ความคิดเห็นที่ 1 ในฐานะผู้ดูแลฝ่ายศิลป์ของงานเทศกาลดนตรี La Jolla SummerFes หนังสือพิมพ์ Los Angeles Times ได้กล่าวว่า Lin ได้ผสมผสานความสดชื่นและความตื่นตาตื่นใจต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน บทบาทในฐานะผู้ที่สนับสนุนคีตกวีร่วมสมัยนั้น Lin ได้เชื้อเชิญนักประพันธ์ที่มีผลงานโดดเด่นเข้าร่วมงานเทศกาลนี้ ในขณะเดียวกันก็ค้นหาและสนับสนุนผลงานของนักประพันธ์รุ่นใหม่เหล่านี้ ส่วนบทบาทในฐานะนักเดี่ยวไวโอลินนั้น เขาได้นำผลงานของคีตวกีรุ่นใหม่ออกแสดงเป็นครั้งแรก เช่น Tan Dun, Joel Hoffman, Christopher Rouse, Esa-Pekka Salonen, Elie Siegmeister, Bright Sheng, George Tsontakis, George Walker และ Chen Yi เขาได้นำบทประพันธ์ไวโอลินคอนเเชร์โต 2 บทของ Gordon Chin นักประพันธ์ชาวไต้หวันออกแสดงเป็นครั้งแรกที่เมืองซานดิอาโกและไทไป
Cho-Liang Lin บันทึกแผ่นเสียงให้กับสังกัด Sony Classical, Decca, Ondine และ BIS ผลงานบางชุดของเขาได้รับรางวัลต่างๆ เช่น รางวัล Gramophone's Record of the Year และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Grammy Award อีกด้วย สำหรับอัลบั้มที่ทำร่วมกับทาง Sony Classical นั้น ประกอบด้วยบทเพลงไวโอลินมาตรฐานบทต่างๆ เช่น ไวโอลินคอนแชร์โตของ Mozart ไปจนถึง Stravinsky รวมถึงบทประพันธ์แชมเบอร์มิวสิคของ Brahms, Schubert, Tchaikovsky, Debussy และ Ravel ส่วนผลงานกับสังกัด Decca นั้น เขาได้บันทึกเสียงบทประพันธ์ Concerto for Violin and Guitar ของ Aaron Jay Kernis ร่วมกับนักกีตาร์ Sharon Isbin โดยมีผู้อำนวยเพลงคือ HughWolff และวง Saint Paul Chamber Orchestra และผลงานที่ทำร่วมกับบริษัท BIS นั้น เขาได้บันทึกแผ่นเสียง Concerto Folk Dance Suite จากบทประพันธ์ของ Chen Yi และผลงานบันทึกเสียงไวโอลินคอนแชร์โตจากบทประพันธ์ของ Christopher Rouse ที่เขาทำรวมกับบริษัท Ondine ซึ่งทาง New York Times ได้กล่าวยกย่องว่าเป็นผลงานที่ดีที่สุดของปี 2004
Cho-Liang Lin เกิดเมื่อปี 1960 ที่ไต้หวัน เขาเริ่มเรียนไวโอลินครั้งแรกเมื่ออายุเพียง 5 ขวบเท่านั้น พออายุได้ 12 ขวบเขาเดินทางไปยังกรุงซิดนี่ย์ประเทศออสเตรเลียเพื่อศึกษาต่อด้านดนตรี ครูดนตรีคนแรกๆ ของเขาคือ Sylvia Lee และ Robert Pikler แรงบันดาลใจครั้งสำคัญของเขาเกิดขึ้นเมื่อเขามีโอกาสได้พบกับ Itzhak Perlman ที่เดินทางมายังซิดนี่ย์ Lin ออกเดินทางไปยังนิวยอร์คในปี 1975 เพื่อเล่นไวโอลินให้กับ Dorothy DeLay อาจารย์ของ Perlman ได้ฟัง ณ โรงเรียนดนตรี Juilliard School ที่มีชื่อเสียง ในขณะที่เขาศึกษาอยู่ ณ สถาบันแห่งนี้เป็นเวลา 2 ปีนั้น Lin ชนะเลิศการแข่งขันไวโอลินในรายการ Queen Sofia Violin Competition ที่กรุงแมดริดประเทศสเปน และในไม่ช้าเส้นทางอาชีพนักดนตรีของเขาก็ได้เริ่มขึ้น เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกของภาควิชาดนตรีที่ Juilliard ตั้งแต่ปี 1991 และพำนักอยู่ที่นิวยอร์คพร้อมกับภรรยาและลูกสาว ไวโอลินคู่ใจของเขาคือ "The Duke of Camposelice" ปี 1742 ผลงานของ Guarneri del Gesu | โดย: - [3 ม.