ควรทำอย่างไรดี
   ได้อ่านกระทู้ที่พี่เขาทำงานใน รพ.แล้วแม่เสีย คล้ายๆกับเรื่องแม่ตัวเองเลย เลยขออนุญาตนำเรื่องของตนเองมาเรียนปรึกษาบ้าง (ไม่ได้มีความรู้ทางแพทย์เลย)
ประมาณสองอาทิตย์ก่อนได้พาแม่ไปรักษาที่ รพ.ทหารแห่งหนึ่ง แม่เป็นคนไข้ที่นี่ตั้งแต่ต้นปี 2550 โดยใช้สิทธิประกันสังคม หลักๆมารับการตรวจรักษาด้วยโรคไต แม่อายุ 63 ปีเป็นเบาหวาน หัวใจ และล้างไตมาได้เกือบ 2 ปี ก่อนป่วยครั้งนี้พาไปล้างไตเป็นประจำอาทิตย์ละ 2 ครั้งไม่เคยขาด ปัจจุบันแม่เสียชีวิตแล้วเมื่อวันที่ 13 สค.ที่ผ่านมา ที่รพ.แห่งนี้

วันจันทร์ที่ 28 กค.ได้พาแม่ไปตรวจด้วยอาการเวียนศีรษะและเหนื่อยมาก หลังจากขึ้นสิทธิ ปกส.ก็ไปตรวจที่ตึกกองสลากตามขั้นตอน หมอสั่งเอ๊กซเรย์และเจาะเลือด หลังจากนั้นหมอส่งต่อ (แปลว่าหมอรักษาไม่ได้ใช่หรือไม่) ตอนแรกได้ยินว่าจะส่งต่อที่ชั้น 2 ห้องตรวจอายุรกรรม แต่คิวเต็มจึงพาคนไข้ไปส่งต่อที่ห้องฉุกเฉิน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย วันนั้นถ้าแม่ได้พบหมอเฉพาะทางหรือคุณหมอไตที่หาประจำ ไม่ใช่เจอหมอเวรที่ห้องฉุกเฉิน แม่น่าจะได้รับการวินิจฉัยโรคที่ถูกต้อง และได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที (ขณะส่งต่อเป็นเวลาเกือบเที่ยง ได้ถามพยาบาลว่าขอไปตรวจกับหมอไตได้ไม๊ พยาบาลใส่กลับมาว่า มีนัดหรือเปล่า)

หมอเวรที่ห้องฉุกเฉินสั่งเอ๊กซเรย์อีก 2 ครั้ง ตะแคงซ้ายที แล้วตะแคงขวาอีกที (แม่โดนเข็นไปเอ็กซเรย์ 3 ครั้ง) แต่ไม่เจออะไร สรุปเย็นวันจันทร์เจอหมออีกคน(เปลี่ยนเวร) หมอฉีดยาให้ 1 เข็มเข้าใจว่าเป็นยาแก้เวียนศีรษะ หมอจะให้อยู่รพ.บอกว่าห่วงเรื่องความดันสูง แต่แม่ไม่อยากอยู่(แม่เพลียทั้งวันแล้ว) และตอนเช้าพรุ่งนี้ต้องพาแม่ไปล้างไต จึงขอกลับบ้าน หมอบอกว่าฉีดยาแล้วนอนซักพักแล้วค่อยกลับ (ที่จำได้หมอมีบอกว่าผลเลือดมีติดเชื้อนิดหน่อย ก่อนกลับแม่ถามเราว่าหมอมีให้ยาฆ่าเชื้อหรือเปล่า เราจึงเดินไปถามพยาบาล มีพยาบาลเข้ามาบอกทำนองว่าเรื่องติดเชื้อมีนิดหน่อยแต่หมอไม่ได้สั่งยาให้ ถ้าพรุ่งนี้ยังไม่ดีขึ้นก็ให้พาคนไข้มาใหม่)

