จดหมายจากผู้ซื้อ ถึงจริยธรรมผู้ขายและท่านเจ้าบ้าน
   ผมเป็นคนหนึ่งที่ติดตามชวนชมมาตลอด ทั้งจากในเว็บและจากหนังสือ โดยเฉพาะเรื่องราวของเพชรบ้านนา อ่านแล้วก็ปลงๆ แล้วรู้สึกสงสาร “คนซื้อ” จริงๆ เพราะทุกวันนี้พูดถึงกันแต่ผลกระทบที่หนังสือเขียนให้ “คนขาย” ขายต้นไม้ไม่ได้ ยังไม่มีใครเคยออกมาระบายเลยว่าในมุมของ “คนซื้อ” เขาเป็นอย่างไร และรู้สึกอย่างไร แม้กระทั่ง “เจ้าของบ้าน” เอง ก็ยังยืนอยู่ข้าง “คนขาย” เลย ผมจึงจำเป็นต้องมาเป็น “กระจก” สะท้อนหัวอก “คนซื้อ” บ้าง
ต้องยอมรับจริงๆ ว่าการที่คนในเว็บทำตัวเป็นกระจกสะท้อนหนังสือไม้ดอกไม้ประดับนั้น เป็นเรื่องผลประโยชน์เต็ม เพราะคนที่พูด วิเคราะห์ได้อย่างเฉียบแหลมก็เป็น “คนขาย” ต้นไม้ ที่ไม่เคยนั่งอยู่ในหัวใจ “คนซื้อ” เลย
ผมเป็นคนที่ซื้อเพชรบ้านนาโดยไม่อาศัยว่ามาจากกิ่งแม่อนุชา ไม่สนใจว่าเป็นของแท้ ของเทียม แต่ผมอาศัยซื้อจากต้นที่เห็นและมั่นใจว่าเป็นเพชรบ้านนาที่ตรงสายพันธุ์ ถามว่าทำไมต้องเล่นแบบตรงสายพันธุ์ ก็เพราะอนุชา ที่เป็น “คนขาย” เขาปลูกฝังกันมาอย่างนี้ มันเป็นกลยุทธ์การขายของ “พ่อค้า” ที่ต้องการกินรวบ โดยอาศัยการจำกัดเรื่องสายพันธุ์ว่า 1. กิ่งแม่ติดฝักยาก แต่ให้ลูกนิ่ง 2.กิ่งลูกกลายพันธุ์สูง 3.กิ่งแม่ไม่เคยกระเด็นออกจากสวน 4.หากจะให้มั่นใจต้องซื้อจากสวนของอนุชาหรือที่อนุชารับรอง ทั้งหมดคือ วิธีการขายของอนุชา ซึ่งเมื่อก่อนคนแห่กันเข้าไปซื้อเป็นที่โด่งดัง ไม่เห็นมาใครออกมาโวยวายอย่างทุกวันนี้ เพราะเมื่อก่อนมีที่อนุชาที่เดียวจริงๆ
แต่วันนี้เมื่อเกิดการกระจายพันธุ์ทั้งกิ่งแม่กิ่งลูก สับสนวุ่นวาย คนที่เคยซื้อเพื่อสะสมเมื่อก่อน วันนี้ก็เปลี่ยนเครื่องแบบจาก “คนซื้อ” มาเป็น “คนขาย” เพราะมันดัง ขายง่ายและราคาสูง ในขณะที่อนุชาก็ยังใช้กลยุทธ์การขาย “กินรวบ” แบบเดิม ผลคืออะไร??? ผลก็คือ คนที่มีเพาะเพชรบ้านนาได้ลูกได้หลานต้องการจะขายบ้าง ก็ขายไม่ได้เพราะ อนุชาตั้งกฎที่ถูกปลูกฝังหยั่งลึกลงรากแก้วแล้วว่ากิ่งแม่ไม่เคยหลุด หากจะให้มั่นใจต้องที่สวนผมเท่านั้น ดังนั้น “คนขาย” ที่ต้องการขายจึงต้องอาศัยชื่ออนุชาขาย ไม่อย่างนั้นขายของไม่ได้ ขายความน่าเชื่อถือของอนุชา นี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของชนวนความขัดแย้งของเพชรบ้านนา
เมื่อ “คนขาย” อื่นๆ ที่ต้องการจะเข้าไป “กินร่วม” กับอนุชา ถูกสกัดกั้น จะทำอย่างไร ก็อย่างที่ผมบอกต้องแอบอาศัยชื่ออนุชา และบางรายก็โจมตีทำลายชื่อเสียงของเขา ยิ่งใช้ชื่อเขาหากินมากเท่าไหร่ อนุชาก็ยิ่งตะโกนเสียงดังมากขึ้นเท่านั้น ผลก็คือเขาต้องมาออกสื่อเพื่อกระชับกลยุทธ์การขายของเขาให้แน่นขึ้น นี่คือ “พ่อค้า”
ผมเองก็ไม่รู้ว่ากิ่งแม่ของอนุชาหลุดจากสวนหรือเปล่า กิ่งแม่ติดฝักยากจริงหรือเปล่า แล้วเพชรบ้านนาที่ขายเกลื่อนอยู่ในตลาดมาจากกิ่งแม่หรือกิ่งลูก ไปถามใครไม่มี “คนขาย” ที่ไหนบอกความจริงหรอกครับ เพราะมันเป็นเรื่องธุรกิจ เป็นเรื่องของผลประโยชน์และเป็นเรื่องของ “พ่อค้า” ที่ไม่เคยสงสาร “คนซื้อ”
และผมต้องขอยืนยันว่าทุกวันนี้มีการขายเพชรบ้านนาแบบไม่ตรงสายพันธุ์ หรือที่เขาเรียกว่าเป็นของปลอม ไม่เคยเห็นหรือครับที่เขามาโพสในห้องพูดคุยของ คนรักโซโค สอบถามสายพันธุ์ว่าเป็นเพชรบ้านนาหรือเปล่า ดูอย่างไรก็เป็นยักษ์ญี่ปุ่น เป็นอย่างไรล่ะครับบรรดา “พ่อค้า” ทั้งหลาย เคยสำนึกกันบ้างไหม เคยสงสารเขาบ้างไหม คนโพสเมื่อรู้ว่าไม่ใช่เพชรบ้านนาก็เสียใจ ผิดหวัง บอกว่าโดนหลอก พร้อมกับก้มหน้ายอมรับว่าเป็นเวรเป็นกรรมที่ทำไว้แต่ชาติปางก่อน ผมจำได้ว่าผมเป็นคนเดียวที่ตอบกลับไปว่า ให้ระบุออกมาว่าซื้อมาจากสวนไหน ใครขาย??? จะได้ไม่มีเหยื่อรายต่อไป แต่ก็ไม่มีใครกล้าบอก แล้วจะให้ทำอย่างไรกันล่ะครับบรรดา “คนขาย” ทั้งหลาย เคยสำเหนียกกันบ้างไหม หรือว่าเป็นเรื่องเวรเรื่องกรรมของเขาครับ???
ผมจึงขอสนับสนุนหนังสือไม้ดอกไม้ประดับ ที่บอกให้ซื้อเพชรบ้านนาจากสวนที่เขารับรองสายพันธุ์เอง ไม่ต้องไปเสียเกียรติเสียศักดิ์ศรีใช้ชื่ออนุชา “คนขาย” รับรองสายพันธุ์ว่าเป็นเพชรบ้านนาที่ตรงสายพันธุ์ หากไม่ตรงนำมาคืนยินดีคืนเงิน ผมว่าถ้า “คนขาย” ทำอย่างนี้ผมคนหนึ่งแหละที่จะวิ่งไปซื้อ
แล้วทำอย่างไรล่ะครับในเมื่อ “คนขาย” เองก็ยังไม่มั่นใจเลยว่าเพชรบ้านนาที่อยู่ในมือมีต้นที่ตรงสายพันธุ์อยู่กี่ต้นและต้นไหนบ้าง โดยเฉพาะต้นเล็กๆ เวรละกู?!!!? เพราะทุกวันนี้ต้องยอมรับว่าเพชรบ้านนาต้นเล็กๆ อายุไม่ถึง 1 ปี มีความต้องการซื้อสูงที่สุด เพราะราคาหลักร้อยเท่านั้น หลักพันหลักหมื่นเอาเงินที่ไหนซื้อล่ะครับ ไม่ใช่ “คนขาย” นี่หน่า
