเจ้าของไข้ได้ปรึกษาหมอผู้ชำนาญ ทางอายุรกรรมโรคไตหรือไม่ พยาบาลแจ้งว่า ก็เห็นบอกว่าจะส่งปรึกษา ผมจึงถามเมื่อไหร่ พยาบาลบอกว่า เมื่อหมอคนนี้(ด้านโรคไต)มาตรวจคนไข้ตอนเช้า(6เม.ย.51)ผมรู้สึกอัดอั้นตันใจจริง ๆ พูดอะไรไม่ออก
แม่ผมอาการหนักขนาดนี้กลับไม่รีบปรึกษาโดยเร็ว ทั้ง ๆที่ต้องรีบปรึกษาตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย.51 ที่แม่ผมมีอาการปัสสาวะไม่ออกแล้ว แต่หมอเจ้าของไข้กลับวางแผนว่าจะปรึกษาหมอโรคไต เมื่อเขามาตรวจคนไข้ตามปกติตอนเช้า(6เม.ย.51)
และต่อมาน้องสาวก็โทรศัพท์มาบอกอีกครั้งว่า แม่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจและกำลังจะย้ายไป ตึกผู้ป่วยหนักอายุรกรรมแล้ว(แพทย์ฝึกหัดเป็นคนดูแลตลอด)
ผมรีบเดินทางกลับ ไปหาแม่ พบว่าแม่ถูกใส่ท่อช่วยหายใจ แต่ยังสื่อสารกันได้ พยักหน้ารับรู้ได้ ผมบอกแม่ว่า ตอนนี้ต้องใส่ท่อช่วยหายใจไปก่อนนะแม่จะได้ไม่เหนื่อยมากเหมือนหายใจเอง พอดีขึ้นแล้วหมอก็จะเอาออกให้นะครับ แม่ก็พยักหน้ารับรู้ มองหน้าผม ผมเองยังมีความหวัง ว่าถ้าแม่ดีขึ้น(สัญญาณชีพ)จะรีบย้ายแม่ไปรักษาที่ รพ.มหาวิทยาลัยทันที เพราะติดต่อเอาไว้แล้ว
น้องสาวเล่าให้ฟังว่า ตอนที่ผมยังเดินทางมาไม่ถึง หมอชำนาญโรคไต มาดูแม่ และไปนั่งสั่งยาและได้ยินหมอคุยกับพยาบาลว่า "อาการหนักขนาดนี้แล้วเพิ่งจะส่งปรึกษา" พยาบาลจึงบอกว่า ญาติคนไข้(น้องสาวผม)นั่งเฝ้าคนไข้อยู่นั่น หมอจึงหยุดพูดและบอกว่ารู้จัก (หมอเจ้าของไข้ส่งปรึกษาหมอโรคไตหลังจากที่แม่ผมมีภาวะไตวายเฉียบพลัน(ปัสสาวะไม่ออก)แล้ว 5 วัน(2-6 เม.ย.51)
ช่วงสายวันที่ 6 เม.ย.51 พยาบาลบอกว่าวันนี้ช่วงบ่าย ๆ หมอโรคทรวงอกจะมาดูเรื่องน้ำในปอดตามที่หมอเจ้าของไข้ปรึกษาไป (ในใบส่งปรึกษาหมอเจ้าของไข้ไม่ระบุวันที่ปรึกษา แต่หมอโรคทรวงอก ระบุวันที่รับปรึกษาคือ 6 เม.ย.51โดยในใบส่งปรึกษาหมอเจ้าของไข้ระบุว่าผู้ป่วยมีน้ำในช่องปอดวันนี้มีอาการเหนื่อย จึงปรึกษาเพื่อทำ ICD ซึ่งความจริงมีอาการเหนื่อยมาตลอดตั้งแต่เดือนมีนาคม2551 แล้ว)และได้ส่งใบเอกซเรย์ปอดให้แล้ว(มาเอกซเรย์ที่ตึก)แต่ปรากฏว่าหมอชำนาญโรคทรวงอก มาตรวจก่อนเวลา
ที่พยาบาลบอก(ช่วงบ่าย)ในขณะที่รถเอกซเรย์เคลื่อนที่กำลังเอกซเรย์ผู้ป่วยอีกตึกหนึ่งอยู่ ทำให้ยังไม่ได้เอกซเรย์ หมอโรคทรวงอกจึงเขียนในใบส่งปรึกษาว่ามาดูแล้วไม่มีฟิล์มค่อยมาดูให้วันถัดไป
ช่วงค่ำวันที่ 7 เม.ย.51 หมอชำนาญโรคไตมาตรวจผมจึงได้สอบถาม หมอคนนี้บอกว่า อาการหนักนะแต่ยังฟอกไตไม่ได้ เพราะสัญญาณชีพยังไม่ดี ตอนนี้ต้องให้ยาฆ่าเชื้อไปก่อน (หมอเจ้าของไข้ส่งปัสสาวะไปเพาะเชื้อวันที่ 5 เม.ย.51 หลังจากที่ผู้ป่วยมีภาวะช็อค จึงพบว่ามีการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะอย่างรุนแรงและแพร่เข้าสู่กระแสเลือด(UTI sepsis จากเชื้อ E.coli)หากหมอเจ้าของไข้ใส่ใจตรวจเช็คข้อมูลจากฟอร์มวัดปรอทที่พยาบาลบันทึกไว้ก็น่าจะเห็นความผิดปกติ)ตอนนี้คงต้องให้ยาช่วยให้มากที่สุดที่สามารถทำได้ และหมอบอกว่าตอนแรกเข้าใจว่าหลังจากที่ฟื้นจากภาวะแคลเซียมสูงเมื่อเดือนมกราคม 2551 คิดว่ากลับบ้านไปแล้ว ผมจึงเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นให้ฟัง หมอคนนี้ฟังอย่างตั้งใจและบอกว่า"ผมเข้าใจและเห็นใจ" ซึ่งช่วงนี้แม่ไม่รู้สึกตัวแล้ว และมีอาการกระตุก พยาบาลจึงรายงานหมอทราบ และได้สั่งให้ยา valium แม่ผมหายกระตุก แต่ที่เริ่มเห็นผิดสังเกตุ คือ ลิ้นของแม่ผมล่อออกมาจากปาก(ลิ้นจุกปาก)
วันที่ 8 เม.ย.51 พยาบาลบอกว่า หมอทรวงอกจะมาเจาะปอดและใส่สายระบายน้ำในปอดให้(ICD)ช่วงบ่าย จึงถามพยาบาลว่า ความดันโลหิตของแม่ต่ำมาก(ตัวล่างไม่ถึง50)จะมีปัญหาไหม พยาบาลจึงโทรศัพท์ไปถามหมอโรคทรวงอกได้รับคำตอบว่า เมื่อความดันฯ เป็นหน้าที่ของหมอเจ้าของคนไข้ต้องดูแลเอง ส่วนเขาก็จะทำ ICD ให้
ช่วงบ่าย(16.00น.) หมอโรคทรวงอกมา ผมจึงถามว่าแม่ผมความดันโลหิตต่ำมากจะมีปัญหาไหมที่จะทำ ICD หมอบอกว่า อาจจะดีเสียอีกคนไข้จะได้หายเหนื่อย และให้ผมออกไปรอข้างนอก ประมาณ 20 นาทีเศษ หมอโรคทรวงอกออกมาบอกว่าเสร็จแล้ว ผมจึงเข้าไปดูแม่ พยาบาลบอกว่าครั้งแรกที่เจาะระบายมีน้ำจากปอด ออกมา 1500 ซีซี และอยู่ในขวดที่ต่อไว้อีก 800 ซีซี รวมทั้งหมด 2300 ซีซี ที่ขังอยู่ในปอดข้างขวาของแม่ผมตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 (มารู้ว่ามีน้ำในปอดจากที่ผมเอกซเรย์ปอดให้เอง เมื่อวันที่ 26 มี.ค.51 และหมอมาเจาะใส่สายเพื่อระบายน้ำออกเมื่อ 8 เม.ย.51)รวมเป็นเวลาอย่างน้อย 14 วัน ที่น้ำขังอยู่เต็มปอดซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้แม่ผมมีอาการเหนื่อยมาตลอด)
เวลาประมาณ ห้าโมงเย็น หัวหน้าผมมาเยี่ยม(รังสีแพทย์คนละคนกับที่ผมให้ช่วยดูฟิล์มเอกซเรย์ปอดในครั้งแรกและพบว่ามีน้ำขังในช่องปอดและแนะนำให้แจ้งพยาบาลรายงานหมอเจ้าของไข้ทราบ)และได้โทรศัพท์ไปคุยกับหมอเจ้าของไข้(ซึ่งสนิทกัน) แล้วกลับมาบอกว่า จะขอให้ส่งตัวไปรักษาที่ รพ.อื่นก็ได้นะหมอเจ้าของไข้เขาจะเขียนให้แต่หมอเจ้าของไข้บอกว่าถึงไปที่อื่นเขาก็รักษาแบบนี้แหละ ผมฟังแล้วรู้สึกหดหู่และปวดร้าวในหัวใจเหลือเกิน และคิดในใจว่า ตอนที่ผู้ป่วยยังอยู่ในภาวะที่สามารถส่งตัวไปรักษาที่อื่นได้(ยังอยู่ห้องพิเศษ)กลับไม่คิดที่จะส่งไป ต่อเมื่อแม่ผมอาการหนักขนาดนี้ ติดเชื้อในกระแสเลือดแล้ว จึงค่อยมาพูดแบบนี้ และถ้าผมพาแม่ไปและเกิดเสียชีวิตระหว่างทางเรื่องก็จะกลายเป็นว่า เป็นความต้องการของญาติเองที่จะพาคนไข้ไป เพราะฉะนั้น
เกิดอะไรขึ้นเขาก็ไม่ต้องรับผิดชอบ