ค. 49 14:08] ( IP A:202.12.74.8 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 2 "Duc de Camposelice" ไวโอลินคู่ใจของ Cho-Liang Lin ในช่วงแรกๆ ของการเป็นนักดนตรีอาชีพนั้น เขาเริ่มหาไวโอลินในอุดมคติมาเป็นเวลานานมาก ในปี 1983 เขาได้ซื้อไวโอลิน Dushkin ผลงานของ Stradivari ซึ่งเป็นไวโอลินชั้นยอดตัวแรกที่เขาซื้อ เขากล่าวว่า Dushkin เป็นไวโอลินที่มีน้ำเสียงมหัศจรรย์มาก แต่บางทีอาจจะมีประวัติการเก็บรักษาที่ไม่ดีนัก น้ำเสียงของมันเยี่ยมยอดมากตลอดช่วง 7 ปีที่เขาใช้มัน แต่เขาต้องการไวโอลินที่คุณภาพใกล้เคียงกับ Soil ของ Stradivari ที่เขาเคยได้รับยืมมาใช้อยู่ราวๆ 1 ปีก่อนที่จะมาซื้อ Dushkin เขากล่าวว่าผมมีภาพในใจว่าผมต้องการสิ่งที่เหมือนกับ Soil และเมื่อผมได้ลอง Huggins มันทำให้ผมนึกถึง Soil ที่สร้างขึ้นในปีเดียวกันคือปี 1708 มันมีลายไม้แผ่นหลังที่เหมือนกันมาก และใช้วานิชที่เกือบจะเหมือนกัน เป็นไวโอลินที่สวยงามมาก แต่ปัญหาของมันคือเรื่องเสียง Huggins ถูกเก็บรักษาไว้ที่ห้องนิรภัยของธนาคารกว่า 30 ปีก่อนที่ผมจะได้มันมา ต้องใช้เวลาสักเล็กน้อยกว่าที่เสียงจะดีขึ้น และเมื่อผมใช้ไวโอลินตัวนี้ไปสักพักเสียงของมันดีขึ้นแต่ไม่มากนัก ผมพยายามที่จะปรับแต่ง เช่น การเปลี่ยนหย่อง เปลี่ยนซาวด์โพสท์ และแก้ปัญหาเรื่ององศาของคอ แต่มันยังไม่ดีขึ้นอย่างที่ผมคาดหวังเอาไว้ ในช่วงนั้นผมเล่นคอนเสิร์ตและบันทึกแผ่นเสียงบ่อยมากแต่ไม่ค่อยรู้สึกดีกับมันมากนัก
หลังจากนั้นผมได้เจอไวโอลิน Duc de Camposelice ปี 1734 ของ Guarneri del Gesu ที่ร้านของ Charles Beare ในลอนดอน ผมหลงรักมันในทันที เสียงของมันแจ่มใสในทันทีที่เล่น Charles Beare รู้ว่าผมไม่ค่อยมีความสุขกับ Huggins นัก ผมรู้จักกับเจ้าของไวโอลินดี เขาเป็นเพื่อนสนิทของผม และเป็นยังคนที่ให้ผมยืม Soil เมื่อหลายปีก่อนอีกด้วย ผมขาย Huggins ให้กับ Beare เพื่อซื้อไวโอลินของ Guarneri ซึ่งเจ้าของไวโอลิน Guarneri ตัวนี้ยืนยันว่ามันควรตกไปอยู่ในมือของนักไวโอลินมืออาชีพไม่ใช่นักสะสมหรือมือสมัครเล่น ผมหวังว่าการซื้อขายคงเป็นไปอย่างราบรื่น ซึ่งตอนนี้ผมได้มันมากว่า 9 ปีแล้ว
ไวโอลิน "Duc de Camposelice" ของ Guarneri "del Gesu" ต้องการการดูแลรักษาเป็นพิเศษ เขามักจะนำมันไปที่ร้านบ่อยมาก เขาเรียกมันว่า การตรวจสภาพทุกระยะ10,000 ไมล์ ทั้งคนเล่นและไวโอลินเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินไปยังย่านบรู๊คลิน เขาลงรถที่สถานีใกล้ๆ กับถนน Atlantic Avenue เพื่อพบกับ Sam Zygmuntowicz ซึ่งเป็นทั้งช่างทำเครื่องดนตรีและช่างซ่อม เขาจะทิ้งสินค้าสุดรักไว้ที่นั่น 2-3 วัน และหวังว่าช่างผู้ทำการเยียวยาจะสามารถทำฟิงเกอร์บอร์ดใหม่ให้เขาได้ เขากล่าวว่ามันคือความมหัศจรรย์ของ Sam ยอดช่างฝีมือซึ่งเขาได้มอบหมายให้ดูแลไวโอลินคู่ใจของเขา ซึ่งเขาได้มอบหมายงานนี้ให้กับ Sam เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เขากล่าวว่า จริงๆ แล้วผมยังรองานของ Sam อยู่นะ เขามีโกดังเก่าสำหรับเก็บของที่กว้างขวางและมีแสงสว่างที่พอเหมาะ ตัวอาคารหันหน้าไปทางทิศเหนือ ซึ่งเหมาะแก่การทำไวโอลินโดยแท้ | โดย: - [3 ม.