consumer.pantown.com
Thai Iatrogenic Network รวมกระทู้เครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ <<
กลับไปหน้าแรก
การเปลี่ยนแปลงทางการแพทย์
การเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ที่ดี โอกาสอันยิ่งใหญ่ของประเทศไทย
โดย ประเวศ วะสี 23 กันยายน 2551 16:32 น.
.
วิกฤต คือ โอกาส
ประเทศไทยวิกฤตสุดๆ ก็เป็นโอกาสสุดๆ เหมือนกัน
โอกาสอะไร โอกาสเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ที่ดี
ถ้าเราเข้าใจปรากฏการณ์ว่าเป็นโอกาส เราจะได้ไม่ทุกข์ไม่เครียดจนเกินไป มีสติปัญญา ช่วยให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่ภวะใหม่ที่ดีเกิดขึ้นโดยเจ็บปวดน้อยที่สุด สูญเสียน้อยที่สุด หรือไม่สูญเสียเลย
๑.
ตามปรกติวิกฤตนำไปสู่สงคราม
ตามปรกติในประเทศใดประเทศหนึ่งเมื่อวิกฤตสุดๆ จนไม่มีทางไปก็จะเกิดสงครามหรือสงครามกลางเมือง เช่น สงครามกลางเมืองของสหรัฐอเมริกา หรือการที่เยอรมนีและญี่ปุ่นเข้าสู่สงครามมีคนตายและทำให้คนตายหลายสิบล้านคน การแพ้สงครามของเยอรมนีและญี่ปุ่นเป็นวิกฤตสุดๆ ของประเทศของเขา แต่หลังจากแพ้สงครามปรากฎว่า เยอรมันและญี่ปุ่นเจริญอย่างรวดเร็ว เพราะการแพ้สงครามเป็นโอกาสแก้ปัญหาที่ตามปรกติแก้ไม่ได้ และปัญหาที่แก้ไม่ได้ ได้นำประเทศทั้งสองเข้าไปสู่สงคราม
สำหรับประเทศไทยซึ่งวิกฤตมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึง วิกฤตที่สุดในโลก มีผู้ตั้งคำถามกันมานานแล้วว่า เราจะพ้นวิกฤตโดยไม่ต้องนองเลือดได้อย่างไร และก็มองไม่เห็นว่าจะไม่นองเลือดได้อย่างไร อาจจะเป็นบุญของประเทศเรา บุญซึ่งเกิดจากเหตุปัจจัยเฉพาะบางอย่าง ประเทศของเรากำลังจะผ่านสภาวะวิกฤตสุดๆ ไปสู่สิ่งใหม่ที่ดีโดยไม่ต้องนองเลือด
๒.
มหาวิกฤตการณ์สยาม
สังคมไทยไม่สามารถแก้ปัญหาหลักๆ อันได้แก่ ความยากจนและความอยุติธรรมในสังคม ช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยถ่างกว้างมากขึ้น ก่อให้เกิดปัญหาทางสังคม สิ่งแวดล้อม และการเมืองอันสลับซับซ้อน การเอารัดเอาเปรียบและฉ้อฉลเพิ่มขึ้นทุกวงการ เป็นวิกฤตการณ์ทางศีลธรรมที่บีบคั้นคนไทยมากขึ้นๆ อย่างมองไม่เห็นทางออก เครื่องมือต่างๆ เช่น กลไกรัฐ ระบบการศึกษา ระบบการเมืองดูไม่มีน้ำยาที่จะแก้ไขสภาพวิกฤต หรือตัวเองก่อให้เกิดปัญหาวิกฤตมากขึ้น อย่างที่เรียกว่าการเมืองน้ำเน่าก็วนเวียนอย่างนั้นและเลวร้ายกว่าเดิม รัฐประหารก็ทำกันมาหลายครั้ง รัฐธรรมนูญก็ร่างกันมาหลายฉบับ เรียกว่าลองกันมาหมดทุกอย่างก็ไม่หายวิกฤต นี่แหละที่เรียกว่าวิกฤตสุดๆ หรือวิกฤตที่สุดในโลก จนไม่มีทางไปในภวะเดิม ต้องเปลี่ยนแปลงไปสู่ภวะใหม่
๓.
