ความคิดเห็นที่ 1 เปิดตำนาน TNA
นับตั้งแต่หลังเดือนเมษายน ปี 2001 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นอันสิ้นสุดสมาคมมวยปล้ำอันดับ 2 และ 3 ของโลกซึ่งได้แก่ WCW และ ECW นั้น World Wrestling Federation หรือ WWF ที่ต่อมาด้วยคดีความทางกฎหมาย จึงทำให้ต้องเปลี่ยนชื่อเป็น World Wrestling Entertainment หรือ WWE ก็ได้กลายมาเป็นสมาคมมวยปล้ำอันดับ 1 ของโลกอย่างแท้จริง จากความพยายามอันยาวนานกว่า 40 ปีของสมาชิกตระ *** ล McMahon ที่จะผลักดันให้ WWE เป็นสมาคมมวยปล้ำอันดับ 1 ของโลก ถึงแม้จะดูเหมือนว่าจะไม่มีสมาคมใดแล้วที่จะอาจหาญขึ้นมาสู้กับ WWE แต่ว่าในปี 2002 อดีตลูกหม้อของ WWE อย่าง Jeff Jarrett อดีตแชมป์ Intercontinental 6 สมัย และอดีตแชมป์ WCW 4 สมัยก็กลับสวนกระแสด้วยการตัดสินใจร่วมมือกับพ่อนั่นคือ Jerry Jarrett ซึ่งเคยมีประสบการณ์ในการทำสมาคมUSWA กับ Jerry Lawler มาแล้ว ได้ทำการก่อตั้ง TNA ขึ้นมา ถึงแม้เวลาจะผ่านไปเป็นปีที่ 4 แต่ว่า TNA ก็พัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จน WWE จำเป็นจะต้องเริ่มปรับตัว ทั้งสไตล์การปล้ำที่ดุเดือด ตื่นเต้น และเร้าใจ รวมทั้งการที่ดาราเก่าของ WWE หรือ WCW บางคนได้ตบเท้าเข้ามายัง WWE นี่จึงทำให้ TNA กลายเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวของ WWE ทันที และในคราวนี้ ผมจะขอทำการเสนอประวัติของสมาคมเล็กๆแห่งนี้ ว่าทำไมพวกเขาจึงสามารถก้าวขึ้นมาต่อกรกับสมาคมที่มีอายุยืนนานกว่า 40 ปีได้ทั้งที่มีอายุเพียงประมาณ 4 ปีเท่านั้น
ข้อมูลจำเพาะ ชื่อเต็ม Total Non-stop Action Wrestling ชื่อย่อ TNA ก่อตั้ง ค.ศ.2002 ที่ตั้งสำนักงาน Nashville, Tennessee แต่ปัจจุบันอยู่ที่ Orlando, Florida ผู้ก่อตั้ง Jeff & Jerry Jarrett เจ้าของ Panda Energy & Jeff Jarrett (Panda Energy ถือหุ้น 71% ส่วน Jeff Jarrett ถือหุ้น 29%) นิติบุคคล TNA Entertainment LLC. ชื่อเดิม NWA:TNA
เปิดตำนาน TNA
TNA เกิดขึ้นไม่นานหลังจากการสิ้นสุด WCW และ ECW โดยที่ TNA เกิดขึ้นเนื่องด้วยในตอนนั้น Vince McMahon ไม่ค่อยให้ความสนใจกับมวยปล้ำรุ่น Cruiserweight มากนัก รวมทั้งการจัดมวยปล้ำแบบ Rasslin (คือมวยปล้ำที่เน้นการปล้ำ ไม่เน้นบท) เพราะว่ามวยปล้ำแบบ WWE นั้นจะเป็นแบบ Sports Entertainment คือกีฬาเพื่อความบันเทิง โดยจะเน้นไปทางด้านบทบาทเสียมากกว่า ซึ่งจุดนี้ทำให้ TNA ใช้เป็นช่องว่างในการหาส่วนแบ่งคนดูจาก WWE โดยพยายามเสนอมวยปล้ำในแบบ Rasslin และเน้นไปทางด้านรุ่น Cruiserweight ซึ่ง WWE ไม่ค่อยให้ความสนใจอีกด้วย โดย TNA ได้ชักชวนนักมวยปล้ำจาก WCW และ ECW ที่ไม่เซ็นสัญญากับ WWE มาอยู่ในสมาคม จนกระทั่งวันที่ 10 พฤษภาคม 2002 J Sports and Entertainment ก็ได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อมาบริหาร