ผมจึงบอกฝากผ่านหัวหน้าให้ไปบอกหมอเจ้าของไข้ว่า ที่ผ่านมาผมไว้ใจเขานะ และหวังว่าเขาจะดูแลแม่ผมอย่างเต็มความสามารถหลังจากที่เคยพลาดมาแล้วเรื่องน้ำในช่องปอด แต่กลับกลายเป็นว่ายังละเลยและมาส่งปรึกษาหมอเฉพาะด้านเมื่อแม่ผมมีอาการเข้าขั้นวิกฤติแล้ว ยังมีการมาพูดอย่างนี้อีก และตั้งแต่แม่ผมย้ายมาอยู่ตึกผู้ป่วยหนักอายุรกรรม ก็ยังไม่เคยเห็นหน้าเลย ผมผิดหวังจริง ๆ และเสียใจที่สุดที่หลงไว้ใจในความเป็นหมอซึ่งทำงานรพ.เดียวกัน ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ เขาควรรู้ดีที่สุดในฐานะที่เป็นหมอว่าควรทำอะไร ไม่ใช่ให้ญาติอย่างผมต้องทำหน้าที่แทนหมอเที่ยววิ่งปรึกษาหมอคนโน้นคนนี้ว่าควรทำอย่างไร และต้องตัดสินใจเอกซเรย์เองเพราะหมอไม่สนใจฟังปอดตามที่ญาติเล่าอาการให้ฟัง ไม่สั่งเอกซเรย์ จริงๆ อยากจะพูดมากกว่านี้แต่ก็พยายามสะกดใจไว้เพราะหมอเจ้าของไข้ไม่ได้อยู่ฟังด้วยพูดไปก็เท่านั้น
ค่ำวันที่ 8 เม.ย.51 หลังจาก ทำ ICD แล้วแม่มีไข้สูง ตลอด 40-41 องศาเซลเซียส เช็ดตัวทั้งคืนจนถึงเช้าไข้ก็ไม่ลด
9 เม.ย.51 พยาบาลเวรเช้ามารับเวร ไม่ทราบนึกอะไรจู่ ๆ ก็นำไฟฉายมาส่องตาทั้ง 2 ข้างของแม่ผม และหันไปคุยกับพยาบาลเวรดึก ว่า "รูม่านตาขยาย 5 มม.ทั้ง2 ข้างเหรอ(pupil fix 5 mm.non-reac to light)"พยาบาลเวรเวรดึกตอบว่าใช่ ผมฟังแล้วตกใจ ว่าเอ๊ะ เราเฝ้าอยู่ตลอดทั้งวันทั้งคืนเมื่อผู้ป่วยมาภาวะเปลี่ยนไปที่เข้าขั้นวิกฤตมากขึ้นทำไมไม่บอกกันเลย จึงขอไฟฉายจากพยาบาลมาส่องดูเอง ปรากฎว่าเป็นอย่างที่พยาบาลเวรเช้าพูดจริง ๆ ผมรู้ว่าลักษณะอาการดังกล่าวไม่ดีแน่ ๆ โอกาสช่างเหลือน้อยนิดแล้วจริง ๆ
แม่จ๋า ลูกจะทำยังไงดี สับสนว้าวุ่นไปหมด
สักครู่ประมาณ 8โมงเช้าเศษ หมอฝึกหัด(คนที่ส่ง admitวันแรกที่มา รพ.17 ม.ค.51)มาตรวจและบอกว่า พี่หมอจะให้สารน้ำเพิ่มปรับเพิ่มความดัน(vorulent)แทนสารน้ำอย่างอื่นนะ เพราะถ้าให้ตัวอื่นเดี๋ยวน้ำในช่องท้องจะเพิ่มขึ้นอีก
ผมจึงว่าถ้าหมอคิดว่าดีกับคนไข้ก็ตกลง หมอสั่ง ยาดังกล่าว 2 ถุงๆ ละ 500 ซีซี เปิดให้ไหลเร็ว ๆ(free flow) แล้วหมอคนนี้ก็ไป หลังจากให้ยาตัวนี้ประมาณ 5 นาทีผมสังเกตุเห็นว่า ท้องของแม่บวมเป่งขึ้นมาทันทีอย่างน่ากลัว คล้าย ๆ เหมือนลูกโป่งที่ถูกเป่าเต็มที่พร้อมที่จะแตกทั้ง ๆ ที่ก่อนให้ท้องยังนิ่มดี และความดันก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย จึงบอกให้พยาบาลหยุดให้ยาดังกล่าว พยาบาลจึงถามว่า พี่จะให้ปั๊มหัวใจไหมเพราะความดันไม่ดีเลย ทั้งๆ ที่ให้ยาเต็มที่แล้ว เวลานั้นผมคิดแต่ว่า ทำยังไงก็ได้ที่จะช่วยแม่เอาไว้ได้
จึงตอบตกลง พยาบาลจึงรายงานหมอเจ้าของไข้ ระหว่างนั้นพยาบาลก็ได้ฉีดยา adrenaline เพื่อกระตุ้นหัวใจ ผมจึงรู้ว่า ผมคิดผิดที่ตัดสินใจอย่างนี้ เพราะเมื่อฉีด adrenaline เข้าไป แม่ผมหน้าตากระตุกบิดเบี้ยวเหยเกไปหมด มือเท้าเกร็ง ภาพที่เห็นตรงหน้ามันช่างโหดร้ายอย่างเหลือเกินแม่จ๋า ลูกไม่น่าไปเพิ่มความทรมานให้กับแม่อีกเลย
ต่อมาหมอหญิงเจ้าของไข้ก็มา แต่ไม่หันมาพูดอะไรกับผมเลย มีแต่หันไปพูดกับพยาบาลว่า เช้านี้ให้อะไรไปบ้าง หมอฝึกหัดมาให้อะไรไปบ้างแล้วก็จดอย่างเดียวไม่สนใจผมและญาติคนอื่น ๆ ที่อยู่ ณ ที่นั้นเลย ไม่คิดที่จะอธิบายว่าขณะนี้ สามารถทำอะไรได้บ้าง หรือแสดงให้เห็นว่าหมอได้ให้การ ช่วยเหลืออย่างเต็มความสามารถ ไม่มีเลย
สักครู่ต่อมาพยาบาลบอกว่าจะให้ช่วยต่อไหม แต่ สัญญาณชีพยังไม่ดีเลยต่ำลงตลอด ผมบอกพอเถอะไม่อยากทรมานแม่อีกแล้ว
แต่น้องสาวไม่ยอมยังขอให้ช่วยแม่ต่อไป ระหว่างนั้นหมอเจ้าของไข้ก็พูดขึ้นว่า
"เอ้าจะเอายังไงก็ว่ามา" ณ วินาทีนั้นผมรู้สึกสุดที่จะทนจริง ๆ กับพฤติกรรมของหมอคนนี้ จริยธรรม คุณธรรม จรรยาบรรณของความเป็นหมอหายไปไหนหมด ไร้ซึ่งความเมตตากรุณา แม้แต่วินาทีสุดท้ายของคนไข้กับความรู้สึกของลูกที่รู้ว่าบุพการีที่เหลืออยู่คนเดียวโลกและรักมากที่สุดอย่างสุดหัวใจกำลังจะจากเราไปแล้ว กลับไม่มีแม้แต่คำพูดที่แสดงถึงรู้สึกเห็นอกเห็นใจหรือแสดงความรับผิดชอบในฐานะหมอเจ้าของไข้แม้แต่น้อย ผมจึงกัดฟันอดทน สะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ และตอบไปว่า "ในเมื่อรู้ม่านตาขยาย ไม่ตอบสนองต่อแสงแล้ว(pupil fix)จะทำอะไรได้อีก "
หมอเจ้าของไข้ :"pupil fix จากให้ยา adrenaline ก็ได้"
ซึ่งความจริงผมรู้อยู่ก่อนแล้วว่า pupil fix ก่อนที่จะให้ยา adrenaline อีก (ตามที่เล่ามาแต่ต้น)
สุดท้ายผมจึงออกมานั่งข้างนอกเพื่อสงบสติอารมณ์ สักพักพยาบาลก็ออกมา
บอกว่า คงช่วยไม่ได้แล้ว แต่น้องสาวพี่ไม่ยอมเขาจะให้ช่วยต่อ ผมจึงบอกว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวจะพูดกับน้องสาวเอง
น้องสาวบอกว่า พี่ช่วยแม่ต่อเถอะนะ นะ เห็นไหม แม่ยังหายใจอยู่เลย ผมต้องปลอบน้องและบอกว่า ปล่อยแม่ไปเถอะนะ อย่าให้แม่ทรมานต่อไปอีกเลย ที่เห็นแม่ยังหายใจอยู่เพราะมีเครื่องช่วยหายใจต่างหาก และสังเกตุไหมว่าสีหน้าของแม่เริ่มเขียวแล้ว เพราะไม่มีเลือดไปเลี้ยงแล้ว ให้แม่ไปสบายเถอะนะ อย่าทรมานแม่อีกเลยนะเราช่วยแม่ไว้ไม่ได้แล้ว ปล่อยแม่เถอะนะ (พูดไปก็ร้องไห้กันไป)
เมื่อเห็นว่าน้องเริ่มผ่อนคลายแล้ว จึงบอกพยาบาลให้ยุติการช่วยเหลือ ซึ่ง
ก็มีพยาบาลหัวหน้าตึกเข้ามาปลอบและพูดว่า "เสียใจด้วยนะคะ แต่หมอ
ก็พยายามช่วยเต็มที่แล้วนะคะ" ทั้ง ๆ ที่ผมเห็นตรงข้ามเพราะตั้งแต่หมอ
เจ้าของไข้เข้ามาจนกระทั่งแม่ผมจากไปอย่างไม่มีวันกลับ เขาไม่ได้แสดงอะไร
ให้เห็นเลยว่าได้ช่วยเหลืออย่างเต็มที่แล้ว ทั้ง ๆ ที่เป็นความผิดพลาดในการ
รักษามาตั้งแต่ต้น แม้แต่คำพูดปลอบใจก็ไม่มี กลับเป็นพยาบาลเสียอีกที่
หน้าที่ตรงนี้แทน
หลังจากนั้นหมอเจ้าของไข้ให้พยาบาลมาบอกว่า จะคุยด้วย ผมตอบไปว่า
ไม่คุยด้วย เพราะยังอยู่ในอารมณ์โกรธอยู่ อาจยับยั้งอารมณ์ไม่อยู่ได้หากไปคุยด้วย
และเมื่อผมเดินออกมาข้างนอก เพื่อจะสงบสติ และคิดว่าจะทำยังไงต่อไปดี
หมอเจ้าของไข้ก็เรียกผมด้วยตัวเอง ผมก็ตอบเหมือนเดิมว่าไม่คุยด้วย ทุกอย่างจบแล้ว
เพราะรู้ว่า เขาจะพูดว่าอะไร (ระบุสาเหตุว่าเสียชีวิตจากอะไร ซึ่งไม่ต้องบอก
