ความคิดเห็นที่ 1 Francoise Xavier Tourte (1747 - 1835) 
| โดย: - [16 มิ.ย. 49 11:01] ( IP A:202.12.74.5 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 2 คันชักไวโอลินที่ทำขึ้นในราวๆ ปี 1780 ฝีมือของ Francoise Xavier Tourte 
| โดย: - [16 มิ.ย. 49 11:01] ( IP A:202.12.74.6 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 3 จวบจนก้าวเข้าสู่ยุคคันชักในยุค Transitional period การเพิ่มความห่างของหางม้าออกจากด้ามคันชักมีระยะที่มากขึ้น โดยเฉพาะส่วนปลายคันชัก การแยกส่วนเป็นสิ่งจำเป็นมากเพราะว่าด้ามคันชักยาวขึ้นและตรงขึ้น และมีรูปทรงที่เว้าเข้า การเพิ่มระยะหางม้าให้ห่างจากด้ามคันชักขึ้นอยู่กับองค์ประกอบอีกส่วนนั่นคือด้ามคันชักที่ตรง และยากที่จะบอกได้ว่าสิ่งใดมาก่อนกัน ซึ่งคุณคงจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ดี ถ้าด้ามคันชักตรงอาจจะขยับหางม้าให้เข้ามาอยู่ใกล้ขึ้น แต่เนื่องจากมันถูกทำให้เว้าเข้า ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเพิ่มระยะห่างของหางม้าจากปลายคันชักให้มากขึ้น มิฉะนั้นหางม้าอาจจะไปขูดกับสายได้ ผลที่ได้คือน้ำเสียงที่ดังขึ้นและอาจทำให้การลากคันชักตั้งแต่โคนคันชักทำได้ดียิ่งขึ้น แถบหางม้าจะกว้างกว่าคันชักแบบ Corelli แต่ยังแคบกว่าคันชักแบบของ Tourte กลไกของสกรูเริ่มมีมาตรฐาน และคันชักส่วนใหญ่เริ่มที่จะทำจากไม้ Pernambuco มากกว่าที่จะทำจากไม้ที่ใช้ในยุคแรกๆ เช่น Snakewood, Ironwood และ China wood ซึ่งมักจะทำเป็นร่องตามส่วนความยาวของด้ามคันชัก
ช่างทำคันชักเก่งๆ ในยุค Transitional bow เช่น Duchaine, La Fleur, Meauchand, Tourte Pere และ Edward Dodd แน่นอนว่าไม่มีมาตรฐานที่แน่นอนใดๆ ในเรื่องหน้าตาของคันชักในยุค Transitional period และคันชักทุกๆ อันมีน้ำหนัก ความยาว และความสมดุลที่ต่างกัน ปลายคันชักจะมีรูปร่างที่หลากหลายมากมายแม้แต่ช่างที่มีชื่อเสียง
ขอกล่าวถึงของสะสมชั้นยอดของ Hans Weisshaar ที่ประกอบด้วยคันชัก 3 คันฝีมือของ Edward Dodd (1705-1810) คันชักไวโอลิน 2 คันที่หนัก 54 และ 55.5 กรัมตามลำดับ และคันชักวิโอล่าที่หนักเป็นพิเศษถึง 71 กรัม ปลายคันชักสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ประณีตสวยงาม สิ่งที่น่าสนใจก็คือปลายคันชักที่ David Boyden เรียกมันว่าปลายคันชักแบบ ขวานศึก (Battle-axe) ตัวไม้จะสอบปลายทั้ง 2 ด้านทั้งด้านหน้าและด้านหลังของปลายคันชัก เขาเรียกมันว่าคันชักแบบ 'Cramer bow' ตามชื่อของนักไวโอลิน Wilhelm Cramer (1745-99) ซึ่งอาศัยอยู่ที่เมือง Mannheim จนถึงปี 1772 ก่อนที่จะย้ายไปพำนักยังลอนดอน คุณจะเห็นร่องรอยของคันชักของ Duchaine ที่หนักเพียง 51.5 กรัม รวมถึงคันชักสะสมของ Hans Weisshaar แสดงให้เห็นถึงปลายคันชักแบบ Battle-axe ที่มีการดัดแปลง
