เรื่องเล่าในอดีต "เสี้ยวหนึ่งของชีวิต กับการฝึกหมาให้เป็น "สุนัข" "
   ขออนุญาตเล่าสู่แลกเปลี่ยนประสบการณ์ให้ฟังกันเล่น ๆ ....นะครับ

ต้องออกตัวก่อนนะครับว่า...จริง ๆ ผมไม่ได้เป็นผู้ฝึกสุนัขมืออาชีพ หรือมีความเก่งกาจแต่อย่างใด เพียงแต่เล่าสู่กันฟัง ในประเด็นความรู้สึกของเด็กคนหนึ่ง..กับ ความผูกพันกับหมา

ตอนผมอายุซัก 14-15 ปี นอกจากการเรียนหนังสือแล้ว รายได้เสริมของเด็กที่พ่อแม่มีฐานะไม่ค่อยดีนัก การได้เป็นเด็กฝึกสุนัข นอกจากจะทำให้ผมมีรายได้เพิ่มขึ้นสำหรับการไปเรียนหนังสือแล้ว...สิ่งที่สำคัญ คือการได้ทำความรู้จัก..และเข้าใจโลกของสุนัขมากขึ้น.. และที่สำคัญมันทำให้เวลาจากบัดนั้นมาจนบัดนี้...ชีวิตผม ขาดสุนัขไม่ได้.

ตอนที่เข้าไปรับฝึกสุนัข จะเริ่มจากเป็นแค่เด็กติดรถทำหน้าที่รับส่งสุนัข ตามบ้านของผู้มีฐานะทั้งหลายในหาดใหญ่ ต่อมาจึงได้ขยับมาทำ มีหน้าที่เดินจูงหมา,จัดระเบียบเลือกหมา เพื่อให้รุ่นพี่ ๆ นำไปฝึกตามขั้นตอน

หมาแต่ละตัวในยุคนั้น ประกอบไปด้วย พันธุ์ยอดนิยม คือ โดเบอร์แมน,เยอรมันเชพเพอด (ถ้าเป็นอังกฤษจะเรียก “อัลเซเชี่ยน”) เสียส่วนใหญ่ สนนราคาแต่ะละตัวในยุคนั้นไม่ใช่น้อย ๆ ดังนั้น การรับส่ง และจัดขึ้นหรือลงจากรถ ล้วนต้องทำด้วยความระมัดระวังไม่ให้ คุณหมาทั้งหลาย ได้รับบาดเจ็บ (เพราะนั่นหมายถึงผมต้องบาดเจ็บกระเป๋ามากกว่า)

การควบคุมหมาในรถคันเดียวกัน ไม่ให้ทะเลาะเบาะแว้ง..แง่งใส่กัน ดูวุ่นวายไม่น้อย บางตัวเจ้าของเดิม ดูแลดีมาก สะอาดสะอ้าน...แต่บางตัวเนี่ยะ...ขึ้นมาที ลมจะใส่ให้ได้

การวางแผนรับส่งสุนัขจะต้องวางแผนกันแต่แรกโดยยึดสุนัขเป็นหลัก มากกว่ายึดสถานที่ ๆที่จะไปรับ เจ้าตัวเล็ก อยู่ด้านในสุด...เจ้าตัวยักษ์ที่ชอบเกี้ยวกราดต้องอยู่หลังสุด...เจ้าตัวนี้ไม่ถูกเส้นกะอีกตัว ต้องจัดไม่ให้ให้หันหน้ามาเจอกัน...ฯลฯ เล่นเอาวุ่นวายน่าดู

ผมขยับฐานะจากเด็กรับส่งสุนัข มาเป็นผู้ฝึกเบื้องต้น การฝึกสุนัขในยุคนั้น จะเป็นการฝึกแบบพื้นฐานที่แตกต่างจากปัจจุบัน ในสมัยนั้นการฝึกสุนัขแบบหลักสูตรที่นิยมในปัจจุบัน เช่น หลักสูตรสุนัขอารักขา (Schutzhund) ของเยอรมันนั้นยังไม่เป็นที่แพร่หลายนัก

ผมพบว่า หมาแต่ละตัว อุปนิสัยแตกต่าง พฤติกรรมการแสดงออกของหมาแต่ละตัว สะท้อนให้เห็นถึงการดูแลและเลี้ยงดูได้ไม่น้อย บางตัวขี้เกียจ..ขาอ่อนแรง เพราะอยู่ในพื้นที่จำกัด นอนแต่ในห้องแอร์...บางตัวมีนิสัยก้าวร้าว ดุดัน บริเวณขนที่คอร่วงหลุด เพราะถูกล่ามโซ่ตลอด ฯลฯ

ที่จำได้แม่นก็คือ ในวันแรก ๆ ของการไปรับสุนัขขึ้นรถ....เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันจากเล็ก ๆ จนกระทั่งกัดกันในรถ....เริ่มจากกัดกันคู่แรกในรถ..เจ้าตัวข้าง ๆ ก็เริ่มกัดอีกตัว จากสองตัวกลายเป็นตะลุมบอน...ผมกับเพื่อนอีกคนทำได้อย่างเดียวก็คือ กระโดดผลุ๋งออกจากรถ มาตั้งหลัก...ก่อนที่จะค่อย ๆ ดึงแต่ละตัวลงมาจากรถเพื่อแยกกันไปสงบอารมณ์...ก่อนที่จะเริ่มจัดระเบียบขึ้นรถกันใหม่...

