รันชู
   หากจะกล่าวถึงสิ่งที่น่าสนใจของรันชูด้วยคำพูดสั้น ๆ คงเป็นเรื่องที่ยาก ด้วยเสน่ห์ของปลาชนิดนี้ที่มีความโดดเด่น แตกต่างจากปลาเงินปลาทองสายพันธุ์อื่น จึงทำให้ผู้คนต่างให้ความสนใจ และหันมาเลี้ยงปลาชนิดนี้กันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมุมมองจากด้านบนของตัวปลาที่สมบูรณ์สวยงาม โครงสร้างไม่ว่าจะเป็นส่วนหัว ลำตัว โคนหาง เรื่อยไปจนถึงใบหาง ที่สะบัดพลิ้วอย่างร่างเริงยามว่ายน้ำ บอกถึงร่างกายที่สมดุลไม่มีที่ติ

ส่วนหัวที่พอปลามีอายุมากขึ้น แสดงถึงสัญลักษณ์ของสัตว์มงคล สัญลักษณ์แห่งมังกร หรือส่วนวุ้นที่ยกขึ้น กลางหัวเป็นสัญลักษณ์วงกลมประดุจดวงอาทิตย์ยกขึ้นคล้ายหน้าผาก มองด้านข้างก็มีรูปร่างที่แปลกตา สันหลังที่ปราศจากครีบโค้งมลลาดลงอย่างได้สัดส่วนรับกับรูปทรงของปลา มีเกล็ดที่บรรจงเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบเปล่งประกายสะท้อนรับกับแสงไฟหรือแสงอาทิตย์ ด้านสีสันลวดลายก็สวยงามเหนือคำบรรยายเปรียบประดุจเป็นการบรรจงแต่งแต้มสีสันลงบนตัวปลาด้วยฝีมือของจิตรกรเอกของโลกทีเดียวก็ว่าได้ จึงไม่น่าแปลกเลยที่รันชู จะสามารถดึงดูดความสนใจสายตาของผู้ที่ได้เห็นมัน และชักชวนให้เริ่มมาเป็นเจ้าของเลี้ยงดูกัน

รันชูจัดเป็นศิลปะชนิดหนึ่ง ความงดงามจึงสะท้อนออกมาจากจิตวิญญาณ จินตนาการ ค่าความรู้สึกที่ดีที่สะท้อนออกมา ในมุมมองของความงดงามที่แตกต่างออกไปในแต่ละบุคคล และความรู้สึกที่ดีที่มองปลาแต่ละตัวให้คุณค่าออกมาไม่ทัดเทียมกัน เกิดมาเป็นปลาบางตัวสวยงามมาก บางตัวสวยน้อย ค่าของความรู้สึกที่ดีที่สื่อสัมพันธ์ระหว่างรันชู และผู้ที่เลี้ยงมันจึงสามารถสร้างค่าความพึงพอใจ ให้ความสุขใจกับผู้ที่ได้เห็นคุณค่าของความงดงามของปลาตัวนั้น และได้ครอบครองเป็นเจ้าของ

รันชูถูกสร้างจากปรัชญาที่ใช้ความเรียบง่าย ความเป็นธรรมชาติ เพื่อมาสร้างปลาให้มีรูปร่างต่างจากธรรมชาติ โดยสอดแทรกวัฒนธรรม ศิลปะ และประเพณีของชนชาติญี่ปุ่น สะท้อนลงมาบนตัวปลา ผู้เลี้ยงปลารันชูจึงมักใช้วิธีเลี้ยงแบบเรียบง่ายเป็นธรรมชาติ มากกว่าจะใช้เทคโนโลยีเพื่อมาสร้างปลาให้มีความงดงามแบบรันชู ในส่วนต่าง ๆ ของรันชู ตลอดจนพฤติกรรมในการดำรงชีวิตล้วนแฝงไปด้วยสัญลักษณ์ เช่น ต้องการให้ปลามีลักษณะอ้วนแต่มีพละกำลังเหมือนคนซูโม่ ว่ายน้ำเก่งมีพลังมีลักษณะของนักสู้ยามปลาว่ายน้ำท่วงท่าลีลาคล้ายผู้หญิงชาวญี่ปุ่นสวมชุดกิโมโนยามเยื้องกราย ยามรันชูว่ายน้ำและตอนหยุด ความแตกต่างของความเคลื่อนไหวของหางก็คล้ายดังชุดกิโมโนขยับไปมา ยามผู้ที่สวมใส่เคลื่อนไหวร่างกาย

เมื่อมองด้านบนรูปทรงคล้ายรูปเหรียญโบราณของญี่ปุ่น (KOBAN COIN) ส่วนวุ้นก็แสดงสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์ หน้ามังกร หน้าสิงโต คนญี่ปุ่นสวมหน้ากาก – สวมหมวก ฯลฯ ล้วนสะท้อนออกมาบ่งบอกถึงศิลปะและประเพณีของชาวญี่ปุ่น จึงเป็นเรื่องยากที่ชนชาติอื่นใดจะสามารถเข้าถึงความงดงามของปลาตัวนี้ได้โดยง่าย และนี้ก็คือสุดยอดของปลาสวยงามที่เรากำลังเลี้ยง หรือ กำลังจะเริ่มเลี้ยงกัน “รันชู”

โดย: tylenon [14 ต.ค. 49 5:27] ( IP A:61.91.165.58 X: )
Add to Facebook  Add to Twitter  Add to Multiply  Add to Google  Add to Blogger  Add to Live
ความคิดเห็นที่ 1
   การเลือกดูลักษณะเด่นของปลาทองรันชู

กล่าวคือการเริ่มดูปลาสำหรับนักเลี้ยงปลาทองรันชูมือใหม่นั้นคงจะยังไม่ทราบว่าเขาเริ่มดูจาก ด้านบนของตัวปลา(Top View) เราจึงขอแนะนำท่านให้เริ่มดูกันจากจุดนี้ การตัดสินปลาที่เข้าตากรรมการก็จะใช้หลักเกณฑ์ดังนี้

