|
| |
ขออนุญาตเล่าสู่แลกเปลี่ยนประสบการณ์ให้ฟังกันเล่น ๆ ....นะครับ
ต้องออกตัวก่อนนะครับว่า...จริง ๆ ผมไม่ได้เป็นผู้ฝึกสุนัขมืออาชีพ หรือมีความเก่งกาจแต่อย่างใด เพียงแต่เล่าสู่กันฟัง ในประเด็นความรู้สึกของเด็กคนหนึ่ง..กับ ความผูกพันกับหมา
ตอนผมอายุซัก 14-15 ปี นอกจากการเรียนหนังสือแล้ว รายได้เสริมของเด็กที่พ่อแม่มีฐานะไม่ค่อยดีนัก การได้เป็นเด็กฝึกสุนัข นอกจากจะทำให้ผมมีรายได้เพิ่มขึ้นสำหรับการไปเรียนหนังสือแล้ว...สิ่งที่สำคัญ คือการได้ทำความรู้จัก..และเข้าใจโลกของสุนัขมากขึ้น.. และที่สำคัญมันทำให้เวลาจากบัดนั้นมาจนบัดนี้...ชีวิตผม ขาดสุนัขไม่ได้.
ตอนที่เข้าไปรับฝึกสุนัข จะเริ่มจากเป็นแค่เด็กติดรถทำหน้าที่รับส่งสุนัข ตามบ้านของผู้มีฐานะทั้งหลายในหาดใหญ่ ต่อมาจึงได้ขยับมาทำ มีหน้าที่เดินจูงหมา,จัดระเบียบเลือกหมา เพื่อให้รุ่นพี่ ๆ นำไปฝึกตามขั้นตอน
หมาแต่ละตัวในยุคนั้น ประกอบไปด้วย พันธุ์ยอดนิยม คือ โดเบอร์แมน,เยอรมันเชพเพอด (ถ้าเป็นอังกฤษจะเรียก อัลเซเชี่ยน) เสียส่วนใหญ่ สนนราคาแต่ะละตัวในยุคนั้นไม่ใช่น้อย ๆ ดังนั้น การรับส่ง และจัดขึ้นหรือลงจากรถ ล้วนต้องทำด้วยความระมัดระวังไม่ให้ คุณหมาทั้งหลาย ได้รับบาดเจ็บ (เพราะนั่นหมายถึงผมต้องบาดเจ็บกระเป๋ามากกว่า)
การควบคุมหมาในรถคันเดียวกัน ไม่ให้ทะเลาะเบาะแว้ง..แง่งใส่กัน ดูวุ่นวายไม่น้อย บางตัวเจ้าของเดิม ดูแลดีมาก สะอาดสะอ้าน...แต่บางตัวเนี่ยะ...ขึ้นมาที ลมจะใส่ให้ได้
การวางแผนรับส่งสุนัขจะต้องวางแผนกันแต่แรกโดยยึดสุนัขเป็นหลัก มากกว่ายึดสถานที่ ๆที่จะไปรับ เจ้าตัวเล็ก อยู่ด้านในสุด...เจ้าตัวยักษ์ที่ชอบเกี้ยวกราดต้องอยู่หลังสุด...เจ้าตัวนี้ไม่ถูกเส้นกะอีกตัว ต้องจัดไม่ให้ให้หันหน้ามาเจอกัน...ฯลฯ เล่นเอาวุ่นวายน่าดู
ผมขยับฐานะจากเด็กรับส่งสุนัข มาเป็นผู้ฝึกเบื้องต้น การฝึกสุนัขในยุคนั้น จะเป็นการฝึกแบบพื้นฐานที่แตกต่างจากปัจจุบัน ในสมัยนั้นการฝึกสุนัขแบบหลักสูตรที่นิยมในปัจจุบัน เช่น หลักสูตรสุนัขอารักขา (Schutzhund) ของเยอรมันนั้นยังไม่เป็นที่แพร่หลายนัก
ผมพบว่า หมาแต่ละตัว อุปนิสัยแตกต่าง พฤติกรรมการแสดงออกของหมาแต่ละตัว สะท้อนให้เห็นถึงการดูแลและเลี้ยงดูได้ไม่น้อย บางตัวขี้เกียจ..ขาอ่อนแรง เพราะอยู่ในพื้นที่จำกัด นอนแต่ในห้องแอร์...บางตัวมีนิสัยก้าวร้าว ดุดัน บริเวณขนที่คอร่วงหลุด เพราะถูกล่ามโซ่ตลอด ฯลฯ
ที่จำได้แม่นก็คือ ในวันแรก ๆ ของการไปรับสุนัขขึ้นรถ....เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันจากเล็ก ๆ จนกระทั่งกัดกันในรถ....เริ่มจากกัดกันคู่แรกในรถ..เจ้าตัวข้าง ๆ ก็เริ่มกัดอีกตัว จากสองตัวกลายเป็นตะลุมบอน...ผมกับเพื่อนอีกคนทำได้อย่างเดียวก็คือ กระโดดผลุ๋งออกจากรถ มาตั้งหลัก...ก่อนที่จะค่อย ๆ ดึงแต่ละตัวลงมาจากรถเพื่อแยกกันไปสงบอารมณ์...ก่อนที่จะเริ่มจัดระเบียบขึ้นรถกันใหม่...