พลังอำนาจทางสังคม
เราคุ้นเคยอยู่กับพลังอำนาจ ๒ ประเภท คือ
● พลังอำนาจรัฐ (รัฐฐานุภาพ) ใช้กฎหมายและกำลังติดอาวุธ คือทหารและตำรวจ
● พลังอำนาจเงิน (ธนานุภาพ) ใช้เงินเป็นอำนาจ ซึ่งอาจครอบงำอำนาจรัฐได้ด้วย
ทั้งสองอำนาจนี้ประสบความล้มเหลวในการขจัดความไม่ถูกต้องเป็นธรรม หรือกลับเป็นปัญหาเสียเอง ในสังคมสมัยใหม่ที่ซับซ้อนการใช้อำนาจเกือบจะแก้ปัญหาอะไรไม่ได้เลย แต่กลับสร้างปัญหามากขึ้น ดังที่การปฏิวัติรัฐประหาร หรือการที่ทุนขนาดใหญ่เข้ามายึดอำนาจรัฐก็แก้ปัญหาอะไรไม่ได้แต่กลับเป็นปัญหาเสียเอง
มีพลังอำนาจอีกชนิดหนึ่งที่เราไม่ค่อยรู้จักกัน คือ พลังอำนาจทางสังคมหรือสังคมมานุภาพ
อำนาจสังคมยุติความชั่วร้ายทั้งปวง
ดังตัวอย่างต่อไปนี้
(๑) สมัยก่อนโจรปล้นควายชุกชุม โจรปล้นควายเป็นคนกลุ่มเล็กๆ มีปืนเที่ยวปล้นควายชาวบ้านก่อความเดือดร้อนทั่วไป เจ้าหน้าที่บ้านเมืองแก้ไขไม่ได้ ต่อเมื่อชาวบ้านทั้งหมู่บ้านรวมตัวกันจัดเวรยามตีเกราะเคาะไม้ เมื่อโจรมาชาวบ้านตื่นขึ้นมาพร้อมกันทั้งหมู่บ้าน โจรก็ทำอะไรไม่ได้ การที่ชาวบ้านรวมตัวกันทั้งหมู่บ้านนั่นแหละ คืออำนาจสังคมหรืออำนาจแห่งการรวมตัวกัน
(๒) ที่อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง ย้อนหลังไป ๒๐ ปี ชาวบ้านเดือดร้อนมาก จากการให้สัมปทานป่าชายเลน และการที่มีเรือประมงขนาดใหญ่เข้ามาใช้อวนรุนชิดชายฝั่ง ซึ่งคราดเอาหญ้าทะเลไปหมด กุ้งหอย ปูปลาไม่มีที่อนุบาล ชาวบ้านยากจนลงเพราะขาดแคลนอาหาร ชาวบ้านจะร้องเรียนทางราชการอย่างไร ๆ ก็ไม่ได้ผล เพราะเจ้าของเรือประมงขนาดใหญ่มีอำนาจมากกว่า ต่อมาชาวบ้านรวมตัวกันสร้างเครื่องป้องกันไม่ให้เรือประมงขนาดใหญ่เข้ามาลากอวนชิดชายฝั่งซึ่งผิดกฎหมาย เอาปะการังเทียมและหญ้าทะเลลง ความสมบูรณ์ของสภาพแวดล้อมกลับคืนมา กุ้งหอยปูปลากลับมา ชาวบ้านพ้นจากความอดอยากยากแค้น และขณะนี้รวมตัวกันรักษาชายฝั่งทะเลอันดามันขยายตัวออกไปทั้งทางเหนือและทางใต้ อำนาจแห่งการรวมตัวกันหรือความเป็นสังคมทำให้ความไม่ดียุติลงได้
(๓) ที่ดอนสามหมื่นจังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มลักลอบตัดต้นไม้ขึ้นไปพร้อมทั้งเครื่องมือ คือรถยนต์ เลื่อยไฟฟ้า ปืนเครื่องมือสื่อสาร คนตัดไม้ทำลายป่ามีอำนาจเกินกำลังเจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ดีๆ จึงถูกฆ่าตายหรือฆ่าตัวตาย เช่น คุณสืบ นาคะเสถียร แต่เมื่อโจรตัดต้นไม้กลุ่มนี้ขึ้นไปเจอชาวบ้านรวมตัวกันอยู่หนึ่งพันคน ก็ไม่กล้าตัดต้นไม้
จึงกล่าวว่า อำนาจสังคมหรืออำนาจแห่งการรวมตัวของประชาชนคือเครื่องยุติความชั่วร้ายทั้งปวง
สังคมคือผู้กำกับความถูกต้อง
ตัวอย่าง