ค. 49 14:13] ( IP A:202.12.74.7 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 5 Sam Zygmuntowicz มีประสบการณ์การทำไวโอลินมากว่า 20 ปี เขาเริ่มเข้ามาดูแลไวโอลิน Guarneri ของ Lin ซึ่ง Sam กล่าวว่ามันเป็นเครื่องดนตรีที่มหัศจรรย์อย่างแท้จริง มันถูกทำขึ้นในช่วงที่ฝีมือของ Guarneri พัฒนาถึงขีดสุดในราวต้นทศวรรษที่ 1730 ตัวไวโอลินมีความป่องคล้ายๆ ไวโอลินตัวที่ชื่อ Kreisler ของ Guarneri ช่องเสียงที่ตัดอย่างสวยงามและได้สัดส่วน เสียงไวโอลิน Guarneri ในยุคนี้ให้น้ำเสียงที่ชัดเจนและหนักแน่น เสียงไวโอลินของ Guarneri ที่ทำขึ้นในยุคหลังมักจะไม่ค่อยชัดเจนนัก แต่ไวโอลินตัวนี้มีโทนเสียงที่ดี มีความชัดเจนและทรงพลังมาก และเข้ากับเขาได้ดีทั้งความสง่างาม น้ำเสียงที่ชัดเจนแจ่มใสไม่จัดจ้านจนเกินไป มีความสมดุลและกลมกล่อมเช่นเดียวกับสุนทรียภาพในตัวเขา
เขาให้ความสำคัญกับการหาคันชักเป็นพิเศษเช่นเดียวกับไวโอลิน ในช่วงวัยรุ่นและตอนอายุ 20 ต้นๆ นั้นเขายังไม่สามารถซื้อคันชักช่างฝรั่งเศสยุคศตวรรษที่ 19 ได้ ดังนั้นเขาจึงหันมาหาคันชักฝีมือของช่างร่วมสมัยแทน คันชักคันแรกที่เขาซื้อเป็นผลงานของ John Norwood Lee แห่งชิคาโกและ Lloyd Liu ช่างทำคันชักชาวจีนในลอสแอนเจลิสที่เคยอยู่ในนิวยอร์คมาก่อน และเมื่อเก็บเงินได้เพียงพอเขาก็เริ่มซื้อคันชักฝรั่งเศสและในตอนนี้เขาใช้แต่คันชักฝรั่งเศสเท่านั้น คันชัก 1 ใน 4 คันที่เขานำติดตัวไปออกคอนเสิร์ตด้วยทุกครั้งก็คือคันชักฝีมือของ Dominique Peccatte เป็นงานที่ทำขึ้นในศตวรรษที่ 19 ซึ่งถือเป็น Stradivari แห่งคันชักเลยทีเดียว เขากล่าวว่าคันชักของ Guillaume Maline, Etienne Pajeot และ E. A. Auchard สามารถตั้งวงควอเต็ทได้ครบวงพอดี เขาซื้อคันชักเหล่านี้มาจากทั่วโลก และใช้มันในบทเพลงที่แตกต่างกัน คันชัก Pajeot มีความนุ่มนวลและละเอียดอ่อนกว่าจึงเหมาะกับงานของ Mozart, Beethoven และ Bach ส่วนคันชัก Peccatte และ Maline จะหนักแน่นกว่าดังนั้นจึงใช้ในคอนแชร์โตหนักๆ เช่นงานของ Bartok, Sibelius และ Brahms
สภาพอากาศและช่วงเวลาในแต่ละปีที่แตกต่างกันนั้น ดูเหมือนว่าไวโอลินของเขาจะชอบคันชักไม่ซ้ำกันเลย ในช่วงหน้าร้อนที่มีความชื้นสูงๆ ไวโอลินตัวนี้สามารถใช้คันชักที่หนักขึ้น และรับการออกแรงกดกับการเล่นที่หนักขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากไม้มีการขยายตัวมากขึ้น แต่ในฤดูหนาวที่ไม้แห้ง เขาจะใช้คันชักที่ค่อนข้างเบาเล็กน้อย เขาเป็นคนที่พิถีพิถันในเรื่องนี้มาก เมื่อเขาจะซื้อคันชักซักคันในช่วงหน้าร้อนเขามักจะเลือกคันชักให้น้ำหนักมากกว่าในช่วงหน้าหนาวเล็กน้อย ซึ่งบางทีอาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่าเพียง 2-3 กรัม ทำให้เขามีคันชักที่พร้อมสมบูรณ์มีน้ำหนักและความแข็งต่างกัน ซึ่งเขาเตรียมพร้อมไว้สำหรับทุกฤดูกาลของทั้งปี