TNA โดยมี Jeff Jarrett เป็นประธานกรรมการบริษัท (สมาคม) ส่วน Jerry Jarrett เป็น ประธานกรรมการบริหาร (CEO) และ TNA นั้นก็ได้เข้าไปเป็นสมาคมในสังกัดของ National Wresting Aliance (NWA) ภายใต้ชื่อ NWA:TNA ภายใต้สมาคมที่ใช้สไตล์การปล้ำแบบ Rasslin ก็มีเหมือนกันเช่นสมาคม World Wrestling All-Stars (WWA) แห่งออสเตรเลีย ซึ่งก็จัดสไตล์การปล้ำแบบเดียวกับ TNA และก็ยังมีนักมวยปล้ำดังๆหลายคนไปปล้ำที่นั่นเช่น Sting, Jeff Jarrett (ช่วงยังไม่ได้ก่อตั้ง TNA) และก็มี Nathan Jones เป็นต้น แต่ปรากฏว่ากลายเป็น TNA เท่านั้นที่สามารถยืนยันอยู่ในวงการมวยปล้ำต่อไปได้ (ภายหลัง WWA ได้ไปรวมกับ TNA) ซึ่งมีข้อสงสัยบางส่วนถึงการกำเนิด TNA ว่าอาจจะเกิดจากการที่ Jeff Jarrett ไม่อยากไปทำงานด้วยกับ WWE หลังจากเคยไปแบล็คเมล์ให้ Vince McMahon จ่ายเงินโบนัสก้อนโตให้กับตนในแมทช์สุดท้ายที่ตนจะปล้ำให้กับ WWE มิฉะนั้นตนจะนำเข็มขัดแชมป์ Intercontinental ซึ่งตนเป็นแชมป์อยู่ในขณะนั้นไปด้วย ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ Vince ต้องกัดฟันจ่ายโบนัสให้ Jarrett ถึง 2 แสนดอลลาร์เหรียฐสหรัฐ โดยแมทช์สุดท้ายของ Jarrett ก็คือแมทช์ที่แพ้ให้กับ Chyna เสียแชมป์ Intercontinental ในศึก No Mercy ปี 1999 นั่นเอง แต่ว่า TNA เริ่มดำเนินการไปได้ไม่นานก็ต้องเจอปัญหาใหญ่ครั้งแรก เมื่อ HealthSouth Corporation ซึ่งเคยเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินของ TNA ได้ยกเลิกการสนับสนุนทางการเงิน หลังจาก HealthSouth มีปัญหาภายใน จากเรื่องของการ ตกแต่งบัญชีทางการเงิน นี่ทำให้ TNA ซวนเซไปพอสมควร หลังเริ่มเปิดดำเนินการมาไม่ถึงปี ปรากฏว่าในเดือนตุลาคมปี 2002 Jerry Jarrett ก็ตัดสินใจให้ Panda Energy International เข้ามา Takeover กิจการของ TNA โดยให้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสมาคม โดยที่ภายหลังจากนั้น วันที่ 31 ตุลาคม 2002 Panda Energy และ J Sports and Entertainment ก็ได้ร่วมกันก่อตั้ง TNA Entertainment ขึ้นมาเพื่อใช้เป็นนิติบุคคลสำหรับการดูแลบริหาร TNA (J Sports and Entertainment ภายหลังก็ถูกยุบไปโดยปริยาย) โดยที่ Jeff Jarrett มีตำแหน่งเป็นรองประธานบริษัท (สมาคม) และ Dixie Carter บุตรสาวของประธานกรรมการ และประธานกรรมการบริหาร Panda Energy : Robert W. Carter มาเป็นประธานบริษัท (สมาคม) Dixie Carter นั้นถือได้ว่าเป็นแฟนมวยปล้ำพันธุ์แท้เลยคนหนึ่ง และการได้มาดูแลบริหาร TNA นี้ก็ทำให้เธอนั้นเกิดความสนใจ และเข้าไปบริหารเป็นการถาวร ส่วน Panda Energy ก็ได้ตั้ง Chris Sobol ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจของ Panda Energy ให้มาเป็นรองประธานกรรมการฝ่ายปฏิบัติการของ TNA