ผมก็รู้เพราะเฝ้าดูอาการและ ผลตรวจต่าง ๆ ตลอด)เขาจึงหันไปนั่งเขียนสรุปสาเหตุการตายต่อและเดินออกจากตึกไป ในใบสรุปสาเหตุการตายระบุสาเหตุ
1.UTI sepsis
2.Acute renalfailure
2.Hypoalbuminemia
3.malnutrition
...
“ จากเดิมที่แม่ผมมานอน รพ.ด้วยเรื่องซึมจากแคลเซียมในกระแสเลือดสูง
ต่อมาไม่รู้สึกตัวและภายหลังได้ฟื้นรู้สึกตัวดี แต่มีภาวะท้องอืดและน้ำในช่องท้อง
แต่สุดท้ายกลับมาเสียชีวิตเพราะติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะอย่างรุนแรง
และพิษเข้าสู่กระแสเลือด” ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ .....
หลังเกิดเหตุการณ์หมอเจ้าของไข้หลบหน้าตลอด เมื่อจำเป็นต้องเข้ามา
ปรึกษาฟิล์มกับหัวหน้าผมที่แผนกเอกซเรย์ เมื่อเห็นหน้าผมก็จะหันหน้าไป
ทางอื่น ไม่กล้าสบตาผม เพราะผมจ้องมองตลอด อยากรู้ว่าเขาจะพูดหรือแสดงความรู้สึกผิดอย่างไรหรือไม่ แต่เปล่าเลย
หลายคนที่รับรู้เรื่องมีทั้งที่แนะนำให้ฟ้อง และบ้างก็บอกให้อโหสิเถอะทำอะไรเขาไม่ได้หรอก(ผู้ใหญ่ที่นับถือบอก) ผมจึงอยากขอความเห็นจากคุณหมอเทพ ,คุณปรียนันท์และสมาชิกทุกท่านว่า ผมควรทำอย่างไรดี ผ่านมา 3 เดือน เศษแล้ว ยังตัดสินใจ
ด้วยความยากลำบาก ถ้าฟ้องก็มีคนเตือนว่าให้เตรียมใจนะอาจจะถูกโดดเดี่ยว และมีผลต่อหน้าที่การงานได้
นี่ผมจะยังสามารถทวงหาความยุติธรรมให้กับแม่ผมที่จากไปด้วยสาเหตุที่ไม่น่าจะเกิดเลยได้อยู่อีกหรือ ทั้ง ๆ ที่เกิดจากการกระทำของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นหมอแท้ ๆ
ก่อนหน้านี้ ผมได้เคยโทรศัพท์ปรึกษาคุณปรียนันท์ดลพร)เมื่อเดือนเมษายน 2551 ไปครั้งหนึ่งแล้วหลังจากเกิดเหตุการณ์ใหม่ๆ และสรุปว่าในเบื้องต้นผมต้องการให้หมอ
คนนี้กล่าวขอโทษต่อบุตรและญาติของแม่ และขอขมาต่อแม่ผม(ที่ทำให้แม่เสียชีวิต) โดยทำหนังสือถึง ผอ.รพ.และให้เรียกคู่กรณีมาชี้แจง แต่ก็มีผู้หวังดีบอกว่า ผอ.จะเกษียณแล้วคงไม่ทำอะไรหรอก และดีไม่ดีอาจเข้าข้างคู่กรณีอีกจะยิ่งทำให้ทุกข์หนักเข้าไปอีก
จึงต้องขอพึ่งคุณหมอเทพและท่านทั้งหลายครับ และคิดเสมอว่าเวปนี้จะเป็นที่พึ่งยามยากแก่ผู้ประสบชะตากรรมที่ไม่ได้ก่อและได้รับความสูญเสียเพราะบุคคลอันเป็นที่รักสุดชีวิตต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ (แม่จ๋า...ไม่น่าเลยจริงๆ )
ขอบคุณครับ
โดย: ผู้รอความหวัง/malilayala@hotma [3 ส.ค. 51] ( IP A:222.123.143.233 X: )
Add to Facebook  Add to Twitter  Add to Multiply  Add to Google  Add to Blogger  Add to Live
ความคิดเห็นที่ 1
   ก่อนอื่นผมต้องขอแสดงความเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น และเห็นใจที่คุณต้องมาเสียแม่ ซึ่งอาจจะยังไม่ต้องเสีย หรืออาจจะเสียโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ (ต้องดูเอกสาร) แม้ว่าผมจะเชื่อว่าที่คุณเล่ามานั้นจริง
เคยมี ปรมาจารย์ เขาว่า ถ้าไม่จำเป็นอย่าเข้าโรงพยาบาล อยู่บ้านปลอดภัยกว่า
การรักษาของหมอ เป็นวิธีที่มีอันตรายเช่นกัน เหมือนขับรถ ก็ชนกันตาย คว่ำตายได้ แม้ว่ารถจะมีประโยชน์ แต่คนขับต้องขับเป็นและระมัดระวัง
ผมเคยมีเพื่อน เคยเตือนๆ เขาว่าผมรักษาคนแก่ ตายญาติชอบ จะได้เอามรดกมาแบ่งกัน (หวังว่ามันพูดเล่น)
แต่ผมบอกมึ งคิดแบบนี้คิดผิดแล้ว เท่าที่ฟ้องๆแล้วสู้ไม่ถอยนี่ประเภทแม่แก่ๆ ที่เห็นไม่มีราคา มีมรดเยอะนี่แหละ ของรักของหวงเขาเลยละ ถ้าทำตายเตรียมโดนได้เลย
เรื่องนี้ ถ้าคุณอยากร้องเรียนและหาความเป็นธรรมให้แม่คุณ คุณก็ร้องเรียนได้ บอกเขาว่าขอแค่ความเป็นธรรมว่าหมอรักษาไม่ถูกต้องไม่ดี ไม่ต้องลงโทษแรงๆหรอก เอาแค่ว่าถ้าหมอผิดก็ให้ตำหนิและเตือนให้ระมัดระวังและปรับปรุงตัวเองให้ดีทางวิชาการ คนอื่นจะได้ไม่เละอีก
แต่ถ้าหมอรักษาดีแล้วก็แล้วไป
ถ้าคุณยังสงสัย ก็ส่งเวชระเบียนมา จะช่วยตรวจสอบให้
มีโรงพยาบาลบางแห่ง ได้มาตรฐาน เขาว่าถ้าคนไข้เข้าโรงพยาบาลแล้วแย่ลงภายใน 48 ชั่วโมง เขาจะต้องมีทีมตรวจสอบว่าทำไม มีอะไรผิดปกติหรือไม่ ผมว่าอาจจะต้องมีระบบแบบนี้ มีตำรวจตรวจสอบภายใน
ผมเคยมีคนไข้เข้าโรงพยาบาลดีดีตอนสองทุ่ม ตี 3 หอบ ตายเลย
ถามใครก็บอกไม่มีมูล ขนาดยุ่งๆส่งอายุรแพทย์ตรวจสอบ ยังบอกไม่มีมูล เฮ้ย ไอ้เทพ รายนี้มึ งอย่ายุ่งเลย ไม่มีมูลเดี๋ยวซวย
ผมบอกผมไม่เชื่อหรอก เข้าดีดี แล้วตายนี่ รักษาผิดแหง๋ๆไว้ก่อน จนกว่าจะพิสูจน์ว่าไม่ใช่
ตกลงผมหาเจอ พี่เขาถามว่ามึ ง คิดมาได้ยังไง ผมก็บอกสามัญสำนึก
พวกญาติ ลูก หรือพ่อแม่เด็ก นี่แหละ สํญชาติญาน และความที่เขามีคนไข้รายเดียว (หมอมีหลายสิบ) เขารู้ดีกว่าหมอตามที่หมอชอบแดกดัน(ผมก็เคยเป็น) เชื่อเขาหน่อยก็ดี
ก็หวังว่าเราจะหาความจริงได้ จะได้ให้ความเป็นธรรมทั้งกับแม่คุณและกับหมอ และเป็นประโยชน์กับรายอื่น
ถ้าคุณเห็นด้วยกับท่อนสุดท้าย คุณก็ร้องเรียน ผมเป็นหมอผมจะทำใจ เพราะถ้าผิดเราก็จะได้ระมัดระวังและปรับตัว
โดย: คิดดู [3 ส.ค. 51 1:17] ( IP A:58.8.14.117 X: )
ความคิดเห็นที่ 2
    เครือข่ายฯ งานเข้า
ขอแสดงความเสียใจด้วยกับเจ้าของกระทู้ค่ะ
โดย: สมาชิกเครือข่ายฯ [3 ส.ค. 51 10:38] ( IP A:222.123.131.190 X: )
ความคิดเห็นที่ 3
   เรียน คุณหมอเทพที่เคารพ
ขอบพระคุณครับที่คุณหมออุตส่าห์สละเวลาอ่านและให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์
ผมขอเรียนปรึกษาเพิ่มเติมดังนี้
1.ผมจะส่งเอกสาร(ประวัติการตรวจรักษา ชุด admit) ไปให้คุณหมอได้ที่ไหนครับ
2.ผมทราบว่าตามระเบียบการร้องเรียน หรือแจ้งความ จะต้องดำเนินการภายใน 1 ปี นับแต่วันที่
ทราบเรื่องหรือเกิดเหตุ แต่ขณะนี้หมอเจ้าของไข้รายนี้ได้เดินทางไปต่างประเทศ 6เดือน(ไปเมื่อปลายเดือน
ก.ค.51ที่ผ่านมา) จะสามารถทำหนังสือร้องเรียนได้หรือไม่ครับ เพราะเจ้าตัวไม่อยู่
และหากจะรอให้กลับมาก็ใกล้จะครบ 1 ปีแล้ว
3.หนังสือร้องเรียนต้องทำถึงใครบ้าง เช่น แพทยสภา สสจ. ผู้อำนวยการ รพ.

