การตรวจโรค ตอนที่5 โรคที่พบในจระเข้ การป้องกัน เเละ การรักษา
   สวัสดี ทุกท่านครับ วันนี้ผมขอเสนอ

เรื่องโรคที่พบในจระเข้ การป้องกันเเละการรักษา นะครับ

การป้องกันโรค เเละ การควบคุมโรค

1 ควรทำความสะอาดสถานที่เลี้ยงเตรียมไว้ก่อนที่จะนำจระเข้มาเลี้ยง


2 ก่อนจะซื้อจระเข้มาเลี้ยงนั้นต้องเเน่ใจว่า จระเข้นั้นเเข็งเเรงหรือซื้อกับบุคคลที่เชื่อถือได้

3 ทำการกักบริเวณจระเข้ที่มาใหม่ก่อนนำเข้าฝูง

4 ทำการเเยกจระเข้ที่มีอาการผิดปกติทันทีเมื่อพบ

5 ไม่ควรเลี้ยงจระเข้ไว้อย่างเเออัดจนเกินไป เพราะจะทำให้เกิดความเคียด กัดกัน เสี่ยงต่อการเกิดการ เเพร่กระจายของโรค

6 ให้อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสมต่อจระเข้โดยคำนึงถึงสารอาหารที่จระเข้ควรจะได้รับในเเต่ละวัน

7 จัดสถานที่เลี้ยงให้เหมาะสมโดยยึดหลักความต้องการของตัวจระเข้เอง

8. อาหารเเละน้ำต้องทำการเปลี่ยนถ่ายทุกวัน เพื่อป้องกันการติดเชื้อทางระบบทางเดินอาหาร

9 มั่นตรวจเช็คอุปกรณ์เเละสถานที่เลี้ยงภายในว่ามีอะไรสามารถเป็นอันตรายต่อตัวจระเข้ได้หรือไม่ หากมีควรรีบนำออกหรือทำการซ่อมเเซ่มทันที

โดย: เเบงค์ น.ศ.สัตวเเพทย์ (bank ) [11 ม.ค. 51 14:16] ( IP A:124.120.60.89 X: )
Add to Facebook  Add to Twitter  Add to Multiply  Add to Google  Add to Blogger  Add to Live
ความคิดเห็นที่ 1
   อาการที่จะเกิดขึ้นเมื่อจระเข้ป่วย

1 น้ำหนักลดลงกว่าปกติ

2 เกิดอาการบวมตามผิวหนังเเละตาบวม

3 มีบาดเเผลภายนอกตามส่วนต่างๆของร่างกาย

4 ไม่กินอาหาร

5 ซึม เอาเเต่ลอยอยู่ในน้ำ ไม่ขึ้นมาอาบเเดด

6 ความผิดปกติอย่างเห็นได้ชัดโดยความเอาใจใส่จากผู้เลี้ยง

โดย: เเบงค์ น.ศ.สัตวเเพทย์ (bank ) [11 ม.ค. 51 14:18] ( IP A:124.120.60.89 X: )
ความคิดเห็นที่ 2
   โรคที่พบใน

โรคในจระเข้พอจะแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ


โรคไม่ติดเชื้อ และโรคติดเชื้อ


โรคไม่ติดเชื้อเกิดได้จากสาเหตุดังต่อไปนี้


1.1 อุณหภูมิ

จระเข้จำเป็นต้องใช้แหล่งพลังงานความร้อนจากภายนอก คือ แสงแดด ในการเพิ่มอุณหภูมิให้แก่ร่างกาย เช่นนอนอาบแดด ทั้งนี้อุณหภูมิที่เหมาะสมสบายตัวกับจระเข้จะอยู่ระหว่าง 32 องศาเซลเซียส สำหรับจระเข้ขนาดเล็ก และ 30 องศาเซลเซียสสำหรับจระเข้ขนาดใหญ่


1.2 คุณภาพของน้ำ

น้ำที่เหมาะสำหรับจระเข้ที่สุดคือ น้ำสะอาด มีปริมาณแอมโมเนียต่ำ สิ่งปฏิกูล สารพิษ หรือสิ่งปลอมปนอื่น ๆ ต้องมีน้อยที่สุด แหล่งน้ำเสียจะเป็นแหล่งสะสมของเศษอาหารและสิ่งขับถ่ายซึ่งทำให้มีแก๊สแอมโมเนียสูงขึ้น จะเกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังและตาจระเข้เป็นอย่างมาก โอกาสติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนที่มีอยู่อย่างมากในแหล่งน้ำจึงมีสูง การจะให้น้ำสะอาดอยู่เสมอควรจะต้องมีการถ่ายน้ำให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งนี้จำเป็นต้องได้รับการตรวจคุณภาพน้ำอยู่เป็นระยะ ๆ บางแห่งเปลี่ยนน้ำทุกวัน จึงพบว่าอัตราการเจริญเติบโตของจระเข้เป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนน้ำด้วยว่า ต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่เอะอะโครมครามจนเกิดความตื่นตกใจแก่จระเข้และเพิ่มความเครียดขึ้นได้