(๑) เมื่อครั้งพุทธกาล พระที่กรุงโกสัมพีแบ่งเป็นสองพวกทะเลาะกันยืดเยื้อทำอย่างไรๆ ก็ไม่หยุด พระพุทธองค์เสด็จไปทรงห้ามก็ไม่เชื่อแถมยังว่าพระพุทธเจ้าเสียอีก พระบรมศาสดาจึงเสด็จหลีกเข้าป่าปาเลไลย์ไป ต่อมาชาวบ้านรำคาญหยุดใส่บาตรพระทั้งนั้น ทั้งสองฝ่ายจึงหมดกำลัง หยุดทะเลาะ เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าแม้แต่พระศาสดาของพระเหล่านั้นเองยังยุติความขัดแจ้งไม่ได้ แต่สังคมคือชาวบ้านทั้งหลายสามารถทำได้
(๒) คนเราจากทุกประเทศจะเจริญหรือไม่เจริญอย่างไรก็ไปเล่นฟุตบอลกันได้ทั่วโลก เพราะในการเล่นฟุตบอลมีกรอบ กติกา และกลไกชัดเจน มีผู้กำกับเส้นดูแลให้เล่นอยู่ในกรอบ มีกรรมการกำกับให้เล่นตามกติกา กรรมการและผู้กำกับเส้นอาจโกงได้ แต่โกงไม่ได้ เพราะมีคนดูคอยกำกับอยู่อีกทีหนึ่ง คนดูคือสังคมคอยกำกับความถูกต้อง
ผู้มีอำนาจใด ๆ ไม่ว่าอำนาจรัฐ อำนาจเงิน หรือกรรมการหรือแม้แต่พระอาจโกงได้เสมอถ้าไม่มีสังคมคอยกำกับ อำนาจสังคมคืออำนาจที่กำกับทำให้เกิดความถูกต้อง นี่เป็นข้อที่เราจะต้องตราไว้ ว่าจะไม่ไปเรียกร้องผู้มีอำนาจใดๆ ให้เข้ามาแก้ปัญหา เพราะไม่สามารถแก้ได้ แต่อำนาจสังคมนั่นแหละที่จะกำกับให้เกิดความถูกต้อง
๔.
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกับระบอบทักษิณ
พธม.กับระบอบทักษิณเป็นตัวอย่างให้เราเรียนรู้อย่างเป็นรูปธรรมถึงพลังอำนาจทางสังคม ระบอบทักษิณคงจะมีทั้งคุณและโทษสุดแต่ผู้มอง แต่ที่แน่ๆ ก็คือระบอบทักษิณทรงพลังอำนาจมหาศาล ทักษิณานุภาพนี้ไม่มีองค์กรหรือสถาบันใดๆ จะต้านทานได้ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะถูกหรือผิดแล้วแต่ผู้มอง แต่ที่แน่ๆ คือเป็นการรวมตัวของมหาชนอันหลากหลายจำนวนมากนับแสนนับล้าน เป็นพลังทางสังคมที่ทำให้ทักษิณานุภาพแม้ทรงมหิธานุภาพเพียงใด ก็อ่อนกำลังลงและเปิดโอกาสให้กระบวนการยุติธรรมเข้มแข็งขึ้น
การที่ขบวนการการเมืองภาคประชาชนเติบโตเข้มแข็งขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจากวิกฤตการณ์สุดๆ ไม่มีทางไป และอีกส่วนหนึ่งเกิดจากมีคนอย่างคุณทักษิณ และคุณสมัคร ถ้าปราศจากคนอย่างคุณทักษิณและคุณสมัครขบวนการประชาชนก็จะไม่เติบโตอย่างนี้ การที่คนในชาติรวมตัวกันเป็นสังคมเข้มแข็ง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก แต่ถ้าเกิดขึ้นเป็นทุนทางสังคมอันยิ่งใหญ่
การรวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประชาชนจำนวนมากเกิดจากการมีเป้าหมายร่วม ประชาชนควรจะรวมตัวร่วมคิดร่วมทำในทุกพื้นที่ ในทุกองค์กร และในทุกเรื่อง เกิด เป็นประชาสังคมหรือสังคมเข้มแข็ง
สังคมเข้มแข็งนั่นแหละคือประชาธิปไตยโดยสาระ ในขณะที่กลไกทางการเมืองอาจเป็นเพียงรูปแบบ
ประเทศใดที่สังคมเข้มแข็ง เศรษฐกิจจะดี การเมืองจะดี และศีลธรรมจะดี นี้เป็นสัจจะซึ่งสามารถตรวจสอบจากหลักฐานในข้อเท็จจริงจากทั่วโลก
๕.