ขอบพระคุณครับ
โดย: ผู้รอความหวัง [3 ส.ค. 51 11:06] ( IP A:222.123.140.188 X: )
ความคิดเห็นที่ 4
   ขอบคุณ เครือข่ายฯ งานเข้า ครับ
โดย: ผู้รอความหวัง [3 ส.ค. 51 11:12] ( IP A:222.123.140.188 X: )
ความคิดเห็นที่ 5
   ให้ส่งเอกสาร
1. ลำดับเหตุการณ์ (อาจไม่จำเป็นเพราะคุณเล่ามาแล้วอย่างละเอียด)
2. สำเนาเวชระเบียน (ประวัติการรักษาพยาบาลทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง)

ที่อยู่ให้โทรไปถามที่อยู่ได้ที่เบอร์ 081-629-4440
โดย: เครือข่ายฯ [3 ส.ค. 51 12:16] ( IP A:58.9.193.253 X: )
ความคิดเห็นที่ 6
   ขอบคุณครับ
โดย: ผู้รอความหวัง [3 ส.ค. 51 13:07] ( IP A:222.123.140.188 X: )
ความคิดเห็นที่ 7
   ร้องเรียน
แพทยสภา ต้องร้องใน 1 ปี
ร้องเรียน
สสจ. ผู้อำนวยการ รพ. ร้องเมื่อไหร่ก็ได้
ฟ้องศาลต้องฟ้องใน 1 ปี
หมอที่ถูกร้องเรียนจะอยู่หรือไม่ไม่สำคัญ
ส่วนฟ้องศาล ฟ้องกระทรวง ฟ้องหมอไม่ได้ (เรียกค่าเสียหาย) หมอจะอยุ่หรือไม่อยู่ไม่สำคัญ
ฟ้องศาล เอาหมอเข้าคุก หรือรอลงอาญา ฟ้องได้ในอายุความ 15 ปี
ต้องรอหมอกลับมา ฟ้องก่อนก็ได้ แล้วออกหมายจับคาไว้ กลับมาเมื่อไหร่ก็ไปจับตัวไปศาล สู้คดีกัน
โดย: ฟฟ [3 ส.ค. 51 13:29] ( IP A:58.8.14.117 X: )
ความคิดเห็นที่ 8
   ขอบคุณครับที่ให้คำแนะนำ
โดย: ผู้รอความหวัง [3 ส.ค. 51 16:05] ( IP A:222.123.182.202 X: )
ความคิดเห็นที่ 9
   คนไข้ที่ รพ สุราษฎร์หรือเปล่าครับ
โดย: อนันต์ [3 ส.ค. 51 16:32] ( IP A:202.129.48.195 X: )
ความคิดเห็นที่ 10
   ไม่ใช่ครับ
โดย: ผู้รอความหวัง [3 ส.ค. 51 17:26] ( IP A:222.123.182.202 X: )
ความคิดเห็นที่ 11
   น่าสงสารจังเลยนะ
เราก็เป็นคนที่รักแม่มากๆ เข้าใจจิตใจเจ้าของกระทู้นะ
อย่างไรเราอยากให้ฟ้องหมอเจ้าของไข้มาก ไม่งั้นจะย่ามใจ ได้ใจเข้าไปใหญ่ ใกล้วันแม่แล้วด้วย เรียกความยุติธรรมคืนกลับให้แม่นะ แม่ทรมานมากเลยนะ ตอนอยู่โรงพยาบาล อ่านไปน้ำตาซึมเลย สงสารแม่เจ้าของกระทู้นะ
โดย: เป็นกำลังใจให้นะคะ [3 ส.ค. 51 22:33] ( IP A:58.8.86.70 X: )
ความคิดเห็นที่ 12
   ต่อจากความเห็นที่ 13

