เรื่องเล่าในอดีต : เสี้ยวหนึ่งของชีวิตกับการฝีก "หมา" ให้เป็น "สุนัข"
   แตกจาก กระทู้เดิม https://www.pantown.com/board.php?id=322&area=4&name=board1&topic=1767&action=view

ผมต้องขออภัยป้าวิ และทุกท่านที่ไม่ได้เข้ามาซะหลายวัน เหตุเพราะเจ้าลูกชายคนโตป่วยเข้าโรงพยาบาลอยู่พักหนึ่ง…..

มาเล่าต่อ…แต่การเล่าในที่นี้ คือ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความคิดเห็น..ความรู้สึกส่วนตัวลงไป ดังนั้น ความถูกต้องทางวิชาการอาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมด ถือเป็นการเล่าสู่นะครับ
__________________________________________________
จากที่ได้ผ่านประสบการณ์กับการคลุกคลีอยู่กับบรรดา คุณหมา ๆ ทั้งหลาย ก็ได้เรียนรู้ว่า สุนัขแต่ละนาย แต่ละนาง นั้น แตกต่างลักษณะนิัสัย กันในแ่ต่ละสายพันธุ์ สุภาพอ่อนโยน..ขี้ขลาด…ก้าวร้าว ฯลฯ หรือแม้แต่ในสายพันธุ์เดียวกัน คือ เยอรมันเชพเพอดในสิบตัว ก็ต่างกันในรายละเอียดปลีกย่อยของอารมณ์,ลักษณะนิสัย

เจ้าบิ๊ก เยอรมันเชพเพอดที่นอกจากหุ่นจะกำยำล่ำบึ๊ก ตามแบบฉบับพวกโอเวอร์ไซด์ แล้ว ยังมีลักษณะนิสัยที่ก้าวร้าว และดุดันอยุูู่ตลอดเวลา เนื่องจากเจ้าบิ๊ก ถูกเลี้ยงดูเพื่อวัตถุประสงค์สำหรับงานเฉพาะกิจ นั่นคือ การเฝ้าโกดังเก็บสินค้า

หลังการกัดคนงานในโกดัง เจ้าของนำมาเข้ารับการฝึก โดยขอให้ครูฝึกทำให้มันเป็นสุนัขที่ เวลากัดแล้วให้สั่งปล่อยได้ หรือห้ามไม่ให้กัดได้

ตอนเจ้าบิ๊กเข้ามาใหม่ ๆ หลายคนแทบจะวงแตก เพราะหมอนี้ไม่ให้ใครเข้าใกล้เลย (แม้กระทั่งคนที่นำมายังเป็นลูกน้องเจ้าของที่ให้อาหารประจำเท่านั้น)

ภารกิจที่ยากที่สุด ก็คือ นอกจากอายุที่ค่อนข้างมาก(ประมาณ 2 ปีกว่า) แล้ว ที่สำคัญคือ เจ้าบิ๊ก มีอาการที่พวกเรามักเรียกว่า “บ้าโซ่” หมายถึงสุนัขที่มีอาการ สับสน กระสับกระส่าย และเดินวนไปวนมาตลอดในขณะที่ถูกล่ามโซ่นั้น ทราบมาว่า ทั้งวันเจ้าบิ๊กจะถูกล่ามไว้ตลอด ยกเว้นกลางคืนจะปล่อยให้อยู่หน้าโกดัง ที่มีรั้วกั้นไว้ เพื่อเป็นยาม

ชีวิตเจ้าบิ๊ก จึงถูกผูกติดด้วย สิ่งที่เรียกว่า “สัตว์ใช้งาน” เพียงอย่างเดียว เพราะความเป็นอย่างอื่นที่ควรจะมีในตัวสุนัข เช่น “มิตรภาพ”, “ความอ่อนโยน” นั้นหมดลงไปเพราะโซ่เส้นเดียวมานาน แม้กระทั่งเจ้าของที่ซื้อมา ยังเข้าใกล้ไม่ค่อยจะได้ ยกเว้นลูกน้องที่ให้อาหาร และ เก็บมูลขับถ่าย เท่านั้น

เจ้าบิ๊กต้องอยู่ภายใต้การดูแลและปรับอารมณ์จากครูฝึก จนกระทั่งเกือบเดือน จึงสามารถที่จะนำเ้ข้าฝึกร่วมกับตัวอื่น ๆ ได้