การเลือกสายของเขาไม่ค่อยยุ่งยากนัก หลังจากที่เขาใช้สายเอ็นมาโดยตลอด ในที่สุดเขาก็ได้กลายมาเป็นลูกค้าผู้ซื่อสัตย์ของสาย Dominant หลายปีมาแล้ว เมื่อไม่นานมานี้เขาได้เปลี่ยนไปใช้สายรุ่นใหม่ของ Dominants ในรุ่น Thomastik-Infeld ซึ่งขาพบว่ามีคุณภาพที่แน่นอนกว่าเล็กน้อย เมื่อเขาออกทัวร์คอนเสิร์ทเขาไม่ต้องการให้สายใดสายหนึ่งเกิดความผิดพลาดขึ้น ดังนั้นเขาจึงมักจะมองหาสิ่งที่อยู่กับเขาได้ทนขึ้นอีกซักเล็กน้อย สรุปได้ว่า Lin เลือกเครื่องดนตรีคู่ใจของเขาดังนี้ ไวโอลิน "Duc de Camposelice" ปี 1734 ฝีมือของ Guarneri "del Gesu" และกำลังรอไวโอลินตัวใหม่ที่กำลังทำให้เขาโดย Samuel Zygmuntowicz ช่างทำไวโอลินชาวบรู๊คลิน คันชักคันเก่งของเขาล้วนเป็นฝีมือของช่างชาวฝรั่งเศสทั้งสิ้น เช่น Dominique Peccatte, Guillaume Maline, Etienne Pajeot, และ E. A. Auchard เขาพึ่งเปลี่ยนมาใช้สายของ Thomastik-Infeld จากบริษัท Dominants | โดย: - [3 ม.ค. 49 14:19] ( IP A:202.12.74.8 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 6 "The Duke of Camposelice" ปี 1734 ผลงานของ Guarneri del Gesu ด้านหลังเป็นไม้ 2 แผ่นลายไม้กว้าง เคลือบวานิชสีเหลืองทอง 
| โดย: - [3 ม.ค. 49 14:19] ( IP A:202.12.74.6 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 7 
| โดย: - [3 ม.ค. 49 14:19] ( IP A:202.12.74.7 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 8 คันชักไวโอลินฝีมือของ Dominique Peccatte 
| โดย: - [3 ม.ค. 49 14:20] ( IP A:202.12.74.8 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 9 ผลงานการบันทึกแผ่นเสียงของ Cho-Liang Lin รายชื่ออัลบั้มจำนวน 11 ชุดที่แสดงถึงความสามารถที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นวง Ensemble จนถึงวงออร์เคสตร้า และตั้งแต่ Brahms ไปจนถึง Tan Dun
Brahms: String Sextets, Op. 18 & 36/Theme and Variations for Piano (Sony Classical) Kernis: Air/Double Concerto/Lament & Prayer (Uni/Argo) Mendelssohn: Greatest Hits (Sony Classical) Mozart: Sinfonia Concertante, Concertone (Sony Classical) Jean-Joseph Mouret, Jeremiah Clarke, et al.: Gabriels Garden (Sony Classical) Saint-Saens: Concertos (Sony Classical) Schubert, Boccherini: Quintets (Sony Classical) Stravinsky, Prokofiev: Violin Concertos (Sony Classical) Tan Dun: Death and Fire (Ondine) Tchaikovsky, Arensky: Piano Trios (Sony Classical) Weber: Chamber Music (Delos) | โดย: - [3 ม.ค. 49 14:22] ( IP A:202.12.74.5 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 10 Cho-Liang Lin กับผลงานชุด Stravinsky; Prokofiev: Violin Concertos 
| โดย: - [3 ม.ค. 49 14:23] ( IP A:202.12.74.8 X: ) |  |
|