ผมว่ามันเป็นเหตุเป็นผมนะครับ เมื่อ “คนขาย” ไม่มั่นใจสายพันธุ์เพราะมันยังไม่เห็นฟอร์ม ก็อย่าเพิ่งขายซิครับ รอให้เห็นฟอร์มว่าตรงสายพันธุ์แล้วค่อยขาย แล้วรับประกันสายพันธุ์เองซะ ไม่ต้องไปยอมลดตัวใช้ชื่ออนุชาหากิน แล้วก็ไม่ต้องไปขายแพงๆ อย่างกลุ่มของอนุชาเขา ขายกันถูกๆ อย่าโลภมาก จะขายต้นไม้ให้เป็นเศรษฐีกันเลยหรือไงครับ สงสาร “คนซื้อ” บ้างเถอะครับ
ดีไหมครับ “ท่านเจ้าบ้าน” ที่วันนี้ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าท่านเป็น “คนซื้อ” หรือ “คนขาย” ยืนอยู่มุมไหน แล้วเพชรบ้านนาในมือท่านล่ะกล้ารับรองสายพันธุ์เองหรือเปล่า
“ท่านเจ้าบ้าน” ครับ!!! อย่าไปว่าหนังสือเขาเลยมันเป็นธุรกิจของเขา และผมก็เข้าใจว่ามันก็เป็นธุรกิจของ “ท่านเจ้าบ้าน” เช่นกัน แต่...บรรดา “คนขาย” ไม่เคยเข้าใจ “คนซื้อ” เลย อย่างเรื่อง “มงกุฎสยาม” ที่ตั้งกันขึ้นมา ผมก็รู้ว่าเป็นเพชรบ้านนานั่นแหละ แต่ไม่อยากจะใช้ชื่อของเขา แต่เชื่อผมเถอะครับ เวลา “คนขาย” พรีเซนต์สินค้าก็ไม่วายอาศัยชื่อเพชรบ้านนาเหมือนเดิม หรือเป็นกลยุทธ์ของ “คนขาย” ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อคัดไม้ เมื่อลักษณะตรงสายพันธุ์เพชรบ้านนา ก็ขายในชื่อเพชรบ้านนา แต่หากเกิดการกลายพันธุ์ เช่นใบมีขน กิ่งยืดยาว ก็ใช้มงกุฎสยาม ผมเป็น “คนซื้อ” คนหนึ่งแหละที่พอจะเดาทาง “คนขาย” ได้ เพราะต้องยอมรับนะครับว่า เพชรบ้านนามันติดตลาดแล้วและยากที่จะเปลี่ยนได้ นี่เป็นเรื่องที่ “คนขาย” ไม่เข้าใจ “คนซื้อ” จริงๆ แล้วมันเป็นการตั้งชื่อเพื่อตอบสนอง “คนขาย” มากกว่า “คนซื้อ” นะครับ เขาเรียกว่าเกาไม่ถูกที่คัน
มันก็เหมือนกับ “โลตัส” กับ “ร้านโชห่วย” นั่นแหละครับที่ขัดผลประโยชน์กันทุกพื้นที่ ร้านโชห่วยรวมกันต่อต้านโลตัส เพราะจะเข้าไปแย่งลูกค้าในพื้นที่ แล้วเหมาคิดเอาเองว่า “ผู้ซื้อ” ในพื้นที่เขาเห็นด้วย ติดป้ายประท้วง เราชาวอำเภอนี้อำเภอโน้นไม่เอาโลตัส โลตัสออกไป โลตัสทำลายวิถีชีวิตชาวบ้าน ถามเถอะครับว่าเคยไปสำรวจไหมว่า “ผู้ซื้อ” ต้องการโลตัสไหม ผมเป็นคนหนึ่งแหละที่ต้องการ เพราะเขาขายของถูก สะดวกสบาย มีของหลากหลาย และอยู่ใกล้ๆ บ้าน มันเป็นกลยุทธ์การขายที่แสดงให้เห็นว่าร้านโชห่วยต้องปรับตัว ขายสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ ก็เหมือน “เพชรบ้านนา” กับ “มงกุฎสยาม” นั่นแหละครับ ที่ไม่เคยถาม “ผู้ซื้อ” ในวงกว้างเลย ตีขลุมเอาเอง ถามใจตัวเองดูครับ “คนขาย”
ต้องบอก “คนขาย” เลยนะครับว่า “คนซื้อ” สมัยนี้ไม่โง่แล้ว เขาไม่สนใจหรอกครับว่า จะเป็นกิ่งแม่หรือกิ่งลูก ตำนานจะเป็นมาอย่างไร เขาดูกันที่ต้นที่จะซื้อมากกว่า มันสวยไหม ตรงสายพันธุ์ไหม อยู่ที่ความพอใจของคนซื้อ นี่แหละครับที่ “คนขาย” ต้องปรับตัว ผลิตต้นที่สวยขายได้แน่นอนไม่ต้องกลัวหรอกครับ
จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่ทุกวันนี้ “คนขาย” ยังงมโข่งกันอยู่เลย ทะเลาะกันแต่เรื่องประวัติไม้ เปิดกันแต่ตำนาน กิ่งแม่มาจากสายโน้นสายนี้ อยากจะเป็นเจ้าของสายพันธุ์ ตลกจริงๆ ชวนชมเมืองไทย ไม่สนใจเลี้ยงต้นไม้ให้สวยให้ถูกใจลูกค้า
สรุป ไม่ว่าจะเป็นอนุชาเจ้าของเพชรบ้านนา หรือคนที่ตั้งชื่อมงกุฎสยาม และนิตยสารไม้ดอกไม้ประดับ ต่างยืนอยู่บนผลประโยชน์ส่วนตัวทั้งนั้น โดยมี “เงิน” เป็นเดิมพัน และมี “คนซื้อ” เป็นเหยื่อ
สุดท้ายจริงๆ ใครที่เคยซื้อเพชรบ้านนาแล้วไม่ตรงสายพันธุ์ หรือเรียกง่ายๆ ว่าถูกหรอกขอให้ออกมาเปิดเผยแหล่งที่ซื้อ จะได้ไม่มีใครหลงกลอีก “คนซื้อ” จงมารวมตัวกัน ให้ “คนขาย” รู้ว่าเราไม่ใช่หมูในอวย เพราะมันไม่ใช่เรื่องเวรเรื่องกรรม และมันเป็นเรื่องเลวของ “คนขาย” ที่ต้องช่วยกันประจาน เชื่อเถอะครับว่า เมื่อเราประจานอย่างนี้ จะไม่มีใครกล้าขายเพชรบ้านนาไม่ตรงสายพันธุ์หรอกครับ...
...ไม่ต้องสงสัยเลยนะครับว่าคนที่โพสตอบต่อจากผมนี้เป็น “คนซื้อ” หรือ “คนขาย”…
โดย: หัวอกผู้ซื้อ [14 ธ.ค. 50 10:08] ( IP A:124.120.104.207 X: )
Add to Facebook  Add to Twitter  Add to Multiply  Add to Google  Add to Blogger  Add to Live
ความคิดเห็นที่ 1
   ท่านเจ้าบ้าน..อยู่หนาย ย ย คะ งานเข้า ฮะ ฮะ ฮ่า
โดย: บุหลันแรม... [14 ธ.ค. 50 14:09] ( IP A:125.27.78.87 X: )
ความคิดเห็นที่ 2
   ตั้งแต่เพลมีสหายโทรมาแจ้งให้ทราบว่า ห้องชวนชมมีความเห็นแบบพิเศษมาลง พอดีวันนี้งานยุ่งไม่มีเวลาเข้าเนต..เลยมาซะค่ำเลย ..
เห็นคอมเม้นท์คุณ บุหลันแรม แล้วขำดี ..งานเข้า....เลยได้นั่งอมยิ้มพิจารณาข้อความยาวๆข้างบนนั่น..