แพทยสภา
ในสายตาชาวบ้านก็เหมือนรัฐบาลห่วยแตกชุดนี้
คุณจะไปเพื่อพิสูจน์ความบัดซบก็ได้ เป็นสิทธิของคุณ

หรือพวกนั้นเห็นว่ามาร้องที่เครือข่ายฯ แล้ว ก็อาจจะอยาก
ตบหน้าเครือข่ายฯก็เป็นได้ อาจจะเป็นโชคของคุณ
แต่พวกเราพิสูจน์กันมามากแล้ว คดีไตหายสด ๆ ร้อน ๆ
ก็แสดงความบัดซบออกมาให้เห็นหางโผล่กันสลอน

วินาทีนี้ อยากแนะนำคุณว่า หลังวันที่ 23 สิงหาคม 2551
พรบ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พศ.2551 จะมีผลบังคับใช้
ไม่ต้องมีค่าธรรมเนียมศาล ไม่ต้องใช้ทนาย ระยะเวลารวดเร็ว

ฟันธง ไปศาลผู้บริโภคดีที่สุด....!

ที่ผ่านมา แพทยสภา กองประกอบ สำนักปลัดฯ
มันพึ่งไม่ได้ มันมีไว้ช่วยพวกเดียวกันเอง

เขาถึงได้คลอดกฎหมายใหม่ ออกมาช่วยผู้บริโภค

เขาเลิกไปกันแล้ว หน่วยงานห่วยแตก...!
เขาเลิกไปกันแล้ว หน่วยงานห่วยแตก...!
เขาเลิกไปกันแล้ว หน่วยงานห่วยแตก...!
โดย: ห่วยแตก [4 ส.ค. 51] ( IP A:58.9.183.252 X: )
ความคิดเห็นที่ 13
   สรุปเท่าที่อ่านดูนะ ที่คิดว่าเป็นสาเหตุจริงๆ

1. ให้การวินิจฉัยล่าช้าเรื่อง pleural effusion?
มาตรฐานในการตรวจบกพร่อง?
ผลจากการวินิจฉัยล่าช้า?

ปล.ผมไม่กล้าฟันธงนะ เพราะต้องดูข้อมูลแวดล้อม แต่ถ้าเป็นเท่าที่คุณบอกจริงก็คิดว่าบกพร่องจริง
ปล. เรื่องต้องเจอะท่านั่ง/ท่านอน ----> medicine ถูกสอนมาให้ทำอย่างนั้น แต่ถ้าเป็น surgery มักทำ ICD แต่ต้องดูข้อมูลอื่นประกอบด้วย

2.ส่งปรึกษาแพทย์เฉพาะทางช้า?

ปล.ไม่กล้าฟันธงเช่นกันแล้วแต่ดุลพินิจ + ข้อมูล

3.ไร้ความแมตตา-ไร้มนุษยธรรม

ผมยังอ่านไม่เจอสาระสำคัญที่บ่งบอกการกระทำที่ไร้เมตตาอันใด
โดย: ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ... ไม่ลองปรึกษาพี่เขยที่เป็นหมอหล่ะ [4 ส.ค. 51] ( IP A:202.28.181.200 X: )
ความคิดเห็นที่ 14
   ขอขอบคุณทุกๆ ท่านครับที่กรุณาอ่าน และให้ความเห็นใจ รวมทั้งให้คำแนะนำดี ๆ ด้วยครับ
เรื่องทั้งหมดเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น มีทั้งพยานที่เป็นพยาบาล,หมอที่ผมไปปรึกษาและแนะนำ
ให้รีบส่งตัวไปรักษาที่ รพ.มหาวิทยาลัย ที่ระบุในเหตุการณ์ตามที่เล่ามา ในแต่ละช่วง
สามารถอ้างชื่อได้ครับ และเอกสารที่ผม กำลังจะส่งให้คุณหมอเทพช่วยตรวจสอบ ก็จะเป็นหลักฐานได้ครับ
ตามความเห็นที่ 19 ข้อ 1.ผมมีพยานเป็นรังสีแพทย์ที่นำฟิล์มไปปรึกษา และพยาบาลที่ให้โทรศัพย์
รายงานหมอเจ้าของไข้ ข้อ.2 หลักฐานคือใบปรึกษาแพทย์ระหว่างแผนก ที่ระบุวันที่รับปรึกษา(6เม.ย.51)
และใบใน order ที่ พยาบาล note ไว้ คือ planว่าจะปรึกษาหมอ...(ชำนาญโรคไต
พรุ่งนี้(6เม.ย.51) และเอกสารผล lab ที่เพิ่งส่งปัสสาวะตรวจเพาะเชื้อ 5 เม.ย.51 และพบว่าติดเชื้อ
แล้ว ครับ ขอบคุณเจ้าของความคิดเห็นมากครับ
โดย: ผู้รอความหวัง [4 ส.ค. 51 1:36] ( IP A:222.123.43.102 X: )
ความคิดเห็นที่ 15
    ความคิดเห็นที่ 18

จะให้เขาเลิกได้ไงคะ
รวยยังไม่พอ โกงยังไม่เจ๋ง มันต้องเลวกว่านี้ค่ะ

ที่ผ่านมา แพทยสภา กองประกอบ สำนักปลัดฯ
มันพึ่งไม่ได้ มันมีไว้ช่วยพวกเดียวกันเอง
โดย: สมาชิกเครือข่ายฯ [4 ส.ค. 51 9:19] ( IP A:117.47.222.67 X: )
ความคิดเห็นที่ 16
   ขอแสดงความเห็นเสริม เพื่อท่าน จขกท ไปคิดดู

คุณแม่ของท่าน ก็ได้จากไป "ไม่กลับ" อีกแล้ว

หากท่าน จขกท จะเรียกร้องความยุติธรรม เพื่อพิสูจน์ว่า เป็นกรณีที่เกิดจาดความผิดพลาดที่ไม่น่าเกิด และเพื่อ "ความถูกต้องและเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเพื่อแม่" ผมก็ขอสนับสนุนเต็มที่

แต่ด้วยความเป็นไปตามเหตุการณ์เท่าที่ผ่านๆมาหลายๆปี และ ภายใต้นิสัย/กมลสันดานของบรรดาผู้ใหญ่ในวงการแพทย์ที่ยังคงแผ่อิทธิพลแบบโกงๆแบบฉ้อฉล โดยเฉพาะในแพทยสภา สำนักปลัดฯและอีกหลายๆหน่วยงานในกระทรวง ส.ธ. เอง การที่คุณจะเรียกร้องให้ "หมอ" ที่เป็นต้นเหตุแห่งการตายของแม่บังเกิดเกล้าของคุณ ยอมรับผิดและขอโทษ แม้ว่าจะพบในที่สุดว่าเขาผิดจริงๆ "เป็นเรื่องที่ ยาก มากจนกระทั่งแทบเป็นไปไม่ได้เลย" เพราะคนเหล่านั้น "ไม่มีคำว่าสำนึกผิดชอบชั่วดีขั้นพื้นฐานของมนุษย์" อยู่เลย

ถ้าหากคุณมีความตั้งใจที่จะทำเพื่อ "แม่" โดยละความผู้พยาบาทในใจ แต่ทำเพื่อพิสูจน์ความถูก/ผิด และ จะได้เป็นกรณีศึกษา เป็นบทเรียนที่ป้องกันไม่ให้แม่ของใครคนอื่นๆทั้งที่เป็นหมอและไม่ได้เป็น ต้องมาซ้ำรอยเดิมอีก

ผมก็ขออนุโมทนา แต่ก็ขอย้ำว่า ท่านต้องลงทุนลงแรงอีกเยอะและยาวนานมาก และมากอย่างที่คุณนึกไม่ถึงมาก่อน ต้องตั้งใจแรงกล้า อึดมากๆ และใจเต็มร้อย