ประชาธิปไตยมาก่อนรัฐธรรมนูญ
เมื่อผมเป็นประธานคณะกรรมการพัฒนาประชาธิปไตย (คพป.) เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๗ และ คพป.เสนอให้ยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่เพื่อปฏิรูปการเมืองนั้น มิตรที่เป็นนักทฤษฎีประชาธิปไตยเตือนผมว่าลัทธิรัฐธรรมนูญไม่นำไปสู่ประชาธิปไตย ประชาธิปไตยต้องมาก่อนรัฐธรรมนูญ ผมเป็นหมอไม่มีความรู้ความชำนาญใดๆ ทางการเมือง แต่สังคมไทยได้เรียนรู้แล้วว่ารัฐธรรมนูญไม่มีพลังที่จะต้านอำนาจเผด็จการ เรามีรัฐธรรมนูญมาหลายฉบับแล้วไม่สามารถสร้างประชาธิปไตยที่แท้ได้
สมมติว่าลองคิดกลับกันเสียว่าประชาธิปไตยมาก่อนรัฐธรรมนูญ
นั่นคือประชาชนจำนวนมากมีความสำนึกในอิสรภาพและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคนของตนเอง และพยายามทำอะไรดีๆ รวมตัวร่วมคิดร่วมทำเป็นกลุ่มและเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย ในโครงสร้างเผด็จการ (รูป ก.)
(ก) โครงสร้างเผด็จการ ใช้อำนาจสั่งการจากบนลงล่าง
(ข) โครงสร้างประชาธิปไตย มีการรวมตัวร่วมทำด้วยความสมัครใจ เล็กหรือใหญ่อาจใหญ่เป็นมวลชนมหาชนที่มีวัตถุประสงค์ร่วมกัน
มีการใช้อำนาจสั่งการจากบนลงล่าง โครงสร้างชนิดนี้มีความไม่เป็นธรรมสูงมีการเรียนรู้น้อย ไม่มีพลังที่จะแก้ปัญหาที่ซับซ้อน ในโครงสร้างประชาธิปไตย (รูป ข.) คนแต่ละคนมีเสรีภาพ ใช้ศักยภาพของตนเองได้เต็มที่ รวมตัวร่วมคิดร่วมทำด้วยความสมัครใจ ด้วยความเสมอภาคและภราดรภาพ เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย เกิดเป็นผลในทางสังคม หรือสังคมเข้มแข็ง
พลังทางสังคมที่เข้ามาตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐและมีส่วนในนโยบายสาธารณะ (ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๘๗) เป็นการเมืองภาคพลเมืองหรือการเมืองภาคประชาชน การเมืองภาคประชาชนมีพลังการตรวจสอบและกำกับให้เกิดความถูกต้องทางการเมืองมากกว่ารัฐสภา และมากกว่าองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ในสภาพการณ์ปัจจุบันนี่เป็นที่มาของคำกล่าวที่ว่าประชาธิปไตยมาก่อนรัฐธรรมนูญ เพราะประชาชนสามารถรวมตัวกันเคลื่อนไหวประชาธิปไตยก่อนมีรัฐธรรมนูญ
๖.