1.3 จำนวนจระเข้ในบ่อเลี้ยง

จำนวนจระเข้หรือประชากรจระเข้ที่เลี้ยงในแต่ละบ่อ จำเป็นต้องมีสัดส่วนที่พอเหมาะกับขนาดบ่อเลี้ยงหากจระเข้ แออัดเกินย่อมทีให้เกิดการต่อสู้แก่งแย่งอาหารกัน อาจเกิดแผลและเกิดโรคติดเชื้อบนผิวหนังได้ง่าย นอกจากนี้อาจทำให้ดูแลไม่ทั่วถึง มีอัตราการผสมติดต่ำ เพราะเกิดการแก่งแย่งในการผสมพันธุ์และการกดขี่ตามสำดับขั้น รวมถึงการจับหรือการขนย้ายจะทำได้ลำบากขึ้น


1.4 สถานที่เลี้ยง

อาจมีแตกต่างกันไปเช่น บ่อน้ำธรรมชาติ บ่อดิน บ่อซีเมนต์ จนไปถึงอ่างไฟเบอร์กลาส ฯลฯ แตกต่างกันไปตามฐานะทางเศรษฐกิจ วัตถุประสงค์ของการเลี้ยง และเทคโนโลยีของแต่ละฟาร์ม แต่สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงคือ


ขนาด ความต้องการพื้นที่ของจระเข้หนึ่งตัวคือ ขนาดของจระเข้ คูณ 3 เท่า ของความยาวของจระเข้ มีอัตราส่วนพื้นที่บกเท่ากับพื้นน้ำ หรืออย่างน้อย 2 ใน 3 ของพื้นที่น้ำ ส่วนความลึกของน้ำอย่างต่ำ 60 เซนติเมตร

พื้นผิว เนื่องจากจระเข้เป็นสัตว์ที่คลานบนดินและใต้น้ำ โอกาสสัมผัสกับพื้นผิวจึงมีเกือบตลอดเวลา ฉะนั้นความเรียบหรือหยาบของพื้นผิวจึงมีความสำคัญ เพราะสามารถทำให้หนังท้องจระเข้เกิดรอยขีดข่วนจนถึงบาดเจ็บ และมีการติดเชื้อเกิดขึ้นได้ ราคาหนังจระเข้จะตกลงหารมีตำหนิดังกล่าวเกิดขึ้น พื้นผิวซีเมนต์ขัดเรียบจึงเหมาะกว่าพื้นผิวอย่างอื่น


ร่มเงา แม้จระเข้ชอบใช้แสงแดดเป็นแหล่งพลังงานความร้อนแก่ร่างกาย แต่ถ้าความร้อนสูงเกินไป จระเข้ก็ต้องการที่หลบแดด โดยอาศัยร่มเงาซึ่งอาจเป็นต้นไม้, หลังคา หรือวัสดุกรองแสงต่าง ๆ อีกทั้งยังเป็นเงาให้เกิดความเย็นบนพื้นผิวที่จระเข้นอนด้วย

โดย: เเบงค์ น.ศ.สัตวเเพทย์ (bank ) [11 ม.ค. 51 14:36] ( IP A:124.120.60.89 X: )
ความคิดเห็นที่ 3
   2. อาหารไม่เหมาะสม อาหารที่ให้ควรจะมีความสมดุลย์ในทุก ๆ อย่างทั้งปริมาณและคุณภาพ หากสองสิ่งนี้มีมากหรือน้อยเกินไป จะขาดความสมดุลย์ในสารอาหารและองค์ประกอบต่าง ๆ ทำให้เกิดปัญหาและโรคต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

2.1 โรคเก๊าท์ (gout) เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของการบวนการใช้โปรตีนในร่างกาย ทำให้เกิดการสะสมของเกลือยูเรท (urate salt) และผลึกของกรดยูริก (uric acid crystal) ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย กล่าวอย่างง่าย ๆ ก็คือ โปรตีนจะถูกย่อยสลาย และผลิตผลขั้นสุดท้ายจะเป็นพวกกรดยูริค ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดโรคเก๊าท์ จระเข้ที่เป็นโรคเก๊าท์จะมองเห็นว่าข้อต่าง ๆ มีลักษณะบวมแดงแสดงอาหารซึม เบื่ออาหาร การเคลื่อนที่ช้าลงหรือไม่เคลื่อนไหวเลยเมื่อผ่าตามข้อที่บวมจะเห็นของเหลวข้นสีขาวคล้ายครีมเป็นจำนวนมากเหล่านี้ก็คือผลึกของกรดยูริคและเกลือยูเรทที่สะสมอยู่ ส่วนกรณีเก๊าท์ของอวัยวะภายใน จะทำให้เยื่อหุ้มหัวใจหนา มีสีขาวคล้ายผงชอล์กเกาะอยู่ และสามารถพบได้ที่ผิวตับ ม้าม และในไตจะมีจุดสีขาว ๆ อยู่ทั่วไป จระเข้ที่เป็นเก๊าท์ที่อวัยวะภายในมักตายโดยไม่แสดงอาหารให้เห็น