พัฒนาการจากเด็กรับส่งสุนัข มาเป็นผู้ฝึกเบื้องต้น...คือ การฝึกหมาให้ นั่ง,ชิด หมอบ, คอย สุดท้ายกลายมาเป็น ผู้ล่อสุนัข พูดง่าย ๆ ก็คือ ถูกเลือกให้เป็นเป้าให้ หมากัด เพราะครูฝึกเห็นว่า ร่างกายแข็งแรง,ทนทานแรงกัดได้ดี....ฮา
...เวลาผมสวมชุดล่อ ซึ่งจะคล้าย ๆ กับชุดเอี้ยม หนาเตอะตัดเย็บด้วยผ้าคล้าย ๆกับผ้าเต้นท์ ...สุดจะหนักอื้ง สวมปลอกแขนที่มีเส้นหวายแล้วหุ้มด้วยผ้าดิบหนา ๆ หลายชั้น(สมัยนั้น) แม้จะหนาพอที่จะทำให้เขี้ยวไม่ทะลุ แต่มันก็ยังทำให้เจ็บเพราะรอยจ้ำจากเขี้ยวไปหลายวันเหมือนกัน
หมาแต่ละตัวนั้น เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวทีเดียวครับ จำได้ว่าที่กัดแบบฉลาดที่สุดคือ เจ้าฟุ๊กจ๋าย สุนัขพันธ์อัลเซเชี่ยน เจ้านี่ดูหงิมๆ แต่เวลากัดแล้ว เมื่อครูฝึกสั่งปล่อย มันจะคายปากออก แล้วทำท่าเหมือนจะเดินกลับหลังไปหาครูฝึก....แต่ดันหันหลังวิ่งกลับเข้ามากัดบริเวณน่องผม ขณะเผลอเดินกลับ ....โชคดีที่ชุดเอี้ยมที่สวมหนาพอควร ก็เลยเป็นแค่รอยจ้ำ แต่เล่นเอาเจ็บอยู่หลายวัน
ในการฝึกหมา ครูฝึกจะเลือกให้ผู้ฝึกแต่ละคนรับผิดชอบสุนัข เป็นตัว ๆ ไป แบบที่เรียกว่า บัดดี้ จะว่าผมโชคดี หรือ โชคร้าย ก็ไม่รู้ เพราะหมาที่ถูกเลือกให้เป็นบัดดี้กับผม นั้นส่วนใหญ่ มักจะเป็นหมาที่มีปัญหาด้านสุขภาพทางร่างกาย, และสุขภาพจิตด้วย และส่วนใหญ่เป็นหมาที่เลี้ยงไว้ในบ้านที่เค้าเลี้ยงคุณหนู ๆ ไว้บริการคุณผู้ชาย หรือที่เรียกว่า สถานที่ขายบริการ นั่นละครับ
ผมมีบัดดี้เป็นอัลเซเชี่ยน อยู่สามตัว ประกอบด้วย เจ้าบิ๊ก (รายนี้อยูเฝ้าโกดังเก็บของ...มีอาการเก็บกด..แบบ ฆ่ามัน..ฆ่ามัน เป็นคติประจำใจ), เจ้าดิงโก้, และ ไซม่อน สองรายหลังนี้อยู่ในสำนึกโคมแดง,โคมเขียวครับ
ที่น่าสงสารและประทับใจที่สุดคือ เจ้าไซม่อนครับ ....เจ้าไซม่อนถูกนำเข้ามารักษาตัวที่คลีนิกสัตว์แพทย์ที่มีหุ้นส่วนฝึกสุนัขกับทางโรงเรียนรับฝึกสุนัข