ถ้าลองดูคันชักของ Duchaine คุณจะเห็นปลายคันชักทั้งด้านหน้าและด้านหลังทั้ง 2 ด้านที่สอบเข้า ถ้าลองมองตรงจากด้านบน คันชักของ Edward Dodd เป็นปลายคันชักแบบ Battle-axe ที่ดัดแปลงแล้ว จะมีความโค้งมากกว่าแต่มีหน้าตาแบบเดียวกัน คันชักของ Duchaine ยังประดับด้วยงาช้างที่ส่วนล่าง (Underslide) ของ Frog มันเป็นคันชักที่สวยงามมากอย่างแน่นอน และอาจจะกล่าวได้ว่าคันชักเหล่านี้คือสมบัติที่มีค่าทางประวัติศาสตร์
คันชักอีกอันที่อยากจะกล่าวถึงคือคันชักวิโอล่าของ John Dodd ปลายคันชักค่อนข้างเทอะทะและแข็งๆ จริงๆ แล้วคันชักแบบ Transitional bows คือการทดลองค้นคว้า ซึ่งนักเล่นและช่างทำคันชักต่างศึกษาค้นคว้าร่วมกันเพื่อพัฒนาเจ้าอุปกรณ์ในการสร้างเสียงเพลงตัวนี้ จริงๆ แล้วเราอาจจะกล่าวได้ว่าคันชักมีขนาดที่ยาวขึ้น หนักขึ้น ด้ามคันชักถูกออกแบบให้มีความเว้ามากขึ้น การเพิ่มระยะหางม้าให้ห่างจากด้ามคันชักมากขึ้นและทำให้ปลายคันชักหนักและแข็งแรงมากขึ้น ทำให้จุดสมดุลบนด้ามคันชักเลื่อนขึ้นไปสูงขึ้น ยุคของคันชัก Transitional period จะอยู่ในช่วงราวๆ ปี 1740-1790 แม้ว่าโครงสร้างบางอย่างของคันชักแบบ Transitional bow จะยังคงมีใช้อยู่จนถึงศตวรรษที่ 19 ก็ตาม หลักฐานภาพวาดต่างๆ เป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก ตัวอย่างภาพที่น่าสนใจที่แสดงถึงการใช้คันชักแบบ Transitional bow ในช่วงปลายๆ ก็คือภาพพิมพ์หินที่เป็นรูปของ Paganini โดย Karl Begas ในราวๆ ปี 1820 เห็นได้ชัดว่าปลายคันชักเป็นรูปขวานและด้ามคันชักตรง | โดย: - [16 มิ.ย. 49 11:03] ( IP A:202.12.74.6 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 4 Transitional bow แบบฝรั่งเศส 
| โดย: - [16 มิ.ย. 49 11:05] ( IP A:202.12.74.6 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 5 คันชักแบบ Baroque sonata bow มีความเกี่ยวพันกับ Corelli และ Tartini และคันชักแบบ Transitional bow ที่เกี่ยวพันกับ Cramer ส่วนคันชักสมัยใหม่แบบของ Tourte จะมีความเกี่ยวข้องกับ Viotti ในปี 1782 นักไวโอลินชาวอิตาเลี่ยนนาม Giovanni Baptista Viotti เดินทางมาเปิดการแสดงครั้งแรกที่ปารีสในขณะที่มีอายุ 29 ปี ในการแสดงคราวหนึ่งเขาสถาปนาตัวเองว่าเป็นนักไวโอลินชั้นเยี่ยมของยุโรป เขาเป็นลูกศิษย์ของ Pugnani ซึ่งเป็นสายของนักไวโอลินที่ย้อนกลับไปถึงยุคของ Corelli แต่มีบางสิ่งในการเล่นของเขาที่พิเศษและแตกต่างออกไป ถ้าลองอ่านการตอบรับของผู้ชมในยุคนั้นที่มีต่อการแสดงของเขา เราจะประทับใจในความโดดเด่นในการแสดง ความกระตือรือร้นและโทนเสียงที่เขาแสดงออกมา และนี่คือข้อความบางส่วนที่หนังสือพิมพ์ในยุคนั้นได้กล่าวไว้ว่า