2.2 อาการขาดวิตามิน โรคหรืออาการที่เกิดจากการขาดวิตามินต่าง ๆ มีดังนี้


1*ขาดวิตามินเอ

มักเกิดจากจระเข้ที่ถูกเลี้ยงด้วยเนื้อแดงล้วน ๆ เป็นระยะเวลานาน ๆ ทั้งนี้เพราะเนื้อแดงปริมาณวิตามินเอไม่เพียงพอ จระเข้ที่ขาดวิตามินเอจะเจริญเติบโตช้า ผิวหนังหยาบกร้าน มีอาการบวมน้ำทั่วไปทั้งตัวจนดูคล้ายกับอ้วน เปลือกตาและเบ้าตาอักเสบออกมาโดยรอบ และมีน้ำตาไหล ตามลำตัวหากใช้นิ้วกดจะบุ๋มเป็นรอยกดลง มีการคืนตัวช้ากว่าปกติ อาจมีเม็ดตุ่มเกิดขึ้นและเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราแทรกซ้อนได้ง่าย เนื่องจากภูมิคุ้มกันของร่างงกายลดต่ำลง การแก้ไข จะต้องให้อาหารชนิดอื่นสับเปลี่ยนกันไป เช่น เนื้อติดหนังและมัน เป็ดหรือไก่ทั้งตัว ฯลฯ ควรเสริมวิตามินเอลงในอาหารด้วยขนาด 4,850 หน่วยสากล ต่ออาหาร 1 กิโลกรัมต่อวัน



2*ขาดวิตามินบี 1

การให้ปลาอย่างเดียว ปลาไม่สดหรือปลาเริ่มเน่า หรือวิธีให้อาหารอย่างไม่ถูกต้อง วางทิ้งตากแดดไว้ให้จระเข้มากิน จะก่อให้เกิดอาการขาดวิตามินบี 1 จระเข้จะแสดงอาการน้ำหนักลดลงทั้ง ๆ ที่กินอาหารได้ อาจจะมีอาการหัวใจขยายใหญ่ร่วมกับลำไส้อักเสบ บางครั้งอาจแสดงอาการชัก การแก้ไข ควรให้กินวิตามินนี้ในอาหารด้วยขนาด 4.4 ถึง 11 มิลลิกรัม รวมทั้งเปลี่ยนอาหารหรือเสริมอาหารชนิดอื่น พร้อมทั้งแก้ไขวิธีการให้อาหารด้วย

โดย: เเบงค์ น.ศ.สัตวเเพทย์ (bank ) [11 ม.ค. 51 14:40] ( IP A:124.120.60.89 X: )
ความคิดเห็นที่ 4
   3* ขาดวิตามินดี

สาเหตุเกิดจากอาหารที่เลี้ยงขาดวิตามินดี หรือขาดการตากแดดเท่าที่ควร อาการขาดวิตามินดีจะมีผลต่อการใช้แคลเซียมในร่างกายสัตว์ อันจะทำให้เกิดอาการของกระดูกอ่อนตามมา ขาทั้งสี่มีรูปทรงผิดไป อาจโค้งเข้าหรือแบะออก ข้อขาโตขึ้น สัตว์จะแสดงอาการซึม เบื่ออาหาร ข้อขยายใหญ่ ผิวหนังนุ่ม การแก้ไขควรจัดสถานที่เลี้ยงให้ได้รับแสงแดดอย่างเพียงพอ พร้อมกับเสริมวิตามันดี 608 หน่วยสากล ต่ออาหารหนึ่งกิโลกรัมต่อวัน การให้วิตามินนี้มากเกินไปก็เกิดผลเสียได้เช่นกัน