วันต่อมาแม่มีอาการหลงลืม ตอนหลังทราบได้ว่าเป็นอาการของเสียขึ้นสมองและถึงวันที่ต้องไปล้างไต แต่หลังล้างอาการหลงลืมไม่ดีขึ้น หมอที่คลินิกล้างไตให้ส่ง รพ.ต่อเลย เราก็ได้พาแม่ตรงมา รพ.เลย ถึงรพ.ประมาณบ่ายสอง เข้าห้องฉุกเฉินอีก น้ำตาลขึ้นสูงมาก bun กับ cretinin ขึ้นสูงมากทั้งๆ ที่เพิ่งไปล้างไตมา ซึ่งไม่เคยเป็นมาก่อน ได้ตั้งข้อสังเกตเรื่องนี้กับหมอเวร (คนที่เจอเมื่อวาน) หมอก็ไม่สนใจและบอกว่าอย่าดูแต่ตัวเลข ช่วงเย็นแม่เริ่มหลงลืมมากขึ้นแต่ยังพูดคุยกันได้อยู่ บ่ายถึงค่ำก็ไม่เจอหมอไต จนประมาณสองทุ่มแม่เริ่มโวยวายร้องจะกลับบ้าน เราแอบหลบกลับแต่ได้ไปแจ้งพยาบาลว่าแม่เริ่มโวยวายเสียงดังแล้วให้เอายานอนหลับที่แม่เคยกินเอาให้กินด้วย (ขณะนั้นคนไข้ถูกสั่งงดน้ำงดอาหาร) ในใจเราที่เตรียมทำใจไว้คือ แม่คงจะกลายเป็นคนที่หลงลืมเหมือนคนเป็นอัลไซเมอร์ จากการที่ล้างไตแน่นอนแล้ว เราเตรียมใจไว้แค่นี้จริงๆ

ตอนเช้าหกโมง มาถึงห้องฉุกเฉิน สภาพที่เห็นแม่นอนตาลอย เดินไปถามพยาบาล ขณะนั้นยังเช้ามากมีพยาบาลนั่งอยู่ที่โต๊ะ 2 คน คนหนึ่งได้บอกว่า มารับเวรตอนเที่ยงคืน คนไข้ก็มีอาการทรงอยู่อย่างนี้อยู่แล้ว เราฟังแล้วอึ้ง แปลว่าเขาปล่อยคนไข้นอนตาลอยทั้งคืนโดยไม่ตามหมอ แถมยังจะให้เรารอหมอออกตรวจตอน 8.30 อีก แล้วพยายามเปิดแฟ้มมานั่งอธิบายให้ฟังว่าหมอสงสัยอะไรบ้าง ตอนนั้นที่เรากลัวคือ แม่จะมีเลือดออกในสมองหรือเปล่า จนสุดท้ายพยาบาลอีกคนถึงบอกว่า ถ้าญาติร้อนใจมากจะตามหมอให้ --หมอ(คนเดิม)มาดูแล้วสั่งเอ๊กซเรย์สมอง ผลไม่มีเลือดออกในสมอง แล้วอะไรทำให้แม่นอนตาลอย

ช่วงบ่ายหมอพาแม่ไปเจาะไขสันหลัง ต่อมาแจ้งว่าผลที่ออกมาไม่มีการติดเชื้อที่สมอง ตอนนั้นแม่ต้องนอนราบ 12 ชม.หมอเวรคนเดิมแจ้งว่า consult หมอไตแล้ว แต่รอจนหกโมงเย็นหมอไตก็ยังไม่มา ตอนนั้นแม่ตาเริ่มปิดเหมือนลืมตาไม่ขึ้น เรียกหมอคนเดิมให้ช่วยมาดูแม่หน่อย หมอเดินมาถามว่าหมอไตยังไม่มาดูอีกเหรอ แล้วบอกว่าระบบมันช้าอย่างนี้ เราเห็นแม่นอนราบลิ้นจุกๆที่ปาก เลยถามหมอว่าจะมีปัญหาเรื่องหายใจไม๊ หมอเลยจัดท่านอนคนไข้ไขเตียงให้หัวสูงขึ้นหน่อยแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก สภาพตอนนั้นแม่เหมือนนอนหลับแต่เรียกไม่ตื่นแล้ว สรุปก็ยังไม่ได้เจอหมอไต

ประมาณ 4 ทุ่ม (คืนนี้เราตั้งใจไม่กลับ) หมอเวรที่ห้องฉุกเฉินเห็นแม่ปลุกไม่ตื่นรีบสั่งเข็นเข้าไปใส่ท่อช่วยหายใจ ตอนแรกเรานึกขอบคุณเขาเหมือนเขาช่วยชีวิตแม่ แต่ตอนหลังไม่แน่ใจเสียแล้ว ก่อนสั่งใส่ท่อ เขาไม่ได้วัดปริมาณอ๊อกซิเจนของแม่ก่อน เพราะตอนหกโมงกับตอนสี่ทุ่มแม่ก็เหมือนคนนอนหลับธรรมดา เราเคยได้ยินว่าบางคนนอนไม่รู้สึกตัว 3 วันก็ฟื้นมาไม่เห็นต้องใส่ท่อหายใจเลย ตรงนี้ไม่แน่ใจว่าหลักทางการแพทย์เป็นอย่างไร (ที่คิดเรื่องนี้เพราะหลังใส่เสร็จมีหมอ 2 คนเรียกญาติไปซักอาการเพื่อลงในแฟ้มคนไข้ หมอหันไปถามหมอที่สั่งใส่ท่อที่กำลังดูคนไข้อีกเตียงว่า ปริมาณออกซิเจนเท่าไหร่ พอรู้ว่าไม่ได้วัดก็ถามว่าแล้วจะลงยังไง หมอคนนั้นก็บอกว่าให้ใส่ว่าโคม่าแล้วกัน)

