ความคิดเห็นที่ 4 การเลือกคันชักให้เหมาะกับการใช้งาน นักดนตรีไม่ควรจำกัดการเล่นอยู่ที่คันชักเพียงคันเดียว การมีคันชักหลายๆ คันสามารถเป็นได้มากกว่าคันชักเสริมไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน และนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมจึงควรมีคันชักมากกว่า 1 คัน - คันชักคันหนึ่งอาจจะเหมาะกับการเล่นในวงออร์เคสตร้า ส่วนอีกคันหนึ่งอาจจะเหมาะกับการเล่นแชมเบอร์มิวสิค คันชักคันที่ 3 เหมาะกับการฝึกซ้อม (มีน้ำหนักเบาเพื่อประหยัดพลังงาน) คันชักคันที่ 4 เหมาะสำหรับแสดงรีไซทัล (Recital) และคันชักคันที่ 5 อาจจะเหมาะสำหรับการเล่นคอนแชร์โตร่วมกับวงออร์เคสตร้า
คันชักแต่ละคันอาจะเหมาะกับดนตรีแต่ประเภท - ดนตรีแบบบาโรคจะเล่นได้ง่ายขึ้นถ้าใช้คันชักแบบบาโรค การที่มันไม่มีส่วนเว้าทำให้การเล่น Detache ที่รวดเร็วซึ่งจำเป็นสำหรับดนตรีชนิดนี้ทำได้ง่ายขึ้น - คันชักของช่างรุ่นเก่าบางคน เช่น Pere, Tourte, Adam จะเหมาะกับดนตรีคลาสสิกยุคแรกๆ เช่น บทประพันธ์ของ Mozart, Schubert และ Beethoven ด้วยน้ำหนักที่เบาและส่วนหัวที่มีความเว้าไม่มากนักทำให้เล่นได้ง่ายและเหมาะกับความสง่างามของดนตรีในยุคนี้ - สำหรับบทประพันธ์ของ Paganini และ Wieniawski คันชักฝีมือของช่างในยุคถัดมา เช่น Voirin และ Sartory สามารถเล่นเทคนิค Flying staccato และเทคนิคอื่นๆ ที่มีสีสันได้ดีกว่า
คันชักดีๆ ฝีมือของช่างทำคันชักที่มีชื่อเสียงถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ยิ่งนานวัน คันชักฝรั่งเศสรุ่นเก่าๆ ยิ่งเป็นที่ต้องการและมีราคาถีบตัวสูงกว่าไวโอลิน
| โดย: - [27 ต.ค. 51 14:46] ( IP A:203.170.144.1 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 5 เสียงและความรู้สึก ไม่มีคันชักคันไหนที่เหมือนกันเลย คันชักทุกคันแม้จะขึงด้วยหางม้าเหมือนๆ กัน แต่ความเหมือนก็จบลงเพียงแค่นั้น
สาเหตุที่คันชักแต่ละคันมีความแตกต่างกัน เป็นความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติอย่างหนึ่งที่ทำให้คันชักแต่ละคันมีการตอบสนองทางเสียงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ คันชักแต่ละคันมีโครงสร้างของเนื้อเยื่อไม้ที่แตกต่างกันไป คุณภาพของเสียงที่ได้ขึ้นอยู่กับคุณภาพการสะท้อนเสียงของไม้ ถ้าเนื้อไม้ของคันชักไม่สั่นสะเทือนตรงกับโน้ตของเครื่องดนตรีในทุกๆ โน้ต คันชักคันนั้นจะทำให้เสียงลดลง คันชักในอุดมคติจะสะท้อนคลื่นความถี่เสียงของเครื่องดนตรีเพื่อสร้างเสียงสูงๆ ที่ช่วยขยายพลังเสียงของเครื่องดนตรีชิ้นนั้น