พัฒนาการจากเด็กรับส่งสุนัข มาเป็นผู้ฝึกเบื้องต้น...คือ การฝึกหมาให้ นั่ง,ชิด หมอบ, คอย สุดท้ายกลายมาเป็น ผู้ล่อสุนัข พูดง่าย ๆ ก็คือ ถูกเลือกให้เป็นเป้าให้ หมากัด เพราะครูฝึกเห็นว่า ร่างกายแข็งแรง,ทนทานแรงกัดได้ดี....ฮา

...เวลาผมสวมชุดล่อ ซึ่งจะคล้าย ๆ กับชุดเอี้ยม หนาเตอะตัดเย็บด้วยผ้าคล้าย ๆกับผ้าเต้นท์ ...สุดจะหนักอื้ง สวมปลอกแขนที่มีเส้นหวายแล้วหุ้มด้วยผ้าดิบหนา ๆ หลายชั้น(สมัยนั้น) แม้จะหนาพอที่จะทำให้เขี้ยวไม่ทะลุ แต่มันก็ยังทำให้เจ็บเพราะรอยจ้ำจากเขี้ยวไปหลายวันเหมือนกัน

หมาแต่ละตัวนั้น เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวทีเดียวครับ จำได้ว่าที่กัดแบบฉลาดที่สุดคือ “เจ้าฟุ๊กจ๋าย” สุนัขพันธ์อัลเซเชี่ยน เจ้านี่ดูหงิมๆ แต่เวลากัดแล้ว เมื่อครูฝึกสั่งปล่อย มันจะคายปากออก แล้วทำท่าเหมือนจะเดินกลับหลังไปหาครูฝึก....แต่ดันหันหลังวิ่งกลับเข้ามากัดบริเวณน่องผม ขณะเผลอเดินกลับ ....โชคดีที่ชุดเอี้ยมที่สวมหนาพอควร ก็เลยเป็นแค่รอยจ้ำ แต่เล่นเอาเจ็บอยู่หลายวัน

ในการฝึกหมา ครูฝึกจะเลือกให้ผู้ฝึกแต่ละคนรับผิดชอบสุนัข เป็นตัว ๆ ไป แบบที่เรียกว่า “บัดดี้” จะว่าผมโชคดี หรือ โชคร้าย ก็ไม่รู้ เพราะหมาที่ถูกเลือกให้เป็นบัดดี้กับผม นั้นส่วนใหญ่ มักจะเป็นหมาที่มีปัญหาด้านสุขภาพทางร่างกาย, และสุขภาพจิตด้วย และส่วนใหญ่เป็นหมาที่เลี้ยงไว้ในบ้านที่เค้าเลี้ยงคุณหนู ๆ ไว้บริการคุณผู้ชาย หรือที่เรียกว่า “สถานที่ขายบริการ” นั่นละครับ

ผมมีบัดดี้เป็นอัลเซเชี่ยน อยู่สามตัว ประกอบด้วย เจ้าบิ๊ก (รายนี้อยูเฝ้าโกดังเก็บของ...มีอาการเก็บกด..แบบ ฆ่ามัน..ฆ่ามัน เป็นคติประจำใจ), เจ้าดิงโก้, และ ไซม่อน สองรายหลังนี้อยู่ในสำนึกโคมแดง,โคมเขียวครับ

ที่น่าสงสารและประทับใจที่สุดคือ เจ้าไซม่อนครับ ....เจ้าไซม่อนถูกนำเข้ามารักษาตัวที่คลีนิกสัตว์แพทย์ที่มีหุ้นส่วนฝึกสุนัขกับทางโรงเรียนรับฝึกสุนัข

ไซม่อนเป็นหมาที่ผอมโซ ถ่ายเป็นเลือด..และมีเรื้อนขึ้นตามลำตัว เจ้าของเป็นชาวมาเลย์ ที่เลี้ยงไว้สำหรับเฝ้าทั้งคน (เด็กๆ ในสำนัก) และเฝ้าบ้าน แต่การสภาพการเลี้ยงดูที่แย่เอามาก ๆ ทำให้มันกลายเป็นหมาที่ดูแล้วเหมือนกับว่า มันเคยเป็นหมา

หลังผ่านการรักษาอาการจนทุเลาแล้ว เจ้าของตกลงใจให้ที่จะให้ทางคลินิกส่งเข้าฝึกสุนัข ซึ่งในตอนแรกนั้นทางครูฝึกได้ปฏิเสธ เพราะว่า เจ้าไซม่อนอายุค่อนข้างมาก(ประมาณ 4ปี)