ดูจากที่เขียนมาทั้งหมด..หาเหตุจูงใจในการที่เขาเขียนแล้ว พิจารณาความหมายทั้งหมด..ก็พอทราบวัตถุประสงค์ เสียดายอยู่อย่างที่เขาไม่กล้าบอกตรงๆ ว่าเขียนเพื่อหนังสือไม้ประดับนั่น แต่ออกตัวมาว่า เขียนเพื่อผู้ซื้อชวนชมทั่วไป..ก็เลยได้อมยิ้มต่อไปอีกนิด..

แหม่บๆ นี่ เพิ่งโดนค่อนแคะอยู่หยกๆ ว่าเป็นคนปากร้าย..ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นสักหน่อย..เพียงแต่ไม่ชอบเลย ที่มีคนเข้ามาแสดงความเห็น แล้วไม่แสดงตัวตนที่แท้จริง หรือชื่อที่คนเขารู้จักกันทั่วไป บางทีคำโต้ตอบจึงอาจเลาะร้ายไปบ้าง แต่สิ่งที่เขาทำมันเหมือนกับการไม่ให้เกียรติเพื่อนสมาชิก นึกจะปลอมหรือซ่อนชื่อ เข้ามา พ่นอะไรก็ทำกันไป.. บางคำพูดจะคิดหรือไม่ว่า มันเคลือบสารตะกั่วไว้ให้เพื่อนๆในเว็บอ่าน..บางทีมันก็ทำร้ายจิตใจกัน อย่างที่ผมเคยบอก ความเห็นของคน ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน แต่การแสดงออก ควรตรงไปตรงมา และให้เกียรติซึ่งกันและกัน...และผมไม่ใช่พระเอกในละครที วี..ที่ต้องทนเรื่องบางเรื่องที่มันดูไร้สาระ..เมื่อไม่ให้เกียรติผู้อื่น..ผมก็ไม่ต้องให้สิ่งนั้นกับเขา ฉะนั้นอย่าว่ากันเลยนะจ๊ะ ว่าเป็นคนแก่ปากร้าย..