4*ขาดวิตามินอี

โรคนี้มักมีความเกี่ยวข้องกับประเภทของอาหารที่ใช้เลี้ยงจระเข้ ส่วนใหญ่พบในจระเข้ที่เลี้ยงด้วยปลาอย่างเดียวโดยเฉพาะปลาแช่แข็ง เนื่องจากปลามีระดับทางกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวในปริมาณสูง และวิตามินอีในระดับต่ำ สัตว์จะแสดงอาการกล้ามเนื้อเ *** ่ยว ไม่กระฉับกระเฉง เซื่องซึม หมดแรง เบื่ออาหาร นอนอยู่กับที่ หรือตายในที่สุด จระเข้ที่เป็นโรค ไขมันแทบทุกส่วนที่พบและมองเห็นได้ตามร่างกายจะมีสีเหลืองเข้มแกมน้ำตาล แข็งตัวคล้ายสบู่เกือบทั้งตัว โดยเห็นเด่นชัดบริเวณส่วนหลัง สำตัว ส่วนหาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไขมันใต้ผิวหนังและก้อนไขมันในช่องท้อง เมื่อใช้แสงอุลตร้าไวโอเลตส่องจะสามารถเรืองแสงได้ ซึ่งทำให้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าโรคไขมันเหลือง (Yellow fatdisease) การป้องกันโรคนี้ อย่าให้จระเข้กินแต่ปลาอย่างเดียวติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ ควรให้อาหารโปรตีนจากสัตว์ชนิดอื่น ๆ สลับบ้าง เช่น ไก่และหมู ถ้าต้องการให้จระเข้กินปลาระยะเวลานาน ๆ ควรเสริมวิตามินอีในอาหารเข้าไปด้วยขนาด 15 - 100 หน่วยสากลต่อตัวต่อวัน ส่วนการรักษามักไม่ได้ผล ดังนั้นการป้องกันจึงนับได้ว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด


5*ขาดแร่ธาตุ


ปัญหาการขาดแร่ธาตุที่พบได้มากในจระเข้คือการขาดแคลเซียม อันเป็นการทำให้เกิดโรคกระดูกอ่อน สาเหตุก็เพราะกินอาหารที่มีอัตราส่วนแคลเซียมต่อฟอสฟอรัสไม่เหมาะสม เช่น เนื้อแดงล้วน ๆ และขาดวิตามินดี ทำให้ร่างกายนำแคลเซียมไปใช้ไม่ได้ อาการที่เด่นชัดมากคือ กระดูกบริเวณขากรรไกรล่างจะนิ่มผิดปกติขาโก่งงอ แนวกระดูกสันหลังบิดคดโก่ง กระดูกบาง หักง่าย เปลือกไข่บางและแตกง่าย การป้องกันสามารถทำได้โดยให้กินอาหารที่มีสัดส่วนของแคลเซียมต่อฟอสฟอรัสเท่ากับ 1.2 ต่อ 1 ซึ่งอาจใช้เสริมในอาหาร แคลเซียมที่ใช้มักให้ในรูปแคลเซียมแลคเตท แต่ถ้าจระเข้นั้นอยู่ในระยะกำลังวางไข่หรือลูกจระเข้กำลังเจริญเติบโต ควรเพิ่มสัดส่วนแคลเซียมต่อฟอสฟอรัสขึ้นไปด้วย 2 ต่อ 1 ก็ได้ แต่ทั้งนี้ต้องไม่ลืมให้วิตามินดีด้วย เพื่อช่วยในการดูดซึมแคลเซียมไปใช้ ปกติเสริมขนาด 100 หน่วยสากล ต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัม อาทิตย์ละครั้ง

โดย: เเบงค์ น.ศ.สัตวเเพทย์ (bank ) [11 ม.ค. 51 14:40] ( IP A:124.120.60.89 X: )
ความคิดเห็นที่ 5
   3. อาการแคระแกรน เกิดได้กับลูกจระเข้อายุ 6 - 8 อาทิตย์ ลูกจระเข้จะมีอาการเจริญเติบโตเมื่อดูจากน้ำหนักและความยาวลำตัวต่ำกว่าลูกจระเข้ตัวอื่น ๆ ที่เลี้ยงในรุ่นเดียวกัน ลูกจระเข้จะไม่กินอาหารเซื่องซึม ผอมลง มีบางตัวที่ยังกินอาหารตามปกติ แต่ขนาดคงเดิม สาเหตุของการแคระแกรนยังไม่เป็นที่แจ้งชัด แต่อาจพอสันนิษฐานได้ว่า เป็นผลสืบเนื่องมาจากพันธุกรรม ความผิดปกติแต่กำเนิด สภาพแวดล้อม อาหาร และเชื้อโรค ซึ่งมักมีความเกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน การป้องกันโรคนี้ยังไม่ประสบผลสำเร็จนัก เท่าที่พอช่วยลูกจระเข้ได้โดยการป้อนอาหารสำเร็จรูปผ่านท่อลงไปยังกระเพาะอาหาร ส่วนผสมของอาหารได้แก่ ปลาบดละเอียดทั้งตัว 250 กรัม ผสมน้ำสะอาด 250 มิลลิลิตร และเติมวิตามินรวมชนิดเข้มข้น 1 มิลลิลิตร ป้อนอาหารเหลวนี้ด้วยขนาด 250 มิลลิลิตร ต่อน้ำหนักตัวจระเข้ 1 กิโลกรัม อาทิตย์ละ 2 วัน พร้อมทั้งฉีดยาวิตามินอีและซิลีเนียมให้เดือนละครั้ง



4. ความพิการแต่กำเนิด ลักษณะความพิการที่เป็นมาแต่กำเนิด เช่น ปากแหว่ง เพดานโหว่ หลังคด หางด้วน ไข่แดงไม่เข้าท้อง ผนังหน้าท้องไม่ปิด ไม่มีลูกตา ฯลฯ เหล่านี้มักเกิดจากการจัดการไม่ดี มี 3 กรณีคือ