และตั้งให้ Frank Dickerson อดีตกรรมการบริหาร Panda Energy ให้มาดำรงตำแหน่ง CEO ของสมาคม (Dickerson ลาออกจากการเป็น CEO ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2005 หลังเกิดความขัดแย้ง กรณีการซื้อตัว Sting ทำให้มีการตั้ง Kevin Day ให้ขึ้นมาเป็น CEO แทน) แต่ว่าอย่างไรก็ดี จากการเข้ามา Takeover ของ Panda Energy ใน TNA กลับทำให้ TNA ต้องขาดทุนไปราวประมาณ 1 ล้านดอลลาร์เหรียญสหรัฐ ไม่นับรวมกับรายได้ที่ได้รับ แต่ว่าทาง Panda Energy ก็ยังคงยืนยันว่าพวกเขายังมั่นใจในศักยภาพของ TNA ต่อไป โดยที่ Robert Carter ประธานกรรมการ และประธานกรรมการบริหาร Panda Energy กล่าวว่า TNA จะต้องมีกำไรภายในปี 2006 อย่างแน่นอน (ขอให้จริงเถอะนะครับ) ในเดือนพฤษภาคมปี 2005 Nelson Corporation ได้ทำการเสนอเงินจำนวน 10 ล้านดอลลาร์เหรียญสหรัฐในการจะขอซื้อ TNA จาก Panda Energy แต่ว่าสุดท้ายแล้วข้อตกลงก็ต้องเป็นอันยกเลิกในวันที่ 31 พฤษภาคม 2005 หลังจาก Panda Energy ล้มเหลวในการนำเสนอความน่าสนใจต่อ Nelson Corporation นอกจากนี้ Morphoplex ซึ่งเป็นสปอนเซอร์หลักของ TNA ก็เคยเสนอเงินถึง 20 ล้านดอลลาร์เหรียญสหรัฐเพื่อขอซื้อ TNA เช่นกัน แต่ข้อเสนอก็ถูกปฏิเสธไป
เส้นทาง TNA บนถนนสายมวยปล้ำ
สำหรับ TNA แล้ว ด้วยความที่เป็นสมาคมที่ทุนน้อย จึงไม่สามารถจะทัวร์แบบ WWE ได้ (WWE จะทัวร์ไปตามเมืองต่างๆ ทำให้นักมวยปล้ำส่วนใหญ่ต้องเดินทางตามไปด้วยตลอด 24 ชั่วโมง) ทำให้ TNA ต้องใช้วิธีการจัดรายการเป็นแบบ Weekly PPV โดยปกติแล้ว PPV (Pay-Per-View) จะจัดกันเป็นรายการเดือนละ 1 ครั้ง ซึ่งพบเห็นได้ใน WWE โดยจะเป็นรายการใหญ่ แต่ว่า PPV ของ TNA นี้จะจัดกันทุกสัปดาห์ ครั้งละ 2 ชั่วโมง โดยราคาสำหรับเข้าชม (ผ่านอินเตอร์เน็ท หรือ Webcast) จะอยู่ที่ 9.95 ดอลลาร์เหรียญสหรัฐ ซึ่งถูกกว่าราคาของ PPV ของ WWE แต่อย่างไรก็ดี TNA ก็ได้รับโอกาสในการเอา Weekly PPV ของพวกเขามาฉายผ่านทางสถานีโทรทัศน์ Wrestling Channel ฟรี เป็นเวลา 6 เดือน ตั้งแต่เดือนมีนาคม กันยายน 2004 และนับเป็นครั้งแรกที่ TNA มีโอกาสนำเสนอตัวเองเข้าไปยังตลาดต่างประเทศ (ซึ่งปกติก็ดูแต่ WWE อยู่แล้ว) หลังจากทำการจัด Weekly PPV มาถึง 111 สัปดาห์ (ครั้ง) TNA ก็ตัดสินใจปิดตัว Weekly PPV ในวันที่ 8 กันยายน 2004 และหลังจากนั้น ในวันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน 2004 TNA ก็ได้ฤกษ์เปิดตัว PPV 3 ชั่วโมงเป็นครั้งแรกกับ TNA Victory Road สำหรับรายการรายสัปดาห์ที่มาแทน Weekly PPV นั้นก็คือ Impact! ซึ่งได้ฤกษ์ออกอากาศครั้งแรกเมื่อ 4 มิถุนายน 2004 ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ Fox Sports Net (FSN) โดยออกอากาศทุกวันศุกร์บ่าย 3 โมง 4 โมง โดย Impact! จะบันทึกเทปที่ Soundstage 21 