ส่วนท่านหัวอกผู้ซื้อ ที่เข้ามาลงกระทู้วันนี้..คุณเองก็คงเข้าใจจุดประสงค์ของตัวคุณเองดี ความจริงมาแบบตรงๆชัดๆ ชื่อเรียงเสียงไรก็ว่ามา มันก็ง่ายขึ้น..เล่นตะแครงมาแบบนี้มันน่าหมั่นไส้มากกว่า ที่อ่านแล้วน่าเห็นใจและสนใจ..พอดีช่วงนี้ยังไม่สบายอยู่เดี๋ยวขอเวลาสักพัก อุตส่าห์มาทั้งทีรับรองไม่ผิดหวังหรอก จะต้อนรับให้สมเกียรติคอลัมนิสต์ประจำหนังสือทีเดียว .ขอตัวไปหม่ำข้าวก่อนล่ะ อิ อิ..
โดย: เจ้าบ้าน [14 ธ.ค. 50 19:08] ( IP A:203.113.80.16 X: )
ความคิดเห็นที่ 3
   ต้อนรับเร็วๆนะจ๊ะ คนแก่ปากร้าย อิ อิ อย่าเอาแต่ขำขัน
เขาอุตส่าห์พิมพ์มาตั้งยาว มันเหนื่อยจ้ะ
5555555555555555
โดย: Da [15 ธ.ค. 50 15:34] ( IP A:117.47.70.51 X: )
ความคิดเห็นที่ 4
   ถ้าไม่ตอบเรื่องนี้ ก็จะเสียความตั้งใจที่คุณอุตส่าห์เขียนมาเสียยาวเลย โดยเฉพาะความตั้งใจหลักของคุณอยู่ที่อาศรมลีลาวดี ..ศึกษาข้อเขียนของคุณทั้งหมดแล้ว ความหมายของเนื้อหาส่วนมาก ก็ยังเป็นเรื่องที่เขียนในหนังสือไม้ประดับฉบับหนึ่ง ทั้งภาษาที่ใช้ก็ไม่ต่างกันมากนัก ความเห็นก็ยังเหมือนเดิม แบบว่าอ่านปุ๊บ ก็ทราบว่าแรงจูงใจในการเขียนมาจากตรงไหน..