ครูฝึกมอบหมายให้ หลานชายของคุณหมอที่คลินิก ซึ่งอายุมากกว่าผมสัก 3-4 ปี เรียนอยู่ชั้น ม.ศ 5 (หรือ ประมาณ ม.6 ในปัจจุบัน)

หมอนี่เรียน รด. ชุดฝึกจึงไม่เหมือนชาวบ้านคือ ชอบใส่กางเกงลายพราง หัวเกรียน และได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยครูฝึก (ไม่บอกก็รู้ว่า..เส้นแหง๋ม..ฮา)

ผมและเพื่อน ๆ ไม่ค่อยชอบขี้หน้าหมอนี่เท่าไหร่ เพราะนอกจากจะเก๊ก แล้ว ยัง โหด!

ภารกิจแรกคือการเดินจูงเจ้าบิ๊ก…หลังได้ยินสมญาว่า เจ้าบิ๊กนั้นดุ หมอนี้เปลี่ยนโซ่คอจากโซ่เรียบ เป็น โซ่ปุ่ม (โซ่ปุ่มนั้น จะมีเดือย เป็นปุ่ม ๆ เป็นระยะ ๆ มีลักษณะปลายปุ่มแหลมแต่มน)

เวลาเจ้าบิ๊กเดิมล้ำหน้า หมอนี่กระตุุกโซ่ดึงกลับ ตะโกน “ไม่!” ดังลั่นสนาม แรก ๆ เจ้าบิ๊กทำท่าแง่งใส่เข้าหลายครั้ง แต่แง่งหนึ่งที หมอนี่กระตุกสองสามครั้ง จน เจ้าบิ๊กร้อง เอ๋ง
หรือถ้าเดินช้า พี่ท่าน จะกระตุกโซ่แรง ๆ และลากพรืดเดียว ถึงข้างลำตัว

นอกจากโหดกับหมา แล้ว คุณพี่ยังคิดว่า ท่านเป็นทหารเก่า เวลาเรียกเรียงแถว จะสั่งแบบเฉียบขาด ซ้ายหัน…ขวาหัน กลับหลังหัน และชอบสำทับคำสั่งว่า “เอาให้อยู่….เอาให้อยู่” จนทำให้ผมคิดว่า นี่มันกำลังฝึกหมาหรือฝึกตูวะเนี่ยะ..

เรื่องมันมาสนุกเอาตรงที่….เจ้าบิ๊กจะต้องถูกล่อให้กัดอมยิ้ม (อมยิ้มจะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้กระสอบป่านหุ้มพวกเศษผ้าหนา ๆ เอาไว้ มัดหัวมัดปลาย ลักษณะคล้ายลูกอมฮอลล์ สมัยก่อน) โดยผมเป็นคนล่อ เริ่มจากล่อหรือยั่วแต่ละตัว ให้เริ่มเห่าก่อน เมื่อเห่าก็ทดสอบเอาอมยิ้มยัดเข้าไปที่ปากแล้วเย่อ ๆ

ผมล่อมาที่ละตัว เมื่อถึงเจ้าบิ๊ก หมอนี่เห่า(เอ๊ย..เจ้าบิ๊กเห่า) แต่ดูแววตาแล้ว มันนิ่งเกินไป พอลองเอาอมยิ้มยัดเข้าปาก เจ้าบิ๊กไม่ยอมแม้แต่จะคาบ แต่พยายามลุกขึ้นหันหลัง

คุณทหารเก่า..ผู้ช่วยครูฝึก แกโกรธมาก กระชากเจ้าบิ๊กให้ชิดใหม่ แล้วให้ผมลองใหม่ ปรากฎว่าเจ้าบิ๊กก็ไม่ยอมอีก…….ลงท้าย หมอนี่บอกให้ผมพาเจ้าบิ๊กไปจูงเดินก่อน แล้วค่อยกลับมาเย่อใหม่ โดยตัวเค้าจะล่อเอง

ผมขออนุญาตพาเจ้าบิ๊กเดินนอกสนามได้มั้ย…เค้าอนุญาต ผมเลยพาเดินออกนอกสนามฝึก อ้อมไปยังบริเวณหลังสถานีรถไฟ (อ้อ..ผมลืมบอกไปว่า สนามฝึกสมัยนั้นจะอยู่ตรงข้ามกับ สถานีรถไฟ ปัจจุบันสนามนี้กลายเป็น ห้างโรบินสิน)