รูปทรงและความสมดุลของปลา
เมื่อได้มองจากด้านบนในขณะที่ปลากำลังว่ายอยู่นั้น จะเริ่มพิจารณาลักษณะการว่ายของปลาซึ่งจะมองโดยรวมก่อน หลังจากนั้นก็จะเริ่มดูไล่ลงไปจากส่วนหัว ลำตัวและส่วนหาง สังเกตว่ามีส่วนไหนผิดปกติหรือไม่ตรงตามมาตราฐานหรือไม่ แล้วจึงค่อยลงความเห็นว่าลักษณะการว่ายสมดุลดีหรือเปล่า

ความอ้วนของปลา
ปลาทองรันชูที่ผอมไปนั้น จัดว่าเป็นปลาทองที่ดูไม่ดี และไม่เป็นที่นิยมมากนัก โดยทั่วไปเมื่อมองที่ความกว้างของลำตัวแล้ว จะต้องสังเกตควบคู่ไปด้วยกับโคนหาง กล่าวคือหากปลามีลำตัวที่ใหญ่ก็จะต้องมีโคนหางที่ใหญ่ตามไปด้วย ถ้าเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่แต่โคนหางเล็ก คะแนนนิยมก็จะตกลงไปมากทีเดียว

การเรียงแถวของเกล็ด และ ความสวยงามของสีสันลวดลาย
การเรียงลำดับของเกล็ดที่มีขนาดเล็ดนั้นควรจะเรียงเป็นแนวเดียวกันในแต่ละแถวไม่กระจัดกระจาย และเกล็ดควรจะแวววาวสะท้อนแสงไฟ ส่วนสีสันนั้นจะขาวหรือแดงก็ควรจะเป็นสีที่เข้มสด

ปลาที่มีสง่าราศี
เมื่อมองโดยภาพรวมแล้ว รูปโฉมและการว่ายของปลาตัวนั้นต้องดูมีสง่าราศี

การว่ายน้ำของปลารันชู
สำคัญเหมือนกันเพราะปลาที่ไม่ได้มาตราฐานมันจะมีการว่ายที่บ่งบอกให้รู้เช่นกัน สำหรับลีลาการแหวกว่ายของปลา จะต้องมีลีลาที่ปราดเปรียว ไม่อืดอาดหรือเชื่องช้าและไม่ว่ายด้วยท่าทีที่แปลก ๆ เหมือนจะบ่อบอกให้รู้ถึงลักษณะหางที่ไม่ดี

โดย: tylenon [14 ต.ค. 49 5:30] ( IP A:61.91.165.58 X: )
ความคิดเห็นที่ 2
   สีและลวดลายมาตราฐานของปลาทองรันชู

1 โคมาโดะ บนส่วนหัวที่เป็นสีแดงจะเห็นเป็นจุดเหลี่ยมสีขาวขนาดเล็กปรากฎ

2 โอมาโดะ บนส่วนหัวที่เป็นสีแดงเห็นเป็นจุดเหลี่ยมสีขาวขนาดใหญ่ปรากฎชัดเจน

3 เม็งคาบุริ ส่วนหัวเท่านั้นที่เป็นสีแดง ส่วนอื่น ๆ จะป็นสีขาว หรือลวดลายก็ได้

4 เม็งจิโร่ ส่วนหัวเท่านั้นที่เป็นสีขาว ส่วนอื่น ๆ จะป็นสีแดง หรือลวดลายก็ได้

5 คันชาชิ บนส่วนหัวที่เป็นสีขาวจะปรากฏสีแดงที่ปลายตาเล็กน้อย

6 ตันโจ จะมีสีแดงปรากฏเด่นอยู่ที่ส่วนหัว ซึ่งเป็นสีขาว

7 ฮิโนะมารุ บนสันหลังที่เป็นสีขาวจะปรากฏเป็นวงกลมสีแดงดุจดังดวงอาทิตย์

8 สุอากะ นอกจากบริเวณครีบหางแล้ว ตั้งแต่ส่วนหัวลงมาจะเป็นสีแดงทั้งหมด

9 โซโจ ตั้งแต่ส่วนหัวจรดหางจะไม่มีสีอื่น ๆ เลย นอกจากแดงทั้งตัว

10 อะสุกิ ซาระสะ มีลวดลายเป็นจุดแต้มสีแดงคล้ายเม็ดถั่วแดงอยู่บริเวณด้านข้างลำตัว

11 โคชิ จิโร่ ความหมายตามชื่อก็คือมีส่วนเอวเป็นสีขาว จะสังเกตได้ว่าที่โคนหางเป็นสีขาวคั่นกลาง

12 คาสึ บุชิ ลักษณะคล้ายกับสวมหมวกสีแดงคาดอยู่

13 อิจิ มงจิ เป็นลักษณะที่มีลายพาดขวางสลับเฉียงกันระหว่างสีแดงกับสีขาวเริ่มตั้งแต่ปากลงมา

14 คุจิ เบนิ สีขาวเป็นพื้นแต่จะมีสีแดงแต้มที่ริมฝีปากและที่หางอีก 3 จุด

โดย: tylenon [14 ต.ค. 49 5:36] ( IP A:61.91.165.58 X: )
ความคิดเห็นที่ 3
   คำถามนี้มักจะได้เห็นได้ยินกันบ่อยจนคุ้นหูคุ้นตาสำหรับผู้ที่เริ่มสนใจปลาทองรันชูว่า “อยากเลี้ยงรันชูจะเริ่มอย่างไรดี” ก่อนอื่นก็คงต้องมาสำรวจความพร้อม สำหรับการเลี้ยงปลาทอง “รันชู” ในด้านต่างๆ ซึ่งพอจะแบ่งเป็นประเด็นได้ดังนี้
• สถานที่
• อุปกรณ์
• ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ “รันชู”
• งบประมาณ และการเลือกซื้อปลา

สถานที่
สถานที่ซึ่งเหมาะสมสำหรับการเลี้ยงปลารันชูนั้น เรียกได้ว่าทุกแห่งที่เป็นที่พักอาศัยของคน ไม่ว่าจะเป็น คฤหาสน์หลังงาม บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ หรือ แม้แต่ห้องชุดคอนโดมีเนียม ก็สามารถจะเป็นที่เลี้ยงปลารันชูได้ และดีไม่ต่างกัน เพียงแต่ขอให้มีปัจจัยสนับสนุน ที่เหมาะสมดังต่อไปนี้ครับ