ไซม่อนเป็นหมาที่ผอมโซ ถ่ายเป็นเลือด..และมีเรื้อนขึ้นตามลำตัว เจ้าของเป็นชาวมาเลย์ ที่เลี้ยงไว้สำหรับเฝ้าทั้งคน (เด็กๆ ในสำนัก) และเฝ้าบ้าน แต่การสภาพการเลี้ยงดูที่แย่เอามาก ๆ ทำให้มันกลายเป็นหมาที่ดูแล้วเหมือนกับว่า มันเคยเป็นหมา
หลังผ่านการรักษาอาการจนทุเลาแล้ว เจ้าของตกลงใจให้ที่จะให้ทางคลินิกส่งเข้าฝึกสุนัข ซึ่งในตอนแรกนั้นทางครูฝึกได้ปฏิเสธ เพราะว่า เจ้าไซม่อนอายุค่อนข้างมาก(ประมาณ 4ปี)
ปัญหาก็คือ ในช่วงนั้น การฝึกสุนัขจะไม่รับแบบอยู่ประจำ เพราะข้อจำกัดเรื่องสถานที่ ดังนั้น เมื่อทางคลินิกตกปากรับคำที่จะรับฝึกให้ โดยทางเจ้าของระบุให้ทางคลินิกดูแลเกี่ยวกับสุขภาพไปด้วย คุณหมอ จึงรับเจ้าไซม่อนไปเลี้ยงไว้ในสถานีผสมเทียม ที่คุณหมอท่านเป็นสัตว์แพทย์ประจำอยู่ที่นั่นด้วย
ผมถูกเรียกให้เป็นบัดดี้ดูแลเจ้าไซม่อน.........ใหม่ ๆ แทบจะเป็นลม เพราะว่าเจ้านี่ ทั้งผอม..โซและเรื้อนก็ยังไม่ทุเลาดีนัก แถมกลิ่นตัวไม่ต้องพูดถึง... แต่เห็นกับค่าดูแลพิเศษเฉพาะวันละ 30 บาท ผมจึงตกปากรับคำ (ไม่งกเลยแฮะ...)
ช่วงนั้นผมจึงไม่ต้องฝึกสุนัขตัวอื่นเลย ยกเว้นคอยดูแล เจ้าไซม่อน กับ ทำหน้าที่ล่อสุนัขให้กัด
จากเลี้ยงแบบเห็นแกกะตังค์...นั่งลูบหัว..ลูบหลังทุกวัน เลยกลายเป็นความผูกพัน ค่าแรงพิเศษวันละ 30 บาท ถูกเจียดไปซื้อพวกเนื้อสดแอบให้เจ้าไซม่อนกิน ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าคุณหมอกำชับให้ควบคุมเรื่องอาหารกับเจ้าไซม่อน
ผมคิดแบบเด็ก ๆ ว่า สัตว์พวกนี้ เป็นสัตว์ที่ธรรมชาติสร้างให้เป็นสัตว์กินเนื้อ (Carnivore ) และวันที่เจ้าไซม่อนอยู่กับผมนั้น การขับถ่ายเริ่มเป็นปกติดี การให้เศษเนื้อสด ๆ หรือบางทีสลับกับพวก ตับไก่, เนื้อปลาสด กลับกลายเป็นประโยชน์ที่ทำให้ เจ้าไซม่อนดูกระฉับกระเฉง มีชีวิตชีวา และเริ่มสนิทกับผมเร็วขึ้น(ซึ่งเรื่องนี้ผมมารู้ในภายหลังว่า การให้อาหารสดๆ แก่สนัขโดยเฉพาะกลุ่มสุนัขใช้งาน นั้น ฝรั่งเค้าทำกันมานาน ที่เรียกกันว่าเป็นพวก BARF FOOD
จากสุนัขเฝ้าสำนักโคมแดง ผอมโซ....เพียงระยะเดือนกว่า เจ้าไซม่อนอ้วนท้วนแข็งแรง..เรื้อนหาย ขนเริ่มเป็นมันวาว....ทำให้ผมสามารถจูงเจ้าไซม่อนไปไหนมาไหนได้แบบไม่ต้องมีคนนั่งขันว่า...เจ้านี่กำลังลากซากหมาว่ะ