นอกจากเสียงแล้ว ผู้เล่นควรจะรู้สึกคล่องตัวเมื่อใช้คันชักอันนั้น และต้องสามารถเล่นเทคนิคต่างๆ ที่ต้องการได้ และสามารถสร้างเสียงที่ไพเราะได้ด้วย นั่นหมายถึงว่า คันชักคันนั้นต้องตอบสนองได้ดีตลอดทั่วทั้งความยาวคันชัก ปัจจัย 3 ประการที่ใช้ในการพิจารณาเรื่องความรู้สึกของคันชักคือ น้ำหนัก ความสมดุล ความแข็งแรงหรือแรงต้านของด้ามคันชัก น้ำหนักของคันชักโดยทั่วไปมีดังนี้ ไวโอลิน 55 ถึง 65 กรัม วิโอลา 68 ถึง 74 กรัม เชลโล 78 ถึง 88 กรัม โดยทั่วไปแล้วความสมดุลจะอยู่ที่ 6 ½ ถึง 7 ½ (16.5 ถึง 19 ซม.) วัดจากปลาย Frog ไปทางปลายคันชัก น้ำหนักและความสมดุลเป็นสิ่งที่ใช้ในการพิจารณาเรื่องความรู้สึกของคันชักเช่นกัน ทั้ง 2 สิ่งเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญ ถ้าความสมดุลค่อนไปทางปลายคันชัก คันชักคันนั้นจะรู้สึกหนัก แต่ถ้าความสมดุลค่อนไปทางโคนคันชัก คันชักจะรู้สึกเบาขึ้น ไม่ควรเลือกคันชักคันชักที่แปลกจากคันชักที่เราคุ้นเคยมากนัก ถ้าคุณเล่นดนตรีมาเป็นเวลาหลายปีด้วยคันชักน้ำหนักปานกลางที่มีความสมดุลตามปกติ คุณอาจจะไม่รู้สึกชอบคันชักที่หนักกว่าเดิมหรือคันชักที่หนักปลาย
บางครั้งคันชักที่หนักปลายอาจจะทำให้ไหว้เขวได้ ในตอนแรกอาจทำให้รู้สึกว่าเล่นได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะเทคนิค S autille และการใช้คันชักกระเด้งไปมาบนสาย แต่หลังจากเล่นไปสักพักจะรู้สึกว่าเล่นแล้วเหนื่อยกว่าปกติ คันชักที่หนักไม่ได้หมายความว่าเล่นแล้วจะให้เสียงที่มีปริมาตรมากขึ้น คันชักที่แข็งแรงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ให้เสียงที่ดังกังวานแต่ใช้แรงน้อยและไม่รู้สึกเกร็ง
| โดย: - [27 ต.ค. 51 15:19] ( IP A:202.12.73.18 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 6 ความแข็งแรงของด้ามคันชัก คันชักควรมีความยืดหยุ่นเพียงพอเพื่อที่จะให้ระดับเสียงที่แตกต่างกัน และสามารถควบคุมได้ง่าย แต่ก็แข็งแรงเพียงพอที่จะรับแรงกดที่เกิดจากการเล่นโดยที่ด้ามคันชักไม่ไปครูดกับหางม้า
การทดสอบคันชัก เมื่อเลือกคันชักหลายๆ คัน ในขั้นแรกควรพิจารณาจากน้ำเสียงก่อนเป็นลำดับแรก นักเล่นสามารถปรับการเล่นให้ได้ความรู้สึกและน้ำหนักการเล่นที่หลากหลายได้ แต่เสียงคือสิ่งที่เกิดจากโครงสร้างของเนื้อไม้ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ น้ำหนักและความสมดุลสามารถปรับเปลี่ยนได้ค่อนข้างมาก คุณสามารถปรับคันชักให้หนักขึ้นและเปลี่ยนจุดสมดุลได้ด้วยการเพิ่มน้ำหนักที่ปลายคันชักหรือ Frog เช่น แผ่นรองปลายคันชัก (Tip) ที่ทำจากงาช้างของเดิม สามารถเปลี่ยนเป็นโลหะเงินหรือทองคำได้ การเปลี่ยนแผ่นรองปลายคันชักไม่ทำให้ราคาของคันชักเสียไป แต่ความแข็งแรงของด้ามคันชักไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ นอกเสียจากว่าคันชักคันนั้นโค้งเว้าเต็มที่จนสัมผัสหางม้า การเพิ่มความโค้งเว้าจะช่วยเพิ่มแรงต้านของด้ามคันชัก ถ้าด้ามคันชักโค้งงอผิดด้าน โดยที่ความตรงหรือความโค้งที่ผิดด้านจะทำให้ความแข็งแร็งของด้ามคันชักเพิ่มขึ้น แต่คันชักที่โค้งงอจนเหมือนไม้ตีฮอกกี้ไม่ควรนำมาใช้โดยเด็ดขาด ในการเลือกคันชักหลายๆ คันนั้น มีข้อแนะนำดังต่อไปนี้
1. อย่าเล่นเพลงในท่อนยาวๆ เพราะหูของคนเราจะชินกับเสียงของคันชักแต่ละคันอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้ความแตกต่างของคันชักแต่ละคันหายไป ผิดวัตถุประสงค์ของการเปรียบเทียบเพื่อเลือกคันชัก 2. อย่าเล่นในท่อนยากๆ เพราะจะทำให้สมาธิในการพิจารณาคุณภาพคันชักเสียไป 3. เลือกเล่นเพลงในท่อนที่ง่ายและสั้นๆ และเล่นสายเปล่าทุกสาย 4. อย่าเลือกเล่นเฉพาะเสียงแบบ Fortissimo เพราะคันชักที่ดีควรจะเล่นเสียงแบบ Pianissimo และเสียงอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างระดับเสียงทั้ง 2 ได้ 5. เปลี่ยนคันชักที่ใช้ทดลองบ่อยๆ และอย่าพยายามเลือกคันชักคราวละมากกว่า 2 คัน หรืออย่างมากสุดไม่ควรเกิน 3 คัน ด้วยวิธีนี้ คุณสามารถจำกัดวงการเลือกคันชักเพียง 1 หรือ 2 คันได้ในเวลาสั้นๆ การพยายามที่จะเลือกคันชักหลายๆ คันซ้ำแล้วซ้ำอีกจะทำให้เกิดความสับสนได้ | โดย: - [27 ต.ค. 51 15:58] ( IP A:203.170.144.1 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 8 ราคาของคันชักสมัยใหม่ ราคาของคันชักสมัยใหม่ฝีมือช่างร่วมสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่หรือเสียไปแล้ว ขึ้นอยู่กับชื่อเสียงของช่างคนนั้นๆ ว่าคันชักของเขาเป็นที่นิยมในกลุ่มนักเล่นเพียงใด แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นก็ไม่ได้แปลว่าคันชักฝีมือของช่างคนนั้นทุกๆ คันจะดีเท่ากันทั้งหมด แต่สามารถบอกเป็นนัยให้ทราบถึงมาตรฐานฝีมือและวัสดุที่ช่างผู้นั้นเลือกใช้
วัสดุที่เลือกใช้มีผลต่อราคา ช่างเก่งๆ จะไม่ใช้ไม้ Brazilianwood เพราะมีคุณภาพเป็นรอง Pernambuco อยู่มาก คันชักที่ทำจากไม้ชนิดแรกเป็นคันชักเชิงพานิชย์และมีคุณภาพต่ำ
โดยปกติแล้ว Frog จะทำจากไม้ Ebony ประดับด้วยโลหะเงิน ส่วนFrog ที่ทำจากงาช้างหรือกระดองเต่าประดับทองคำจะมีราคาแพงเป็น 2 เท่า เพราะช่างจะเก็บไม้ที่ดีที่สุดไว้สำหรับทำคันชักประเภทนี้เท่านั้น คันชักที่มีการประดับประดาของมีค่าหรือฝังลวดลายต่างๆ ไม่มีผลอะไรต่อคันชักนอกจากมูลค่าของตัวอัญมณีที่ใส่เข้าไป แต่อาจเป็นที่ต้องตาต้องใจของนักสะสมก็เป็นได้
