III. ประวัติศาสตร์และอารยธรรมยุโรป ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 18 (ตอนที่ 1)
|
ความคิดเห็นที่ 2 2. รัฐของพระสันตะปาปา ( The Papal States )
ปกครองโดยมี สมเด็จพระสันตะปาปา (Pope) เป็นประมุขทั้งในทางโลกและทางธรรม มีเมืองหลวงอยู่ที่ กรุงโรม ครอบคลุมอาณาเขต ของเมืองละติอุม , อุมเบรีย , ราเวนน่า , ทิโวลี่ , โบโลญญ่า , เปรูเกีย และแอสซิซี่ รวมถึงมีดินแดนในเขตรัฐอื่น ( Exclave ) คือ ดินแดนกอมตาต์ เวแนสแซ็ง ในแคว้นอาวิญญง ของฝรั่งเศส และดินแดนเบเนเวนโต้ ในเขตของราชอาณาจักรนาโปลี ก็เป็นรัฐในความปกครองของสมเด็จพระสันตะปาปาโดยตรง
ในฐานะที่พระองค์ทรงปกครองรัฐเสมือนกษัตริย์พระองค์หนึ่ง ซึ่งทรงทำได้แม้กระทั่งการส่งกองทัพของพระองค์ไปโจมตีรัฐอื่น ๆ และทรงมีอำนาจที่เหนือยิ่งไปกว่ากษัตริย์องค์อื่น ๆ ก็คือ ทรงมีอำนาจในการสั่งบรรพาชนียกรรม (Excommunication) คือ การขับไล่ผู้ที่ไม่เชื่อฟังพระองค์ออกจากพระศาสนจักร ซึ่งแม้แต่กษัตริย์พระองค์อื่น ๆ ในยุโรปก็ยังต้องเกรงกลัวอำนาจนี้
โดยนับตั้งแต่สมัยของสมเด็จพระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่ 6 ( Pope Alexander VI ) เป็นต้นมา ทรงวางนโยบายการฟื้นฟู และสร้างให้กรุงโรมเป็นศูนย์กลางของความเจริญรุ่งเรืองทางศิลปะวิทยาการอีกครั้งเช่นในสมัยโรมัน เริ่มตั้งแต่การสร้าง อัครมหาวิหารบาซิลิก้า (Basilica St.Peter) และนครวาติกัน ปราสาทราชวังส่วนพระองค์ในดินแดนต่าง ๆ ทรงรวบรวมผลงานทางศิลปะชั้นยอดจากอัครศิลปินทุกสารทิศ เช่น ดาวินชี่ (Da Vinci), มิเคลันเจโล่ (Michelangelo) ,ราฟาเอล (Raphael), คาราวักโจ้ (Caravaggio) , บรามันเต้ (Bramante), แบร์นินี่ ( Bernini ) ฯลฯ และทรงชุบเลี้ยงศิลปินจำนวนมากไว้เพื่อสร้างสรรค์งานศิลปะ ทั้งศิลปะในทางโลก และศิลปะเพื่อเทิดเกียรติพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งผลที่เราเห็นในปัจจุบันนี้ก็คือ นครวาติกัน ซึ่งนับได้ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ทางศิลปะที่ใหญ่ที่สุดในโลก
แต่ปัญหาสำหรับพระสันตะปาปา คือ เมื่อพระองค์ทรงมีโครงการที่ฟุ่มเฟือยเช่นนี้ พระองค์จะต้องใช้เงินจำนวนมากมายเท่าใดในการสร้างกรุงโรมให้กลายเป็นศูนย์กลางทางศิลปวัฒนธรรมของโลก และที่สำคัญคือพระองค์จะหาเงินจำนวนมากนี้ ได้จากที่ไหน ?
พระสันตะปาปาในฐานะเจ้าผู้ปกครอง ทรงมีภาษีที่ได้มาจากโดยตรง คือ ภาษีที่เก็บจากดินแดนในปกครองของพระองค์ และภาษีทางอ้อม คือ การบริจาคของประชาชนทั่วยุโรปผ่านทางโบสถ์ของพระศาสนจักรต่าง ๆ แต่แหล่งรายได้ที่สำคัญที่สุดของพระศาสนจักร ก็คือ การขายตำแหน่งสมณศักดิ์ ให้แก่พระสงฆ์ที่ต้องการเลื่อนสมณศักดิ์ และการหาเงินในวิธีการที่ร้ายที่สุดในเวลาต่อมา ก็คือ การขายใบล้างบาป อันเป็นชนวนให้เกิดสังฆเภท อันนำไปสู่การแยกออกเป็นนิกายโปรแตสแตนท์ ที่นำโดย มาร์ติน ลูเธอร์ ( Martin Luther ) ใน ค.ศ.1521 และนำไปสู่การเกิดสงคราม 30 ปี (The Thirty Years War) ในค.ศ.1618-1648 ซึ่งทำให้ต้องสูญเสียประชากรยุโรปถึง 1 ใน 3 ดังนั้น แม้ว่าเราจะปฏิเสธไม่ได้ว่างานศิลปะที่พระสันตะปาปาแต่ละพระองค์ทรงสะสมไว้เป็นสมบัติของโลกนั้น มีคุณค่าแก่โลกมากมายแค่ไหน แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า งานศิลปะเหล่านั้นได้มาบนวิถีทางแห่งความทุกข์ยากของประชาชนจำนวนมากมายเพียงไร
| โดย: Barrister-at-Law [25 ม.ค. 49 7:38] ( IP A:203.185.152.152 X: ) |  |
|