- น้ำเสียงที่หนักแน่นเต็มเปี่ยม ความไพเราะที่ยากจะอธิบาย ความหมดจด ความประณีต สดใส - การเล่นของ Viotti ในท่อนที่ยากๆ ที่ดูเรียบง่ายและเล่นออกมาได้อย่างชัดเจน - Viotti แสดงออกทั้งอารมณ์และเล่นในท่อนที่ยากได้อย่างสมบูรณ์แบบ - การแสดงที่ถูกต้องแม่นยำ ประณีตสละสลวย คุณภาพของเสียงที่น่าชื่นชมในท่อน Adagio - ช่างเป็นการผสมผสานที่ลงตัวของพลังและความสง่างาม ช่างเป็นท่อน Adagio และ Allegro ที่งดงาม - ไม่มีสิ่งใดจะยอดเยี่ยมไปกว่าเสียงไวโอลินของเขาในกระบวนที่ 2 อีกแล้ว - ดูเหมือนว่าพลังของเขาที่มีต่อไวโอลินนั้นจะไร้ขีดจำกัด เขาได้ปลุกเร้าความรู้สึก แต่งเติมวิญญาณให้กับเสียง และนำมาซึ่งความรู้สึกอันน่าหลงใหล
Viotti ต้องเป็นศิลปินนักไวโอลินที่ยิ่งใหญ่ที่สามารถสร้างความตื่นตาตื่นใจแบบนั้นให้กับผู้ฟังได้เช่นนี้ ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักในฐานะนักไวโอลินผู้ยิ่งใหญ่เช่นเดียวกับการได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ก่อตั้งเทคนิคการเล่นไวโอลินสายใหม่ซึ่งมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นคือ น้ำเสียงที่หนักแน่นเต็มอิ่ม เทคนิค Legato ที่เหมือนเสียงร้องเพลง เทคนิคการใช้คันชักที่หลากหลาย แม้ว่าชีวิตการเป็นนักดนตรีของเขาค่อนข้างจะสั้นก็ตาม แต่ชื่อเสียงของเขากลับยืนยงจนถึงศตวรรษที่ 19 เทคนิคการเล่นของเขามีอิทธิพลมากใน 2 ส่วนก็คือ ส่วนแรกก็คือในกลุ่มของลูกศิษย์และผู้ที่ติดตาม ส่วนที่สองจะผ่านทางผลงานการประพันธ์ของเขา โดยเฉพาะบทประพันธ์ไวโอลินคอนแชร์โตต่างๆ การสอนของเขาจะเป็นรูปแบบของคำแนะนำและแรงบันดาลใจมากกว่าการสอนตามปกติ และเขาจะไม่รับเงินทองใดๆ จากลูกศิษย์ และนี่คือรายชื่อลูกศิษย์ของเขา เช่น Paul Alday, Louis Labarre, Jean Baptiste Cartier, Auguste Durand, Philippe Libon, Nicholas Mori, Friedrich Pixis และ Andre Robberechts แต่ละคนแยกย้ายไปยังที่ต่างกันและได้กลายเป็นนักไวโอลินชั้นนำ ณ ที่แห่งนั้น ในแผนผังโครงสร้างสายของนักไวโอลิน (Family tree of violinists) ที่รวบรวมโดย Marc Pincherle ในหนังสือพจนานุกรม Encyclopedie de le Musique et Dictionnaire du Conservatoire แสดงถึงสัดส่วนของนักไวโอลินที่มีชื่อเสียงจำนวนมากของที่มาจากสายของ Viotti | โดย: - [16 มิ.ย. 49 11:06] ( IP A:202.12.74.8 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 8 Giovanni Battista Viotti (1753-1824) 