ประมาณตีสองเข็นแม่ขึ้นชั้น 8 ที่นี่ไม่ให้ญาติอยู่เฝ้า เราหมดแรงเลยคิดว่ากลับไปตั้งหลักที่บ้านดีกว่า ตอนเช้าซัก 8 โมง มีหมอไตโทรมาถามประวัติที่บ้าน ในที่สุดก็เจอหมอไตซะที (แต่ช้าไปหรือเปล่า) พอมารพ.ได้เรียบเรียงเหตุการณ์ให้หมอไตฟังอีกครั้งเราถึงทราบว่าเมื่อวานนี้ หมอไตไม่ได้รับการตามเลย

นอกจากเรื่องของเสียขึ้นสมองที่ทำให้แม่นอนตาลอยแล้ว ผลเลือดยังแสดงว่ามีการติดเชื้อมาก แต่หมอเวรบอกว่ายังไม่ทราบต้นตอหรือเชื้ออะไร แต่ได้ให้ยาฆ่าเชื้อคลุมๆไว้แล้ว

ผ่านมาเกือบอาทิตย์หลังแม่ได้รับการล้างไตอยู่ 4 ครั้งแม่เริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา พอถามอะไรพยักหน้าตอบได้ แม่พยายามพูดแต่ไม่มีเสียง แต่เรารู้ว่าแม่เจ็บมากที่โดนใส่ท่อ พอเขาเริ่มฟีดอาหารกับน้ำ (หลังจากงดน้ำอาหาร ได้แต่น้ำเกลือเป็นอาทิตย์) เราบอกแม่ว่ากินน้ำนะเขาจะฟีดน้ำตาม แม่พยักหน้าใหญ่ ดีใจเหมือนคนอดน้ำมานานแล้วได้กินน้ำ เราบอกแม่ให้อดทนและเชื่อว่าแม่ต้องหายอีกไม่กี่วันหมอก็จะเอาท่อออกให้ ตอนนั้นหมอเวรแจ้งว่าเรื่องติดเชื้อยังมีอยู่และมีเชื้อราเพิ่มขึ้นมาซึ่งเป็นเรื่องปกติของคนไข้นอน รพ. แต่ให้ยาอยู่แล้วไม่ต้องห่วง ก่อนแม่ฟื้นแม่มีไข้ต่ำๆ แต่บางวันไข้ก็ลงบ้าง

หลังจากแม่รู้สึกตัวดีได้แค่วันสองวัน แม่เริ่มซึมลงไปอีกเพราะเริ่มมีไข้สูง จนวันศุกร์เสาร์อาทิตย์ไข้ก็ไม่ลดแถมยังสูงมากอีก ตอนนั้นไม่ได้ให้น้ำเกลือแล้ว ยาฆ่าเชื้อเท่าที่เห็นก็เป็นยาฉีดเข้าเส้น (จำได้ว่าหลังแม่รู้สึกตัว หมอมีพูดว่าจะเปลี่ยนเป็นยากิน) ไม่ได้เป็นขวดแขวนแล้ว วันเสาร์เจอหมอเวร หมอยังแจ้งว่ามีไข้สูงนะเพราะติดเชื้อรา แต่ตอนนี้ให้ยาอยู่แต่ยาตัวนี้อาจออกฤทธิ์ช้าไปหน่อย ที่แม่ซึมคงเพราะพิษไข้ เราฟังเราก็เบาใจขึ้นมา สองวันนี้เรียกแม่แม่ยังลืมตาตื่นได้บ้างแต่เหมือนเบลอๆ