ขบวนการมหาประชนเพื่อธรรมาธิปไตย-ประชาธิปไตย
พธม.คงจะมีทำผิดบ้าง แต่ภาพรวมคือขบวนการประชาชนขนาดใหญ่ที่ตรวจสอบอำนาจทางการเมือง การเมืองภาคประชาชนถ้าทะนุบำรุงหล่อเลี้ยงให้เติบโตแข็งแรงมีความถูกต้องก็จะเป็นพลังทางศีลธรรมอันยิ่งใหญ่ที่จะกำกับตรวจสอบ และส่งเสริมให้เกิดความถูกต้องทุกด้าน ทั้งการเมือง สังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม การศึกษา การพัฒนาจิตใจ และสันติวิธี
การเมืองภาคประชาชนต้องเป็นพลังทางจิตสำนึก พลังทางความรู้ พลังทางการสื่อสาร พลังทางสังคม ซึ่งถ้าทำได้ธรรมาธิปไตยกับประชาธิปไตย จะเข้ามาซ้อนทับกัน ประชาธิปไตยกับธรรมะจะต้องผนวกกัน
ขบวนการมหาประชาชนเพื่อธรรมาธิปไตย ประชาธิปไตย จะเป็นปราการอันแข็งแกร่งที่ทำให้การเมืองดีและขบวนการยุติธรรมแข็งแรง รวมทั้งสิ่งดีๆ อื่นๆ เกิดตามมา
พธม.ควรจะอยู่กับจุดแข็งของ พธม. คือ สร้างขบวนการมหาประชาชนเพื่อธรรมาธิปไตย-ประชาธิปไตย มากกว่าเข้าไปสู่กลไกและรูปแบบทางการเมือง ซึ่งจะเปลืองตัวและทำให้ตัวเองอ่อนแอลง ขบวนการมหาประชาชนเพื่อธรรมาธิปไตย-ประชาธิปไตย จะไปทำให้เกิดกลไกและรูปแบบทางการเมืองต้องปรับตัวไปสู่ประชาธิปไตยเอง ซึ่งการกระจายอำนาจไปอย่างทั่วถึง และทุกส่วนของสังคม จะปฏิสัมพันธ์ด้วยการเรียนรู้และตรวจสอบซึ่งกันและกัน แทนที่การใช้อำนาจจากบนลงล่างแบบแยกส่วนตายตัวซึ่งเป็นการเมืองแบบเก่า ประชาธิปไตยจะกลายเป็นวัฒนธรรมที่เข้ามาอยู่เหนือกลไกทางการเมือง
๗.
ความมุ่งมั่นร่วมกันของคนไทยทั้งมวลในการบินออกจากเข่ง
การที่ประเทศใดประเทศหนึ่งจะมีการปฏิวัติประชาธิปไตยโดยมวลชน ด้วยสันติวิธีเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก แต่โอกาสกำลังอยู่ต่อหน้าเราแล้ว ด้วยลักษณะพิเศษของคนไทยทำให้การปฏิวัติด้วยสันติวิธีเป็นไปได้และถ้าเป็นจริงจะเป็นศักดิ์ศรีอันยิ่งใหญ่ของคนไทยว่าเราเป็นคนที่เจริญ
คนไทยเหมือนไก่อยู่ในเข่ง ขณะที่รอความพินาศต่อชีวิตจะมาถึงด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ยังจิกตีกันร่ำไป ที่จิกตีเพราะในเข่งมันคับแคบบีบคั้นทำให้กระทบกระทั่งกัน
เข่งคือระบอบเผด็จการอันคับแคบ ต้องรวมตัวกันบินออกจากเข่ง นั่นคือสร้างระบอบประชาธิปไตยการปฏิวัติประชาธิปไตยโดยคนไทยทั้งมวลสามารถทำได้ด้วยสันติวิธี ไม่มีการยึดอำนาจหรือการฆ่าแกงอะไรใครทั้งสิ้น แต่โดยคนไทยมีสำนึกประชาธิปไตยแล้วรวมตัวกันเป็นเครือข่ายประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เชื่อมโยงกันเต็มประเทศ โดยไม่ต้องรอรัฐธรรมนูญ เพราะประชาธิปไตยต้องมาก่อนรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญและองค์กรทางการเมืองที่จะเกิดตามมาเป็นระบบ ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย
ขบวนการมหาประชาชนเพื่อธรรมาธิปไตย-ประชาธิปไตย เป็นขบวนการที่ใครๆ ก็เข้าร่วมได้ เพราะไม่ได้เป็นศัตรูกับใครและไม่ได้โค่นล้มอะไรใคร แต่เป็นการที่ประชาชนจับมือกันสถาปนาระบอบประชาธิปไตยขึ้นเองด้วยสันติวิธี
โอกาสอยู่ต่อหน้าเราแล้ว ที่จะร่วมกันเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ที่ดีในระบอบประชาธิปไตยอันเป็นธรรมนี้ ความอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันเป็นเรื่องไม่ยาก ยุคศรีอาริยะที่คนไทยใฝ่ฝันกันมาเนิ่นนานจะเป็นจริงได้
ประเทศไทยที่เข้มแข็งเป็นธรรมและศานติ นอกจากประโยชน์ของตัวเองแล้ว ยังช่วยชาวโลกได้ด้วย เพราะล้วนเป็นเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกเดียวกัน.-
โดย: เทียบเคียงกับทางการเมือง [23 ก.ย. 51 19:41] ( IP A:58.8.13.55 X: )
ความคิดเห็นที่ 1
ไปเซ็นจูรี่ปาร์คกันมะ
โดย: ฟฟ [23 ก.ย. 51 19:42] ( IP A:58.8.13.55 X: )
ความคิดเห็นที่ 2
แฉแพทยสภายุคนี้ ถูกกลุ่มทุนยึดอำนาจ ช่วยเหลือพวกพ้อง
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 22 กันยายน 2551 07:02 น.
อดีตที่ปรึกษากม.แฉ แพทยสภา หมดเปลือก ถูกหมอนายทุนกุมอำนาจ ช่วยเหลือพวกพ้อง ไม่ต่างจากพวกนักการเมือง ทำให้ประชาชนสิ้นศรัทธาต้องพึ่งศาลมากกว่ากฎหมายวิชาชีพ รับไม่ได้สมคบนักการเมืองเอาโรงพยาบาลเข้าตลาดหลักทรัพย์
รศ.แสวง บุญเฉลิมวิภาส อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีตที่ปรึกษาด้านกฎหมายของแพทยสภา กล่าวในงานการประชุมวิชาการโรงพยาบาลชุมชนประจำปี 2551 ว่า ขณะนี้แพทย์มีความกังวลเกรงว่าจะมีเรื่องการฟ้องร้องแพทย์เพิ่มมากขึ้น ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว แพทย์ที่ปฏิบัติงานในสถานพยาบาลของราชการทั้งหลาย ไม่จำเป็นต้องกังวล เพราะตามขั้นตอนผู้ได้รับความเสียหายจะร้องเรียนไปยังกฎหมายด้านวิชาชีพ คือ พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 ก่อนที่จะไปพึ่งกระบวนการยุติธรรมในคดีแพ่งและอาญา
รศ.แสวง กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม คงต้องยอมรับว่า ขณะนี้แพทยสภาที่ทำหน้าที่เป็นสภาวิชาชีพและถือกฎหมายที่ดูแลกันเองเข้าใจผิด จากหลักการที่ทั่วโลกปฏิบัติ ทำให้เป็นการช่วยเหลือพวกเดียวกัน มีการหาเสียงเป็นนักการเมือง ทำให้ประชาชนไม่ศรัทธาในกลไกนี้จึงหันไปพึ่งศาลมากขึ้น
ผมเป็นที่ปรึกษากฎหมายของแพทยสภามา 10 กว่าปี แต่ตอนนี้ได้ขอถอนตัวออกมาแล้วและกล้าที่จะยืนยันว่าขณะนี้แพทยสภาถูกกลุ่มทุนยึดไปแล้ว ไม่ต่างกับการหาเสียงของพรรคการเมือง ผมเลยไม่รับปรึกษา ซึ่งเขาเองก็อยากได้นักกฎหมายที่เข้าไปเพื่อชมการทำงานของแพทยสภา ซึ่งไม่ใช่ผม พฤติกรรมเช่นนี้ของแพทยสภาถือว่าพวกเขาทำร้ายตัวเอง ทำให้ประชาชนหมดความศรัทธาในองค์กรและหันไปพึ่งศาลในการขอความยุติธรรมมากขึ้นรศ.แสวง กล่าว
รศ.แสวง กล่าวอีกว่า ตลอดระยะเวลา 10 ปี ที่ผ่านมาได้เตือนการทำงานของแพทยสภามาโดยตลอดว่า อย่าเอาการแพทย์เป็นธุรกิจ สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือการเอาโรงพยาบาลเข้าตลาดหลักทรัพย์ แต่กลับมีแพทย์กลุ่มหนึ่งเข้าไปหานักการเมืองที่ในขณะนั้นต้องการครอบครองโรงพยาบาลเอกชนจึงทำให้เป็นเช่นทุกวันนี้ รวมถึงการห้ามโฆษณาตัวผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์ เช่นเดียวกับทนายความ ซึ่งขณะที่ทำงานอยู่ในแพทยสภาก็พยายามต่อต้านในเรื่องดังกล่าวมาโดยตลอด แต่แพทยสภายุคนี้กลับแก้ไขกฎหมายให้ดำเนินการได้ ดังนั้นจึงถือว่ามีความเสี่ยงมากที่ธุรกิจโรงพยาบาลจะเข้าข่ายข้อตกลงทั่วไปว่าด้วยการค้าและภาษีศุลกากร(GATT)