พันธุกรรม หมายถึงการผสมพันธุ์ในสายเลือดชิด เช่น พ่อผสมลูก ลูกผสมแม่ ฯลฯ ไม่มีการจัดการเรื่องสายพันธุ์ที่แน่ชัดเนื่องจากปล่อยเลี้ยงบ่อรวมกันจำนวนมากทำให้ไม่สามารถควบคุมการผสมพันธุ์ได้ จึงเกิดปัญหาตามมา

การจัดการฟักไข่ที่ไม่เหมาะสม ไม่ถูกวิธี ความชื้นไม่พอหรือความร้อนสูงเกินไป มีผลทำให้ไข่แดงไม่เข้าท้อง เกิดความพิการต่าง ๆ นานาได้เสมอ


สารพิษ อาจตกค้างมากับอาหารที่ใช้เลี้ยงพ่อแม่พันธุ์จระเข้และถ่ายทอดมาถึงลูกทำให้เกิดความผิดปกติในการพัฒนาการของตัวอ่อน เช่น พิษของโลหะหนักต่าง ๆ พวก ปรอท สังกะสี และตะกั่ว ซึ่งบางครั้งก็ปนเปื้อนมากับน้ำที่ใช้เลี้ยงจระเข้ได้เช่นกัน

โดย: เเบงค์ น.ศ.สัตวเเพทย์ (bank ) [11 ม.ค. 51 14:42] ( IP A:124.120.60.89 X: )
ความคิดเห็นที่ 6
   5. การบาดเจ็บกระทบกระเทือน จระเข้เป็นสัตว์ที่มีความต้องการดินแดนหรืออาณาเขตเป็นของตัวเอง โดยจะมีการปกป้องหวงแหนมากน้อยขึ้นอยู่กับพันธุ์ ฉะนั้นปัญหาการกัดกัน แก่งแย่งกันจึงมักเกิดขึ้นและรุนแรงถึงตายเสมอ ยิ่งถ้าเลี้ยงกันในที่คับแคบและมีประชากรหนาแน่นมากเกินไป ทางแก้ไข จะต้องให้มีสัดส่วนจำนวนจระเข้ต่อพื้นที่ ลักษณะบ่อ การตกแต่ง แบ่งสันปันส่วนในบ่อเลี้ยง ฯลฯ


โรคที่เกิดจากการติดเชื้อ หรือโรคที่เกิดจากเชื้อโรค (infectious diseases) โดยเชื้อโรคที่ทำให้เกิดโรคในจระเข้นั้นมีหลายชนิด ตั้งแต่ ไวรัส แบคทีเรีย พยาธิต่าง ๆ


1.โรคติดเชื้อไวรัส (Viral infection) ไวรัสที่พบว่าสามารถทำให้เกิดโรคในจระเข้เท่าที่พบในเมืองไทย คือ ไวรัสตับอักเสบ (viral hepatitis and enteritis) พบว่าเกิดในลูกจระเข้ที่ฟักออกมาไม่นานนัก ทำให้ป่วยหรือตายโดยไม่ทราบสาเหตุ อาการภายนอกมีจุดสีชมพูบนผิวตัว อาการภายในตับจะขยายใหญ่บวม สีซีดจาง ลำไส้บวม มีเลือดคั่งของเหลวในลำไส้สะสมเป็นจำนวนมาก พร้อมกับมีเลือดปน อุจจาระสีซีดเหลว โดยมากเป็นผนังลำไส้ที่ลอกหลุดปะปนออกมา การเกิดโรคนี้พบบ่อยครั้งในขณะที่มีอากาศเย็น ทั้งนี้ย่อมเป็นเหตุโน้มนำให้ภูมิต้านทานของร่างกายลูกจระเข้ลดลง เชื้อไวรัสจึงแพร่ระบาดได้ง่าย หลังจากนั้นหากมีการติดเชื้อจากแบคทีเรียแทรกซ้อน ก็จะทำให้อาการทรุดลงเร็วขึ้นและตายไป


การป้องกันจึงควรคำนึงถึงการรักษาอุณหภูมิให้เหมาะสมเสมอ เพื่อจระเข้จะได้มีภูมิคุ้มกันตลอดเวลา และหมั่นรักษาความสะอาด ทำการฆ่าเชื้อโรคอย่างสม่ำเสมอด้วยคลอรีน และผสมยาปฏิชีวนะลงในอาหาร เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน

โดย: เเบงค์ น.ศ.สัตวเเพทย์ (bank ) [11 ม.ค. 51 14:44] ( IP A:124.120.60.89 X: )
ความคิดเห็นที่ 7
   2. โรคติดเชื้อจากแบคทีเรีย อาการเน้น ๆ ที่พบในจระเข้เลี้ยงในบ่อของเมืองไทยบ่อย ๆ มีดังนี้