เดินผ่านร้านลูกชิ้นเนื้อปิ้ง ผมแอบซื้อไม้หนึ่ง จูงไปกินลูกชิ้นไปเพราะคิดว่ากว่าจะวนรอบหนึ่งมาถึงสนามฝึกก็ลงท้องผมเรียบร้อย…..มือซ้ายจูงเจ้าบิ๊ก มือขวาจัดการลูกชิ้นที่ละลูก ๆ จนเกือบครบห้าลูก …นิสัยเดิมเริ่มออกครับ(อันนี้..ไม่แนะนำ และไม่ใช้หลักการฝึกที่ดีครับ จำไว้ ๆ ) ลูกที่สี่ ผมดูด ๆ น้ำาจิ๋มรสเผ็ดออก แล้วยัดใส่ปากเจ้าบิ๊กหนึ่งลูก

จะว่า ลูกชิ้นเพียงลูกเดียวพลิกชีวิตเจ้าบิ๊ก มันก็คงเว่อร์ไปครับ จริง ๆ มันต้องสองลูก เพราะลูกสุดท้ายก็เข้าปากเจ้าบิ๊กเหมือนเดิม …แต่เที่ยวนี้กระปี็กระเปร่า เดินไปหน้าของเจ้าบิ๊กจะจ้องมองผมน้ำลายเปรอะตลอดเวลา แทนที่จะเดิมแบบซังกะตาย

อ้อมมาครบสนาม ผมขออนุญาตดื่มน้ำ (ใคร ๆ คงคิดว่าเหนื่อย …เปล่าหรอก มันเผ็ดน่ะ..ฮา)
แล้วเข้าประจำสนามไปต่อตัวสุดท้ายที่เรียงหน้ากระดานอยู่

หมอนี่ไล่ล่ออมยิ้มมาจนถึงใกล้ตัวผม..เจ้าหมาข้าง ๆ เริ่มเห่าหมอนี่กันขรม ผมเลยยุส่ง บอกเจ้าบิ๊กว่า …เอ๊าเลยบิ๊ก..กัดมัน..เอ๊า..กัด ๆ (แทนตูที..ฮ่า) พอถึงคิวผมแทบไม่ต้องกระตุ้นมาก…เจ้าบิ๊กเห่าได้สองสามครั้งก็พุ่งงับอมยิ้ม กระชากไปกระชากมาอย่างมันเขี้ยว(เอ…หรือว่าเผ็ดเหมือนกันหว่า)

หลังสั่งปล่อย..ครูฝึกสอนผมใหญ่ว่า เวลาล่ออมยิ้ม คุณต้องทำท่าทางให้น่ากลัว..ขึงขัง ให้สุนัขมองว่า คุณคือ “ศัตรู” ผมนึกในใจแบบหมั่นไส้ว่า “ก็หมามันเกลียดขี้หน้าเอ็ง…ไม่ต้องล่อ มันก็พร้อมจะงับอยู่แล้วละว้า..”

………………………….. อีกนิดเดียวขอรับ จะจบแล้ว…………………………….

หมายเหตุ ภาพประกอบเป็นสุนัขที่ชื่อ olf vom holzhauserberg เจ้าของในภาพคือคุณสมบัติ ...เจ้า olf ซึ่งเป็นสุนัขที่มีส่วนคล้ายเจ้าบิ๊กมาก (แต่ค่าตัวคงต่างกันลิบ) เจ้า olf เป็นสุนัขที่ผมพยายามเก็บเงินเพื่อขอผสม..จนแล้วจนรอด ก็ไม่พอ จนกระทั่งได้เพียงครึ่งหนึ่ง เจ้า olf ก็จากไป
ภาพนี้ผมเก็บมาจากนิตยสาร จตุจักร ราว ๆ ปี 2535 ครับ

โดย: นายวอ (naiwor ) [22 พ.ย. 49 18:27] ( IP A:222.123.97.11 X: )
Add to Facebook  Add to Twitter  Add to Multiply  Add to Google  Add to Blogger  Add to Live
ความคิดเห็นที่ 1
   ลูกชายอาการดีขึ้นแล้วยังครับ