คันชักที่ไม่มีการประทับชื่อหรือคันชักของช่างที่ไม่มีชื่อเสียงอาจเป็นคันชักที่ทำขายในเชิงพาณิชย์หรือเป็นคันชักเกรดโรงงาน ซึ่งไม่มีราคาเท่ากับคันชักของช่างที่มีชื่อเสียง คันชักประเภทนี้ต้องพิจารณาจากคุณภาพในการเล่นของตัวมันเท่านั้น ซึ่งอาจจะมีคุณภาพดีเยี่ยมจนน่าประหลาดใจก็เป็นได้
| โดย: - [27 ต.ค. 51 16:41] ( IP A:202.12.73.18 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 9 คันชักรุ่นเก่า คันชักรุ่นเก่าฝีมือช่างที่มีชื่อเสียงที่สร้างขึ้นเมื่อร้อยกว่าปีมาแล้วนั้น ได้รับการยอมรับว่ามีมูลค่าในฐานะโบราณวัตถุชิ้นหนึ่ง นอกจากปัจจัยที่ว่าคันชักชั้นเยี่ยมจะพัฒนาขึ้นตามอายุและการใช้งานแล้ว คันชักรุ่นเก่ายังมีราคาสูงกว่าคันชักสมัยใหม่หลายเท่านัก มูลคาที่สูงขึ้นไม่ได้แปลว่าคันชักคันนั้นเล่นได้ดีกว่า แต่หมายถึงคุณค่าในฐานะที่เป็นงานศิลปะชิ้นหนึ่ง
คันชักจะพัฒนาขึ้นตามอายุและการใช้งานของมัน ซึ่งน้ำเสียงที่ได้จะพัฒนาตามไปด้วย แต่คันชักสมัยใหม่ที่ใช้ไม้เก่าๆ หรือแม้แต่คันชักที่สร้างขึ้นด้วยไม้ใหม่ๆ ในบางครั้งก็อาจให้น้ำเสียงที่ทัดเทียมหรือเหนือกว่าคันชักรุ่นเก่าเสียอีก เมื่อคุณภาพของเสียงที่เกิดจากคันชักซึ่งดูเหมือนว่าจะเกิดจากโคงสร้างของเนื้อไม้ คันชักคุณภาพต่ำในวันนี้ก็จะยังคงเป็นคันชักคุณภาพต่ำในอีกร้อยปีข้างหน้า แต่คันชักที่ให้เสียงที่ดีจะพัฒนาจนถึงขีดสุดของมันได้อย่างรวดเร็วถ้ามีการนำมาเล่นอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งบางทีอาจจะภายในเวลา 10 ปีหรือน้อยกว่านั้น
| โดย: - [27 ต.ค. 51 16:43] ( IP A:202.12.73.18 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 10 สัญชาติ คันชักฝรั่งเศสถือเป็นตำนาน ช่างทำคันชักที่มีชื่อเสียง เช่น Tourte, Peccatte, Voirin เป็นช่างที่อยู่ในยุคทองของศิลปะการทำคันชัก และถือเป็นแม่แบบให้กับช่างทำคันชักในยุคต่อๆ มา ผลงานของช่างเหล่านี้มีราคาแพง เป็นที่เสาะแสวงหาของนักดนตรีในปัจจุบัน ถ้าอุปกรณ์ทุกอย่างเหมือนๆ กันแล้ว คันชักฝรั่งเศสจะมีราคาสูงกว่าคันชักจากเยอรมันหรืออังกฤษ ถ้าคุณกำลังมองหาคันชักที่คุ้มค่ากับการเล่น จงอย่าซื้อคันชักฝรั่งเศส เพราะคันชักเยอรมันดีๆ ในระดับคุณภาพเดียวกันจะมีราคาถูกกว่า