• อากาศถ่ายเทสะดวก - ในเรื่องนี้สำหรับสิ่งมีชีวิตทุกประเภทที่ใช้อ๊อกซิเจนในการดำรงชีวิต ถือว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก เราทุกคนคงทราบดีครับว่าการที่ได้อยู่ในสภาพที่อากาศอับชื้น ถ่ายเทไม่สะดวกนั้น เป็นความรู้สึกที่อึดอัดมากเพียงใด
สำหรับปลารันชูแล้ว ผลกระทบที่เกิดจากการเลี้ยงในสถานที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวกนั้น โดยส่วนมากจะแสดงผลในรูปของความอ่อนแอ และ ภูมิต้านทานต่ำ ปลามักจะป่วยง่าย และรักษาหายจากโรคต่างๆได้ยากกว่าปกติ นอกจากนี้ยังเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคต่างๆในปลาอีกด้วยครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื้อโรคประเภทที่เจริญเติบโตได้ดีในสภาพชื้น เช่น เชื้อรา เป็นต้น
• แสงแดดส่องถึง – สำหรับแสงแดดนั้น มีประโยชน์หลายประการครับ อย่างที่ทราบกันดีว่า แสงแดดยามเช้านั้นช่วยทำให้ปลามีสีสดใส เกล็ดเงางามขึ้น ทั้งยังช่วยเพิ่มอุณหภูมิของน้ำได้ในฤดูที่มีอากาศเย็น ทำให้ตัวปลานั้นมีความร่าเริงมากขึ้นได้ แสงแดดนั้นยังช่วยให้เกิดตะไคร่ก้นอ่าง ซึ่งจะเป็นตัวช่วยกำจัดของเสียที่เกิดขึ้นจากขี้ปลา ทำให้สภาพน้ำเสถียรมากขึ้นได้อีกด้วย นอกจากนี้รังสียูวีในแดดนั้นสามารถฆ่าเชื้อโรคบางชนิด และ ทำลายฤทธิ์ยาที่ตกค้างในบ่อเลี้ยงได้
อย่างไรก็ดี การที่ปลาควรได้รับแสงแดดนั้น ไม่ได้หมายถึงการตั้งอ่างปลา ไว้กลางแจ้งโดยไม่มีการให้ร่มเงาแก่อ่างเลี้ยง เพราะการตั้งอ่างกลางแจ้งนั้น ส่งผลให้อุณหภูมิสูงขึ้นมากในช่วงกลางวัน และ ลดต่ำลงในช่วงกลางคืน ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิภายในหนี่งวัน ถ้าหากมากเกินไปก็เป็นอันตรายต่อปลาได้เช่นกัน
• ระบบน้ำที่เพียงพอ – ปลารันชูคงอยู่ไม่ได้หากไม่มีน้ำ เรื่องนี้คงไม่ต้องถกเถียงกันอีก แต่สำหรับประเด็นเรื่องของน้ำนั้น นอกจากคุณภาพน้ำที่ใช้เลี้ยงควรจะเหมาะสม (น้ำประปาที่ผ่านกรองคลอรีน) แล้ว การจะเลี้ยงปลารันชูให้เจริญเติบโตได้ และ มีสุขภาพดี การถ่ายน้ำ ทำความสะอาดอ่างก็เป็นส่วนสำคัญเช่นกัน ดังนั้นเราจึงจำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงระบบน้ำเข้า/ออก ในการเลือกสถานที่ตั้งอ่างปลาด้วย สถานที่ตั้งอ่างปลาควรมีระบบน้ำดีเพียงพอ โดยเฉพาะการระบายน้ำเพื่อสะดวกต่อการดูแลทำความสะอาดอ่างในระยะยาว

อุปกรณ์
ในด้านการเตรียมอุปกรณ์นั้น ก็คงจะต้องเริ่มหลังจากเราเล็งที่เหมาะๆภายในบ้านได้แล้ว สำหรับอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการเลี้ยงรันชูในขั้นต้นนั้นก็คงหนีไม่พ้นสิ่งเหล่านี้ครับ

• อ่าง – แน่นอนครับถ้าหากไม่มีอ่าง หรือภาชนะใส่น้ำสำหรับเลี้ยงปลา คงไม่สามารถเลี้ยงรันชูได้ สำหรับอ่างโดยทั่วไปที่นิยมใช้เลี้ยงรันชูนั้น มีสองแบบครับ คือ อ่างไฟเบอร์ และ อ่างปูน
สำหรับอ่างไฟเบอร์นั้น ข้อดีอยู่ที่น้ำหนักเบา ทำความสะอาดง่าย ส่วนอ่างปูนนั้น ข้อดีจะอยู่ที่ ทนทานใช้งานได้นาน ช่วยควบคุมอุณหภูมิของน้ำให้เปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ และที่สำคัญ ราคาถูกกว่ามากครับ หากเทียบในขนาดอ่างที่เท่ากันแล้ว อ่างไฟเบอร์จะมีราคาสูงกว่าหลายเท่าตัวครับ
สำหรับขนาดอ่างที่เหมาะสมสำหรับเริ่มเลี้ยงในขึ้นต้นนั้น อ่างไฟเบอร์แนะนำที่ขนาด 90x110ซม. และ อ่างปูนขนาด 100x100ซม.