อย่าเพิ่งรีบจบซี เล่าต่อเยอะๆ
โดย: ตาเฉิ่ม (The Expert) (ตาเฉิ่ม ) [23 พ.ย. 49 11:06] ( IP A:203.144.225.157 X: )
ความคิดเห็นที่ 2
   สนุกดีครับ ตอนนี้ยังไม่ทันไรจบซะแล้ว
โดย: Rociel [23 พ.ย. 49 13:33] ( IP A:58.64.111.146 X: )
ความคิดเห็นที่ 3
    อยากให้เล่าประสพการณ์อีกนะคะ มีก็มาเล่าเพิ่มเติมอีก ยังไม่อยากให้จบเลย
โดย: penn [23 พ.ย. 49 19:34] ( IP A:203.144.187.18 X: )
ความคิดเห็นที่ 4
   ต่อเลยค่ะ.....
โดย: ป้าวิ [25 พ.ย. 49 8:55] ( IP A:125.24.154.138 X: )
ความคิดเห็นที่ 5
   ง่า...กำลังมันเลย หนังก็จบตอนซะแล้วง่า ทำยังกะว่ากำลังดูละครหลังข่าวเลยเนอะ แต่ว่าสนุกกว่ากันเห็นๆ ฮุฮุฮุ..
โดย: คนสุรินทร์ [28 พ.ย. 49 14:47] ( IP A:203.156.158.158 X: )
ความคิดเห็นที่ 6
   มันส์มากครับ เห็นภาพเลย
อยากให้มีหนังไทย ที่เกี่ยวกับ GSD จริงๆ มั่งจังวุ้ย
โดย: ทาเกชิ (Takeshi ) [30 พ.ย. 49] ( IP A:221.128.110.78 X: )
ความคิดเห็นที่ 7
   ขอบคุณ คุณตาเฉิ่มครับ ...ลูกชายหายป่วยแล้วครับ. เข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาลซะหลายวัน เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน
.................................................................
ขอบพระคุณทุกท่านที่ชอบอ่าน.นะครับ
ผมเขียนและบันทึกทุกสิ่งเอาไว้ ในไดอารีเล่มเล็ก ๆ เพื่อกันมิให้วัยที่ร่วงโรย ทำให้ผมต้องลืมช่วงเวลาที่ดี ๆ ในบางเสี้ยวของชีวิตไป............ ขออนุญาตเล่าต่อนะครับ

“”””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””

“.................ผมถูกระงับการเป็นผู้ล่ออมยิ้ม และถูกสั่งให้มีหน้าที่คอย รับสุนัขใหม่ที่พึ่งเข้ามา หัดจูงเดิน โดยที่ ผู้ช่วยครูฝึกทำหน้าที่เป็นผู้ล่อสุนัขแทนผม ส่วนเจ้าบิ๊กนั้น ครูฝึกเป็นคนควบคุมด้วยตัวเอง

จากตำแหน่งผู้ล่อสุนัข ผมต้องกลับไปทำหน้าที่รับสุนัขใหม่ ๆ เพื่อให้หัดจูงเดิน ทำให้งานเบาไปเยอะ แต่ก็ตงิด ๆ อยู่ในใจว่า ขนาดแค่วงการฝึกหมาเล็ก ๆ แบบนี้ ยังมีระบบเส้นสายกันวุ่นวายไม่น้อย

จำได้ว่า ผมจูงสุนัขใหม่ ได้ไม่นานนัก ก็มีเหตุที่ครูฝึกต้องขอลากลับไปธุระด่วนในเมืองกรุงฯ เมื่อครูฝึกไม่มี ผู้ช่วยก็เลยเลื่อนขึ้นมาคุมทั้งหมด ผมจึงต้องเข้าไปรับหน้าที่ดูแลเจ้าบิ๊กอีกครั้ง

ถึงวันนี้เจ้าบิ๊กได้ผ่านการฝึกเบื้องต้น จำพวก นั่ง ชิด หมอบ คอย ได้เป็นอย่างดีแล้ว สิ่งที่จะต้องฝึกขั้นต่อไปก็คือการฝึกอารักขาเบื้องต้น

การฝึกให้สุนัขกัดคนนั้น ไม่ใช่เรื่องยาก แต่งานที่จะต้องทำให้สุนัขได้เข้าใจว่า “การกัดอย่างมีเหตุผล” นั้น นับว่าหินยิ่งกว่า