ปัญหาก็คือ ในช่วงนั้น การฝึกสุนัขจะไม่รับแบบอยู่ประจำ เพราะข้อจำกัดเรื่องสถานที่ ดังนั้น เมื่อทางคลินิกตกปากรับคำที่จะรับฝึกให้ โดยทางเจ้าของระบุให้ทางคลินิกดูแลเกี่ยวกับสุขภาพไปด้วย คุณหมอ จึงรับเจ้าไซม่อนไปเลี้ยงไว้ในสถานีผสมเทียม ที่คุณหมอท่านเป็นสัตว์แพทย์ประจำอยู่ที่นั่นด้วย

ผมถูกเรียกให้เป็นบัดดี้ดูแลเจ้าไซม่อน.........ใหม่ ๆ แทบจะเป็นลม เพราะว่าเจ้านี่ ทั้งผอม..โซและเรื้อนก็ยังไม่ทุเลาดีนัก แถมกลิ่นตัวไม่ต้องพูดถึง... แต่เห็นกับค่าดูแลพิเศษเฉพาะวันละ 30 บาท ผมจึงตกปากรับคำ (ไม่งกเลยแฮะ...)

ช่วงนั้นผมจึงไม่ต้องฝึกสุนัขตัวอื่นเลย ยกเว้นคอยดูแล เจ้าไซม่อน กับ ทำหน้าที่ล่อสุนัขให้กัด

จากเลี้ยงแบบเห็นแกกะตังค์...นั่งลูบหัว..ลูบหลังทุกวัน เลยกลายเป็นความผูกพัน ค่าแรงพิเศษวันละ 30 บาท ถูกเจียดไปซื้อพวกเนื้อสดแอบให้เจ้าไซม่อนกิน ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าคุณหมอกำชับให้ควบคุมเรื่องอาหารกับเจ้าไซม่อน

ผมคิดแบบเด็ก ๆ ว่า สัตว์พวกนี้ เป็นสัตว์ที่ธรรมชาติสร้างให้เป็นสัตว์กินเนื้อ (Carnivore ) และวันที่เจ้าไซม่อนอยู่กับผมนั้น การขับถ่ายเริ่มเป็นปกติดี การให้เศษเนื้อสด ๆ หรือบางทีสลับกับพวก ตับไก่, เนื้อปลาสด กลับกลายเป็นประโยชน์ที่ทำให้ เจ้าไซม่อนดูกระฉับกระเฉง มีชีวิตชีวา และเริ่มสนิทกับผมเร็วขึ้น(ซึ่งเรื่องนี้ผมมารู้ในภายหลังว่า การให้อาหารสดๆ แก่สนัขโดยเฉพาะกลุ่มสุนัขใช้งาน นั้น ฝรั่งเค้าทำกันมานาน ที่เรียกกันว่าเป็นพวก BARF FOOD

จากสุนัขเฝ้าสำนักโคมแดง ผอมโซ....เพียงระยะเดือนกว่า เจ้าไซม่อนอ้วนท้วนแข็งแรง..เรื้อนหาย ขนเริ่มเป็นมันวาว....ทำให้ผมสามารถจูงเจ้าไซม่อนไปไหนมาไหนได้แบบไม่ต้องมีคนนั่งขันว่า...เจ้านี่กำลังลากซากหมาว่ะ

ปลายเดือนที่สองหลังการเยียวยา...ครูฝึกเห็นสภาพแล้ว ก็บอกว่า พร้อมที่จะให้เจ้าไซม่อนเข้าฝึกร่วมกับตัวอื่นๆ ได้ แม้ว่าจะช้าไป เพราะรุ่นเดียวกับมันนั้น ข้ามขั้นไปถึงการฝึกขั้นอารักขาแล้วก็ตาม แต่เที่ยวนี้ ไซม่อน พร้อมทั้งร่างกาย และอารมณ์แล้ว

ช่วงนี้ผมต้องเหนื่อยเพราะต้องรับภาระฝึกหมาให้เป็นสุนัขไปพร้อม ๆ กันทีเดียวสองตัว เหตุเกิดเพราะเจ้าเด็กฝึกสุนัขรายหนึ่งเกิดอาการหงุดหงิดกระชากหมาลงจากรถรับส่ง ผลก็คือ สุนัขตัวนั้นขาหัก..เกิดคดีฟ้องร้องกันขึ้น เจ้านั่นถูกไล่ออกแถมต้องเสียเงินเสียทองให้เจ้าของไปมากโข ..ทำให้คนฝึกขาด...ผมต้องรับ เจ้าดิงโก้ สุนัขพันธุ์อัลเซเชี่ยนอีกตัวมาฝึกด้วย

แต่จะว่าผมลำเอียง ก็อาจจะใช่ เพราะ ผมทุ่มเทการฝึกให้กับเจ้าไซม่อนเป็นพิเศษ จากหมาผอมโซ,ขี้ขลาด แถมกลิ่นตัวที่แทบจะไม่มีใครอยากเข้าใกล้ ไซม่อน พัฒนามาเป็นสุนัขที่ฉลาด สดใส กระตือรือร้น ที่สำคัญก็คือ ผมทำให้เจ้าไซม่อน กลายเป็นสุนัขที่จบหลักสูตรไปจนถึงขั้นอารักขาเบื้องต้น ได้ในเวลาไม่ถึง 3 เดือน!