จนบ่ายวันจันทร์ที่ 11 สค.มีอาจารย์หมอทางด้านติดเชื้อเข้ามาดูคนไข้ เราดีใจมากคิดว่าแม่ต้องหายแน่ๆ แต่เย็นนั้นแม่เริ่มเรียกไม่รู้สึกตัวอีก (วันนั้นไม่ได้ล้างไต ซึ่งเราเจอหมอไตที่ลิฟท์ เรายกมือไหว้เขาเขายังบอกว่าเรื่องน้ำมีนิดหน่อย ของเสียเริ่มคงที่แล้ว พรุ่งนี้ค่อยล้างก็ได้ คนไข้มีไข้สูงนะแต่ไม่ต้องห่วงมีอาจารย์หมอที่เชี่ยวชาญเรื่องติดเชื้อดูให้แล้ว) สรุปเย็นนั้นแม่ได้ยาฆ่าเชื้อไป 4 ตัว ฉีดเข้าเส้น 2 และเป็นขวดๆ ห้อยอีก 2 แถมด้วยยากันชักอีกเข็ม เราบอกตรงๆ ตอนนั้น เราเบือนหน้าหนีไม่กล้าดูตอนเขาให้ยา ก่อนกลับเราบอกแม่ว่า ทนให้ถึงพรุ่งนี้นะเขาจะพาไปล้างไต

คืนนั้นตอนตีสอง รพ.โทรมาแจ้งว่าแม่ช็อค ความดันตก หัวใจหยุดเต้น แถมยังถามเราว่าจะปั๊มไม๊ ทำไมต้องถาม เราให้ปั๊ม คืนนั้นไปรพ.พร้อมคุณอา หมอบอกว่าคนไข้หัวใจเต้นอ่อนมากและผิดจังหวะ ชีพจรยังมีอยู่บ้าง ถามเราอีกว่าถ้าหัวใจหยุดเต้นอีกจะปั๊มหรือจะให้ใช้ยากระตุ้นหรือไม่ เราเห็นสภาพแม่แล้วเราสงสารแม่มาก เรากับอาเลยบอกไม่ดีกว่าให้เขาไปสบายๆ ตอนหลังอายังบอกว่าคิดว่าแม่ไม่น่าจะเกิน 6 โมงเช้า

เช้าวันที่ 12 สค.เราอยู่กับแม่ทั้งวัน หมอไตได้แต่มาแสดงความเสียใจ หมอเวรหลายคนมาตรวจก็ไม่มีความหวังอะไร ไม่มีสัญญาณชีพอะไรที่ดีขึ้นเลย หมออีกคน(เป็นคนที่บอกว่าจะเปลี่ยนเป็นยากิน) มาถึงถามหมอไตว่าไง เราก็บอกว่าหมอมาแสดงความเสียใจเฉยๆ หมอคนนั้นเลยบอกว่าแม่ติดเชื้อซ้ำเข้าไปและเป็นเชื้อที่ร้ายแรงมาก รวมถึงอาจได้ยาช้าไปด้วย และบอกว่าเชื้อตัวนี้ต่อให้คนแข็งแรง โอกาสรอดยัง 50-50 (แม่อยู่ที่ห้องคนไข้หนักที่มีปัญหาการหายใจ แต่ไม่ได้เข้า ไอซียู)

เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำได้ก็คงได้แต่รอให้แม่หัวใจหยุดเต้นไปเอง เพราะเราไม่อยากให้แม่เจ็บไปกว่านี้ ถึงจะสู้ต่อไปก็ไม่รู้ว่าจะรอดหรือเปล่า แต่จนทุ่มกว่าแม่ก็ยังอยู่ ความดันตัวบนดีขึ้นแต่ตัวล่างต่ำมาก ถามพยาบาลเขาอธิบายว่าเพราะหัวใจเต้นไม่ดี อาจจะหยุดเต้นเมื่อไหร่ก็ได้

แต่ยังไงๆ เราก็เริ่มมีหวัง หวังว่าจะเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นเหมือนที่หลายวันก่อนแม่รู้สึกตัวขึ้นมาได้ แต่มันไม่มีอีกแล้ว ตอนตีห้ารพ.โทรมาบอกว่าแม่ไม่ไหวแล้ว เส้นกราฟหัวใจกลายเป็นศูนย์ไปแล้ว เรารู้ว่าแม่เราเก่งและอดทนที่จะสู้กับโรคแค่ไหน แต่แม่คงไม่ไหวจริงๆ

สิ่งที่ทำให้เราเสียใจมากคือ เราเป็นคนเลือก ปกส. เป็น รพ.นี้ให้แม่เอง จำได้ว่าตอนไปเปลี่ยนรพ. จนท.ปกส.ยังถามเราว่าแน่ใจนะ เลือกแล้วเปลี่ยนไม่ได้นะต้องรออีก 2 ปี