• เครื่องกรองคลอรีน – สำหรับเครื่องกรองคลอรีนนั้น อาจจะเรียกอีกชื่อว่า เครื่องกรองคาร์บอนก็ได้ครับ โดยเครื่องนี้จะทำหน้าที่กรองคลอรีนในน้ำประปาออก เพื่อให้น้ำเหมาะสมกับการนำไปเลี้ยงปลาได้ครับ ทั้งนี้หากเรามั่นใจว่าน้ำที่นำมาเลี้ยงปลาไม่มีคลอรีน ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อหาให้เสียสตางค์ครับ แต่สำหรับผมแล้วมีไว้สบายใจกว่าครับ ยิ่งระยะหลังๆนี้มีโรคระบาดเช่น ไข้หวัดนก การประปามักจะเพิ่มคลอรีนในน้ำประปาเป็นระยะๆครับ กันไว้ดีกว่าแก้ครับ เพราะถ้าหากปลาโดนคลอรีนจากน้ำประปาเต็มๆก็เข้าขั้นโคม่าได้เหมือนกันครับ

• ปั๊มลม – อุปกรณ์นี้จะทำหน้าที่ปั๊มอากาศให้ลงสู่น้ำ เพื่อเพิ่มอ๊อกซิเจนให้กับน้ำในอ่างเลี้ยง เพราะปลารันชูเป็นปลาที่ต้องการอากาศมากพอสมควร และเป็นปลาที่ผลิตของเสียให้กับน้ำสูง จึงทำให้สภาพน้ำนั้นแย่ลงได้เร็วมากๆ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มปริมาณอ๊อกซิเจนที่ละลายในน้ำ เพื่อให้ปลาสามารถหายใจได้ ทั้งนี้หากบ่อเลี้ยงมีพื้นผิวมากพอ และเลี้ยงปลาในปริมาณต่ำ สามารถที่จะฝึกให้ปลารันชูอยู่ได้โดยไม่ต้องใช้ปั๊มลมเหมือนกันครับ แต่สำหรับผมแล้วกรณีนี้ขอบายครับ ขอเน้นปลอดภัยไว้ก่อน
การเลือกซื้อปั๊มลมนั้น หลักๆก็ขึ้นอยู่กับปริมาณอ่างที่ต้องการใช้ (แนะนำว่าควรใช้หัวทราย 2 อันขึ้นไปต่ออ่าง) และถ้าหากจะให้ปลอดภัยมากขึ้นไปอีก ก็สามารถเลือกใช้ปั๊มลมชนิดที่มีระบบสำรองไฟ ในกรณีไฟดับได้อีกด้วยครับ
โดย: tylenon [14 ต.ค. 49 5:39] ( IP A:61.91.165.58 X: )
ความคิดเห็นที่ 4
   เทคนิคการขึ้นน้ำ

เมื่อปลาใหม่มาเนี่ยเราไม่รู้หรอกว่าปลาเป็นโรคอะไรมาบ้าง เพราะระหว่างการเคลื่อนย้ายก็ดี ปลามีความเครียด ภูมิคุ้มกันตก ปลาอ่อนแอ ปลาก็จะสามารถจะเป็นโรคได้ง่าย เมื่อเราซื้อปลามาอันดับแรกเราก็ต้องพาน้องๆ ลงอ่างก่อน.....อู๊ยเสียว (ทั้งถุงนะ) แต่ก่อนที่จะนำลงเราควรจะต้องผสมสบู่และเช็คน้ำอุ่นได้ที่หรือยัง มายช่ายอย่าเข้าใจผิด เราต้องเตรียมน้ำในอ่างที่เราจะเลี้ยงให้เรียบร้อยโดยที่เราต้องทราบแล้วว่าน้ำที่เราใช้นั้นต้องปราศจากคลอลีนนะ ถ้าบ้านเรามีเครื่องกรอง ก็หมดไปหนึ่งประเด็นแต่ ทำไมต้องม"ีแต"่เพราะว่าเราไม่ควรจะไว้วางใจหรือนอนใจนะครับ เพราะว่ากระผม ก็ยังเคยเจอนะ เราควรจะใส่น้ำยาฆ่าคลอลีนลงไปด้วยอีกก็ดีกันไว้ เป็นการรับประกันความเสี่ยง เพราะไม่มีบริษัทประกันภัยใดจะมารับแทนเรา...หุหุ (กวนนิดๆนะ) และที่สำคัญอีกเรื่องคือ ยังไม่ควรนำปลาที่ได้มาใหม่ ไปรวมกับปลาเก่า (ได้ใหม่แต่ไม่ลืมเก่าคร๊าบ)

ในอันดับแรกก่อนพาน้องลงอ่างเราควรต้องใส่....
1. Amoxy (ก็ยาที่เรากินๆกันนั้นแหละ) 2 cap/100 ลิตร ก็คือถ้าอ่างเราเป็นอ่าง 90*110 ก็ต่อน้ำครึ่งอ่าง+เกลือนิดๆ
2. Tetra Cycline (ก็เหมือนกันอีกนั้นแหละ) 1cap/100 ลิตร
3. Oxcyline (เหมียนกัน) แต่ 1 กรัม/100 ลิตร
สูตรการคำนวณ = กว้าง x ยาว x สูง หารด้วย 1000 จะออกมาเป็นปริมาตรของจำนวนน้ำ

(ยาที่เราใส่ก็เพื่อที่ว่าจะได้ฆ่าเชื้อโรคที่อยู่ในน้ำให้หมดสิ้นเพื่อที่จะได้กลายเป็น 0 คือปราศจากเชื้อโรคนั้นเอง)
บทต่อมาก็ต้องน้ำน้องลงแช่อ่าง....ฮ่าฮ่า อันนี้ก็สำคัญเหมืีอนกัน เพื่อว่าเราจะต้องให้น้องๆเราปรับสภาพก่อนนะ คือเราก็นำไปแช่ทั้งถุงก่อนเลยประมาณ 5-10 นาที และเมื่อได้เวลาอันควรเราก็ใส่น้ำที่อยู่ในอ่างลงไปในถุงที่ปลาเราอยู่นะ เพื่อปรับสภาพกันหรือให้คุ้นเคยกับอุณหภูมิ ก็ประมาณ 5-10 นาที จะใส่หัวทรายเพิ่มอ๊อกลงไปหน่อยก็ได้ และแล้วเวลาอันสมควรก็มาถึง เราก็ต้องนำน้องๆของเราลงอ่างไม่ต้องเทน้ำที่มากับถุงลงไปนะครับ แหม! ว่ายแล้วใช่เปล่าหละ ดีใจหละสิ อยากให้อาหารใช่ปะ แต่เดี๋ยวก่อน ให้ไม่ได้เราควรจะต้องอดอาหารน้องๆเราสัก 2 – 3 วันนะ หลังจากนั้น ก็ค่อยเปลี่ยนน้ำประมาณ 50 % จากนั้นค่อยให้อาหารเม็ดไปก่อน แต่อย่าลืมว่าเรายังไม่ควรจะ นำไปรวมกับ ปลาเก่าของเรา ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกลัวเหงา ให้อยู่คนเดียวไปก่อน แข็งใจไว้ เอาหละ เราควรจะกักไว้สักประมาณ 14 วัน เพื่อดูอาการถ้าน้องๆเราไม่มีโรค ปรับสภาพเข้ากับอ่างและน้ำที่บ้านเราได้ อันนี้แหละ นำไปรวมเลย แต่อีกนั้นแหละ อ่างเก่าที่มีปลาของเราอยู่แล้วก็ควรจะเปลี่ยนน้ำ 100% ก่อนรวมนะ เห็นไหมหละว่าแค่วิธีขึ้นน้ำก็เยอะแล้ว แต่อย่าเพิ่งท้อ ถ้าอยากให้น้องๆเราอยู่กับเราไปอีกนาน เราควรจะทำนะ