ภายใน Universal Orlando Resort ในเมือง Orlando, Florida ซึ่ง Impact! นั้นต้องจ่ายค่าเช่าเวลาแก่ FSN เป็นจำนวนเงิน 3 หมื่นเหรียญต่อสัปดาห์ในการออกอากาศแต่ละครั้ง แต่แล้ว วันที่ 27 พฤษภาคม 2005 TNA ก็ได้ออกอากาศ Impact! เทปสุดท้ายก่อนที่จะหมดสัญญาไปกับ FSN ซึ่งช่วงนั้นถือเป็นวิบากกรรมของ TNA พอสมควรเนื่องจากไม่สามารถที่จะหาสถานีโทรทัศน์ช่องใหม่สำหรับการออกอากาศ Impact! ได้ ทำให้ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2005 TNA จับมือกับ RealNetworks ทำการออกอากาศ Impact ผ่านทางอินเตอร์เน็ท โดยอาศัยโปรแกรม RealPlayer ในการรับชม แต่ใช่ว่า TNA จะยอมฉาย Impact! ของพวกเขาในอินเตอร์เน็ทตลอดไป พวกเขาอาศัยจังหวะดังกล่าวในการหาสถานีโทรทัศน์ช่องใหม่ โดยเดิมมีข่าวว่าพวกเขาอาจจะนำ Impact! ไปฉายทางช่อง WGN โดยจะได้เวลาวันจันทร์เพื่อแข่งกับ RAW ของ WWE แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เซ็นสัญญากับทาง WGN แต่อย่างใด กระทั่งเหมือนราชรถมาเกย TNA ก็ส้มหล่นได้เซ็นสัญญากับ Spike TV ซึ่งเพิ่งหมดสัญญากับทาง WWE ไป และ WWE ก็นำรายการ RAW ของพวกเขาย้ายไป USA Network ทำให้ TNA ได้รับโอกาสในการนำมวยปล้ำของพวกเขามาฉาย (ปกติ WWE ทำสัญญากับ Spike TV ไม่อนุญาตให้รายการมวยปล้ำของสมาคมอื่นใดมาฉายทาง Spike TV ยกเว้น WWE เท่านั้น) โดยได้เวลาในช่วง 5 ทุ่มของคืนวันเสาร์ ซึ่งเดิมเป็นเวลาของรายการ WWE Velocity (ซึ่งภายหลังนำไปออกอากาศผ่านอินเตอร์เน็ท และมีข่าวว่าอาจจะยุบรายการเพื่อนำ ECW มาฉายแทน) แต่ว่าในความจริง ช่วงเวลาดังกล่าวนี้ ถือเป็นช่วงเวลาของรายการ WCW Saturday Night และ WWE Saturday Night Main Event ในช่วงยุค 1985 1992 อีกด้วย ซึ่งทาง TNA ได้ตกลงเซ็นสัญญากับ Spike TV ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2005 นับตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน 2005 เป็นต้นมา TNA ก็ทำการบันทึกเทปรายการ Impact 2 เทปทุกวันอังคาร และ Impact! เทปแรกใน Spike TV ก็ประเดิมออกอากาศในวันที่ 1 ตุลาคม 2005 ทันที (ก่อน WWE Homecoming ของ RAW เพียง 2 วันเท่านั้น) โดยที่ตามสัญญาการออกอากาศนั้น เดิม TNA จะต้องจ่ายเงินให้กับ FSN เองเพื่อหาสปอนเซอร์ แต่ว่ามา Spike TV ปรากฏว่าทาง Spike TV ก็จัดการเรื่องโฆษณาให้เอง จนกระทั่งเดือนมีนาคม ปี 2006 Morphoplex (ที่เคยมีข่าวว่าจะซื้อ TNA นั่นล่ะ) ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ได้เข้ามาสนับสนุนโดยเป็นสปอนเซอร์หลักให้กับ TNA และจ่ายเงินให้กับ TNA เป็นเงิน 2 แสนดอลลาร์ต่อเดือน วันที่ 7 พฤศจิกายน 2005 TNA ประกาศว่าพวกเขากำลังจะมีเกมมวยปล้ำของตัวเองออกมา โดยได้ทำสัญญากับค่าย Midway Games โดยชื่อเกมนั้นใช้ตรงกับชื่อรายการหลักว่า TNA