ปลายเดือนที่สองหลังการเยียวยา...ครูฝึกเห็นสภาพแล้ว ก็บอกว่า พร้อมที่จะให้เจ้าไซม่อนเข้าฝึกร่วมกับตัวอื่นๆ ได้ แม้ว่าจะช้าไป เพราะรุ่นเดียวกับมันนั้น ข้ามขั้นไปถึงการฝึกขั้นอารักขาแล้วก็ตาม แต่เที่ยวนี้ ไซม่อน พร้อมทั้งร่างกาย และอารมณ์แล้ว
ช่วงนี้ผมต้องเหนื่อยเพราะต้องรับภาระฝึกหมาให้เป็นสุนัขไปพร้อม ๆ กันทีเดียวสองตัว เหตุเกิดเพราะเจ้าเด็กฝึกสุนัขรายหนึ่งเกิดอาการหงุดหงิดกระชากหมาลงจากรถรับส่ง ผลก็คือ สุนัขตัวนั้นขาหัก..เกิดคดีฟ้องร้องกันขึ้น เจ้านั่นถูกไล่ออกแถมต้องเสียเงินเสียทองให้เจ้าของไปมากโข ..ทำให้คนฝึกขาด...ผมต้องรับ เจ้าดิงโก้ สุนัขพันธุ์อัลเซเชี่ยนอีกตัวมาฝึกด้วย
แต่จะว่าผมลำเอียง ก็อาจจะใช่ เพราะ ผมทุ่มเทการฝึกให้กับเจ้าไซม่อนเป็นพิเศษ จากหมาผอมโซ,ขี้ขลาด แถมกลิ่นตัวที่แทบจะไม่มีใครอยากเข้าใกล้ ไซม่อน พัฒนามาเป็นสุนัขที่ฉลาด สดใส กระตือรือร้น ที่สำคัญก็คือ ผมทำให้เจ้าไซม่อน กลายเป็นสุนัขที่จบหลักสูตรไปจนถึงขั้นอารักขาเบื้องต้น ได้ในเวลาไม่ถึง 3 เดือน!
วันสุดท้ายของการลาจาก..เจ้าไซม่อน ผมได้รับโบนัสพิเศษจากเจ้าของเป็นเงิน 500 บาท ซึ่งไม่น้อยเลยสำหรับเด็กอายุ 14-15 ปี ทราบจากเจ้าของว่า จะนำไซม่อนกลับไปเลี้ยงในมาเลยเซีย
จำได้ว่า...วันที่เจ้าของนำเจ้าไซม่อนขึ้นรถปิกอัพกลับบ้าน...มันหันมามองผมนานเหมือนกับจะรู้ว่า...ถึงเวลาที่จะต้องจากกันแบบตลอดกาล
จากนั้นไม่นาน ผมก็ลาออกจากการเป็นเด็กฝึกหมา..เพราะเวลาสำหรับการเรียนเริ่มน้อยลง กอรปกับ ผมรู้สึกเบื่อ...ไม่ได้เบื่อการฝึก แต่เบื่อที่จะต้องมีความรู้สึกดีๆ กับสุนัขสักตัวแล้วต้องจากกัน
ผมคิดตลอดเวลาว่า...เงื่อนไขของการจากกัน ของสุนัข กับ เจ้าของมันต้องแฟร์พอสำหรับ หัวใจของผม และ ความรู้สึกของสุนัขตัวนั้น
..............เดี๋ยวมีเวลาจะแวะมาเล่าสู่กันฟังเพิ่มเติมนะครับ.............. | โดย: นายวอ (naiwor ) [13 พ.ย. 49 14:30] ( IP A:124.157.177.250 X: ) |  |
 |
|
|