โดย: tylenon [14 ต.ค. 49 5:42] ( IP A:61.91.165.58 X: )
ความคิดเห็นที่ 5
   ระดับน้ำสำหรับรันชู

เอาง่ายๆก็คือ ดูจากขนาดรุ่นที่เค้าจัดประกวดคับ
จูเนียร์ 8 เซน
Tosai 12 เซน
Nisai 15 เซน
Oya 15 เซน+

ถ้าปลาจูเนียร์ ก็เลี้ยงราวๆ 15-20 เซน
ถ้าTosai ก็เลี้ยงราวๆ 20-25 เซน
ส่วนNisai ขึ้นไปก็เลี้ยงราวๆ 25 เซน คับผม
โดย: tylenon [14 ต.ค. 49 5:49] ( IP A:61.91.165.58 X: )
ความคิดเห็นที่ 6
   "การเปลี่ยนถ่ายน้ำ"
ทำเพื่อดูและคุณภาพน้ำและให้ปัจจัยต่าง ๆ ที่มีความจำเป็นในการดำรงชีวิตของปลามีมากพอและดูแลให้ปัจจัยที่ไม่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตของปลา มีไม่มากจนเกินไป โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อลดจำนวนของเสีย แบคทีเรีย และสารพิษต่าง ๆ ให้ไหลไปกับน้ำทิ้ง และเดิมน้ำที่มีคุณภาพใหม่ลงไปแทน
การเปลี่ยนถ่ายน้ำปลาค่อนข้างจะแนะนำให้จำไปปฎิบัติยาก ด้วยเหตุผลที่ว่าธรรมชาติย่อมมีการเปลี่ยนแปลง เช่น บางวันร้อน บางวันหนาว บางวันฝนตก บางวันก็มีแสงแดดแรง ฯลฯ ผลกระทบเหล่านี้จะทำให้น้ำเสียไม่พร้อมกัน ในเมื่อธรรมชาติมีความแปรเปลี่ยน การที่จะใช้สิ่งที่คงที่ไปดูแลสิ่งที่แปรเปลี่ยนจึงไม่สามารถทำได้ เช่น จะแนะนำให้เปลี่ยนน้ำทุก ๆ 7 วัน โดยถ่ายน้ำเก่าออกประมาณ 20-30% ของน้ำเดิม แล้วนำน้ำที่มีคุณภาพเหมาะสมเติมลงไปจนเท่าเดิม หากแนะนำอย่างนี้ไปก็คือกำลังจะใช้สิ่งที่คงที่ไปดูแลสิ่งที่แปรเปลี่ยน ซึ่งไม่สามารถดูแลคุณภาพของน้ำได้อย่างเหมาะสมทุกครั้ง

วิธีเปลี่ยนน้ำปลาจึงควรแปรเปลี่ยนไปตามธรรมชาติด้วย และเราจะเอาอะไรเป็นตัวกำหนดได้ว่าเมื่อไรควรจะเปลี่ยนถ่ายน้ำได้แล้ว หรือจะถ่ายน้ำเก่าออกไปแค่ไหน วิธีคือ สังเกตพฤติกรรมของปลา เช่น ถ้าปลาดำว่ายอยู่ข้างล่าง กินอาหารไม่น้อยลง ไม่ซึม ไม่แอบ ไม่ลอยหัว นั้นแสดงว่าน้ำยังมีคุณภาพที่ดีในระดับหนึ่งอยู่ แต่ถ้าหากปลาไม่แสดงพฤติกรรมดังกล่าว เช่น พากันลอยหัว กินอาหารน้อยลง ซึม แอบ ก็แสดงว่าน้ำเริ่มมีคุณสมบัติที่เลวลง ก็ควรจะต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนน้ำได้แล้ว
โดย: tylenon [14 ต.ค. 49 5:51] ( IP A:61.91.165.58 X: )
ความคิดเห็นที่ 7
   โรคที่พบบ่อย

<< โรคที่แพร่ระบาดได้ >>
โรคหนอนสมอ
ลักษณะ : หนอนสมอมีรูปร่างลักษณะคล้ายรูปสมอเรือ มีขนาดความยาวราว 0.6-1.2 ซม. โดยหนอนสมอจะใช้ส่วนหัวและอกฝังเข้าไปในเนื้อเยื่อของปลา และยื่นส่วนหางออกมาทำให้เรามอง เห็นเหมือนมีเส้นด้านเกาะติดอยู่ที่ตัวปลา สำหรับลำตัวของหนอนสมอจะมีสีขาวอมเขียวมองเห็นได้ชัดเจน

อาการ : ปลาจะมีอาการเซื่องซึมผิดปกติ และตามตัว ครีบ และ หางจะมีรอยแดงช้ำเป็นจ้ำ ปลามักจะว่ายถูกตัวกับขอบตู้หรือขอบอ่างเพื่อให้หนอนสมอหลุดออกไป ในกรณีที่ปลามีหนอนสมอเกาะอยู่มากปลาจะค่อย ๆ ผอมแห้งลงเนื่องจากถูกหนอนสมอแย่งอาหารไปและถ้าเป็นนานเข้าปลาอาจตายได้เนื่องจากเป็นโรคขาดอาหาร