| โดย: - [16 มิ.ย. 49 11:10] ( IP A:202.12.74.6 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 9 นักไวโอลินคนสำคัญ 3 คนที่ก่อตั้งเทคนิคการเล่นแบบ Viotti (Viotti method) ได้แก่ Pierre Baillot (1771-1842), Jaques Rode (1774 -1830) และ Rudolphe Kreutzer (1776 -1831) ความสัมพันธ์ของพวกเขาผูกพันกันโดยความสัมพันธ์ที่มีต่อ Viotti หน้าที่ๆ คล้ายกันของพวกเขา ณ สถาบันการดนตรี วัยวุฒิและช่วงอาชีพที่ใกล้เคียงกัน อิทธิพลของพวกเขาที่ปรากฏอยู่ในแบบฝึกหัดไวโอลินของนักเรียนนั้นไม่ใช่คำกล่าวที่มากเกินไปเลย และนี่คือบางส่วนของเทคนิคการสอนที่ยังคงใช้ได้ผลดี
ก่อนหน้านั้นนักดนตรีเครื่องสายของวงออร์เคสตร้าล้วนเป็นนักดนตรีที่มีความสามารถในแนวทางของตนเอง แต่ทุกๆ คนมีเทคนิคการใช้คันชักที่แตกต่างกัน...ผลก็คือทำให้วิธีการเล่นบนสายไวโอลินแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ซึ่งทำให้ขาดการเล่นที่ดีและสมบูรณ์แบบไปอย่างน่าเสียดาย ปัจจุบันอุปสรรคเหล่านี้ได้ถูกขจัดไปแล้ว Rode, Kreutzer และ Baillot ซึ่งเป็นศาสตราจารย์คนสำคัญของสถาบันการดนตรีล้วนมีเทคนิคการใช้คันชักเฉพาะตัว แต่เทคนิคทั้งหมดของพวกเขาล้วนคล้ายคลึงกับ Viotti อาจารย์ของพวกเขาเป็นอย่างมาก...บรรดาลูกศิษย์ของอาจารย์ทั้ง 3 ท่านล้วนมีเทคนิคที่หลากหลายและเปี่ยมด้วยพลัง ทำให้การเล่นของวงออร์เคสตร้าเกิดเอกภาพ และที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ แต่ละอาจจะคิดว่าเล่นได้ราวกับเป็นไวโอลินเพียงตัวเดียวของแต่ละส่วนเลยทีเดียว
ปารีสเป็นศูนย์กลางของการแสดงไวโอลินชั้นดี มาตรฐานที่พัฒนาขึ้นมาจากการผลงานของสถาบันการดนตรีแห่งปารีส ซึ่งวิธีการสอนของสถาบันการดนตรีได้ถ่ายทอดออกมาเป็นตำรา 2 เล่มคือ The Methode de Violon โดย Baillot, Rode, Kreutzer ตีพิมพ์ในปี 1802 และรายละเอียดการเล่นในหนังสือ L'Art du Violon โดย Baillot เพียงคนเดียวในปี 1830 แต่น่าเสียดายว่าไม่มีตำราที่เขียนโดยตัว Viotti และบทต่อไปจะเป็นการกล่าวถึง Viotti และ Tourte | โดย: - [16 มิ.ย. 49 11:11] ( IP A:202.12.74.8 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 11 The Methode de Violon เขียนโดย Baillot, Rode และ Kreutzer 
| โดย: - [16 มิ.ย. 49 11:16] ( IP A:202.12.74.6 X: ) |  |
|