วันสุดท้ายของการลาจาก..เจ้าไซม่อน ผมได้รับโบนัสพิเศษจากเจ้าของเป็นเงิน 500 บาท ซึ่งไม่น้อยเลยสำหรับเด็กอายุ 14-15 ปี ทราบจากเจ้าของว่า จะนำไซม่อนกลับไปเลี้ยงในมาเลยเซีย

จำได้ว่า...วันที่เจ้าของนำเจ้าไซม่อนขึ้นรถปิกอัพกลับบ้าน...มันหันมามองผมนานเหมือนกับจะรู้ว่า...ถึงเวลาที่จะต้องจากกันแบบตลอดกาล

จากนั้นไม่นาน ผมก็ลาออกจากการเป็นเด็กฝึกหมา..เพราะเวลาสำหรับการเรียนเริ่มน้อยลง กอรปกับ ผมรู้สึกเบื่อ...ไม่ได้เบื่อการฝึก แต่เบื่อที่จะต้องมีความรู้สึกดีๆ กับสุนัขสักตัวแล้วต้องจากกัน

ผมคิดตลอดเวลาว่า...เงื่อนไขของการจากกัน ของสุนัข กับ เจ้าของมันต้องแฟร์พอสำหรับ หัวใจของผม และ ความรู้สึกของสุนัขตัวนั้น

..............เดี๋ยวมีเวลาจะแวะมาเล่าสู่กันฟังเพิ่มเติมนะครับ..............
โดย: นายวอ (naiwor ) [13 พ.ย. 49 14:30] ( IP A:124.157.177.250 X: )
Add to Facebook  Add to Twitter  Add to Multiply  Add to Google  Add to Blogger  Add to Live
ความคิดเห็นที่ 1
   มารออ่านต่อค่ะ
โดย: khunwaiwai (khunwaiwai ) [13 พ.ย. 49 15:10] ( IP A:61.19.220.5 X: )
ความคิดเห็นที่ 2
   มาตามอ่านด้วย สนุกมากค่ะ

คุณไวไว หายไปนาน สบายดีหรือคะ ทาโร่เป็นไงบ้างคะ ไม่เอารูปมาโชว์นานแล้ว
โดย: ป้าวิ [13 พ.ย. 49 16:10] ( IP A:125.24.143.60 X: )
ความคิดเห็นที่ 3
   ผมว่านายวอ เป็นนักเขียนได้เลย
ถ่ายทอดประสบการณ์ได้น่าอ่านมากๆ
โดย: Rociel [13 พ.ย. 49 19:11] ( IP A:58.64.127.73 X: )
ความคิดเห็นที่ 4
   รออยู่ ไม่มีเวลาเหรอ ผมให้ยืมเอามะ อยากอ่านต่อนะ
โดย: nong [14 พ.ย. 49 6:02] ( IP A:134.36.13.22 X: )
ความคิดเห็นที่ 5
   ขอบพระคุณป้าวิ และทุกท่านที่สนใจครับ ..ขออนุญาตต่อนะครับ

ขอบคุณ คุณ Rociel ครับ จริง ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะไดอารีที่ชอบบันทึกอะไรต่ออะไรไว้ หลาย ๆอย่าง คงลืมไปตามวัยแล้วละครับ...
..................................................

หลังเมื่อคืนนอนพยายามนั่งคิดนึกทบทวน ว่ายังมีอะไรที่ตกหล่นในระหว่างเวลาแห่งความทรงจำบ้าง..ก็เลย คิดว่าคงต้องขออนุญาตย้อนกลับ ไปเล่าถึงเมื่อช่วงที่กำลังฝึกสุันัขอีกสักนิด

ในช่วง หลัง ๆ ยุคก่อนที่ผมจะลาออกนั้น กิจการฝึกสุนัขกำลังไปได้ด้วยดี ผมจึงมีโอกาสได้เห็นสุนัขหลายสายพันธุ์ ที่นอกเหนือไปจากโดเบอร์แมน หรือพวกเยอรมันเชพเพอด


เจ้าหมาที่ดูประหลาดที่สุด..ในสนามฝึกช่วงนั้น ก็คือ อาฟกันฮาวนด์ ครับ ..ผมว่า เจ้านี่เป็นหมาที่ดูแปลกที่สุด เพราะนอกจากขนเคราที่ยาวเฟื้อยรุงรังแล้ว รูปหน้าที่เรียวยาวยื่นออกมามากกว่าชาวหมาชาวช่องเค้าแล้ว หางที่ม้วนตวัดคล้าย ๆ เคียวเกี่ยวข้าว ดูแล้วมัน ตลกชะมัด (อันนี้ เป็นความรู้สึกที่เห็นในตอนนั้นนะครับ)