การป้องกัน : ใส่ยามาลาไคท์กรีน 0.1 ppm. หรืออาจใช้ฟอร์มมาลิน 15-40 ppm. ลงในตู้ปลาอย่างน้อยเดือนละครั้ง

การรักษา : นำปลาไปแช่ในน้ำที่ผสมด้วยฟอร์มาลิน 125-250 pm. เป็นเวลา 1 ชม. หรือมาลาไคท์กรีน 5 ppm. นาน 15 นาที หรืออาจใช้ ดิพเทอเร็กซ์ 0.25-0.5 ppm. แช่ตลอดไป




โรคเห็บ
ลักษณะ : เห็บจะกลมแบนคล้ายรูปจาน มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว 3-5 มม. ลำตัวมีสีน้ำตาลหรือเขียวแต่ค่อนข้างใสคล้ายวุ้นชอบเกาะติดอยู่ตามครีบและหางของปลาเพื่อดูดเลือดและของเหลวภายในเนื้อเยื่อของปลาเป็นอาหาร

อาการ : ปลามักว่ายถูตัวกับขอบตู้หรือขอบอ่างอยู่เสมอ ๆ และมักว่ายสั่นกระตุกคล้ายปลามีอาการระคายเคือง บริเวณที่เห็บเกาะติดจะมีรอยแดงเป็นจ้ำ ๆ

การป้องกัน : ใส่ยาดิพเทอร์เร็กซ์ 0.25-0.5 ppm. หรือฟอร์มาลิน 15-40 ppm. ลงในตู้ปลาเป็นเวลา 24 ชม.

การรักษา : นำปลาไปแช่ในน้ำที่ผสมด้วยดิพเทอเร็กซ์ 0.5-0.75 ppm. หรือฟอร์มาลิน 125-250 ppm. เป็นเวลา 1 ชม. โดยจับปลามาแช่ยาสัปดาห์ละครั้งจนกว่าปลาจะหายเป็นปกติ



โรคจุดขาว หรือ อิ๊ค
ลักษณะ : ของโรคนี้ตามลำตัวและครีบของปลาจะมีจุดสีขาวขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว 0.5-1 มม. เกาะติดอยู่ถ้าหากเป็นปลาทองที่มีสีดำจะมองเห็นได้ชัดมาก ซึ่งโรคนี้เกิดจากเชื้อโปรโตซัวหรือที่รู้จักกันในนาม “อิ๊ค” โรคนี้ปลามักเป็นกันมากในช่วงหน้าหนาวหรือในช่วงที่อุณหภูมิน้ำต่ำกว่าปกติ หรือในกาณีที่อุณหภูมิน้ำเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหัน

อาการ : ปลาจะมีอาการเซื่องซึมไม่คอ่ยยอมกินอาหารและมักหลบอยู่ตามมุมตู้ บางครั้งปลาจะว่ายถูตัวกับขอบตู้หรือขอบอ่าง

การป้องกัน : ใส่ฟอร์มาลินลงในภาชนะที่เลี้ยงปลา 15-40 ppm. หรือมาลาไคท์กรีน 0.1 ppm. เมื่อพลว่าอากาศเกิดการเปลี่ยนแปลงกระทันหัน

การรักษา : นำปลาไปแช่ในน้ำที่ผสมด้วยตัวยาฟอร์มาลิน 125-250 ppm. เป็นเวลานาน ชม. หรือแช่ในน้ำที่ผสมมาลาไคท์กรีน 5 ppm. เป็นเวลา 15 นาที โดยแช่ติดต่อกันสัปดาห์ละครั้งจนกว่าปลาจะหาย



โรคเชื้อรา
ลักษณะ : อาหารของปลาที่ได้รับการติดเชื้อจะมีปุยสีขาวคล้ายบำสีเกาะติดอยู่ โดยมากโรคนี้มักเกิดกับปลาที่ได้รับความบอบช้ำและมีบาดแผลตามตัวมาก่อน ซึ่งเชื้อราจะแทรกซึมเข้าทางบาดแผลทำให้ปลาป่วยเป็นโรค

อาการ : ปลาจะเซื่องซึมและไม่ค่อยกินอาหาร ปลาจะว่ายน้ำเชื่องช้าลงและมักลอยคอนิ่ง ๆ หรือกบดานตัวอยู่ตามพื้น ปลาที่ได้รับการติดเชื้อมากอาจตายได้ภายในระยะเวลาอันสั้น

การป้องกัน และ การรักษา : ใส่ยามาลาไคท์กรีน 0.1-0.25 ppm. และฟอร์มาลิน 25 ppm. แช่ติดต่อกันเป็นเวลา 3-5 วัน แต่ถ้าหากต้องการให้แผลหายเร็วยิ่งขึ้นอาจใช้ลำสีชุบน้ำซึ่งละลายด้วยเกลือ 2% เช็ดที่แผลของปลาจะช่วยให้บาดแผลหายเร็วยิ่งขึ้น



โรคครีบและหางเปื่อย
ลักษณะ : ครีบและหางของปลาจะขาดแหว่งคล้ายถูกกัด บริเวณปลายครีบและหางจะมีสีขาวขุ่นหรือแดง และจะค่อย ๆ ลุกลามกินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ จนครีบและหางของปลาจะขาดหายไป ซึ่งจะทำให้ปลาตายในที่สุดโรคนี้เกิดจากการที่ปลาได้รับเชื้อจำพวกแบคทีเรีย

อาการ : ปลามีอาการเซื่องซึมไม่ค่อยยอมกินอาหาร และมักว่ายสั่นกระตุกเป็นพัก ๆ ในช่วงนี้ปลาจะว่ายน้ำช้ากว่าปกติ
การป้องกัน : ใส่ยาเหลือง 10-20 ppm. ลงในน้ำที่เลี้ยงปลา หรืออาจใช้ตัวยาปฏิชีวนะ เช่น คลอเตตร้าซัยคลิน อ๊อกซี่เตตร้าซัยคลิน หรือ คลอแรมเฟนิคอล ในอัตราส่วน 10-20 ppm.