Impact! โดยเกมนั้นคาดว่าจะคลอดออกมาในปี 2007 ซึ่งจะเล่นได้ทั้ง PS3, X Box, X Box 360 และ Wii หลังจาก TNA ทำแต่รายการหลักมานาน ในที่สุด วันที่ 17 มีนาคมปีนี้ TNA ก็ได้ฤกษ์เปิดตัว House Show รายการแรกของพวกเขา นับตั้งแต่ TNA ได้ถือกำเนิดขึ้นมา โดยการปล้ำ House Show ครั้งแรกนี้ จัดขึ้นที่สนาม Compuware Sports Arena ใน Plymouth, Michigan (ใกล้ๆกับ Detroit, Michigan ซึ่งปรากฏว่าวันถัดมา WWE ก็มาจัด Saturday Nights Main Event ที่นั่น) โดยการปล้ำ House Show ครั้งนี้ ทาง TNA ก็ได้จับมือกับสมาคม United Wrestling Federation (UWF) ของ Dave Hebner อดีตกรรมการอาวุโส WWE ซึ่งได้ไปจัดตั้งสมาคมใหม่ขึ้นมาเพื่อเป็นพันธมิตรกับ TNA โดยในการโปรโมต House Show ของ TNA จะทำการโปรโมตในบริเวณเขต Mid-Atlantic และทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ Virginia ซึ่งเป็นที่ตั้งของ UWF หลังจากที่ Impact! ได้แสดงฝีมือในช่วงเวลาวันเสาร์ 5 ทุ่มโดยทำเรตติ้งได้เป็นที่น่าพอใจ และก็เคยได้รับโอกาสในการฉายเทปพิเศษ 2 ชั่วโมงมาถึง 2 ครั้ง ในที่สุด Spike TV ก็ตัดสินใจย้ายเวลารายการของ Impact! ไปยังช่วงไพรม์ไทม์ของวันพฤหัสบดี ในเวลา 3 ทุ่มตรง แต่สุดท้ายก็กลายเป็น 5 ทุ่มตรง หลังจากที่นักมวยปล้ำของ TNA ได้ประกาศออกมาล่วงหน้า โดยที่รายการ UFC Ultimate Fighter ซึ่งเป็นเวลาเดิมจะย้ายไปยังช่วงเวลาเดิมของ Impact! (วันเสาร์ 5 ทุ่ม) แทน โดยที่ Impact! เวลาใหม่นั้น ออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 เมษายน แต่ว่าเทปรองสุดท้ายก่อนย้ายเวลานั้น มีเรื่องว่า เวลานั้นไปชนกับการถ่ายทอดสดงานมอบรางวัล WWE Hall Of Fame ซึ่งจัดขึ้นก่อน WrestleMania 22 เพียง 1 วัน ซึ่งนั่นนับเป็นครั้งแรกของ TNA ที่รายการของพวกเขาปะทะกับรายการของ WWE แต่ว่าน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ เพราะว่าคืนนั้นดาราของ WWE รวมทั้งบุคคลที่มีชื่อเสียงก็ไปกันเยอะ รวมทั้งการกล่าวสุนทรพจน์ของ Mean Gene Okerlund, Bret Hart และ Vickie Guerrero (ที่มารับรางวัลแทน Eddie Guerrero ผู้ล่วงลับ) พร้อมทั้งตัวผู้มอบรางวัลแก่ทั้ง 3 คน ทำให้ TNA ไม่สามารถทำเรตติ้งได้ในคืนนั้น และนับเป็น Impact! รายการที่มีเรตติ้งน้อยที่สุดนับตั้งแต่ Impact ได้ออกอากาศทาง Spike TV เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปีที่แล้ว แต่ว่าล่าสุด (ที่เขียนบทความนี้) ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา TNA ได้จับมือกับ YouTube ผู้ให้บริการแชร์ไฟล์วีดีโอผ่านทางอินเตอร์เน็ท อนุญาตให้นำแมทช์ทั้งหมดของ TNA นำไปแชร์ให้ชมผ่านทางเว็บได้ ซึ่งต่างกับ WWE ที่แจ้งให้ YouTube ลบไฟล์วีดีโอทั้งหมดซึ่งเป็นของ WWE ทิ้งเสีย และในเดือนเดียวกัน TNA ก็ประกาศทำรายการ Global Impact ความยาว 30 นาทีขึ้น ซึ่งออกอากาศผ่านทางอินเตอร์เน็ท โดยรูปแบบรายการจะเป็นการนำเบื้องหลังของ TNA มาเสนอให้ชม (รูปแบบรายการจะคล้าย WWE Experience) ซึ่งพิธีกรก็ได้แก่ Jeremy Borash และ Christy Hemme อดีตผู้ชนะ WWE RAW Diva Search ปี 2004 ซึ่งได้ย้ายมาสังกัด TNA นั่นเอง โดยที่ Global Impact เทปแรกออกอากาศเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมา
โครงสร้างแชมป์ของ TNA
TNA ได้รับสิทธิจาก NWA ให้เป็นเจ้าของ แชมป์โลกเฮฟวี่เวท NWA (NWA World Heavyweight Champion) และ แชมป์โลกแท๊กทีม NWA (NWA World Tag Team Champion) โดยที่เข็มขัดแชมป์ทั้ง 2 เส้นก็จะถือว่าเป็นของ TNA ซึ่งตามหลักแล้ว เข็มขัดแชมป์โลกเฮฟวี่เวท NWA จะป้องกันแชมป์ไปตาม NWA สาขาต่างๆ แต่ว่าเมื่อ TNA ได้สิทธิ์เป็นเจ้าของแล้ว การป้องกันแชมป์โลกเฮฟวี่เวท NWA ตามสาขาต่างๆ ก็แทบจะไม่มีให้เห็นเลย (จริงๆ ไม่มีให้เห็นเลยล่ะ ก็ในเมื่อมันเป็นของ TNA) โดยที่ TNA ได้รับอนุญาตจาก NWA ให้เป็นเจ้าของเข็มขัด 2 เส้นดังกล่าวได้ไปจนถึงปี 2014 แต่อย่างไรก็ดี แชมป์ X-Division (TNA X-Division Champion) ถือเป็นเข็มขัดเพียงเส้นเดียวที่ TNA เป็นผู้สร้าง และเป็นของ TNA แต่เพียงผู้เดียว ผู้ที่สามารถครองเข็มขัดแชมป์ทั้ง 3 เส้นได้ใน TNA (แชมป์โลกเฮฟวี่เวท NWA, แชมป์ X-Division และแชมป์โลกแท๊กทีม NWA) จะถูกเรียกว่า TNA Triple Crown โดย ณ ขณะนี้มีเพียงผู้เดียวที่เป็น TNA Triple Crown นั่นคือพ่อหนุ่ม AJ Styles นั่นเอง (เป็นแชมป์โลก 3 สมัย : แชมป์ X-Division 5 สมัย และแชมป์โลกแท๊กทีม 2 สมัยกับ Jerry Lynn และ Abyss)
โครงสร้างการบริหารงาน TNA
คณะกรรมการควบคุมบท (Booking Committee) พูดง่ายๆก็คือ ทีมเขียนบทของ TNA นี่เอง โดยตอนนี้ทีมเขียนบทมี Scott DAmore ซึ่งเป็นโค้ชของ Team Canada ใน TNA เป็นหัวหน้าทีมเขียนบท ส่วนสมาชิกก็มีดังต่อไปนี้ครับ Jeremy Borash Mike Tenay Dutch Mantell และBill Banks แต่อย่างไรก็ดีนะครับ ทั้ง Dixie Carter และ Jeff Jarrett ในฐานประธาน และรองประธาน TNA มีอำนาจในการคัดค้านบทใดๆที่ทั้งสองหรือใครคนใดคนหนึ่งไม่เห็นชอบด้วยครับ ทว่าในความเป็นจริงแล้ว อำนาจในการเขียนบทนั้น มักจะตกอยู่กับบุคคลเพียงไม่กี่คน อย่างเช่นช่วงแรกก็เป็น Jeff และ Jerry Jarrett ต่อจากนั้นก็เป็น Vince Russo และ Dusty Rhodes ตามลำดับ โดยที่ตำแหน่งผู้มีอำนาจในการควบคุมบท มักจะแสดงโดยใช้ชื่อตำแหน่งของ Director of Authority (แปลให้เข้าใจง่ายๆก็คือ ผู้จัดการทั่วไป)
คณะกรรมการแชมป์ (NWA Championship Committee)