นอกจากจะดูรูปร่างตลกแปลก ๆ แล้ว เจ้าฮ๊อก (ชื่อสุนัข) ที่ดูหุ่นยังไงก็ไม่คล้ายเหยี่ยวเลย ดันเป็นหมาที่ขี้เกียจที่สุด…..ปัญหาไม่ใช่เพราะลักษณะสายพันธุ์นี้ขี้เกียจโดยธรรมชาตินะครับ ทว่า เจ้านี่ถูกเลี้ยงและดูแลอย่างผู้ดีที่สุด…นอนแต่ในห้องแอร์ และเวลาที่ไปรับส่งเจ้านี่ จะมีรถเฉพาะไปรับเพียงตัวเดียว …(เข้าใจว่า เจ้าของท่านคงเกรงติดโรค…หรือโดนตัวอื่นกัดเอา ฯลฯ อันนี้ก็ไม่ทราบเหตุผล…เพราะผมไม่ได้ไปรับส่งเอง)

ผู้ที่ครูฝึกให้รับมอบหมายทำการฝึกเจ้าฮ๊อก คือ เด็กชื่อเต้ย (ปัจจุบันยังคงเป็นเพื่อนรักของผม..แต่หันมาเอาดีทางการเป็นนักดนตรีฝีมือจัดจ้านเอาการ)

เต้ย เป็นสหายรักรุ่นราวคราวเดียวกับผม ผิวคล้ำเกือบมืดสนิท..ทว่ามีหุ่นผอม แบบที่เสาโทรเลขเรียกเฮีย หรือแบบลืมพกพากล้ามเนื้ออะไรประมาณนั้นละครับ...แต่ถึงจะผอม แต่ด้วยความสูง..และแข็งแรงผิดปกติ และอารมณ์ที่นุ่มนวล ทำให้ครูฝึกคิดว่า เจ้าเต้ยน่าจะทำได้ดี

แต่ในบรรดาเพื่อนฝูงกลับไม่คิดเช่นนั้น...การยืนมอง เจ้าเต้ยจูงเจ้าฮ๊อก กลายเป็นภาพที่เข้ากัน และคลายเครียดได้ไม่น้อย...

แต่เพื่อนผมก็ไม่สามารถบรรลุความสำเร็จในการเยียวยาเจ้าฮ๊อกไปสู่จุดหมายได้...เนื่องจากปัญหาที่เจ้าของ ค่อนข้างจู้จี้ และมีปากเสียงกับทางครูฝึกบ่อย จนทำให้เจ้าฮ๊อกต้องกลับไปนอนขาอ่อนในห้องแอร์เย็นฉ่ำที่บ้านอย่างน่าเสียดายโอกาสมาก





อย่างไรก็ตาม เพื่อนผมก็ประสบผลสำเร็จในการนำพาเจ้า ฟุ๊กจ๋าย สุนัขพันธุ์อัลเซเชี่ยนเจ้าเล่ห์ จบหลักสูตรเบื้องต้นไปได้เหมือนกัน
……………………………………………………………………………..
โดย: นายวอ (naiwor ) [14 พ.ย. 49 9:58] ( IP A:124.157.217.115 X: )
ความคิดเห็นที่ 6
   ต่อ.....

ย้อนกลับมาถึงภารกิจของผมกับสามบัดดี้ นอกเหนือจากไซ่ม่อนที่เคยผอมโซสุดแล้ว ที่แข็งแรงที่สุดเห็นจะเป็นเจ้าดิงโก้ ละครับ

ดิงโก้ เป็นสุนัขพันธุ์เยอรมันเชพเพอดสายใช้งาน (ซึ่งในยุคนั้นสุนัขสายนี้ยังไม่ได้ความนิยมนัก )แม้เจ้าดิงโก้หน้าตาไม่เห็นจะหล่อเหลา แต่พละกำลังแรงลากเหลือเฟืออาจช่วยทดแทนความหล่อที่น้อยนั้นได้

ตอนที่เข้ามาฝึกจูงใหม่ ๆ ระหว่างที่เด็กรับส่งสุนัขกำลัง นำเจ้าดิงโก้ เข้ามาประจำหลักหมุด ที่ปักเอาไว้สำหรับรอฝึกแต่ละตัว ….เจ้าดิงโก้ดันหันไปเห็นหมาบ้านเจ้าถิ่นแถวนั้น ยืนเห่าอยู่ไกล ๆ ก็เลยหันหัววิ่งเข้าใส่…ผลก็คือ เจ้าเด็กคนนั้น ถูกเจ้าดิงโก้ลากไปด้วย ดูแล้วเหมือนกำลังเล่นสกีหญ้าไม่มีผิด ต่างกันแต่ว่า ผู้ที่ถูกลากนั้นไม่ได้ยืน…แต่ดันนอนราบถูกลากไปกับพื้นหญ้าแทน…กว่าจะไล่ตะครุบกันได้ก็เล่นเอาเจ้าหนูนั่น เสื้อผ้าเขียวเขรอะเพราะรอยหญ้าครูดไปทั้งตัว..ดีนะที่วันนี้ ที่สนามไม่มีฝูงวัวมาแวะเวียนเล็มหญ้า ไม่งั้นนอกจากเฉพาะสีเขียวจากหญ้าแล้ว...อึ๋ยย ไม่อยากนึก

