พออายุได้ 18 ปี เขาถูกส่งไปเรียนที่มหาวิทยาลัย University of Christiania แต่เขากลับสอบตก หลังจากที่พำนักอยู่ในเยอรมันเพียงไม่นาน โดยหลอกทางบ้านว่าเรียนกฎหมายอยู่นั้น เขาได้เดินทางไปยังปารีส และหลังจากใช้ชีวิตระหกระเหินเดินทางอยู่ปีหรือสองปี ในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จในการแสดงคอนเสิร์ท กลายเป็นนักไวโอลินที่มีชื่อเสียง และเริ่มสร้างอนาคตของตนเอง
Bull เป็นศิลปินที่มีแนวคิดเรื่องชาตินิยมแบบโรแมนติก (Romantic Nationalism) ซึ่งกระแสความรักชาติที่กำลังก่อตัวขึ้นในนอรเวย์ เขาได้ประกาศความคิดเรื่องการเป็นรัฐอธิปไตยของประเทศนอรเวย์ โดยสนับสนุนการแยกตัวจากการเป็นสหพันธรัฐของสวีเดน ซึ่งความคิดนี้ได้กลายมาเป็นความจริงเมื่อปี 1905 และนี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่เขาบรรจุเพลงพื้นบ้านต่างๆ เข้าไปในคอนเสิร์ทของเขาด้วย นอกจากนั้นเขาเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งหลักของโรงละครแห่งแรกที่นักแสดงจะร้องเป็นภาษานอรเวย์โดยไม่ใช้ภาษาเดนิช นั่นคือโรงละคร Det Norske Theater ในเมือง Bergen ในปี 1850 ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นโรงละคร Den Nationale Scene
Bull ออกเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาหลายครั้ง ซึ่งคอนเสิร์ททุกๆ ครั้งของเขาประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ในปี 1853 เขามีที่ดินจำนวนมากในรัฐ Pennsylvania และได้ก่อตั้งอาณานิคมขึ้นที่เรียกว่า New Norway ในวันที่ 24 พฤษภาคม 1853 เขาได้ซื้อที่ดินจำนวน 11,144 เอเคอร์อย่างเป็นทางการ เป็นเงินทั้งสิ้น $10,388 เหรียญ ที่ดินของเขาประกอบด้วยชุมชน 4 ชุมชนด้วยกันคือ New Bergen (ปัจจุบันคือ Carter Camp) Oleana (ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ตนเองและมารดา) ซึ่งอยู่ห่างจาก New Bergen เพียง 6 ไมล์ ชุมชน New Norway อยู่ห่างไปทางตอนใต้ของ New Norway เพียง 1 ไมล์ และชุมชน Valhalla ที่อยู่ใกล้ๆ กัน จุดที่สูงสุดของ Valhalla Bull เรียกว่า Nordjenskald ได้กลายมาเป็นปราสาทที่สร้างไม่เสร็จของเขา ในไม่ช้างานของเขาในเรื่องนี้ได้จบลง เนื่องจากหาพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มได้ยาก Bull จึงกลับไปแสดงคอนเสิร์ทอีกครั้ง
Robert Schumann เคยเขียนไว้ว่า Bull คือ "นักไวโอลินที่ยิ่งใหญ่ที่สุด" (The greatest of all) ความเร็วและความชัดเจนในการเล่นของเขาอยู่ในระดับเดียวกับ Niccolo Paganini นอกจากนั้น Bull ยังเป็นเพื่อนสนิทของ Franz Liszt อีกด้วย ทั้งมีโอกาสคู่ออกแสดงดนตรีด้วยกันหลายต่อหลายครั้ง
โดย: - [26 ก.พ. 50 13:10] ( IP A:202.12.74.8 X: )
ความคิดเห็นที่ 1 อนุสาวรีย์ของ Ole Bull ที่เมือง Bergen ประเทศนอรเวย์
โดย: - [26 ก.พ. 50 13:10] ( IP A:202.12.74.5 X: )