บทสรุป ราคาของคันชักจะขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานของตลาด วงการซื้อขายคันชักมีความเคลื่อนไหวที่คึกคักอยู่เสมอ ทำให้ความต้องการมีมากขึ้นแต่คันชักที่มีอยู่กลับมีจำนวนจำกัด ซึ่งส่งผลต่อราคาเป็นอย่างมาก เนื่องจากคันชักเป็นของที่เปราะบาง อัตราการเสื่อมและแตกหักจึงมีสูง ดังนั้นราคาของคันชักเก่าๆ จึงมีแต่สูงขึ้นๆ คันชักของแท้ที่มีมาตรฐานราคากำหนดไว้สามารถนำไปแลกเปลี่ยนกับคันชักที่มีราคาเท่ากันหรือสูงกว่าได้ โดยหักลบส่วนที่ชำรุดหรือผ่านการซ่อมแซมออกไป
ในการซื้อคันชักสักคันหนึ่งนั้น ความรู้และความเข้าใจที่ลึกซึ้งเป็นสิ่งเดียวที่สามารถใช้ติดต่อซื้อขายกับช่างที่มีชื่อเสียง นายหน้า หรือผู้เชี่ยวชาญได้
| โดย: - [27 ต.ค. 51 17:26] ( IP A:203.170.144.1 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 11 การดูแลรักษาคันชัก คันชักต้องการความรู้และความเชี่ยวชาญในเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอเพื่อให้อยู่ในสภาพดี เพราะสภาพความสมบูรณ์ของคันชักเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดราคาและความคล่องตัวในการซื้อขาย ถ้าไม่รักษาคันชักให้อยู่ในสภาพดี ราคาของคันชักก็จะตกลงไปด้วย
คันชักให้อะไรกับนักดนตรีบ้าง มีปัจจัยหลายอย่างที่มีผลต่อคุณภาพการเล่นของคันชักทั้งในด้านบวกและลบ สิ่งที่ควรพิจารณณาประการแรกคือเสียง ความแตกต่างของเสียงที่เกิดจากคันชักคันหนึ่งกับอีกคันหนึ่งสามารถสังเกตได้อย่างชัดเจน ถ้านักดนตรีต้องการพัฒนาฝีมือของตน ให้มองหาคันชักสักคันที่สามารถสร้างสุ้มเสียงที่ดีที่สุดจากเครื่องดนตรีของเราได้ นอกจากนั้น ให้คิดเสียว่าคันชักของเรามีเสียงของมันอยู่ ปัญหาด้านโครงสร้างหลายอย่างอาจทำให้ไม่สามารถใช้งานคันชักได้อย่างเต็มที่ได้ สำหรับความแข็งแรงและแรงต้านสูงสุดนั้น ความสม่ำเสมอของความโค้งเว้ามีความสำคัญมาก รอยแตกหักที่เกิดตรงส่วนเว้าอาจเป็นสาเหตุให้ด้ามคันชักหักในขณะเล่นตรงจุดนั้น
ถ้าด้ามคันชักไม่ได้ศูนย์กับแนวของหางม้า อาจเป็นสาเหตุให้แรงต้านของด้ามคันชักสูญเสียไป ถ้าด้ามคันชักอ่อนไปสามารถดัดให้ให้เข้าที่ซึ่งจะทำให้ความแข็งแรงเพิ่มขึ้นได้ ความสมดุลก็สามารถปรับให้ถูกต้องและทำให้ดีขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งจะให้การเล่นเทคนิค Spiccato ที่ดีขึ้นและการเล่นโดยรวมที่ง่ายขึ้น
ถ้า Frog หลวมถือเป็นเรื่องที่อันตรายมาก อาจทำให้ Frog เสียหายได้ ถ้าหางม้ายาวเกินไปอาจทำให้ด้ามคันชักเสียดสีกับนิ้วโป้งมากขึ้น ทำให้มูลค่าของมันเสียไป รวมทั้งทำให้การเล่นของคันชักเปลี่ยนไป | โดย: - [27 ต.ค. 51 18:07] ( IP A:203.170.144.1 X: ) |  |
|