1*อาการติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสโลหิตแบบฉับพลัน (acute bacterial septicaemia)

สาเหตุเกิดจากเชื้อแอโรโมนาส ไฮโดรฟิลล่า, เชื้อซาลโมเนลล่า เดอร์บี้ การติดเชื้อในลูกจระเข้มักติดโดยผ่านสายสะดือ ทำให้มีอาการจุดเลือดออกบนผิวหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามหน้าท้อง อาจมีอาการโคม่า ไม่รู้สึกตัวหรือตายภายใน 1 - 2 วัน

การป้องกันและรักษาโรค

จะต้องแยกจระเข้ป่วยออกมารักษาโดยใช้ยาปฏิชีวนะตามผลการเพาะเชื้อ เพื่อเป็นการป้องกันการดื้อยาและยังทำให้การรักษาตรงตามเป้าหมาย ในขณะเดียวกันก็ควรรักษาความสะอาดและฆ่าเชื้อในบ่อเลี้ยง เพื่อลดการระบาด



2*อาการตาอักเสบ (Ophthalmia)

สาเหตุเกิดจากเชื้อซูโดโมนาส แอรูจิโรซ่า สเตรปโตคอคคัส โดยมีสาเหตุโน้มนำจากการขาดวิตามินเอ ความสกปรกของสถานที่เลี้ยงและ ความแออัด อาการของโรคมักพบว่า เกิดแพร่กระจายในลูกจระเข้ที่เกิดใหม่และอายุไม่เกินหนึ่งปีเป็นส่วนใหญ่ โดยมีน้ำตาและน้ำเหลืองไหลออกมาตลอดเวลาก่อน จากนั้นของเหลวจะจับกับเปลือกตา ทำให้จระเข้ไม่สามารถลืมตาได้ จำต้องหลับตาทั้งสองข้างตลอดเวลา จนในที่สุดมีแคลเซียมเข้าไปสะสมอยู่ ทำให้เกิดการอักเสบของหนังตาที่กระจกตา แล้วกระจายไปทั่วลูกตา ทำให้มองเห็นว่าจระเข้มีตาบวมปูดออกมาทั้งสองข้าง บ่อยครั้งที่พบว่าหนังตามีรอยแตกแขนงแล้วมีการติดเชื้อ เกิดผิวหนังอักเสบตามมาอีกด้วย ซึ่งบางคราวจะลามไปถึงหัว ลูกจระเข้ที่ป่วยไม่กินอาหารและไม่ลงน้ำ ทำให้แสดงอาการขาดน้ำ ขาดอาหาร ผอม และอาจมีการติดเชื้อแทรกซ้อนในระบบอื่น ทำให้ตายในที่สุด


การป้องกันและรักษา

จะต้องแยกตัวป่วยออกมารักษา ล้างตาด้วยน้ำยาบอริค ป้ายตาด้วยยาคลอแรมเฟฟิคอลเข้าน้ำมัน และฉีดคลอแรม 25 % ขนาด 10 มิลลิกรัม เข้าใต้ผิวหนังเปลือกตา ส่วนสถานที่เลี้ยงต้องหมั่นเปลี่ยนน้ำให้สะอาด และอาหารต้องไม่ขาดวิตามินเอ


3*อาการปอดบวม (Pneumonitis)

มีสาเหตุจากเชื้อซูโดโมนาส, อี.โคไล, โปรเตียส ทำให้จระเข้มีอาการอ้าปากหายใจ ซึม เบื่อจนไม่กินอาหาร นอนผึ่งแดดตลอดเวลา และตายโดยไม่แสดงอาการเด่นชัด การป้องกันและรักษา ใช้หลักการเดียวกับการรักษาการติดเชื้อในการแสโลหิตแบบเฉียบพลัน ในกรณีของลูกจระเข้อาจเพิ่มอุณหภูมิภายนอกให้สูงขึ้นอีก 2 - 3 องศาเซลเซียส เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายเพิ่มขึ้น ยาที่ใช้ควรใช้วิธีฉีดจะได้ผลรวดเร็วและสะดวกกว่าวิธีอื่น แต่ต้องทำอย่างนุ่มนวล เพื่อไม่ให้สัตว์เกิดความเครียด

โดย: เเบงค์ น.ศ.สัตวเเพทย์ (bank ) [11 ม.ค. 51 14:47] ( IP A:124.120.60.89 X: )
ความคิดเห็นที่ 8
   3. การติดเชื้อรา