เราไม่เคยคิดถึงความล่าช้าและระบบที่ไม่ดีของ รพ.รัฐบาลเลย เพราะคิดว่าถึงจะรอตรวจนานไปบ้างก็คงไม่เป็นไร ตรงนั้นเราเข้าใจถ้าไปรับยาธรรมดา แต่จากที่เล่ามาแม่ไม่สบายมาก บางอย่างมันรอไม่ได้ และการที่ให้เจอแต่หมอเวรที่ไม่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะโรครวมทั้งประสบการณ์ยังน้อย อีกทั้งโดนส่งต่อไปยังห้องฉุกเฉินอยู่อีกครึ่งวันในวันแรกที่มาตรวจ กับคนไข้ที่มีโรคประจำตัวหลายโรคและเป็นโรคไตซึ่งภูมิต้านทานจะต่ำกว่าปกติอยู่แล้ว มันถูกต้องแล้วเหรอ

ถึงจะมีหมอที่เป็นอาจารย์ดูแลอยู่ แต่เท่าที่เจอในห้องฉุกเฉินไม่เห็นอาจารย์มาดูคนไข้ด้วยตัวเองเลย (ที่เห็นชี้นิ้วถามว่าเตียงนั้นเตียงนี้เป็นไงด้วยซ้ำ) หมอฝึกหัดที่ห้องฉุกเฉินนอกจากไม่เชี่ยวชาญแล้วยังขาดวุฒิภาวะ อย่างมากตอนเข็นแม่เข้าห้องเพื่อใส่ท่อช่วยหายใจ มีหมอเด็กผู้หญิงวิ่งหน้าระรื่นบอกว่าไปดูใส่ท่อดีกว่า โดยไม่สนใจว่ามีญาติยืนเป็นกังวลอยู่แค่ไหน --อยากถามว่าเขาเรียนเขาสอนหมอกันมายังไง พยาบาลก็ไม่สนใจดูแลคนไข้ เห็นวันๆ เอาแต่ก้มหน้าเขียนอะไรไม่รู้แล้วก็ห่วงแต่เรื่องส่งเวร ขนาดคนไข้มาดีๆ (หมอยังเขียนในแฟ้มว่าคนไข้รู้สึกตัวดี แต่ตอนส่งเวรเขาไม่ได้อ่านหรือไง) นอนตาลอยทั้งคืนยังบอกว่าคนไข้อาการทรง

หมอเวรเจ้าของไข้ที่ชั้นแปด (มีชื่อเป็นเจ้าของไข้ที่หัวเตียง) ก็เป็นหมอฝึกหัด วันแรกที่เจอเขาบอกเราเองว่าเขาก็มาเรียนเหมือนกัน หมอเฉพาะทางหรืออาจารย์หมอก็มาเมื่อทุกอย่างมันช้าไปหมด

เรารู้ว่าชีวิตแม่เรียกคืนมาไม่ได้ แต่ความรู้สึกแย่ๆ ที่เกิดขึ้นกับเรา เราคิดวนเวียนอยู่แต่ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ แม่แค่บ่นเวียนหัวกับเหนื่อยเราก็พาไปหาหมอทั้งวัน แต่เขาตรวจรักษากันอย่างไร ไปล้างไตไม่ดีขึ้นเขาให้ส่งรพ. เราก็ตรงส่งแม่ไปรพ.เลย หมอกับพยาบาลที่คลินิกล้างไตที่เรารู้จักเราร้อนใจโทรไปปรึกษาเขาเขาก็เฝ้าแต่บอกว่าอยู่ในรพ. อยู่ในมือหมอแล้วคงไม่เป็นอะไร ไม่ต้องห่วง เราเจอหมอทุกคนไม่ว่าจะเด็กแค่ไหน เราก็ยกมือไหว้เขา เพราะเหมือนเราเอาชีวิตแม่ฝากไว้ในมือเขา ฝากไว้กับรพ.แล้ว แต่ทำไมสุดท้ายแม่เราถึงตาย เราจะถามหาความรับผิดชอบจากใครได้หรือไม่ แล้วระบบการรักษาในรพ.ที่มีสอนหมอ ที่มีแต่หมอกำลังเรียนหรือเพิ่งจบเต็มไปหมด แต่หมอที่เชี่ยวชาญไม่รู้ไปอยู่ไหน แบบนี้เมื่อไหร่จะเลิกเสียที หรือชีวิตคนไข้ที่ไปรักษาที่รพ.รัฐบาลมันไม่มีค่าหรือไง หรือเพราะว่าเราไม่ใช่ทหาร
โดย: phu_tara@hotmail.com [24 ส.ค. 51 13:16] ( IP A:124.120.45.152 X: )
Add to Facebook  Add to Twitter  Add to Multiply  Add to Google  Add to Blogger  Add to Live
ความคิดเห็นที่ 1
   ตอนนี้เรายังสับสนอยู่ว่าเราควรจะร้องเรียนหรือไม่ แล้วร้องเรียนแล้วจะได้อะไร แน่นอนชีวิตแม่เราเราเรียกคืนมาไม่ได้ แต่ที่เราคิดตอนนี้คือ ถ้าตั้งแต่วันจันทร์ที่ 28 กค.เราได้เจอหมอไต หมออาจวินิจฉัยโรคได้ถูกต้องกว่านี้ ซึ่งตอนนี้เรามาสรุปเอาเองว่า ที่แม่เวียนศีรษะและเหนื่อยเพราะของเสียขึ้นสูง ที่ของเสียขึ้นสูงเพราะมีการติดเชื้อ แต่วันนั้นไม่มีการเจาะเลือดดูเรื่องของเสียเลยและก็ไม่ได้ยาฆ่าเชื้อด้วย