ขอให้สมหวังครับ
โดย: คนรู้ทัน ไม่รู้จริง [4 ส.ค. 51 12:54] ( IP A:58.8.98.169 X: )
ความคิดเห็นที่ 17
   ขอบคุณมากครับ ที่ผ่านมาผมใช้เวลาคิดนานหลายเดือนกว่าจะตัดสินใจทำ เหตุผลก็อย่างที่ท่านกล่าวมาครับ ในเมื่อเรารู้ต้นสายปลายเหตุว่าเป็นอย่างไร แล้วนิ่งดูดายปล่อยให้บุพการี ร่มโพธิร่มไทรทองของเราต้องผจญชะตากรรม
เช่นนี้ ทั้งๆ ที่ไม่สมควร ก็เหมือนอกตัญญู ต่างมุมมองก็ต่างความคิด และหากได้ทำแล้วบังเกิดผลเช่นไรก็คงต้องยอมรับ
อย่างน้อยแม้ไม่ประสบผลสำเร็จดังใจคิดหรือคาดหวัง แต่คุณแม่ที่อยู่เบื้องบนท่านคงรับรู้ได้ว่าลูกคนนี้ยังระลึกถึงพระคุณแม่และ
ไออุ่นที่เคยสวมกอดกันได้เสมอ ลูกได้ทำในสิ่งที่สมควรทำให้แม่แล้ว
แม้ไม่สำเร็จท่านก็คงให้อภัย และผลแห่งการกระทำในครั้งนี้อย่างน้อยก็
็อาจทำให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อมได้ปรับเปลี่ยน
พฤติกรรมได้บ้าง ผู้ป่วยที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ก็จะได้รับอานิสงฆ์บ้างอย่างน้อยได้รับการ
เอาใจใส่มากขึ้นเพราะสังเกตุหลังจากเกิดเรื่อง ก็มีการพูดในวงในของ รพ.นี้บ้างพอสมควร
แม้จะไม่ได้ยินจากปากก็ตาม และผมก็เชื่อในเรื่องของกงกรรมกงเ *** ยน บาปบุญมีจริง
และมองเห็นกันในชาตินี้ เพราะคนทำผิดย่อมรู้อยู่แก่ใจ ความสบายใจจริงแท้ก็หดหาย
กินอยู่ย่อมไม่เป็นสุข เพราะปมดำที่เขาก่อยังติดค้างอยู่ในใจของเขา ยังมิได้รับการปลดปล่อย
นั่นเอง ที่พูดเช่นนี้ เพราะเมื่อวันก่อนมีคนไข้มาเล่าให้ฟัง(เขาไม่รู้ว่าเป็นคู่กรณีกัน)ว่า
"เมื่อก่อนไปหาหมอคนนี้ที่คลินิกจะพูดจาดี(ก็ได้เงินนี่เนาะ) แต่ไม่รู้ทำไมเดี๋ยวนี้อารมณ์ฉุนเฉียว
หงุดหงิดง่าย พูดจาห้วนๆ ทั้งๆ ที่เอาเงินไปให้แท้ๆ"
และได้ข่าวว่าป่วยบ่อยเรื้อรัง บางครั้งต้องมาพ่นยาหอบที่ห้องฉุกเฉิน ที่ทราบเพราะหัวหน้า
ผมซึ่งสนิทกับหมอคนนี้มาเล่าให้ฟัง ไม่รู้ต้องการหยั่งเชิงว่าเรายังโกรธเขาอยู่รึเปล่า แต่ผมก็ฟังเฉยๆ
ไม่ได้ออกความเห็นอะไร แต่ในใจก็คิดตามประสาชาวพุทธว่า สมัยนี้เวรกรรมมันช่างตามทันไวจริงหนอ
ตอนนี้เขาค่อยยังชั่วก็เลยไปเมืองนอก 6 เดือน
ผมจึงเตรียมใจเผื่อไว้แล้วนานพอสมควรแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกพอใจครับว่าอย่างน้อยยังมีผู้ที่รับฟัง
ให้ความเห็นใจ อย่างที่ทุกท่านของสมาชิกเครือข่ายฯ ได้แสดงให้ผมเห็น แม้ไม่เห็นหน้ากัน ไม่ได้ฟังจาก
ปาก เพียงผ่านจากตัวหนังสือ ทุกท่านก็ยังแสดงน้ำใจแสดงถึงมุทิตาจิตที่มีให้แก่กันได้ขนาดนี้ คุณแม่
ที่อยู่เบื้องบนก็คงรับรู้ได้เช่นเดียวกันกับผม ขอบคุณครับ ขอบคุณจริง ๆ
โดย: ผู้รอความหวัง [4 ส.ค. 51 22:35] ( IP A:222.123.176.68 X: )
ความคิดเห็นที่ 18
    ถ้ามั่นใจว่าเราบริสุทธิ์ใจ เป็นผมจะขอใช้สิทธิ์ทำไปตามกฎหมายครับ
โดย: แล้วไม่ต้องเสียใจ [4 ส.ค. 51 23:13] ( IP A:124.121.142.40 X: )
ความคิดเห็นที่ 19
    ยกเว้นเขาจะยอมรับความพลาดแล้วมาขอให้ยกโทษให้ ผมก็ว่าน่าจะพูดคุยกันได้
โดย: แล้วไม่ต้องเสียใจ [4 ส.ค. 51 23:15] ( IP A:124.121.142.40 X: )
ความคิดเห็นที่ 20
   คงยากครับ เพราะยังหลบหน้า ไม่ยอมมองตาเลยขนาดเจอหน้ากันจัง ๆ
โดย: ผู้รอความหวัง [4 ส.ค. 51 23:22] ( IP A:222.123.176.68 X: )
ความคิดเห็นที่ 21
   และผลแห่งการกระทำในครั้งนี้อย่างน้อยก็
็อาจทำให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อมได้ปรับเปลี่ยน
พฤติกรรมได้บ้าง ผู้ป่วยที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ก็จะได้รับอานิสงฆ์บ้างอย่างน้อยได้รับการ
เอาใจใส่มากขึ้นเพราะสังเกตุหลังจากเกิดเรื่อง ก็มีการพูดในวงในของ รพ.นี้บ้างพอสมควร


เหตุผลแรกที่เราฟ้องเขาเพราะเหตุผลนี้แหล่ะค่ะ
และเราก็เป็นคนหนึ่งที่ฟ้องหมอ เพราะเหตุผลเดียวกับคุณ

โดย: สมาชิกเครือข่ายฯ - GN [5 ส.ค. 51 10:22] ( IP A:222.123.208.180 X: )
ความคิดเห็นที่ 22
    สู้ๆๆๆ ค่ะ