เอาเกี่ยวกับผู้ขายในเว็บทั่วไปก่อน..ส่วนมากเขารักชื่อเสียงกันทั้งสิ้น และ ที่มองเห็นก็มีน้ำใจไมตรีมีมิตรภาพแบ่งปันกันกับผู้ซื้ออยู่เสมอๆ แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ ทุกวงการก็ต้องมีทั้งคนดีและคนเลวอยู่ปะปนกัน บางท่านก็อาจพบเจอผู้ขายที่ไม่ดีได้ แต่ก็ส่วนน้อย เหมือนในสังคมทั่วไป...ถ้าส่วนที่เลวมีมากกว่า สังคมเราจะอยู่กันได้อย่างไร..ผู้ขายที่ดีจึงมีมากกว่าอยู่แล้ว..เหมือนในวงการสื่อสิ่งพิมพ์นั่นแหละ มันก็อาจจะมีเหลือบ ที่แอบซุกซ่อนหาแต่ผลประโยชน์ มากกว่าจะให้สิ่งดีๆ กับคนอ่านโดยรวม..แต่ก็น่าจะเป็นส่วนน้อยเช่นกัน..

สำหรับจริยธรรมที่ถามหาจากเจ้าบ้าน (น่าจะเป็นผมกระมัง) ธรรมดาการร้องแร่แห่ประโคม การสร้างภาพของการมีความประพฤติที่เป็นธรรม ดูน่าจะทำกันไม่ยาก..เหมือนที่คุณพยายามเขียนมานั่นแหละ..แต่ความจริงมันอยู่ที่คนรอบข้างเขามองมากกว่า.แล้วเขาจะบอกเองว่า เขาจะให้หรือไม่ ..จริยธรรมกับสิ่งที่คุณแสดงออก

อาศรมลีลาวดีเป็นเว็บที่เปิดขึ้นเพื่อขายต้นไม้..ตลอดสองปีที่ผ่านมา ไม่รู้ว่ามีจริยธรรมหรือเปล่า..คงต้องให้ลูกค้าของทางอาศรมฯ ที่เคยติดต่อค้าขายกันมา เป็นคนคอมเม้นท์ คนนอกที่รู้เรื่องต้นไม้ไม่มาก และไม่เคยติดต่อค้าขายกับทางอาศรมฯเช่นคุณ. ไม่มีโอกาสทราบหรอก ว่าผมมีจริยธรรมหรือไม่..และผมก็ไม่จำเป็นต้องตะโกนบอกใครเพื่ออวดอ้าง..

เหมือนผมมองสื่อสิ่งพิมพ์อยู่. เป็นหนังสือไม้ประดับเล่มหนึ่ง ในเล่มเดียวกัน ด้านหน้าเขียนกะแนะกะแหน ด้านหลังเขียนเอาใจชื่นชม ในประเด็นเดียวกัน..เป็นภาพที่คนในวงการต้นไม้ต่างมองออก ว่ารับเงินเขาทั้งสองข้าง เลยต้องเขียนสองแบบ....ลักษณะนี้แหละ ที่สามารถมองเห็นได้เลย ว่าไม่มีจริยธรรม ..ความจริงคนที่ไม่มีจริยธรรมแล้วมาร้องหา..ผมค่อนข้างจะดูถูกอยู่มาก แต่คราวนี้เขียนตอบสักที ..คิดว่าสร้างเชือกสนตะพายจูงเพื่อนร่วมโลกออกจากความมืด เผื่อจะเข้าใจคำว่า จริยธรรมที่ชัดเจนขึ้น
โดย: เจ้าบ้าน [16 ธ.ค. 50 19:59] ( IP A:203.113.80.11 X: )
ความคิดเห็นที่ 5
   ส่วนสองข้อความนี้…. .
1...ดูฟอร์มว่าตรงสายพันธุ์แล้วค่อยขาย