การรักษา : นำปลาไปแช่ไว้ในน้ำที่ละลายด้วยยาเหลืองในอัตราส่วน 500 ppm. แช่เป็นเวลานาน 20 นาที หรืออาจผสมยาปฎิชีวินะลงในอาการสำเร็จรูปเพื่อให้ปลากินในอัตราส่วน 55 มิลลิกรัม / น้ำหนักตัวปลา 1 กก. หรือถ้าต้องการสะดวกอาจใส่ยาปฏิชีวนะลงในน้ำที่ใช้เลี้ยงปลาในอัตราส่วน 10-20 ppm.



โรคเหงือกอักเสบ หรือ เหงือกเน่า
ลักษณะ : ปลาจะมีเหงือกบวมแดง เมื่ออาการทรุดหนักเข้าเหงือกจะเกิดการเน่าและแหว่งหายไปจนมองเห็นเหงือกภายใน สาเหตุของการเกิดโรคเนื่องจากปลาได้รับเชื้อปรสิต

อาการ : ปลาจะหายใจถี่ผิดปกติและขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำเสมอ ๆ หือไม่ก็จะว่ายไปอออยู่ที่หัวทราย บริเวณเหงือกจะมีลักษณะบวมแดง

การป้องกัน : ใส่ฟอร์มาลินลงในที่เลี้ยง 30-50 ppm. หรือดิพเทอเร็กซ์ 0.25-0.5 ppm.

การรักษา : นำปลาไปแช่ไว้ในน้ำที่ผสมด้วยฟอร์มาลิน 125-250 ppm. เป็นเวลา 1 ชม. จากนั้นนำปลาไปเลี้ยงไว้ในน้ำที่ผสมด้วยฟอร์มาลิน 30 ppm. จนกว่าอาการของปลาจะทุเลา ขณะเดียวกันควรใส่ยาประเภทปฏิชีวนะเพื่อช่วยให้แผลของปลาหายเร็วยิ่งขึ้น โดยใส่ในอัตราส่วน 10-20 ppm.



โรคสนิม
ลักษณะ : โรคชนิดนี้เกิดจากเชื้อโปรโตซัว โดยตามตัวและเหงือกของปลาจะมีสีน้ำตาลปนเหลืองเกาะเป็นกล่ม ๆ หย่อม ๆ และดูคล้ายกำมะหยี่

อาการ : ปลาจะมีอาการเซื่องซึมลงและไม่ค่อยยอมกินอาหาร

การป้องกัน : ใส่เกลือลงในน้ำในอัตราส่วน 1-3% ของปริมาตรน้ำที่ใช้เลี้ยงบ้างเป็นครั้งคราว

การรักษา : นำปลามาแช่ไว้ในน้ำที่ละลายด้วยเกลือ 1% เป็นเวลานาน 24 ชม. โดยทำติดต่อกันทุก 2 วัน ครั้งจนกว่าปลาจะหาย



โรคตกเลือด
ลักษณะ : โรคชนิดนี้เกิดจากแบคทีเรีย โดยปลาที่ได้รับการติดเชื้อจะมีเลือดไหลออกมาทางเหงือกหืรอตามตัว ซึ่งโดยมากมักจะพบโรคนี้ในช่วยที่อากาศเย็น เช่น หน้าหนาว

อาการ : ปลาจะมีอาการเซื่องซึมลงและไม่ค่อยยอมกินอาหาร

การป้องกัน : ใส่เกลือลงในน้ำที่เลี้ยงปลาบ้างเป็นครั้งคราว หรืออาจใส่ยาปฏิชีวนะลงในน้ำในอัตราส่วน 10-20 ppm. หมั่นเปลี่ยนถ่ายน้ำเลี้ยงปลาอย่างสม่ำเสมอ

การรักษา : ใส่ยาปฏิชีวนะ 10-20 ppm. ลงในน้ำที่เลี้ยงปลา หรืออาจใช้ยาเหลือง 500 ppm. แช่ปลานาน 20 นาที โดยแช่ติดต่อกันทุกวันจนกว่าปลาจะมีอาการทุเลาขึ้น





<< โรคที่ไม่แพร่ระบาด >>
โรคเนื้องอก หรือ โรคมะเร็ง
ลักษณะ : สาเหตุของการเกิดโรคยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ลักษณะของโรคจะสังเกตได้จากลักษณะภายนอก โดยเนื้อของปลาจะเจริญขึ้นมามากผิดปกติ เช่น เป็นก้อนเนื้อห้อยติดอยู่ตามตัว หรือถ้าเป็นเนื้องอกที่เกิดขึ้นภายในก็จะทำให้ปลาดูอ้วนผิดปกติ

อาการ : ปลาจะว่ายน้ำเป็นปกติ แต่ถ้าปลามีอาการทรุดหนักอาจถ่ายออกมาเป็นมูกเลือด และปลาจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

การป้องกัน และ การรักษา : สาเหตุของโรคยังไม่ทราบแน่ชัด จึงไม่อาจหาทางในการป้องกันและรักษาได้ แต่สันนิษฐานกันว่าน่าจะเกิดจากอาการเป็นพิษ ดังนั้น จึงควรระวังและควบคุมเรื่องอาหารให้มาก



โรคสันหลังหัก
ลักษณะ : ปลามีลำตัวคดงอและว่ายน้ำผิดปกติ สาเหตุอาจเป็นเพราะปลาพิการมาแต่กำเนิด หรือปลาได้รับการกระทบกระแทกจนกระดูกสันหลังหัก

อาการ : ลักษณะการว่ายน้ำของปลาจะไม่เป็นปกติ

การป้องกัน และ การรักษา : วิธีการรักษายังไม่มี แต่อาจป้องกันได้โดยหลีกเลี่ยงอย่าให้ปลาได้รับการกระทบกระแทก



โรคเกล็ดตั้ง
ลักษณะ : เกล็ดของปลาจะตั้งชันขึ้นจนมองเห็นคล้ายรูปขั้นบันได สาเหตุเกิดจากปลาได้รับอาหารประเภทโปรตีนมากเกินไป หรือไม่ก็น้ำในที่เลี้ยงปลาสกปรกมากจึงเป็นเหตุให้เส้นเลือดใต้เกล็ดเกิดการบวมพอง ทำให้เกิดถุงน้ำที่ใต้เกล็ด ซึ่งถุงน้ำนี้จะคอยดันเกล็ดปลาให้ตั้งชันขึ้น