โดย: GN+ [5 ส.ค. 51 10:39] ( IP A:222.123.208.180 X: )
ความคิดเห็นที่ 23
   เครือข่ายนี้เหมือนศาสนาพุทธอย่างหนึ่ง ก็คือใครอยากเป็นสมาชิก ก็เป็นได้ทันที ใครไม่อยากเป็นก็ไม่เป็นได้ทันที
หน้าที่ของสมาชิกคือช่วยตัวเอง และช่วยผู้อื่น
ใครทำใครได้
เหมือนศาสนพุทธ ทำดีทำชั่ว ใครทำใครได้
คนอื่นเอาไปไม่ได้
ศาสนาคริสต์ผมไม่มีประสบการณ์มาก แต่ผมเป็นว่าของเขาสะดวก ไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ ของเราทุกวันพระ (ไม่เคยจำได้สักทีว่าวันไหนวันพระ) และของเขา ทำบาปล้างบาปได้ จบกัน
ก็หวังว่าเราคงเอามาใช้ได้ในวงการแพทย์ทั้งสองแบบ
ก็เห็นว่าถ้าหมอเขายอมล้างบาปก็น่าจะจบ (ถ้าเขาผิดจริง)
แต่กระทรวงต้องใช้หนี้เขาบ้าง ถ้าพิสุจน์ว่าผิดจริง
เช่น ค่าทำศพ ค่าทำขวัญ จัดห้องให้แม่เขาห้องหนึ่ง ใส่ชื่อไว้
อย่างน้อยก็ทำให้ลูกหลานเขาสบายใจขึ้นที่ได้ทำอะไรให้แม่เขาบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้ตายฟรีๆ (หากหมอผิดจริง)
หากไม่ผิดก็คงต้องรับกันว่าไม่ผิด จะได้สบายใจ ทางคนไข้ก็ต้องขอโทษหมอที่เขาใจผิด ไม่ว่ากัน (คนไข้เขามีสิทธิ์สงสัยได้เสมอตามสิทธิผู้ป่วย ถามหมอคนอื่นได้)
โดย: ๆๆ [5 ส.ค. 51 10:51] ( IP A:58.8.13.96 X: )
ความคิดเห็นที่ 24
   ผมจะเล่าเรื่องจริงให้ฟัง
สมัยก่อนเวลาสอบผู้เชี่ยวชาญศัลยกรรม ที่พระมงกุฏสอบตกบ่อย
ผมเคยถามอาจารย์ เขาว่าหมอเอ๋ย หาคนเก่งๆมาเรียนยาก มีมาให้ใช้ก็ดีแล้ว คะแนนที่เข้ามาแต่ละคนนี่เหลือเดนที่อื่น (รามา ศิริราช จุฬา)มาแล้ว ก็คือเหตุผลที่ทำไมสอบตกบ่อย
แผนกอื่นๆก็ไม่ต่างกัน
ต่อมา มีอาจารย์แผนกกระดูกกลับมาจากนอก ชื่อสุปรีชา ผมจำได้ ตอนเป็นนักเรียนแพทย์ไปเรียนที่พระมงกุฏ (วิชาผ่าตัดกระดูก) ดุชิบหาย อาจารย์แกเอาจริง ผมฟังแพทย์ประจำบ้านเล่าให้ฟังว่า อจ. เขาเคี่ยว คุมไปทำการแซะศพด้วยตนเอง พัฒนาแผนกกระดูกจากที่สอบตก เป็นเรื่องปกติ จนสอบได้ที่ 1 และมีคนแย่งกันเข้าเรียน(คะแนนดีดีมาสมัคร ไม่ใช่เหลือเดน)
นี่เป็นเรื่องจริงว่า ถ้าเอาจริง การงานก็ดีขึ้น ทุกวันนี้ ถ้าเอาจริงๆ จะดีได้อีกเท่าตัว
การผลิตมันยังไม่เต็มศักยภาพ
แต่ถ้าไม่เชื่อ ก็ตัวใครตัวมัน ขาดหมองานหนักก็ห้ามบ่น
อยากได้เงิน ก็ขึ้นเงินเดือนเอง แบบ ปปช ก็ไม่มีใครว่าอะไร
แต่อย่ามาอ้าง ฟ้องหมอ อ้างว่าจะแก้ไขการขาดแคลนหมอให้เงินเดือนเท่าเอกชน ชาติหน้าตอนบ่ายๆ ราชการทุกชนิดให้เงินเดือนเท่ากันกับ มันก็เอา ... ทำอย่างเดิม
ระบบคอนโทรลมันเสีย ใส่เงินไปเท่าไหร่ก็ไม่ฟื้นหรอก
ขนาดอังกฤษ/สหรัฐ เงินดีดี พอๆกับเอกชน มันยังมีปัญหาขาดแคลนหมอเลย แถมความผิดพลาดทางการแพทย์ ยังโหลยโท่ยติดอันดับด้วย
แก้ปัญหานะใช้สมอง แก้ตัว/ด่าคนอื่นใช้น้ำลายกับลมที่ออกตามทวาร
โดย: เสพเมถุนแล้วยัง น้อง [5 ส.ค. 51 12:17] ( IP A:58.8.13.96 X: )
ความคิดเห็นที่ 25
    ขอบคุณครับ
โดย: เลก [5 ส.ค. 51 22:10] ( IP A:124.121.78.96 X: )
ความคิดเห็นที่ 26
   ขอขอบคุณทุกความคิดเห็นครับ
โดย: ผู้รอความหวัง [5 ส.ค. 51 23:37] ( IP A:222.123.179.171 X: )
ความคิดเห็นที่ 27
   อืม วันนี้ผมติดเวร ว่างๆจะมาอ่านให้ละเอียดอีกที แต่อ่านจากที่หมอเค้าพูดว่า " เอ้า จะเอายังไงว่ามา " ในเหตุการณ์ตอนนั้นเนี่ย ผมว่าแกพูดห้วนเกินไป พูดง่ายๆคือแกน่าจะพูดให้ดีกว่านี้หน่อย
โดย: แพทย์ผู้อยากระบาย [6 ส.ค. 51 23:29] ( IP A:118.173.242.198 X: )
ความคิดเห็นที่ 28
   พูดให้นิดนึงแล้วกันครับ ที่คุณ จขกท สงสัยว่า ทำไมคนไข้อุบัติเหตุเอ็กซเรย์แล้วมีน้ำนิดเดียวหมอถึงใส่ ICD ก็เพราะว่ากลัวจะเป็นเลือดออกในเยื่อหุ้มปอดยังไงล่ะครับ ภาวะนี้ถ้าเกิดขึ้นคนไข้มีสิทธิ์แย่ลงได้เร็วมาก จึงต้องใส่ระบายไว้ก่อนแล้วจึงวางแผนส่งต่อผู้เชี่ยวชาญต่อไป

ส่วนเรื่องน้ำในปอดนั้น ถ้าอ่านจากที่คุณเขียนผมว่า หมอแกอาจจะมองว่าคนไข้น่าจะเหนื่อยจากอาการท้องอืดน่ะครับ เพราะคนไข้ที่มีอาการท้องอืดก็จะเหนื่อยได้เหมือนกัน แกคงเน้นตรงจุดนี้มากไปหน่อย มั้งครับ เพราะตอนนั้นอาการหลักของคุณแม่คุณก็คือ ภาวะเรื่องท้อง อาจลืมนึกถึงจุดนี้ไป ผมเองครั้งนึงก็เคยวินิจฉัยช้าไปหน่อย แต่ขอโทษญาติและคนไข้ญาติก็ไม่ได้ว่าอะไร

ปล ที่เหลือผมจะมาพูดทีหลังครับ
โดย: แพทย์ผู้อยากระบาย [6 ส.ค. 51 23:42] ( IP A:118.173.242.198 X: )
ความคิดเห็นที่ 29
   ขอบคุณครับ ตามที่คุณหมอกล่าวมาว่าเคยวินิจฉัยช้าเข้าใจว่าคงไม่เกิดผลกระทบอะไรที่รุนแรงถึงแก่ชีวิตคนไข้
เขาจึงไม่ติดใจอะไร และให้อภัยเพราะยังไงก็ถือว่าหมอเป็นผู้มีพระคุณที่ทำให้เขาหายจากเจ็บป่วยได้ แม้
จะช้าไปหน่อยแต่เขายังมีชีวิตรอด ได้อยู่กับครอบครัวเหมือนเดิม ผมคิดว่าทุกคนคงไม่มีใครติดใจอะไร
และหมอก็ยังแสดงความรับผิดชอบกล่าวคำขอโทษอีก(ไม่รู้จะหาได้สักกี่คน)ใครจะใจดำไม่ให้อภัย
ก็หมอน่ารักอย่างนี้ ทำผิดก็รู้จักขอโทษ แต่สำหรับกรณีของผม
รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต อย่าว่าแต่คำขอโทษเลย คำพูดดีดีสักคำยังหาไม่ได้เลย หากหมอคนนี้ลดทิฐิ
มีความละเอียดรอบคอบ ยอมที่จะฟังปอดดูบ้าง ซึ่งก็ไม่ได้ใช้เวลาอะไรมากมาย
ก็น่าจะรู้แล้วถึงความผิดปกติ แล้วรีบส่งปรึกษาแพทย์เฉพาะทางทั้งเรื่องน้ำในปอดและปัญหาไตวาย
เฉียบพลัน เรื่องทั้งหมดก็คงไม่จบลงเช่นนี้ หรือหากจะจบลงเช่นนี้จริงๆ ญาติก็คงไม่ติดใจเพราะ
หมอได้ทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว
โดย: ผู้รอความหวัง [7 ส.ค. 51] ( IP A:222.123.138.91 X: )
ความคิดเห็นที่ 30
   นั่นแน่...


อันนี้งัยที่ผมว่าต้องพิสูจน์....ผลของการวินิจฉัยล่าช้า???

ทำให้ทุกทรมานเพิ่ม/นานขึ้น

หรือทำให้ป็นสาเหตุการเสียชีวิต?