การเลี้ยงจระเข้ถ้าขาดการจัดการที่ดี สภาพบ่อสกปรก จะเป็นที่หมักหมมของเชื้อรา ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามร่างกายของจระเข้ได้ ที่พบว่ามีปัญหาบ้างคือ โรคผิวหนังอักเสบเนื่องจากเชื้อรา หรือการติดเชื้อราจากผิวหนัง (Mycotic Bermatitis) ซึ่งมีสาเหตุจากเชื้อ ฟิวซาเรียม (Fusarium) ทำให้จระเข้แสดงอาการเกิดจุดขาวบนผิวหนังโดยทั่วไป หากทิ้งไว้จะขยายใหญ่ เปลี่ยนสภาพเป็นแผลหลุดปกคลุมด้วยเนื้อเยื่อที่ตายแล้วสีน้ำตาล บางครั้งอาจพบฝ้าขาวบนลิ้นหรือเพดานช่องปาก ซึ่งมีสาเหตุจากเชื้อตัวอื่น เช่น แอสเปอร์จิลลัส ได้


การรักษา อาจให้ยากินจำพวกนิสตาติน หรือคีโตโคนาโซล ร่วมกับการทายาฆ่าเชื้อราบนผิวหนัง เช่น มิโคนาโซล และอาบน้ำที่มีด่างทับทิมในอัตรา 10 ล้านส่วนในน้ำ 1 ล้านส่วน (10 ppm)


4. การติดเชื้อพยาธิ


พยาธิภายใน (Internal parasite)

ที่พบในจระเข้ตามฟาร์มเลี้ยงในประเทศไทย คือ พยาธิในปอด มีชื่อว่า เพ็นตาสโตมิดา (Pemtastomida) โดยจะพบตัวแก่อยู่ในปอดหรือทางเดินหายใจบริเวณอื่น ๆ ไข่พยาธิชนิดนี้จะอยู่ในน้ำลายหรืออุจราระของแมลง หรือพวกหนู จะเป็นตัวนำโรคนี้ไปสู่จระเข้ตัวอื่น ๆ ทำให้จระเข้อ่อนแอลง เพราะพยาธิดูดเลือดจากเส้นเลือดฝอยของปอด มีพยาธิบางส่วนไชชอนไปมาทำให้เลือดออกมากขึ้น และเกิดติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน อาการที่แสดงออกของจระเข้อาจไม่เด่นชัด อาจสังเกตเห็นเพียงแต่จระเข้ที่มีพยาธิผอมลงทุกวัน แล้วตายไปเอง เมื่อผ่าซากจึงพบตัวพยาธิดังกล่าว มีลำตัวสีขาวเป็นปล้อง ๆ อยู่ในปอด

การป้องกันและรักษา

ทำได้โดยใช้ยากำจัดพยาธิชนิดฉีดคือ ไอโวเม็คติน (ivomectin) ฉีดเข้าใต้ผิวหนังหรือกล้ามเนื้อด้วยขนาด 200 ไมโครกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมครั้งเดียว และหมั่นตรวจอุจจาระจระเข้อย่างน้อยเดือนละครั้ง ยาที่ให้ผลในการรักษาอีกอย่างคือ ซัลฟาคลอโรไพราซีล 30 % ผสมคลุกเคล้าในอาหาร ด้วยขนาดยา 1.5 กรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม กินติดต่อกัน 3 วัน หรือทำเป็นสารละลาย 3 % ป้อนผ่านท่อกระเพาะจระเข้ด้วยขนาด 5 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมวันละครั้งติดต่อกัน 3 วัน

พยาธิภายนอก (External parasites)

พยาธิภายนอกที่สำคัญกับจระเข้มีเพียงตัวเดียวเท่านั้นคือ ปลิงควาย โดยอาศัยอยู่ในปากของจระเข้ โดยดูดเลือดจากเหงือก ลิ้น ซอกฟัน เพดาน แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทำให้เกิดอันตรายจากจระเข้ใหญ่ ๆ มากนัก ตามธรรมชาติแล้วนกเอี้ยงหรือนกกินแมลงบางชนิดมักเป็นผู้ช่วยกำจัดปลิงควายเหล่านี้ในขณะที่จระเข้นอนอ้าปากผึ่งแดด ส่วนการกำจัดปลิงควายที่มีในจระเข้เลี้ยง สามารถกระทำได้โดยใช้ปูนขาวละลายน้ำในบ่อจระเข้ ซึ่งนับเป็นวิธีง่าย ถูก และได้ผลดีที่สุด

โดย: เเบงค์ น.ศ.สัตวเเพทย์ (bank ) [11 ม.ค. 51 14:49] ( IP A:124.120.60.89 X: )
ความคิดเห็นที่ 9
   ผมหวังว่าข้อมูลที่ผมได้หามานี้จะเป็นประโยชน์ต่อ ทุกท่านที่เลี้ยงจระเข้ เเละ ทุกท่านที่สนใจ ด้วยนะครับ


ข้อความที่ได้กล่าวมานี้ ได้มาจากประสบการณการเลี้ยงสัตว์ชนิดนี้ เเละ จากข้อมูลที่ผมได้ทำการศึกษาเพิ่มเติมด้วยตัวผมเอง หากมีสิ่งใดผิดไปก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ ด้วย ขอบคุณมากครับ