คณะกรรมการแชมป์ของ TNA มีชื่อเป็นทางการว่า NWA Championship Committee จะประกอบไปด้วยกลุ่มนักมวยปล้ำที่เป็นที่โด่งดังในอดีต โดยทำหน้าที่แบบคณะผู้พิพากษาซึ่งจะมีหน้าที่ตัดสินกรณีมีการชิงแชมป์แล้วแมทช์จบลงด้วยการเสมอกัน โดยคณะกรรมการแชมป์จะมี 3 คนได้แก่ Harley Race, Larry Zbyszko และ Terry Funk แต่ว่าภายหลัง Roddy Piper ก็มาดำรงตำแหน่งแทน Terry Funk อย่างไรก็ดี หลังจากที่ Harley Race และ Roddy Piper ลาออกจาก TNA ไป คณะกรรมการแชมป์ก็หมดความสำคัญลงไปด้วย แต่ว่าคณะกรรมการนี้ยังคงมีเพียงแต่ในนามเท่านั้น โดย Larry Zbyszko ซึ่งยังคงทำงานกับ TNA ต่อไปก็ยังมีตำแหน่งอยู่ในคณะกรรมการนี้ในฐานะ สมาชิกคณะกรรมการแชมป์ NWA (NWA Championship committee member)
ผู้จัดการทั่วไป TNA (Director of Authority)
ผู้จัดการทั่วไปของ TNA นี้ (เรียกเพื่อให้เข้าใจง่าย) จะถือว่าเป็นตัวแทนของผู้บริหารสูงสุดของ TNA โดยตามบทบาท จะมีอำนาจในการจัดแมทช์ต่างๆนะครับ (ก็เหมือนผู้จัดการทั่วไปนี่ละ) โดยผู้จัดการทั่วไปคนแรกของ TNA (นับตั้งแต่มีตำแหน่งนี้) ได้แก่ Erik Watts หลังจากนั้นตำแหน่งนี้ก็มีมาเรื่อยๆจนกระทั่ง Dusty Rhodes ออกจาก TNA ไป (เพื่อไปเขียนบทให้ WWE) ตำแหน่งผู้ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมบทบาทก็ถูกสลับให้มาเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการแชมป์แทน โดยผู้ดำรงตำแหน่งเป็น Larry Zbyszko และชื่อเรียกเดิมคือ Director of Authority ก็ไม่มีการพูดถึงอีก ทำเนียบผู้จัดการทั่วไป TNA 1.Erik Watts --- 23 กรกฎาคม 2003 28 มกราคม 2004 2.Vince Russo --- 18 กุมภาพันธ์ 2004 7 พฤศจิกายน 2004 3.Dusty Rhodes --- 7 พฤศจิกายน 2004 16 มิถุนายน 2005
X-Division ไร้ขีดน้ำหนัก แต่ไร้ขีดจำกัด
ด้วยสไตล์การปล้ำแบบผาดโผน หรือเสี่ยงตาย มักจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนดูหันมาดู WCW หรือ ECW แต่ว่าส่วนใหญ่แล้ว นักมวยปล้ำที่ปล้ำแบบผาดโผน หรือเสี่ยงตายนั้น จะเป็นนักมวยปล้ำในรุ่น Cruiserweight เสียเป็นส่วนใหญ่ (น้ำหนักจะต่ำกว่า 220 ปอนด์ หรือ 100 กิโลกรัม) ด้วยที่ TNA เห็นว่าการปล้ำแบบเสี่ยงตาย หรือผาดโผนนั้น นักมวยปล้ำนั้นอาจไม่มีน้ำหนักเป็น Cruiserweight เสมอไป เพราะฉะนั้น ด้วยสาเหตุนี้ จึงได้มีสโลแกนของ TNA ที่ว่า ไร้ขีดน้ำหนัก แต่ไร้ขีดจำกัด ขึ้น (It's not about weight limits. it's about no limits!) เพื่อที่จะเป็นการประชาสัมพันธ์รุ่น X-Division ของ TNA ว่าไม่จำเป็นต้องมีน้ำหนัก Cruiserweight แต่ก็สามารถเล่นผาดโผนเสี่ยงตายได้ (เพราะความจริงแชมป์ X เกือบทั้งหมดมีน้ำหนักเป็น Cruiserweight ทั้งสิ้น ยกเว้น Samoa Joe คนเดียว) ซึ่งนโยบายนี้ ใช้ตั้งแต่ปี 2004 เป็นต้นมา ซึ่งทำให้ X-Division กลายเป็นจุดดึงดูดของ TNA จุดหนึ่งเลยทีเดียว นอกจากนี้สมาคมมวยปล้ำอินดี้ (อิสระ) บางสมาคม ก็ยังนำ X-Division ไปใช้ในสมาคมตัวเองด้วย (สังเกตได้ตามเครือข่าย NWA บางแห่ง จะมีแชมป์ X-Division ด้วย) TNA ต่อมาก็เอา X-Division มาช่วยทำเงินอีกแรงด้วยการออก DVD รวมสุดยอดของ X-Division ออกมาในชื่อของ The Best of the X Division, Volume 1 โดยที่ DVD ชุดนี้ออกเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2005