2. ต้องบอก “คนขาย” เลยนะครับว่า “คนซื้อ” สมัยนี้ไม่โง่แล้ว เขาไม่สนใจหรอกครับว่า จะเป็นกิ่งแม่หรือกิ่งลูก ตำนานจะเป็นมาอย่างไร เขาดูกันที่ต้นที่จะซื้อมากกว่า มันสวยไหม ตรงสายพันธุ์ไหม อยู่ที่ความพอใจของคนซื้อ นี่แหละครับที่ “คนขาย” ต้องปรับตัว ผลิตต้นที่สวยขายได้แน่นอนไม่ต้องกลัวหรอกครับ

มันตอบสิ่งที่คุณเขียนมาทั้งหมดได้เองอยู่แล้ว..ข้อ 1..คุณไม่มีความรู้เรื่องต้นไม้ นอกจากฟังแต่คนที่เขาให้เงินจ้างเขียน..บอกมา..
ไม้เพาะเม็ดมันมีความหลากหลายประการใด คุณควรศึกษาเองให้มากกว่านี้..ฟอร์มหรือลักษณะไม้เพาะเมล็ดเป็นเรื่อง ที่กำหนดมาตั้งแต่ สายพันธุ์ การผสมของเกสร การเจริญเติบโตของเมล็ดในฝัก ..ก่อนการเอามาเพาะ(อาจมีการใช้สาร หรือฉายรังสี ทำให้เปลี่ยนแปลง). และการเลี้ยงดู....ปัจจัยมันไม่ได้อยู่แค่ที่ว่า สายพันธ์ประการเดียว

ข้อ 2...คุณก็รู้ว่าคนซื้อ เขาฉลาดแล้ว..คุณจะมาเขียนบอกอะไรเขาอีก และการเขียนก็จับประเด็นอะไรเด่นชัดไม่ได้ เหมือนเอาเนื้อหาในหนังสือมาเขียนใหม่ เปลี่ยนจากเฉลียร์คนจ่ายเงิน มาเป็นการแอบอ้าง คนซื้อทั่วไป..อ่านแล้วน่าขำ และน่าสงสารมากกว่า..ที่อ่านแล้วจะได้อะไรจากสิ่งที่เขียนเสนอมา เหมือนหนังสือเล่มนั้นแหละพับถุงใส่กล้วยแขก..ประโยชน์คงมีแค่นั้น..

ดูรวมๆแล้วคุณคงเข้าใจเรื่องจริยธรรมมากขึ้น....มันไม่ใช่เกิดจากการที่คุณตะโกนบอกคนอื่นว่า..ตูมีจริยธรรมโว้ย..
แต่มันอยู่จากผลที่คุณกระทำ และคนอื่นจะบอกกับคุณเอง..ว่าคุณนั้นมีหรือเปล่า..จริยธรรม..

แต่ถ้าให้ผมบอกวันนี้ สิ่งที่คุณเขียนมาให้ผมอ่านในนามผู้ซื้อ และสิ่งที่เห็นเขียนอยู่ในหนังสือไม้ประดับเล่มนั้น.ทั้งคอลัมนิสต์ที่เขียน และ เจ้าของหนังสือ ร่วมทั้งทีมงาน ไม่มีจริยธรรมครับ เห็นแก่ผลประโยชน์ รับเงินสองทาง ที่ผมยกรวมครอกเพราะ..สุภาษิตจีนเขาบอกว่า...ไม่มีงาช้างงอกในปากสุนัข..ในหมู่คนเลว คนดีย่อมอยู่มิได้..