รศ.แสวง กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ ในการหาเสียงของแพทยสภายังมีการออกนโยบายด้วยว่า จะออกกฎหมายที่ไม่ให้แพทย์ถูกฟ้องคดีอาญา และขณะนี้กฎหมายดังกล่าวยังติดอยู่ในการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแพทย์อาจไม่ต้องรับผิดทางอาญาอยู่แล้ว เว้นแต่ทำให้เสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์วิชาชีพ ซึ่งหากเป็นการฆ่าคน ลักทรัพย์ก็ถือว่าเข้าข่ายมีความผิด แต่หากเป็นการประกอบวิชาชีพต้องประมาทร้ายแรงนอกจากนี้ยังมีการให้ข้อมูลอย่างผิดๆ ด้วยว่า แพทย์ทำผิดกฎหมายอาญาจะถูกตำรวจใส่กุญแจมือทันที ซึ่งความเป็นจริงไม่สามารถกระทำได้ แม้ว่าจะเป็นคดีร้ายแรงเพียงใด การใส่กุญแจมือได้ในกรณีที่จะหลบหนีหรือมีทีท่าว่าจะทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่นเท่านั้น
ในกฎหมายยังระบุด้วยว่าการประมาทร้ายแรงนั้น ในกฎหมายคือต้องจงใจประมาทเลินเล่อ ขาดความระมัดระวังโดยตามวิสัยและพฤติการณ์ เท่ากับว่าหากใช้ความระมัดระวังแล้วแต่เกิดความผิดพลาดขึ้นนั้นก็ไม่ถือว่าเป็นความประมาท ซึ่งหากเกิดความผิดพลาดขึ้นกับผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานราชการก็มีพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิด พ.ศ.2539 ที่ระบุให้หน่วยงานของรัฐเป็นผู้รับผิดต่อผู้เสียหาย และการจะไล่เบี้ยเก็บกับผู้ปฏิบัติงานนั้นก็เป็นเรื่องยาก อีกทั้งคดีที่เกิดขึ้นนั้นส่วนใหญ่เป็นคดีเฉพาะ จึงขอให้แพทย์ที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลชุมชนทั้งหลายสบายใจได้รศ.แสวง กล่าว
รศ.แสวง กล่าวด้วยว่า สำหรับคดีที่โรงพยาบาลร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช เมื่อพ.ศ. 2545 ที่แพทย์ฉีดยาชาเข้าไขสันหลังผู้ป่วยระหว่างผ่าตัดไส้ติ่งแล้วเสียชีวิต และล่าสุดทางศาลอุทธรณ์ยกฟ้องแพทย์รายดังกล่าวด้วย ตนได้เข้าไปมีส่วนให้เข้าไปดูเรื่องกฎหมายในช่วงท้ายๆ ซึ่งต้องยอมรับว่าเละมาแล้ว แต่ก็ทำให้ดีที่สุด ซึ่งได้แนะนำว่าให้นำเงินช่วยเหลือไปบรรเทาก่อน จากนั้นก็ได้หารือกับทีมกฎหมายและตัวแทนของกระทรวงสาธารณสุข โดยมีการประชุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ทั้งวัน แต่มีตัวแทนแพทยสภาเข้าตอน 11.00 น. ทานข้าวเที่ยงแล้วก็กลับ แถมยังได้ยินข่าวว่าไปหาเสียงกับแพทย์ว่าเขาทำคดีนี้ด้วยซ้ำ