ทัวร์นาเมนต์ในความทรงของ TNA
Chris Candido Memorial Tag Team Tournament เป็นทัวร์นาเมนต์ที่ตั้งขึ้นเพื่อเป็นการรำลึกถึงการจากไปของ Chris Candido อดีตนักมวยปล้ำชื่อดังของ ECW และเป็นนักมวยปล้ำของ TNA อยู่ด้วย (บทล่าสุดก่อนเสียชีวิตคือการเป็นผู้จัดการให้กับแท๊กทีม The Naturals) ซึ่งการปล้ำแท๊กทีมในครั้งนี้ได้จัดขึ้นในปี 2005 เป็นปีแรก ซึ่งผู้ชนะได้แก่ Sean Waltman และ Alex Shelley คว้าถ้วย Chris Candido Cup ไปครอง
Super X Cup Tournament
เริ่มขึ้นในปี 2003 โดยเป็นทัวร์นาเมนต์ซึ่งผู้ชนะนั้นจะได้สิทธิ์ในการเป็นผู้ท้าชิงอันดับ 1 ชิงแชมป์ X-Division โดยผู้ชนะ Super X Cup ปีแรก (2003) ได้แก่ Chris Sabin ปี 2005 ได้แก่ Samoa Joe ส่วนปี 2004 นั้น ได้มีการจัดทัวร์นาเมนต์เป็นการปล้ำ 20 Man Gaunlet Match (จะเป็นรูปแบบของ Battle Royal แต่ว่าการปล้ำจะคล้ายคลึง Royal Rumble) ในศึก Victory Road 2004 ซึ่งผู้ชนะได้แก่ Hector Garza แต่อย่างไรก็ดี Hector Garza ต่อมาได้ถูกส่งตัวกลับไปยัง Mexico บ้านเกิด (ถูกไล่ออกจาก TNA ด้วย) หลังตรวจพบสารเสพติดในตัว Hector และ Hector ก็ไม่ได้รับสิทธิ์ชิงแชมป์ X แต่อย่างใด
Americas X Cup Tournament
ช่วงต้นปี 2004 ทาง TNA ได้จัดให้มีการแข่งขัน Americas X Cup ขึ้น แต่ว่าจะแตกต่างกับ Super X Cup คือจะไม่มีตำแหน่งแชมป์เป็นเดิมพัน แต่ว่าเป็นการแข่งขันระดับทีม โดยมีนักมวยปล้ำสัญชาติต่างๆเข้าร่วม ซึ่งใน Americas X Cup มี 4 ทีมได้แก่ Team USA, Team Canada, Team Mexico และ Team Britain ซึ่งงานนี้ Team Mexico ประสบความสำเร็จด้วยการได้แชมป์ America X Cup ไป และก็ป้องกันแชมป์กับทีมอื่นได้ด้วยระยะเวลานานพอสมควร ก่อนจะมาเสียถ้วยให้กับ Team USA ในที่สุดปัจจุบัน ไม่ค่อยเห็นแล้วครับ ถ้วยนี้
World X Cup Tournament
เริ่มต้นในปี 2004 ซึ่งรูปแบบจะเหมือนกับทาง Americas X Cup แต่ว่าจะมีระดับที่ใหญ่กว่า และนักมวยปล้ำก็จะเป็นนักมวยปล้ำซึ่งเป็นนักมวยปล้ำจากชาตินั้นๆ โดยการแข่งขันครั้งแรกในปี 2004 มีทีม 4 ทีมได้แก่ Team USA, Team Canada, Team Mexico และ Team Japan แต่ด้วยความที่ทีม USA ได้เปรียบมากกว่า (ก็ตัวเป็นเจ้าบ้านนิ) ทำให้ทัวร์นาเมนต์นี้ไม่มีในปี 2005 แต่เพิ่งกลับมาใหม่เมื่อปี 2006 นี้นี่เองครับ โดยทัวร์นาเมนต์ในปีนี้เริ่มแข่งขันเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2006 ที่ผ่านมาในรายการ TNA Impact! | โดย: สาวก WWE [25 ต.ค. 50 16:30] ( IP A:61.7.174.4 X: ) |  |
|