โบราณเคยกล่าวว่า เวลาเดินผ่านสุนัขเห่า...อย่าวิ่ง และ อย่าจ้องตาสุนัข เหตุผลนี้ดูจะมีเหตุมีผลสนับสนุนอยู่ไม่น้อย เพราะเหตุว่า สุนัขนั้น เป็นสัตว์ที่มีสัมผัสพิเศษ และสามารถอ่านบุคลิกและอารมณ์ของมนุษย์ได้แบบที่คุณอาจจะไม่คาดคิดมาก่อน

ดังนั้น ยิ่งการฝึกให้สุนัขก้าวร้าว หรือดุดันโดยปราศจากการสร้างวินัย ที่จะเป็นตัวควบคุมแล้ว นับว่าเป็นเรื่องเสี่ยงและอันตรายอยู่ไม่น้อย

พื้นฐานของเจ้าบิ๊กนั้น ผ่านการกดดันในชีวิตจากสภาพการเลี้ยงดูมาโดยตลอด จนทำให้มันกลายเป็นสุนัขที่ดุโดยปราศจากเหตุผล ดังนั้นการฝึกและเคี่ยวเข็ญให้มันกลับมาเป็นนักบู๊อีกครั้งนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่จำเป็นต้องใช้เวลาในการที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่เจ้าบิ๊กได้เข้าใจว่า การกัดนั้น คือการทำงานตามคำสั่ง ไม่ใช่การกัดด้วยอารมณ์ และต้องพร้อมที่จะหยุดได้ทันทีเมื่อมีคำสั่งปล่อย

ในการฝึกกัดในสายจูงของเจ้าบิ๊ก ซึ่งจะให้สายจูงที่ค่อนข้างยาว ทำให้ยากต่อการควบคุมอารมณ์ของเจ้าบิ๊ก..ผมเสนอผู้ช่วยครูฝึกที่จะล่อเจ้าบิ๊กให้ใช้สายจูงที่สั้นกว่า และการสั่งกัดควรเป็นการกัดระยะทางสั้นที่สุดในเบื้องต้น เพราะเห็นว่าง่ายที่จะควบคุมสายจูงและตะโกนให้สติเจ้าบิ๊กเมื่อสั่งปล่อย....แต่ผู้ช่วยกลับให้ผมใช้สายจูงยาวและให้สั่งปล่อยโดยการวิ่งเข้ากัดแทน ...สิ่งที่ผมทำได้ตอนนั้นก็คือ รู้สึกขัดแย้งกรุ่น อยู่ในใจ

สิ่งที่ผมคิดไว้ในใจดูไม่ผิดเพี้ยนไปจากความจริงนัก เพราะเจ้าบิ๊ก ไม่ใช่สุนัขที่ไม่เคยผ่านการกัดคนมาก่อน อย่างน้อย คนงานในโกดัง ก็หนึ่งในตัวอย่างที่ไม่ค่อยดีมาแล้ว

หลังคำสั่งให้ปล่อย..เจ้าบิ๊กพุ่งเข้าหาเป้าหมายอย่างรวดเร็ว จนผมต้องรีบรวบสายและวิ่งตามเพื่อให้ทันตัวเจ้าบิ๊กให้เร็วที่สุด ...

เจ้าบิ๊กขย้ำปลอกที่สวมแขนนั้น และสะบัดไปมา ...ในขณะที่สุนัขตัวอื่น ต่างเห่ากรรโชกกันเสียงขรมไปหมดข้อผิดพลาดในครั้งนี้ คือสิ่งที่ผมพบว่าเจ้าบิ๊กนั้นต่างกับสุนัขตัวอื่นก็คือ “มันกัดด้วยอารมณ์!”

เพราะการกัดของเจ้าบี๊กนั้นเป็นการกัดแบบเต็มกราม และคำรามในขณะที่กัดอยู่ในลำคอตลอดเวลา ..ซึ่งต่างกับอีกหลายตัวที่ผมเคยล่อสุนัขด้วยตัวเอง จะพบว่า ส่วนใหญ่จะกัดไม่เต็มกราม และพร้อมจะคายปากทันทีเมื่อมีคำสั่งให้ปล่อย กอรปกับเสียงเห่ากระตุ้นของสุนัขในสนามในวันนั้น ทำให้เจ้าบิ๊กยิ่งอารมณ์พลุ่งพล่านมากขึ้น