และถ้าได้รับยาฆ่าเชื้อตั้งแต่วันนั้น รวมถึงอาจได้รับการล้างไตตั้งแต่วันจันทร์ หรือช้าสุดก็วันพุธ (แม่ล้างไตวันอังคารที่ 29 แล้วมารพ.เลย เช้าวันพุธแม่นอนตาลอย ไม่ได้ล้างไตและไม่เจอหมอไต จนโดนใส่ท่อหายใจในคืนวันพุธ) แม่ก็คงไม่ต้องโดนใส่ท่อหายใจ และไม่แน่ใจว่าอาการของแม่ตอนนั้นมีความจำเป็นต้องใส่ท่อหายใจหรือไม่

แล้ววันสุดท้าย (วันจันทร์ที่ 11 สค.) ที่แม่ได้รับยาฆ่าเชื้อไปถึง 4 ตัว ซึ่งเป็นยาแรงๆทั้งนั้น ทำไมถึงต้องมาให้เอาเย็นวันนั้นวันเดียว จนคืนนั้นคนไข้ช็อค ทำไมถึงปล่อยให้คนไข้มีไข้สูงมากอยู่ถึง 3-4 วัน อาจารย์หมอทำไมไม่มาตั้งแต่วันศุกร์

เรารู้ว่าถึงร้องเรียนก็คงไม่ได้อะไร แต่ใจจริงที่เราอยากได้คือคำขอโทษจาก รพ. เรารู้ว่าหมอไม่ผิด หมอเวรก็ทำทุกอย่างตามตำราที่เรียนมา หมอเฉพาะทางเมื่อไม่ได้รับการตามเขาก็ไม่มีทางทราบ ทุกอย่างมันผิดที่ระบบของรพ. ซึ่งเราไม่รู้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหน

ใจหนึ่งเราก็คิดว่าแม่คงถึงเวลาหมดเคราะห์ หมดโรคหมดภัยเสียที เพราะยังไงๆ ทุกคนก็ต้องมีวันนี้ แต่อย่างที่บอกถึงตอนนี้เราก็ยังนึกเสียใจที่ตัวเองเป็นคนเลือก รพ.นี้ให้แม่ เราควรทำอย่างไรดี ขอคำแนะนำด้วยค่ะ
โดย: phu_tara@hotmail.com [24 ส.ค. 51 13:30] ( IP A:124.120.45.152 X: )
ความคิดเห็นที่ 2
   อ่านๆผมว่าเค้าดูแลดีนะครับ
แต่อาจไม่ดีที่สุดเท่านั้นเอง ทรัพยากรมีจำกัดครับ หมอที่เชี่ยวชาญเฉพาะทางมีน้อย แต่ไม่ใช่ว่าหมอเวรรักษาไม่ได้นะครับ มีปัญหาอะไรหมอเค้าปรึกษาต่ออยู่แล้ว
เสียใจด้วยกับการจากไปของคุณแม่ครับ
โดย: someone [24 ส.ค. 51 17:31] ( IP A:222.123.218.165 X: )
ความคิดเห็นที่ 3
   บ้านอยู่โคราชหรือเปล่า
โดย: เค้าดีนะ [24 ส.ค. 51 19:48] ( IP A:125.26.106.165 X: )
ความคิดเห็นที่ 4
    เราเรียกโรงพยาบาลเหล่านี้ว่าสถานที่ฝึกหัดแพทย์เพื่อโรงพยาบาลเอกชนของคณะกรรมการแพทยสภาชุดโสมสาก ณ.ลาดพร้าว และ เอื้อมชาติ ณ.รามคำแหง
โดย: เจ้าบ้าน [25 ส.ค. 51 9:25] ( IP A:210.86.181.20 X: )
ความคิดเห็นที่ 5
    เราเรียกโรงพยาบาลเหล่านี้ว่าสถานที่ฝึกหัดแพทย์เพื่อโรงพยาบาลเอกชนของคณะกรรมการแพทยสภาชุดโสมสาก ณ.ลาดพร้าว และ เอื้อมชาติ ณ.รามคำแหง