ทิฐิใคร ใครพูดไม่ดี ใครไม่คุย( คุยคือการพูดสื่อสารกันนะครับ...ไม่ใช่ยืนจ้องหน้าจะชกเค้า หมอผู้หญิงเค้าก็กลัว... เป็นผมเองก็เคยเจอญาติมาจากไหนก็ไม่รู้ ลูกคนอื่นเค้าดูแลเข้าใจมาตลอด ตานี่มาถึงพูดหาเรื่องจะชกหมอว่างั้น ... ผมพร้อมคุยตามความเป็นจริง+พร้อมลุยถ้าจะลงไม้ลงมือเพื่อป้องกันตัว ... ผมก็คุยตรงนั้นเลย... ถ้าไม่พร้อมก็เรียก รปภ.มาด้วย)
โดย: ความเห็นที่19 [7 ส.ค. 51 9:05] ( IP A:202.28.181.200 X: )
ความคิดเห็นที่ 31
   เขาว่าฟังญาติบ้างก็ดี เพราะเขาดูคนไข้คนเดียวและเขาจะตั้งใจเป็นห่วง เพราะเขาดูญาติเขา หมอดู 30-50 คน ไม่ค่อยได้เอาใจใส่ เพราะเห็นป่วยเห็นตายทุกวันชินชา
ถ้าไม่ฟัง บางทีก็มานั่งเสียใจ ถ้าฟัง บางทีก็ได้ญาติช่วยดูอีกคนเบาแรง
ผมก็เป็น สมัยก่อน ไม่ค่อยฟังหรอก รู้มากก็รักษาเองซิ
หลังๆแก่วัดหน่อย ค่อยรู้ว่าเราไม่น่าโง่เลย
ตอนเป็นนักเรียนเขาไม่เคยสอนเลยว่าไอ้ที่ผิดๆนี่ เป็นแบบนี้แหละ
เขาปิดนักเรียนเห็นเป็นเรื่องน่าอาย ปิดห้องด่ากันเอง นักเรียนออกนอกห้อง แบบนี้ก็เรียบร้อยโรงเรียนจีน คงต้องสอนความผิดพลาดจริงๆให้เขารับรู้ จะได้ไม่ผิดกันอีก ผมเองก็ไม่อยากทำผิดหรอก
ดูตัวอย่างนี้ก็ได้ https://www.josieking.org/page.cfm?pageID=10
โดย: ฟฟ [7 ส.ค. 51 9:27] ( IP A:58.8.4.197 X: )
ความคิดเห็นที่ 32
   คดีของความเห็น 27-28 ก็แบบเดียวกันนี่แหละ
ไม่ฟังเขาเลย ดีที่ไม่ตาย
พวกนี้เขาเป็นตำราที่ดีสำหรับนักเรียน แต่อย่าพิมพ์ขายบ่อย ตำราแบบนี้ มีบ่อยไม่ค่อยดี
โดย: ฟฟ [7 ส.ค. 51 9:29] ( IP A:58.8.4.197 X: )
ความคิดเห็นที่ 33
   เรียนคุณความคิดเห็นที่ 19,36 ขอให้ท่านได้อ่านทบทวนหลายๆ รอบแล้วจะรู้ว่า ผมไม่ใช่คนที่ชอบใช้กำลังตัดสินปัญหา ปัญญาชนเขาใช้สติปัญญา ไม่เช่นนั้นในวันที่เกิดเหตุ หมอคนนี้คงไม่ได้อยู่แบบนี้แน่ และเป็นผู้หญิงอย่างที่คุณว่าด้วยแล้วไม่มีผู้ชายคนไหนไปทำหรอกมันน่าอายมากกว่า เพราะปกติเราก็เคยคุยกันเพราะต่างคนก็ใช้บริการของแผนกกันและกันอยู่ การมองหน้าไม่ได้หมายความว่าจะต้องการจะทำร้าย คุณต้องการจะสื่อสารกับเค้า ไม่มองหน้าเค้า เค้าจะรู้หรือว่าคุณต้องการคุยด้วย ผมเป็นสุภาพชนพอครับ แต่การที่ใครจะหลบลี้หนีหน้าใครนั่นย่อมหมายถึงคนคนนั้นมีปมอยู่ในใจที่ไม่กล้า
สู้หน้า เผชิญกับความจริงต่างหาก หากเขาคิดว่าเขาทำถูกต้องตามมาตรฐานวิชาชีพเวชกรรม ก็ต้องมองหน้าตอบและพร้อมที่จะพูดคุยด้วย ในเมื่อเขา่หลบหน้าแม้แต่
เวลาเดินเข้ามาที่แผนกผม แล้วอย่างนี้คุณคิดว่าใครกันแน่ที่ไม่อยากใช้การสื่อสารในการแก้ปัญหา
โดย: ผู้รอความหวัง [7 ส.ค. 51 13:23] ( IP A:58.147.23.141 X: )
ความคิดเห็นที่ 34
   แต่ผมก็สงสัยนิดหน่อยว่า เรื่องปัสสาวะไม่ออกนี่หากหมอส่งปรึกษาไตหลังจากเป็นภาวะนั้นอยู่ 4-5 วัน อย่างที่คุณเล่าจริง ผมว่ามันก็นานไปนิดนะ เพราะตั้งแต่ผมเป็นหมอมา คนไข้ฉี่ไม่ออกนี่ถือเป็นเรื่องใหญ่พอสมควร แต่ทำไมถึงปรึกษาช่วงนั้น ผมเองก็ไม่ทราบรายละเอียดการรักษา อยากฟังจากหมอคนนั้นมากกว่าว่าทำไม

อีกอย่างผมไม่ใช่หมอเฉพาะทางใดๆ อาจไม่รู้บางอย่างลึกเท่ากับหมอที่จบเฉพาะทาง หากสงสัยอะไรจริงๆคุณก็ลองปรึกษาหมอเฉพาะทางที่คุณสนิทดีกว่า เค้าน่าจะรู้ดีกว่าผม
โดย: แพทย์ผู้อยากระบาย [7 ส.ค. 51 15:09] ( IP A:118.173.242.198 X: )
ความคิดเห็นที่ 35
   ขออภัยทุกท่านครับ ผมเข้าเวปนี้ไม่ได้หลายวัน เพิ่งเข้ามาได้วันนี้เอง จึงขออนุญาตตอบคุณหมอผู้อยากระบาย
ดังนี้ ครับ
1.หมอคนที่กล่าวถึงเขาไปเมืองนอกแล้วครับ 6 เดือน (เพิ่งไป)
เขาจึงไม่สามารถเข้ามาตอบข้อสงสัยของคุณหมอได้ หรือถึงเขายังอยู่ก็ไม่ทราบว่าเขาจะเข้ามาตอบ
ให้หรือไม่
2.เรื่องปรึกษาหมอเฉพาะทาง ผมได้ปรึกษาแล้วครับ และคุณหมอ
เหล่านี้ตอบในแนวทางเดียวกันทั้งหมด คือ ทำไมเขาไม่ส่งปรึกษาใคร
และแนะนำให้รีบขอส่งตัวมารักษาที่ รพ.มหาวิทยาลัยโดยเร็ว (ตามเนื้อเรื่อง
ที่ผมได้เล่าไว้แล้วตั้งแต่ต้น)แต่ไม่ทัน เราไหวตัวช้าไป เชื่อใจเขาเกินไป ทุกวันนี้
ผมยังโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองด้วยถึงต้องสูญเสียแม่ไป
3.ผมไดส่งเอกสารทั้งหมดทั้งเวชระเบียนและสรุปประวัติการรักษา ให้คุณหมอเทพและประธานเคครือข่ายฯ
ช่วยตรวจสอบแล้วครับ
4.เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีหมอใน รพ.ที่ผมนับถือแนะนำให้ผมไปเรียนให้ท่าน ผอ.รพ.ทราบ (ดำเนินตาม
ขั้นตอน)ท่านก็รับฟังและได้อ่านเอกสารรายละเอียดที่ผมได้แนบไปด้วยแล้ว
ท่านก็เห็นด้วยว่าจำเป็นต้องปรับระบบและทบทวนการดูแลรักษาใหม่ และได้เรียกหมอหัวหน้ากลุ่มงาน
อายุรกรรมเข้าพบและรับไปดำเนินการ ส่วนหมอคู่กรณีท่านว่าเขาไปเมือนอกไปอบรม(ตอนแรก
ทราบว่ายังไม่ได้ไป หมอคนที่แนะนำให้คุยกับ ผอ.บอก)และผอ.บอกว่า หากหมอคนนี้ถูกตั้งกรรม
การสอบ ท่านว่าสงสัยเขาต้องลาออกแน่ ๆ เพราะตั้งท่าจะลาออกอยู่หลายครั้งแล้ว
และแสดงความเห็นว่าถ้าท่านเป็นผมก็ต้องทำเหมือนผมนี่แหละ
ซึ่งหมอคนนี้ก็ไม่น่าจะถือโกรธและส่งผลให้เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น ท่านว่าหมอ
บางคน Ego สูง ญาติบอกอะไรไม่ฟัง ไม่ฟังปอด ไม่สั่งเอกซเรย์ คุณจึงต้องไปเอกซเรย์ให้เอง
แล้วพบว่ามีน้ำขังในปอดจริง ๆ (Massive pleural effusion)เขาก็ยิ่งเสีย
หน้า ท่าน ผอ.ยังบอกว่า ถ้าเป็นท่าน ท่านจะกลับชอบนะถือว่าช่วย ๆ กันดูแลคนไข้
5.สุดท้ายผอ.สรุปว่า อย่าเพิ่งทำอะไรนะ เอาไว้รอผู้อำนวยการคนใหม่มา และรอหมอคนนี้กลับจากเมือง
นอกด้วย (ผอ.จะเกษียณอายุ เดือน ก.ย นี้)
5.กรรมการไต่สวนของ ร.พ.บอกว่า หากท่าน ผอ.ไม่มอบหมายมา กรรมการฯ ก็ไม่สามารถทำอะไร
ได้ และกรรมการท่านนี้ยังบอกด้วยว่าเป็นห่วงว่าเราจะอยู่ลำบากหากทำอะไรมากกว่านี้
สรุปแล้ว ทุกท่านคิดว่าผมควรจะทำอย่างไรครับ ตอนนี้ผมรอคำตอบจากคุณหมอเทพและประธานเครือข่ายฯ
หลังจากที่ได้ส่งเอกสารไปให้ช่วยตรวจสอบแล้ว
โดย: ผู้รอความหวัง [17 ส.ค. 51 23:08] ( IP A:222.123.179.199 X: )

คลิกที่นี่เพื่อกลับหน้าบ้าน