ดิงโก้มีปัญหานิดหน่อยตรงที่ถูกล่ามโซ่เลี้ยงอยู่ตลอดเวลา แทนที่จะเป็นสุนัขนอนกรง ที่คอของดิงโก้จะมีรอยกระจุึกขนหายไปรอบคอ เพราะสัมผัสกับโซ่คอที่ค่อนข้างตึงอยู่ตลอด

..ถึงจะสุขภาพแข็งแรง แต่ก็มีความเครียดอยู่ตลอดเวลา ..สังเกตุได้จากเมื่อนำเจ้าดิงโก้ออกมาจากที่พัก...เจ้านี่จะพยายามเดิน ๆๆๆๆ คล้ายกับว่า ไปไหนขอได้..ขอให้ฉันเดินๆๆๆ

เจ้าของรายนี้บอกกับครูฝึกว่า อยากให้หมาเค้าดุ ๆ หน่อย ..แต่ผมกลับคิดว่า ขนาดพละกำลังที่ลากคนได้ทั้งคนแบบนี้ ถ้าดุจนกัดไม่เลือกจะขนาดไหน

ครูฝึกบอกกับผมว่า...ฝึกเฉพาะพื้นฐาน..และอารมณ์ไปก่อน แล้วค่อยฝึกร่วมตัวอื่น

ดิงโก้ จึงถูกใจผมมาก...(แบบไม่ต้องเหนื่อยอีกแล้วครับทั่น..ฮา)
เพราะวัน ๆ คอยแต่ลูบหัวลูบหลัง เดินจูงช้า ๆ ค่อย ๆ และที่ำสำคัญก็คือการเล่นหยอกเย้าสลับการฝึกเบา ๆ เพื่อให้ดิงโก้รูสึกผ่อนคลายความเครียด

ทุกครั้งที่ไปรับเจ้าดิงโก้ที่สำนักโคมเขียว…มันจะลุกขึ้นเห่า..และกระดิกหางอย่างดีใจแบบสุด ๆ

หลังผ่านการปรับอารมณ์ จนเจ้าดิงโก้เริ่มสนุกกับการได้มาสนามฝึกแล้ว …การฝึกจูงในสายก็เริ่มขึ้น …มันยากตรงที่เจ้าดิงโก้ยังคงไม่เลิกนิสัยเดิน ๆๆๆๆ เดินล้ำจนต้องกระตุกสายจูงกันบ่อย ๆ สั่ง ไม่ ๆๆๆๆ, ชิด ๆ ๆ กันจนแสบคอ มันก็ยังคงพยายามจะลากผมเดินให้ได้ เวลากระตุกสายนั้นแม้จะทำให้สุนัขชะงัก แต่ผมไม่อยากซ้ำเติมความบอบช้ำแถวบริเวณลำคอให้กับดิงโก้มากเกินไป

ทุกเย็นหลังเลิกเรียน ผมจะเปลี่ยนชุดที่โรงเรียน โดยเปลี่ยนจากชุดนักเรียนเป็นเสื้อยืดคอกลมสีขาว ..สวมกางเกงวอร์ม ..ที่หน้าโรงเรียนจะมีร้านขายข้าวเหนียวหมูปิ้ง ที่ผมต้องลองท้องก่อนฝึก...เป็นประจำ

ผมสารภาพว่า…ผมจำเป็นต้องโกงครูฝึกนิดหน่อย… เรื่องของเรื่องก็คือ วันนี้ผมแอบเอาเศษหมูปิ้งที่เหลือใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงซ้าย..กำหมูปิ้งไว้ในมือให้มีกลิ่น แล้วเอาไปลูบที่จมูกของมัน…ได้ผลแฮะ เจ้าดิงโก้..เลิกลากผม แต่พยายามที่จะเอาจมูกมาที่มือซ้ายและซุกหน้าอยู่ที่กระเป๋าซ้ายผมตลอดเวลา

….หลังการเดินด้วยกันเป็นไปได้ด้วยดี ผมก็แอบล้วงเศษหมูปิ้งยัดใส่ปากเจ้าดิงโก้ไปชิ้นนึง พร้อมกับพูดดัง ๆ ให้ครูฝึกได้ยินว่า ….ดีมาก ดิงโก้ … นั่นแน่..ครูฝึกหันมามองผม คงนึกในใจว่า เฮ้ย…ไอ้หมอนี่มันฝึกหมาใช้ได้นี่

ผมใช้เทคนิค(โกง ๆ) แบบนี้ได้ราวสักอาทิตย์ แต่หลัง ๆ ผมเปลี่ยนจากเนื้อหมูย่าง เป็นก้อนข้าวเหนียวเล็ก ๆที่มีกลิ่นหมูแทน....ใช่แล้วครับ ผมไม่มีวันยอมให้เจ้าดิงโก้มาเป็นนายผมแบบเสียเปรียบการกินแบบ “หมากินหมู..คนกินข้าวเหนียว” ได้หรอก..ฮา