มันอ่านยากค่ะ คนแก่เยอะ สงสารคนแก่เนอะ

ช่วยทำให้อ่านชัดๆ
โดย: GN+ [25 ส.ค. 51 9:59] ( IP A:117.47.224.29 X: )
ความคิดเห็นที่ 6
   ขอบคุณเจ้าบ้านกับ GN ที่เข้าใจความรู้สึกจขกท.ค่ะ

คือไม่ได้บอกว่าหมอดูแลไม่ดี อยากจะบอกว่าดีมากจนดีเกินไปเพราะเรื่องของแม่ เวลา 1 วันครึ่งคือบ่ายวันอังคารจนวันพุธที่แม่นอนตาลอยจน 4 ทุ่มแม่โดนใส่ท่อช่วยหายใจ (ไม่รวมวันที่ไปตรวจวันจันทร์ก็ได้) พวกหมอๆ (หลายคนมาก) ได้แต่นั่งสงสัยนู่นสงสัยนี่ วินิจฉัยให้มั่วไปหมด ทั้งๆที่คนไข้ล้างไตแล้ว ทำไมไม่มองประเด็นเรื่องไตมาก่อน เราก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี

ที่เราบอกว่าเราเสียใจที่เลือก รพ.นี้ ก็เพราะถ้าเราไป รพ.อื่น (อาจจะไม่ต้องเป็นเอกชนก็ได้) แม่เราควรจะได้เจอแค่ 2 หมอคือหมอโรคติดเชื้อ กับหมออายุรกรรมด้านโรคไต ก็น่าจะรักษาได้ ไม่ใช่เจอหมอตั้งมากมาย นั่งเล่าประวัติให้ฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก (เปลี่ยนเวรทีก็เล่าที แล้วยิ่งพอขึ้นชั้น 8 เริ่มต้นเดือนใหม่ หมอชุดใหม่มาพอดี - คนที่ว่ามาเรียนนั่นแหละ) แต่สุดท้ายก็เป็นอย่างที่เล่ามา

เราบอกตรงๆเราสงสารแม่มาก อย่างตอนโดนเข็นไปเอ็กซเรย์ 3 รอบในห้องฉุกเฉิน เราควรดีใจไม๊ ให้หมอจบใหม่มาสั่งเอ็กซเรย์เล่นๆ เข็นไปเข็นมา (แต่ละรอบรอนานมาก) มันน่าสนุกนักหรือไง (ฟิล์มมาทีหมอใหม่-ขอโทษไม่รู้จะใช้คำว่าอะไร-หันซ้ายหันขวาไปบอกอาจารย์ว่าไม่เห็นมีอะไร หมออาจารย์ไม่มาตรวจคนไข้หรือใช้หูฟังฟังเลย ได้ยินว่าถ้าไม่เห็นก็ไปตะแคงสิ ซ้ายไม่เห็นก็ไปขวาสิ--ใครไม่อยู่ตรงนั้นคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะตอนนั้นเราก็คิดอะไรไม่ออกเหมือนกัน)

เห็นแม่นอนอยู่แล้วมีหมอใหม่มาทำนู่นทำนี่ สิ่งที่เรานึกคือ ที่นอนอยู่แม่เรานะ ไม่ใช่อาจารย์ใหญ่ --เราคิดอย่างนั้นจริงๆ
โดย: phu_tara@hotmail.com [25 ส.ค. 51 10:55] ( IP A:124.120.84.58 X: )
ความคิดเห็นที่ 7
   ขออนุญาตตอบความเห็น 5 ค่ะ ไม่ใช่ที่โคราชค่ะ
เราอยู่ในกทม.นี่แหละ

เราไม่ได้บอกว่า รพ.นี้ไม่ดีนะ ที่ผ่านมาปีกว่ามาเอายา มาตรวจ คุณหมอไตที่เจอดีมาก ปีที่แล้วแม่เคยป่วยมานอนที่ห้องฉุกเฉินอยู่ 7 วันแม่หาย แม่ดีใจมาก แต่ปีนี้หมอชุดที่เราเจอคนละชุดกับปีที่แล้ว และอย่างที่บอกคนเป็นอาจารย์ไม่มาดูคนไข้เลย วิธีการของเขาก็ให้หมอใหม่/หมอเด็กมาซักประวัติจากญาติ/คนไข้ แล้วไปบอกต่อคนที่เป็นอาจารย์ ไม่มีการใช้หูฟังมาตรวจคนไข้เลย