ผมจบลงแค่นี้ก่อนสำหรับครั้งนี้.. แต่ยังไม่จบหรอกครับ อุตส่าห์มาเยียนทั้งที ต้อนรับน้อยเกินไปก็กระไรอยู่..
ครั้งหน้า...จรรยาบรรณของสื่อ..คอยอ่านนะครับ เดี๋ยวไปศึกษาความเห็นของ.. ป๋าหมัก..ก่อน..คนนี้เขาเข้าใจจริยธรรมของสื่อดี.....สวัสดีครับ..
โดย: เจ้าบ้าน [16 ธ.ค. 50 20:02] ( IP A:203.113.80.11 X: )
ความคิดเห็นที่ 6
   ก่อนอื่นต้องบอกว่าผมไม่มีหนังสือฉบับที่เจ้าบ้านเอ่ยในมือ แต่ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าบ้านบอก ผมว่าคนที่ไม่มีจริยธรรมก็คือคุณ "หัวอกผู้ชื้อ" เอง คุณอาจจะเป็นผู้เขียนข้อความเหล่านี้เองในหนังสือหรือนำข้อความเหล่านั้นมาดัดแปลงก็ตาม
และขอบอกอีกว่าผมไม่ใช่ผู้ขายต้นไม้ แต่ถ้ามองแค่ข้อความที่คุณเขียนตรงนี้ คุณก็จะดูใจแคบไปซักหน่อย คุณต้องมองในหลายแง่มุมว่าผู้ขายรายใหญ่(โลตัส)มีกำลังในการซื้อปริมาณมากเมื่อซื้อมาในราคาถูกก็ขายได้ในราคาถูก ส่วนผู้ขายรายย่อย(ร้านโชห่วย)ซื้อมาในราคาแพงก็ต้องขายแพง และเมื่อมีโลตัสเกิดขึ้นร้านโชห่วยก็ต้องหาทางเอาตัวรอดเพื่อจะมีเงินมายาใส้เลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย
ผู้ซื้อก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าจะซื้อจากใคร
ส่วนตัวผม ซื้อน้อยเลือกเดินไปโชห่วยปากซอย ซื้อมากอยากตากแอร์ก็ขับรถไปโลตัส
ผมขอถามคุณกลับไปบ้างว่าถ้าคุณเป็นร้านโชห่วยคุณจะทำอย่างไร???
และผมก็ทราบว่าคุณคงไม่ตอบผมเพราะคนจริงทำอะไรต้องเปิดเผย กล้าทำกล้ารับ
ผมเป็นแค่วิศวกร คำพูดคำจามิได้เรียบเรียงสวยหรู ทุกคำพูดออกมาจากความรู้สึก ถ้ากระทบผู้ไดต้อขออภ้ย
และขอโทษเจ้าบ้านที่ระบายความรู้สึกออกไป
โดย: aobaob [17 ธ.ค. 50 11:57] ( IP A:222.123.85.100 X: )
ความคิดเห็นที่ 7
    สรุป ไม่ว่าจะเป็นอนุชาเจ้าของเพชรบ้านนา หรือคนที่ตั้งชื่อมงกุฎสยาม และนิตยสารไม้ดอกไม้ประดับ ต่างยืนอยู่บนผลประโยชน์ส่วนตัวทั้งนั้น โดยมี “เงิน” เป็นเดิมพัน และมี “คนซื้อ” เป็นเหยื่อ
... ผมอ่านสรุป ของหัวอกผู้ซื้อ วนไปวนมาตั้งหลายเที่ยว แล้วมาย้อนดูตัวเอง ว่าเราเห็นเงินเป็นพระเจ้าหรือไม่ เราหลอกคนซื้อหรือไม่ และเราต้องการอะไรจากคนซื้อกันแน่
... ผมเองอาจเป็นส่วนเล็กๆ ในวงการ มีสถาณะเป็นทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย เรียกว่าโดนเหมือนๆทุกท่านที่เคยโดน เจ็บเหมือนๆทุกท่านที่เคยเจ็บ เข้าใจผิดในหลายเรื่อง ที่หลายคนโดนกันมา เรียกว่าครบทุกรสครบทุกอารมณ์กันเลยทีเดียวเชียว
... จำได้ว่าเคยซื้อเพชรบ้านนาเสียบตอไทย 1 ต้น ราคา 9,000 บาท สมัยนั้นเรียกว่าแพงเอาเรื่อง มาหั่นขายเสียบละ 100 บาท กระจายทั่วประเทศเมื่อ 2 ปี ที่แล้ว ก็ไม่เห็นมีใคร หรือนิตยสารฉบับบใดมาสรรเสริญเยินยอว่าขายถูก เป็นสุดยอดนักขายคุณธรรม มีแต่หลายสวนเค้าพากันสวดว่า "ทำไปด้าย" เอ็งขายราคานี้แล้วตูจะขายออกหรือวะ ต้นทุนตูก็ยืมเค้ามา ดอกเบี้ยวิ่งกันทุกเดือน
... กลับมาคิดอีกที เราเองก็ต้องเอื้ออาทรผู้ขายส่วนใหญ่ด้วย ว่าถ้าเราทำแล้ว เขาต้องอยู่ร่วมกับเราได้ ไม่ใช่ขายถูกกว่าชาวบ้าน มันจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องเสมอไป ขายแบบไม่เอากำไรขายแบไม่ต้องดูราคากลาง ทำไปแล้วตัวเองได้บุญ แต่คนอื่นเขาเป็นเช่นไรไม่รับรู้อย่างนั้นหรือ
... ผมเลยปรับราคา มาอยู่ที่ เพชรบ้านนา บางคล้า ไทยโซโคทั้งหลาย ราคาเสียบละ 300 บาท ซึ่งถ้าซื้อจากสวนกิ่งแม่ ราคาที่พอทราบ เริ่มต้นที่ 1,200 บาท ถึง เสียบละ 2,500 บาท มาถามผมว่าของใครถูก ของใครแพง ผมตอบไม่ได้ เพราะไม่ทราบราคาต้นทุนของแต่ละสวนที่ซื้อมาครับ
... ไอ้เรื่องเงิน ใครก็ยากได้กันทั้งนั้น ทุกวันนี้ผมเองก็ยังต้องขนขวายหามาใช้ และผมเองก็ทราบดีเพราะอยู่วงงานไม้มาหลายตัว ว่าคนขายที่แท้จริงเขาขายให้ใคร ใครกันแน่คือผู้ซื้อ สัดส่วนของผู้ซื้อ แท้ที่จริงคือบุคคลกลุ่มไหนกันแน่
... จากประสบการณ์ คนทำไม้ขายให้ผู้ซื้อประเภทไหนกันบ้าง
1.ขายให้ผู้ซื้อที่เป็นคนทำไม้ (เจ้าของสวนเล็กใหญ่) 60%
2.นักสะสม 25%
3.นักเล่นตามกระแส 10%
4.อื่นๆ 5%
ก็พอสรุปได้ว่า เมื่อไม้ของตัวเอง กระจายไปยังผู้ซื้อหลัก คือคนทำ จนครบแล้ว คนทำไม้ก็เริ่มทำผลผลิตออกมาแข่งกับเจ้าของสายพันธุ์ สุดท้ายก็แย่งตลาดเดียวกันคือ นักเล่น 25%บวกกับ นักเล่นตามกระแส อีก 10% กลุ่มคนทำ 60% แย่งตลาดกับคนซื้อ 25%+10% ส่งผลที่ต้องหากลยุทธการตลาดออกมาแย่งผู้ซื้อครับ
... ลองย้อยมาดูผู้ทำกันบ้าง ลงทุนกันไปเยอะ ยังไม่ได้ขายเลย ต้องมาขายแข่งกันเอง แถมเจ้าของสายพันธุ์ร่วมลงมาขายแข่งอีก ต้องปรับราคาลงมาอีก เรียกว่าแย่งกันทำแย่งกันเจ๊ง ขายถูกดีกว่าขายไม่ได้ ขายแพงไม่มีคนซื้อ ดอกเบี้ยบานสะพรั่ง แต่ดอกชวนชมโรยรา
...ผมเห็นใจผู้ซื้อครับ ยิ่งถ้ากลุ่มคนทำที่เข้ามาตอนตลาดวายยิ่งน่าเศร้า เรียกว่าตายทั้งเป็น ผมจึงอยากเรียนว่า โปรดเห็นใจผู้ขายกันบ้าง ไม่ใช่ว่าจะไม่โดน หรือได้รับความเจ็บปวด อย่าคิดว่าผู้ขายเป็นผู้กอบโกยผลประโยชน์ โปรดมีมุมมอง มองผู้ขายอย่างเป็นธรรมด้วยครับ สมัยนี้มีผู้ขายคนไหนไปหลอกคนซื้ออยู่ไม่ได้หรอกครับในวงการนักขาย เขามีแต่เพิ่มสมรรถณะการขายการบริการให้ลูกค้าประทับใจกันมากกว่า ครับ
... ผิดถูกอย่างไรผมก็แค่คนเล็กๆ ในการขาย ขอให้ผู้ซื้อเป็นผู้พิจรณากันดีกว่า ความถูกต้องเป็นธรรมอยู่ตรงไหนกันแน่ ที่ทำคุณพึงพอใจผู้ขายครับ