กว่าจะผ่านขั้นตอนการทำให้เจ้าดิงโก้เดินเคียงชิดซ้ายได้ก็เล่นเอาเหนื่อย ...แต่ปัญหาอีกอย่างก็คือ การปรับอารมณ์เจ้าดิงโก้ ไม่ให้ตื่นตระหนกและระแวงต่อ สิ่งแวดล้อม เช่น รถรา..ผู้คนจำนวนมากนั้น ทำให้ผมต้องทำหน้าที่ไปรับเจ้าดิงโก้ที่สำนักโคมแดงแทนรถรับส่ง

... เหนื่อยอีกแล้วครับ เพราะไหนจะต้องเดินฝ่า...บรรดาคุณพี่คุณหนู ๆ ในสำนักที่ชอบแซวผมจนวัยรุ่นเขิน แล้ว ยังต้องพาเจ้าดิงโก้มาสนามฝึกโดยการเดินจูงแทนการนั่งรถรับส่ง

การเดินจูงเจ้าดิงโก้ผ่านทางเท้า.ร้านค้า และรถรา และไม่รวมสุนัขบ้านอื่น ๆ ที่คอยจะเห่า หรือจะแอบกัดเจ้าดิงโก้ ถือเป็นอีกงานหนึ่งที่ลำบากและค่อนข้างท้าทายมาก

เจ้าดิงโก้ ค่อนข้างตื่น..หันรีหันขวาง และสับสนกับผู้คน..รถรา..เสียงแตร และสารพันสิ่งแวดล้อม แต่ถือว่าเป็นงานสำคัญและจำเป็นที่สุด เพราะแม้เราจะฝึกมันได้ดีเพียงใดในสนามฝึกนั้น แต่ต้องไม่ลืมว่า สุนัขจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวและอารมณ์ให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกันในแต่ละสถานการณ์ได้ด้วย

หลังผ่านการจูงด้วยตัวเองผ่านหลากหลายสิ่งแวดล้อม..เจ้าดิงโก้ทำได้ดี และเริ่มนิ่งมากขึ้น แต่ก็ยังพบปัญหาอีกระหว่างเจ้าดิงโก้กับสุนัขตัวอื่น

การฝึกให้สุนัขนิ่งและระงับอารมณ์ โดยการให้สุนัขแต่ละตัวถูกสั่งหมอบเรียงกันไปเป็นหน้ากระดาน จากนั้นผู้ฝึกก็จะนำสุนัขของตัวให้เดิน และกระโดดข้ามสุนัขตัวอื่นที่หมอบอยู่ เวียนสลับกันไป โดยผู้ฝึกสุนัขตัวที่หมอบจะต้องทำการควบคุมสุนัขของตัวให้อยู่นิ่ง ๆ ให้ได้ ภารกิจเหล่านี้แต่ละตัวผ่านได้สบาย..ยกเว้นเจ้าดิงโก้

เจ้าดิงโก้ยอมที่จะกระโดดข้ามตัวอื่น ...แต่ไม่ยอมให้ตัวอื่นกระโดดข้ามตัวมัน เหตุมาเกิดเมื่อเจ้าฟุ๊กจ๋าย อัลเซเชี่ยน อีกตัวที่วันนี้เจ้าเต้ยผู้ฝึกประจำลาป่วย แต่ให้เจ้ากบ เพื่อนรักผมอีกคน(ปัจจุบันทำงานอยู่การรถไฟฯ) เป็นผู้จูงเจ้าฟุ๊กจ๋ายแทน

ขณะที่เจ้าฟุ๊กจ๋ายกำลังจะกระโดดข้ามเจ้าดิงโก้ ...เจ้าดิงโก้กลับบิดตัวลุกขึ้นยืน..ทำให้เจ้าฟุ๊กจ๋าย กระโดดงับเจ้าดิงโก้....คราวนี้วงแตกครับ!

เจ้าดิงโก้ไม่มีวันยอมให้กัดฝ่ายเดียว สิ่งที่ผิดพลาดก็คือ การแยกสุนัขที่กัดกันเกิดขึ้นเพราะเจ้ากบ แทนที่จะพยายามดึงสายจูงออกกลับดึงสายจูงมือเดียวและใช้อีกมือจับบริเวณหนังคอของเจ้าฟุ๊กจ๋ายเพื่อจะแยกออกมา ...ผลก็คือ เจ้าฟุ๊กจ๋าย แว้งมากระโดดงับเข้าบริเวณท้องของเจ้ากบ จนได้แผล ..ขณะที่เจ้ากบกำลังยืนงง??? และปล่อยให้เจ้าฟุ๊กจ๋ายเป็นอิสระอยู่นั้น ครูฝึกก็วิ่งมาถึงคว้าสายจูงเจ้าดิงโก้ที่ผมถืออยู่ และบอกให้ผมไปทำการฟรีซ เจ้าฟุ๊กจ๋าย (ฟรีซ หรือ Freeze มารู้ความหมายตอนโตว่า หมายถึง “หยุด! อย่าขยับ หรืออะไรแบบที่ตำรวจฝรั่งใช้สั่งคนร้ายนั่นละครับ)