อาการ : ปลาจะควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ โดยปลาจะพยายามพุ่งตัวขึ้นสู่ผิวน้ำอยู่เสมอ ๆ ซึ่งช่วงนี้ปลาไม่ค่อยยอมกินอาหารและจะมีอาการเซื่องซึม

การป้องกัน : ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำอย่างสม่ำเสมอและควรใส่เกลือลงในน้ำที่เลี้ยงปลาบ้าง

การรักษา : นำปลาแช่ไว้ในน้ำที่ผสมด้วยเกลือ 5-10% และยาปฏิชีวนะ 10-20 ppm. โดยแช่วันละ 1 ขม. เป็นเวลาติดต่อกัน 4-5 วัน ซึ่งถ้าอาการไม่หนักปลาก็จะหายได้ในไม่ช้า แต่ถ้าอาการทรุดหนักก็ไม่มีทางรักษาให้หายได้ ขณะเดียวกันในการรักษาอาการป่วยของปลาควรเพิ่มอุณหภูมิของน้ำให้สูงขึ้นด้วย



แผลขีดข่วน, เกล็ดหลุด, ครีบและหางขาด
ลักษณะ : ปลาจะมีบาดแผลตามตัวหรือเกล็ดหลุดหายไปหรือครีบและหางฉีกขาด ซึ่งสาเหตุอาจเกิดจากการที่ปลาว่ายไปชนถูกของมีคมภายในที่เลี้ยงหรืออาจถูกปลาอื่นทำร้าย

อาการ : หากบาดแผลไม่รุนแรงมากปลาก็จะเป็นปกติ แต่ถ้าเป็นบาดแผลที่ค่อนข้างรุนแรงปลาจะมีอาการเซื่องซึมไม่ค่อยยอมกินอาการและมักว่ายสั่นกระตุกเป็นพัก ๆ

การป้องกัน : หลีกเลี้ยงการจัดตกแต่งภายในที่เลี้ยงด้วยของมีคมทุกชนิด เพื่อป้องกันไม่ให้ปลาว่ายไปชนจนได้รับบาดเจ็บ ขณะเดียวกันไม่ควรทำให้ปลาตกใจเพราะปลาจะว่ายหนีด้วยความเร็วจนอาจทำให้พุ่งไปชนถูกของแข็งหรือของมีคมภายในที่เลี้ยงได้

การรักษา : ใส่ยาจำพวกปฏิชีวนะ เช่น เตตร้าซัยคลิน หรือคลอแรมเฟนิคอล หรือแอมปิซิลิน 10-20 ppm. ลงในน้ำที่ใช้เลี้ยงปลา ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำและใส่ยาติดต่อกันทุกวันจนกว่าแผลบนตัวจะหายเป็นปกติ ในกรณีที่ต้องการให้บาดแผลของปลาหายเร็วยิ่งขึ้น อาจใส่ยาจำพวกยาปฏิชีวนะลงบนบาดแผลของปลาโดยตรง โดยทำติดต่อกันทุกวันจนกว่าบาดแผลจะหายเช่นกัน
โดย: tylenon [14 ต.ค. 49 5:53] ( IP A:61.91.165.58 X: )
ความคิดเห็นที่ 8
   แหล่งข้อมูล

https://www.extreamranchu.com/

https://goldfishpurepure.com/
โดย: tylenon [14 ต.ค. 49 5:56] ( IP A:61.91.165.58 X: )
ความคิดเห็นที่ 9
   อันนี้แข่งกะเขาป่ะเนี่ย
โดย: MooToon [14 ต.ค. 49 12:24] ( IP A:125.24.167.157 X: )
ความคิดเห็นที่ 10
   ไม่ครับ ไปลอกเค้ามาเต็มๆ อายที่จะส่งประกวด
โดย: tylenon [14 ต.ค. 49 12:56] ( IP A:61.91.165.58 X: )
ความคิดเห็นที่ 11
   แต่ข้อมูลดีมากๆเลยนะครับ ยังไงก็ขอบคุณครับ
โดย: ป_ปลาระเบิด(เกล็ดกระจาย) [14 ต.ค. 49 12:57] ( IP A:124.121.183.185 X: )
ความคิดเห็นที่ 12
   ขอแก้ไข เรื่องรุ่นกับระดับน้ำสำหรับรันชูนะครับ

จูเนียร์ ขนาดไม่เกิน 11 cm
Tosai ขนาดไม่เกิน 13 cm
Nisai ขนาดไม่เกิน 16 cm
Oya ขนาดใหญ่กว่า 16 cm ครับ

ถ้าปลาจูเนียร์ ก็เลี้ยงราวๆ 15-20 cm
ถ้าTosai ก็เลี้ยงราวๆ 20-25 cm
ส่วนNisai ขึ้นไปก็เลี้ยงราวๆ 25 cm

แต่ถ้าไม่อยากเปลี่ยนน้ำบ่อย ก็อัดไปเลยครับ 25 cm
โดย: tylenon [4 พ.ย. 49 8:12] ( IP A:61.7.139.148 X: )
ความคิดเห็นที่ 13
   รันชู....กระโหลกใหญ่ เขี้ยวยาว ตาห่าง มงกุฎชัด ลำหลังหนา โคนหางใหญ่ ไหล่หางแข็ง ใบหางบาง แกนหางตั้ง เกล็ดเล็ก สีสด จดจำไว้...
สิงห์ญี่ปุ่น....กระโหลกใหญ่ เขี้ยวยาว ตาเล็ก มงกุฎเม็ด หลังโค้งเนียน เป็นรูปไข่แกนหางดีด ใบหางคุมทวาร สีสด จดขาวแดง เป็นสำคัญ.....
สิงห์จีน...... หัววุ้นโต โก้ที่ใหญ่ ลำหลังเรียว เลี้ยวลงน้อย หางดีดหน่อย พอดูได้
สีขาวแดง เหลืองพอไหว ส้มใช้ได้ ไม่สำคัญ.......
โดย: tylenon [28 เม.ย. 50 22:41] ( IP A:222.123.226.97 X: )

คลิกที่นี่เพื่อกลับหน้าบ้าน