ของแพงขายถูก
หรือของถูกขายแพง
ของแท้ขายเป็นของเก๊
ของเก๊ขายเป็นของแท้
มันมีมาแล้วทั่วโลกกับโลกของการขาย ไม่ใช่เรื่องใหม่ครับพี่น้อง

โดย: กฤตย์ [17 ธ.ค. 50 12:33] ( IP A:203.156.81.225 X: )
ความคิดเห็นที่ 8
   ผมคิดแล้วตั้งแต่แรก ว่าคำแสลงรูหู และแสลงหัวใจ ว่าใครหนอช่างสรรหาวลีเด็ดๆอะไรจะปานนั้น ตอนนี้ผมถึงบางอ้อแล้วครับ ว่าวลีอันนั้นอยู่ในนิตรสารรายปักษ์ฉบับหนึ่งและฉบับเดียวคอลัมนิสต์ก็คนเดียว จำฉบับที่ไม่ได้ครับแต่จำคำว่า สำเหนียก ได้จนขึ้นใจ ตอนแรกนึกว่าใครที่แท้ก็คุณ นน.นีเอง บอกมาเลยแต่แรกซะก็จบ
ส่วนของจะถูกหรือแพงนั้นเป็นไปตามกลไกลของการตลาด ว่าด้วยหลักเศรษฐศาสตร์ในหัวข้ออุปสงค์และอุปทานครับ แปลง่ายๆครับความต้องการมากแต่ของมีน้อยสินค้านั้นก็จะแพง ตรงกันข้ามครับของถูกแน่ๆเลยถ้าของมีมากแต่ความต้องการนั้นมีน้อย ผมเองก็ไม่รู้จะโทษใครนอกจากตัวผมเองที่ทำมากเกินไป
โดย: สมชาย [17 ธ.ค. 50 20:03] ( IP A:124.157.211.138 X: )

คลิกที่นี่เพื่อกลับหน้าบ้าน