กว่าจะกระชากเจ้าบิ๊กออก และตะโกนสั่งปล่อย ก็เล่นเอาเจ้าผู้ช่วยครูฝึก ได้รับบทเรียนเล็ก ๆ ไว้เป็นร่องรอยเขียวช้ำที่แขน ให้ดูต่างหน้าไปหลายวัน

การกัดเต็มกรามของสุนัขขนาดใหญ่อย่างเยอรมันเชพเพอด นั้น แม้ว่าจะไม่รุนแรงทั้งแรงที่กัดและกำลังปะทะเหมือนพวกสุนัขพันธุ์ร๊อตไวเลอร์ แต่ข้อแตกต่างระหว่าง เขี้ยวของสุนัขทั้งสองพันธุ์นี้ก็คือ เยอรมันเชพเพอดจะมีเขี้ยวที่ยาวและงุ้มกว่าทำให้การกดฝังของเขี้ยวนั้นจะเสมือนตะขอที่ยึดเอาไว้ไม่ให้หลุด ในขณะที่พวกร๊อตไวเลอร์นั้น เขี้ยวจะสั้นกว่าแต่การที่มีกรามอันทรงพลัง และกล้ามเนื้อที่ยึดเกร็งในขณะตื่นเต้นทำให้มีประสิทธิภาพในการยึดมีมากขึ้น

ท้ายสุด เจ้าบิ๊กก็ต้องกลับมาใช้การฝึกกัดแบบใช้สายจูงที่สั้น และสั่งกัดเพียงแค่งับ และสั่งปล่อย, งับและสั่งปล่อยทันที สลับกันบ่อยขึ้น ๆ และที่สำคัญ การฝึกให้เจ้าบิ๊กกัดในลักษณะนี้ จะต้องเป็นการฝึกเดี่ยวเพีย งลำพังตัวเดียว โดยปราศจากเสียงสุนัขตัวอื่นเห่า ซึ่งจะเป็นอุปสรรคในการควบคุมอารมณ์ของเจ้าบิ๊ก

ผ่านการฝึกแบบนี้ได้ราวสองอาทิตย์ เจ้าบิ๊กเริ่มลดระดับการกัดจริง ๆ เป็นการกัดเพียงงับคาเอาไว้เฉย ๆ เมื่อกระตุกโซ่คอและสั่ง “ปล่อย!” เจ้าบิ๊กเริ่มทำได้ดีขึ้น

หลังผ่านโปรแกรมนี้ได้แล้วทุกอย่างก็ผ่านฉลุย จากสายจูงสั้น...เปลี่ยนไปสายจูงยาว และสุดท้ายคือการฝึกนอกสายจูง..สั่งกัดและปล่อยนอกสายจูง..ฯลฯ

ก่อนการจบหลักสูตร เจ้าบิ๊กกับผมได้มีโอกาสเป็นทำงานร่วมกัน และเป็นตัวแทนสุนัขหลายตัวเข้าร่วมแสดง การฝึกสุนัขโชว์ในงานวันเด็กที่จัดขึ้นที่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในราวปี พ.ศ. 2525 ความสุดยอดของเจ้าบิ๊กที่นอกจากจะมีหุ่นที่กำยำใหญ่โตน่าเกรงขามแล้ว วันนี้เจ้าบิ๊กกลับมาเป็นสุนัขที่สามารถให้เด็ก ๆ ลูบหัวได้ ....หยอกเย้าได้โดยไม่มีอาการก้าวร้าวให้เห็น รวมทั้งได้แสดงศักยภาพแห่งความเป็นสุนัขที่สามารถจะเป็นได้ทั้งเพื่อนและผู้คุ้มครองที่ดีในเวลาเดียวกัน

หลังจากการเทรนด์ให้เจ้าของสุนัข เกี่ยวกับการใช้คำสั่งฝึกนั้นไม่นาน..เจ้าบิ๊กก็ต้องอำลาจากไป ตามเส้นทางการมีหน้าที่รับใช้ของมัน

....แม้ในวันนี้... เจ้าสามบัดดี้ของผม ไมว่า ไซม่อน,ดิงโก้ และเจ้าบิ๊ก จะลาลับโลกไปตามวัฎจักรแห่งสังขารแล้วก็ตาม...ผมยังไม่เคยลืมแววตา..รอยยิ้ม (ผมคิดว่าหลายท่านจะพบรอยยิ้มและเข้าใจคำนี้ดีในสักวันหนึ่ง) และสัมพันธภาพระหว่างพวกมันและผมได้