แพทยสภายังชอบออกมาให้ข้อมูลเถียงข้างๆคูๆ ว่า หากศาลตัดสินว่าแพทย์ผิดจะทำให้แพทย์หมดกำลังใจ ไม่กล้าผ่าตัด ซึ่งถือว่าเป็นการบีบบังคับศา
โดย: [0 3> ( IP )
--------------------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็นที่ 1
ล เมื่อศาลอุทธรณ์ยกฟ้องเรื่อน่าจะจบ เพราะคุยกับญาติเขาเรียบร้อยแล้ว แต่เห็นญาติผู้เสียชีวิตปรากฏในสื่อว่าจะไม่ยอมอีก จึงไปทราบทีหลังว่า มีแพทย์บางคนมาเยาะเย้ย ถากถางทำจนเละ แทนที่จะดีขึ้น เรื่องจึงคาราคาซัง ผมจึงเรียนให้ผู้ใหญ่โทรไปขอโทษ และถามหาชื่อหมอคนที่กระทำเรื่องดังกล่าว และให้ผู้ใหญ่ท่านนั้นโทรไปด่า เพราะพวกเราเหนื่อยที่จะให้เรื่องมันจบ แต่กลับมาทำเช่นนี้ รศ.แสวงกล่าว
โดย: ผู้จัดการ [22 ก.ย. 51 10:12> ( IP A:58.8.12.228 X: )
โดย: สภาผู้แทน [23 ก.ย. 51 19:43] ( IP A:58.8.13.55 X: )
ความคิดเห็นที่ 3
แม้แต่วงการแพทย์ ก็ไม่ต่างจากการเมือง
มีแต่คนที่สังคมรังเกียจกุมอำนาจ
เราต้องการการเปลี่ยนแปลง
ทั้งการเมือง และการแพทย์
โดย: น้ำเน่าพอกัน [23 ก.ย. 51 19:46] ( IP A:61.90.86.206 X: )
ความคิดเห็นที่ 4
คห.6
ผมงงตรงที่ว่า
"มีแต่คนที่สังคมรังเกียจกุมอำนาจ"
ทั้งๆ ที่การจะมาเป็นได้ ทั้งเป็นรัฐบาล หรือกรรมการแพทยสภา ก็มาจากการเลือกตั้งหรือโหวตมาจากสมาิชิกทั้งสิ้น
ถ้าเป็นจริงอย่างคุณบอกว่ามีแต่คนที่สังคมรังเกียจ คนดังกล่าวก็จะไม่ได้รับเลือกตั้งอยู่แล้วนี่ครับ ทำไมสังคมรังเกียจ แต่ก็ยังเลือก??
โดย: หมอก้อนหิน [23 ก.ย. 51 20:19] ( IP A:222.123.229.32 X: )
ความคิดเห็นที่ 5
ฮุนเซน ก็มีคนเลือก เยอะ
ดูนี่สิ
https://www.camnet.com.kh/cambodia.daily/selected_features/acid_laced_vengeance.htm
โดย: ฟฟ [23 ก.ย. 51 21:26] ( IP A:58.8.13.55 X: )
ความคิดเห็นที่ 6
เมืองไทยก็มีนะ
เรื่องเล่าขานตำนานกลกาม กระทรวงตาชั่ง ตอน ชีวิตตายทั้งกลม!
โดย: ตายไม่ทรมาน ดีกว่าเขมรหน่อย [23 ก.ย. 51 21:31] ( IP A:58.8.13.55 X: )
ความคิดเห็นที่ 7
ความคิดเห็นที่ 7
แล้วคิดเหรอว่ามันเป็นใหญ่กันอยู่ทุกวันนี้มันเป็นคนดี
เชื่อว่า ดี น่ะมี แต่น้อย ส่วนมากพวกนายทุนใหญ่ในจังหวัดได้ไปเป็นรัฐมนตรี หรือ สส. มันเรื่องจริงเห็นๆอยู่เมืองไทย
แล้วจะเอาการปกครองชาวบ้านแบบดีดีได้อย่างไร เพราะมันไม่ใช่คนดีมาเป็นกัน ....
หัวหน้าดี ลูกน้องดีตาม หัวหน้าเลว ลูกน้องเลวกว่าอีก เมืองไทย
โดย: GN+ [24 ก.ย. 51 9:21] ( IP A:222.123.87.59 X: )
คลิกที่นี่เพื่อกลับหน้าบ้าน