ผมวิ่งอ้อมตัวเจ้าฟุ๊กจ๋ายแล้วคว้าสายจูงกระชับด้วยสองมือ กระชากออกสุดแรง...ได้ผลครับ เจ้าฟุ๊กจ๋าย หงายท้อง....ผมรู้ว่า ผมรุนแรงไปหน่อย...และสุนัขคงไม่สามารถตีเจตนาของการห้ามศึกในครั้งนี้ได้ ผลจากความรุนแรงของผมวันนั้นทำให้ ..เจ้าฟุ๊กจ๋าย คงแอบนึกอาฆาตผมในใจตลอดเวลา และผมคิดว่าแรงอาฆาตของเจ้าฟุ๊กจ๋ายคงมาบรรลุผลของ เอาตอนที่ผมเป็นผู้ล่อสุนัขในเวลาต่อมา นั่นคือ การกัดเอาคืนบริเวณน่องผม แบบที่ได้เกริ่นเรื่องเอาไว้ตอนต้นนะล่ะครับ

เจ้ากบ ถูกส่งให้คุณหมอทำแผล...แต่เป็นคุณหมอสัตวแพทย์ที่คลีนิกนะครับ..เย็บไปสองเข็ม กับสั่งให้พักผ่อน 1 อาทิตย์โดยได้ค่าแรงปกติ...เจ้ากบพยักหน้ากับคุณหมอเศร้า ๆ แต่ดันแอบมายิ้มกับพวกเรา...มันน่านัก!

........................ขออนุญาต แวะไปทำงานที่ค้างอยู่อีกแป้ป เดี๋ยวกลับมาต่ออีกนิดอย่าพึ่งเบื่อนะครับ...........
โดย: นายวอ (naiwor ) [14 พ.ย. 49 10:04] ( IP A:124.157.217.115 X: )
ความคิดเห็นที่ 7
   ไม่เบื่อค่ะ สนุกดี แต่...ถ้ามีรูปประกอบสักหน่อยก็จะยิ่งดีเลย ไม่มีรูปถ่าย เขียนลายเส้นก็ยังดี เพื่อนที่เคยทำงานด้วยกัน แล้วไปทำอาชีพนักเขียนการ์ตูนไม่มีมั่งเหรอคะ อิอิ

รูปตัวอย่าง...หมาขี้เรื้อนผอมโซ....แสดงแบบโดย นายแบล็ค เชพเพอดทองคำ(อาบครีมขมิ้น+ไพล+น้ำมันมะพร้าว)

โดย: ป้าวิ [14 พ.ย. 49 20:33] ( IP A:125.24.134.228 X: )
ความคิดเห็นที่ 8
   เสียดาย ผมเคยมีรูปถ่ายเก่า ๆ ของเจ้าไซม่อน แต่มันเสียหายไปตั้งแต่ตอนน้ำท่วมใหญ่ที่หาดใหญ่เมื่อปี 43 ครับ แต่ไซม่อนหรือดิงโก้ เป็นสุนัขใช้งาน(หมาเทา) หรือพวกสีที่กระรอกนั่นละครับ

...โห ถ้าย้อนไปสมัยนั้น ถ้ามีใครส่งแบบเจ้าแบล็ค หมาทองคำให้มาฝึกเนี่ยะ ...สงสัยต้องขึ้นค่าตัวเป็นวันละร้อยแน่ละครับ...เพราะไหนจะต้องระวังไม่ให้แกต้องถูกลักพาเนี่ยะก็ลำบากแล้วนา..ป้าวิ (ก็เล่นทองคำอร่ามทั้งตัวแบบนี้...รปภ.อย่างน้อยก็สองคนละครับ..อิอิ)
โดย: naiwor [15 พ.ย. 49 6:15] ( IP A:203.150.84.148 X: )
ความคิดเห็นที่ 9
   ไม่เห็นมาเล่าต่อสักที รอนานแล้ว
โดย: ป้าวิ [18 พ.ย. 49 23:24] ( IP A:125.24.134.213 X: )
ความคิดเห็นที่ 10
   เฝ้ารอด้วยใจระทึกพลัน
โดย: ตาเฉิ่ม (The Expert) (ตาเฉิ่ม ) [19 พ.ย. 49 13:15] ( IP A:58.64.125.59 X: )
ความคิดเห็นที่ 11
   นอนรอด้วยครับ อิอิ zz.ZZ..zz...ZZ....z...z....
โดย: พ่อน้ำซุป (คนสุรินทร์ ) [21 พ.ย. 49 16:15] ( IP A:203.156.158.158 X: )

คลิกที่นี่เพื่อกลับหน้าบ้าน