...ด้วยฐานะทางเศรษฐกิจในวันนั้น....ผมคงยากที่จะเป็นเจ้าของสุนัขสายพันธุ์ดี ๆ และงดงามตามแบบฉบับนิยม และแม้เจ้าไซม่อน หรือดิงโก้อาจจะไม่ติดฝุ่น แม้แต่จะรอบไหน หรืออันดับไหน กับตัวใด ถ้าคิดจะส่งเข้าประกวด ...แต่สุนัขดี ๆ ในมุมมองผมนั้น คือสุนัขที่ได้เรียนรู้ เข้าใจ และซึมซาบในความรัก และศรัทธาในความเป็นสัตว์ร่วมโลกต่อกันอย่างเป็นมิตร แม้มันอาจจะไมใช่สุนัขสวยงามตามคตินิยมก็ตาม

ประสบการณ์จากการดูแล และฝึกเยอรมันเชพเพอด รวมไปถึงสุนัขอีกหลากหลายสายพันธุ์ ทำให้รู้ว่า ที่สุดแล้ว สุนัขที่ยอดเยี่ยมตลอดกาล ...คงหนีไม่พ้น สุนัขที่เรียกกันว่า “อัลเซเชี่ยน” ในที่สุด

ผมลาออกจากการเป็นเด็กฝึกหมา...อำลาวงการฝึกสุนัข....ไม่เคยแม้แต่จะข้องแวะวงการประกวดหมา เพราะนอกนอกจากข้อจำกัดเรื่องการเรียนแล้ว ในช่วงนั้นผมมีความรู้สึกต่อต้านการประกวดสุนัขโดยเฉพาะเยอรมันเชพเพอด เพราะคิดว่า การเดินไปไม่ถึงไหนสำหรับวงการเพาะพันธูและการเลี้ยงสุนัขในบ้านเราในช่วงนั้น เพราะมันถูกผูกติดอยู่กับการเป็นเพียงแค่ธุรกิจทั่วไป ที่พยายามสร้างมูลค่าสุนัขจากการล่ารางวัล ..สร้างราคาน้ำเชื้อ ...สร้างราคาผลผลิตที่ได้ ไม่ต่างอะไรกับวงการม้าแข่ง.....และชีวิตของเยอรมันเชพเพอดสายพันธุ์ดี ๆ หลายตัวในเมืองไทย มีชีวิตอยู่เพียงเพื่อผสมพันธุ์..ให้ลูกราคาดี และตายในกรงเลี้ยง เพื่อธุรกิจ..ของมนุษย์ หาใช่พันธกิจของมนุษย์กับสุนัขไม่

””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””
ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่...การห้อเหยียดอย่างเต็มฝีเท้า ....มีครอบครัวอันอบอุ่นอยู่ร่วมกับมนุษย์..มีเด็กเล็ก ๆ ที่พร้อมจะก้าวมาเป็นเจ้านายมันอย่างเต็มใจ คือความสุขอันเป็นสุดยอดปรารถนาทุกสุนัขทุกตัว...และหนึ่งในนั้นมีสุนัขสายพันธุ์ที่ชื่อ “เยอรมันเชพเพอด” ยังคงรอคอยคุณอยู่ที่ปลายทุ่งหญ้าเขียวขจีผืนนั้น.....
โดย: นายวอ (naiwor ) [30 พ.ย. 49 23:45] ( IP A:203.150.84.171 X: )
ความคิดเห็นที่ 8
   T_T" กินใจมากเลยครับ นักธุรกิจหลายคนคงจะถูกแทงใจดำไปไม่น้อย เพราะเค้าเหล่านั้นคงลืมไป ว่าสุนัขในอดีตนั้นก็คือเพื่อนแท้ ที่จริงใจของมนุษย์ ไม่ใช่สินค้าที่ต้องการเพียงแค่อยู่ในกล่องแล้วรอเวลาที่มนุษย์จะมาให้อาหาร หรือพาไปผสมพันธ์แต่อย่างใด
โดย: พ่อน้ำซุป (คนสุรินทร์ ) [4 ธ.ค. 49 15:35] ( IP A:203.156.158.158 X: )

คลิกที่นี่เพื่อกลับหน้าบ้าน