โดย: เเบงค์ น.ศ.สัตวเเพทย์ (bank ) [11 ม.ค. 51 14:53] ( IP A:124.120.60.89 X: )
ความคิดเห็นที่ 10
   -*-ม่ายรู้จาเลี้ยงมันไว้ที่หน๊ายดี...ภาพสุดท้ายเค้าคาบกวางเหรอค่ะ อ๋อย!! มีใครเลี้ยงไว้เป็นสัตว์เลี้ยงบ้างจ๊ะ โพสรูปให้ดูหน่อยจิอยากเห็นๆ
โดย: ~๑AoN๑~ [11 ม.ค. 51 14:54] ( IP A:125.25.247.232 X: )
ความคิดเห็นที่ 11
   ภาพสุดท้ายคาบหมูป่าครับ

ผมเคยเลี้ยงตอน ป.4 ครับ

วันนั้นเป็นวันตรุษจีน ทางบ้านก็ให้เงินมา ก็มากพอสมควร เเต่เเม่จะเอาเข้าธนาคารให้ เเต่ผมเเอบเก็บไว้ 2000 อิอิอิ ไป เจเจ กับเพื่อนครับ ซื้อเลยครับผม จระเข้ วันรุ่งขึ้นเอาไป โรงเรียนเนื่องจากเพื่อนอยากเห็นครับ เป็นวันสอบด้วยนะครับ ตอนสอบ วิชา ส.ป.ช. เสียง งึด งึด ก็ดังในขณะที่ทุกคนกำลังสอบ หลังจากสอบเสร็จก็ห้องฝ่ายปกครองครับ เเม่มาโรงเรียนเลย *โรงเรียนใกล้บ้านมาก* หลังจากนั้นก็คิดเอาเองนะครับ ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
โดย: เเบงค์ น.ศ.สัตวเเพทย์ (bank ) [11 ม.ค. 51 15:31] ( IP A:124.120.60.89 X: )
ความคิดเห็นที่ 12
   ผมเคยเลี้ยงตอน ป.6 ครับ *ไม่เข็ด *

จำได้ว่ามีเงิน 3500 ไป เจเจ กับเพื่อน ซื้อจระเข้มา 1ตัว เเอบเลี้ยงไว้ในตู้เสื้อผ้า 3 วัน เสียงร้อง งึดงึด ก็ดังขึ้น เเม่รู้ หลังจากนั้นก็คิดเอาเองนะครับ ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
โดย: เเบงค์ น.ศ.สัตวเเพทย์ (bank ) [11 ม.ค. 51 15:34] ( IP A:124.120.60.89 X: )
ความคิดเห็นที่ 13
   ผมเคยเลี้ยงตอน ม.4-6 ครับ* ไม่เข็ด *

เนื่องจากตอนนั้นที่บ้านมีสัตว์เยอะมาก เเม่เลยไม่ทันสังเกตุมั้งว่ามีจระเข้อยู่ในบ้าน หรือ อาจจะ เบื่อกับนิสัยลูกชายคนนี้เเล้ว ผมจึงได้เลี้ยงอย่างสมใจ
เคเเมน 15 ตัว เเต่พอขึ้น ม.6 เเล้ว อีกไม่นานจะต้องเรียนที่มหาวิทยาลัย ที่ไกลบ้านมาก สัตว์ที่มีทั้งหมดจึงต้องขายเเละฝากครอบครัวเเละญาติเลี้ยงไว้ จนถึงปัจจุบันนี้ครับผม
โดย: เเบงค์ น.ศ.สัตวเเพทย์ (bank ) [11 ม.ค. 51 15:43] ( IP A:124.120.60.89 X: )
ความคิดเห็นที่ 14
   สุดยอด ขอบคุณครับ อยากเลี้ยงแต่ม่ายมีตี้
โดย: B [11 ม.ค. 51 15:54] ( IP A:203.144.229.2 X: )
ความคิดเห็นที่ 15
   โอ้ว..หมอแบงค์ ชอบของโหดนี่เอง!!
โดย: ~๑AoN๑~ [11 ม.ค. 51 16:32] ( IP A:125.25.247.232 X: )
ความคิดเห็นที่ 16
   รูปประกอบน่ารักจัง
ชอบมากๆครับ
โดย: RoF (เจ้าบ้าน ) [11 ม.ค. 51 21:53] ( IP A:58.9.148.222 X: )
ความคิดเห็นที่ 17
   เคเเมน 15 ตัว

ไม่น้อยเลยนะครับ
โดย: jay [12 ม.ค. 51 2:00] ( IP A:203.118.97.102 X: )
ความคิดเห็นที่ 18
   ขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจครับผม
โดย: เเบงค์ น.ศ.สัตวเเพทย์ (bank ) [12 ม.ค. 51 16:27] ( IP A:58.8.29.225 X: )

คลิกที่นี่เพื่อกลับหน้าบ้าน