ความคิดเห็นที่ 3 ไวโอลิน Ole Bull ฝีมือของ Giuseppe Guarneri del Gesu ไม้แผ่นหน้ามีลวดลายที่ไม่เข้ากัน ด้านหนึ่งมาจากไม้ท่อนเดียวกันกับไวโอลิน "Sauret" ส่วนอีกด้านมาจากไม้ท่อนเดียวกับไวโอลิน "Heifetz" เคลือบวานิชสีเหลืองส้ม
โดย: - [27 ก.พ. 50 7:53] ( IP A:202.12.74.6 X: )
ความคิดเห็นที่ 4 Ole Bull ไวโอลินปี 1744 ฝีมือของ Guarneri del Gesu จะสังเกตเห็นได้ว่าสรีระและลักษณะนิสัยของคนเราจะแสดงออกชัดเจนขึ้นตามอายุขัยที่เปลี่ยนไป ไวโอลินของ Guarneri del Gesu ก็เช่นเดียวกัน เอกลักษณ์ของตัวไวโอลินจะชัดเจนขึ้นตามประสบการณ์การทำงานที่มากขึ้น ไวโอลิน Ole Bull อาจจะเปรียบเสมือนเพลงอำลาของเขาก็เป็นได้ ตัวไวโอลินได้ผสานสิ่งที่เรียกว่า พลังอันยิ่งใหญ่ ของช่างผู้นี้ลงไปด้วย ช่องเสียงมีความยาวเป็นพิเศษและปีกล่างที่ตวัดโค้ง การเจาะช่องเสียงที่ทำตัดแบบขาดความเอาใจใส่โดยสิ้นเชิง มุมไวโอลินที่ห้วนและขุดแต่งแบบหยาบๆ การฝังเส้นขอบที่ชิดกับร่องขอบลำตัว (Channel) ที่เห็นได้ชัด ส่วนหัวไวโอลินแสดงถึงความเป็นGuarneri del Gesu ได้อย่างชัดเจน เมื่อมองจากด้านหน้าจะเห็นวงก้นหอยวงแรกที่กระชั้นและ ใบหู ที่ตวัดขึ้น แต่แน่นอนว่าไวโอลินตัวนี้มีรูปลักษณ์ที่มีพลังอย่างน่าประทับใจ และถือเป็นเครื่องดนตรีที่ดีที่สุดในโลกตัวหนึ่ง
ไวโอลินตัวนี้ได้ชื่อมาจาก Ole Bull (1810-1880) เจ้าของคนแรกที่มีการบันทึกประวัติเอาไว้ เขาเป็นนักไวโอลินที่มีชื่อเสียงชาวนอรเวย์ แต่หลังจากที่เขาเสียชีวิตลงแล้ว ไวโอลินตัวนี้ได้ตกไปอยู่ในมือของนักสะสมที่มีชื่อเสียงชาวอังกฤษคือนาย James Goding ต่อมาเครื่องดนตรีสะสมจำนวนมากทั้งหมดของ Goding ได้ถูกขายออกไปในการประมูลเมื่อปี 1857
หลังจากนั้นผู้ที่ได้ครอบครองไวโอลินตัวนี้คือนาย C.H.C. Plowden สะสมที่มีชื่อเสียง ซึ่งมีไวโอลินชั้นยอดของ Stradivari และ Guarneri อยู่ในครอบครองเป็นจำนวนมาก รวมถึงไวโอลินของ Guarneri อีก 3 ตัวที่ได้มาจากนาย John Hart แต่หลังจากที่ Plowden เสียชีวิตแล้ว John Hart ได้ขายไวโอลินตัวนี้ให้กับนาย H.C. Cooper และต่อมาได้ขายให้กับนาย Frederick Lehmann หลังจากนั้นในปี 1892 นาย Robert Borwick ได้ซื้อไวโอลินตัวนี้มาจากกองมรดกของนาย Lehmann ส่วนเจ้าของคนต่อมาคือนาง Lyons ซึ่งมีชื่อบันทึกอยู่ในหนังสือ The Violin Makers of the Guarneri Family ที่ตีพิมพ์ในปี 1931
ไวโอลินไม่ได้ถูกขายอีกเลยจนกระทั่งถึงปี 1962 ผู้ที่ได้ไปก็คือนาย Henry Werro นายหน้าค้าไวโอลินชาวสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งต่อมาได้มอบให้กับนาย Jean Werro บุตรชายของเขา แต่ Jean ได้ขายให้กับ Uto Ughi นักไวโอลินที่มีชื่อเสียงชาวอิตาเลียน ต่อมาในปี 1992 ไวโอลินตัวนี้ถูกขายผ่านร้าน Bein & Fushi ให้กับมูลนิธิ Chi-Mei Culture Foundation แห่งไต้หวัน