เราไม่เข้าใจระบบแบบนี้(ปีที่แล้วไม่เป็นอย่างนี้) อย่างศาลเขายังไม่รับฟังพยานบอกเล่าเลย แล้วทำไม่เวลาเรียน-สอนหมอ ทำกันอย่างนี้ได้อย่างไร ไม่คิดเหรอว่าประโยคบอกเล่าจะขาดตกหล่นไปหรือผิดไปอย่างไรก็ได้

อีกเรื่องที่ยังไม่ได้คำตอบคือ เรื่องการใส่เครื่องช่วยหายใจ คนไข้ที่นอนไม่รู้สึกตัวทุกคนต้องใส่เครื่องช่วยหายใจหรือเปล่า อยากรบกวนคนที่เป็นหมอ ช่วยตอบคำถามนี้ให้ด้วย ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
โดย: phu_tara@hotmail.com [25 ส.ค. 51 11:04] ( IP A:124.120.84.58 X: )
ความคิดเห็นที่ 8
   เรื่องผู้ป่วยสูงอายุนี่เราได้ยินได้ฟังมาบ่อยมากๆครับ
ส่วนใหญ่ถ้าเข้าโรงพยาบาลแล้วถึงขั้นใส่ท่อช่วยหายใจ tube นี่มักจะไม่ค่อยจะได้กลับบ้าน เป็นส่วนมากเลยจะตามมาด้วยติดเชื้อเสมอ
โดย: เจ้าบ้าน [25 ส.ค. 51 13:52] ( IP A:210.86.181.20 X: )
ความคิดเห็นที่ 9
   สถิติการตายของอเมริกา Deaths per Year ปี 2543
Medical Errors : 98,000-190,000
Motor-vehicle accidents : 43,458
Breast Cancer : 42,297
AIDS : 16,516
ข้อมูลจาก
Source: Te Err Is Human. 2000. Kohn LT, Corrigan J, Donaldson MS, eds,. Washington, DC: National Academy, p.1.


บ้านเราไม่เคยมีสถิติคนไข้ตายจากความผิดพลาดทางการแพทย์
แพทยสภามีแต่บอกว่าหมอไม่เคยผิด คดีไม่มีมูล เหมือนไม่เคยมีความผิดพลาดขึ้นเลย

ในเมื่อไม่มีสถิติ ต้องใช้วิธีประมานเอา ประชากรสหรัฐฯ สูงกว่าเรา 4 เท่า เอา 4 หาร คนไข้ไทยตายโดยป้องกันได้ประมาน 25,000-47,500 คนต่อปี แต่...ในความเป็นจริง..คนไข้ไทยล้นโรงพยาบาล หมอเก่ง ๆ ถูกดูดไปอยู่เอกชนของพวกกรรมการแพทยสภา ที่เห็นแก่ตัวไม่เคยลงทุนผ่ลิตแพทย์เองแม้แต่บาทเดียว มักง่ายดูดเอาไปซื้อตัวเอาไปตั้งเงินเดือนแพง ๆ ล่อหมอ ดังนั้นจะมีหมอเก่ง ๆ เหลืออยู่กี่มากน้อย และจะมีคนไข้ไทยตายจำนวนเท่าใดไม่มีใครเปิดเผย
โดย: นี่เฉพาะตาย..ไม่นับพิการ [26 ส.ค. 51 21:59] ( IP A:58.9.221.212 X: )
ความคิดเห็นที่ 10
   แพทยสภามีแต่บอกว่าหมอไม่เคยผิด คดีไม่มีมูล เหมือนไม่เคยมีความผิดพลาดขึ้นเลย <- ที่ผมเรียนนี่ ไม่จริงนะครับ เพียงแต่ว่าคดีไหนที่มีมูล ที่ผิด ลงโทษไปแล้ว เขาไม่เอาออกสื่อ เพื่อเหยียบคนผิด (หรือพลาด?) ให้จมดิน

ประชากรสหรัฐฯ สูงกว่าเรา 4 เท่า เอา 4 หาร <- แล้วความพร้อมในการรักษาล่ะครับ ถ้าความพร้อมในการรักษาของสภาพโรงพยาบาลในประเทศไทยแย่กว่าอเมริกา 10 เท่า ต้องเอา 10 คูณด้วยไหมครับ
โดย: 000 [26 ส.ค. 51 22:34] ( IP A:58.8.97.240 X: )

คลิกที่นี่เพื่อกลับหน้าบ้าน