เรื่องเล่าในอดีต : เสี้ยวหนึ่งของชีวิตกับการฝีก "หมา" ให้เป็น "สุนัข"
|
ความคิดเห็นที่ 1 ลูกชายอาการดีขึ้นแล้วยังครับ
อย่าเพิ่งรีบจบซี เล่าต่อเยอะๆ | โดย: ตาเฉิ่ม (The Expert) (ตาเฉิ่ม ) [23 พ.ย. 49 11:06] ( IP A:203.144.225.157 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 2 สนุกดีครับ ตอนนี้ยังไม่ทันไรจบซะแล้ว | โดย: Rociel [23 พ.ย. 49 13:33] ( IP A:58.64.111.146 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 3 อยากให้เล่าประสพการณ์อีกนะคะ มีก็มาเล่าเพิ่มเติมอีก ยังไม่อยากให้จบเลย | โดย: penn [23 พ.ย. 49 19:34] ( IP A:203.144.187.18 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 4 ต่อเลยค่ะ..... | โดย: ป้าวิ [25 พ.ย. 49 8:55] ( IP A:125.24.154.138 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 5 ง่า...กำลังมันเลย หนังก็จบตอนซะแล้วง่า ทำยังกะว่ากำลังดูละครหลังข่าวเลยเนอะ แต่ว่าสนุกกว่ากันเห็นๆ ฮุฮุฮุ..
| โดย: คนสุรินทร์ [28 พ.ย. 49 14:47] ( IP A:203.156.158.158 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 6 มันส์มากครับ เห็นภาพเลย อยากให้มีหนังไทย ที่เกี่ยวกับ GSD จริงๆ มั่งจังวุ้ย | โดย: ทาเกชิ (Takeshi ) [30 พ.ย. 49] ( IP A:221.128.110.78 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 7 ขอบคุณ คุณตาเฉิ่มครับ ...ลูกชายหายป่วยแล้วครับ. เข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาลซะหลายวัน เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน ................................................................. ขอบพระคุณทุกท่านที่ชอบอ่าน.นะครับ ผมเขียนและบันทึกทุกสิ่งเอาไว้ ในไดอารีเล่มเล็ก ๆ เพื่อกันมิให้วัยที่ร่วงโรย ทำให้ผมต้องลืมช่วงเวลาที่ดี ๆ ในบางเสี้ยวของชีวิตไป............ ขออนุญาตเล่าต่อนะครับ
.................ผมถูกระงับการเป็นผู้ล่ออมยิ้ม และถูกสั่งให้มีหน้าที่คอย รับสุนัขใหม่ที่พึ่งเข้ามา หัดจูงเดิน โดยที่ ผู้ช่วยครูฝึกทำหน้าที่เป็นผู้ล่อสุนัขแทนผม ส่วนเจ้าบิ๊กนั้น ครูฝึกเป็นคนควบคุมด้วยตัวเอง
จากตำแหน่งผู้ล่อสุนัข ผมต้องกลับไปทำหน้าที่รับสุนัขใหม่ ๆ เพื่อให้หัดจูงเดิน ทำให้งานเบาไปเยอะ แต่ก็ตงิด ๆ อยู่ในใจว่า ขนาดแค่วงการฝึกหมาเล็ก ๆ แบบนี้ ยังมีระบบเส้นสายกันวุ่นวายไม่น้อย
จำได้ว่า ผมจูงสุนัขใหม่ ได้ไม่นานนัก ก็มีเหตุที่ครูฝึกต้องขอลากลับไปธุระด่วนในเมืองกรุงฯ เมื่อครูฝึกไม่มี ผู้ช่วยก็เลยเลื่อนขึ้นมาคุมทั้งหมด ผมจึงต้องเข้าไปรับหน้าที่ดูแลเจ้าบิ๊กอีกครั้ง
ถึงวันนี้เจ้าบิ๊กได้ผ่านการฝึกเบื้องต้น จำพวก นั่ง ชิด หมอบ คอย ได้เป็นอย่างดีแล้ว สิ่งที่จะต้องฝึกขั้นต่อไปก็คือการฝึกอารักขาเบื้องต้น
การฝึกให้สุนัขกัดคนนั้น ไม่ใช่เรื่องยาก แต่งานที่จะต้องทำให้สุนัขได้เข้าใจว่า การกัดอย่างมีเหตุผล นั้น นับว่าหินยิ่งกว่า
โบราณเคยกล่าวว่า เวลาเดินผ่านสุนัขเห่า...อย่าวิ่ง และ อย่าจ้องตาสุนัข เหตุผลนี้ดูจะมีเหตุมีผลสนับสนุนอยู่ไม่น้อย เพราะเหตุว่า สุนัขนั้น เป็นสัตว์ที่มีสัมผัสพิเศษ และสามารถอ่านบุคลิกและอารมณ์ของมนุษย์ได้แบบที่คุณอาจจะไม่คาดคิดมาก่อน
ดังนั้น ยิ่งการฝึกให้สุนัขก้าวร้าว หรือดุดันโดยปราศจากการสร้างวินัย ที่จะเป็นตัวควบคุมแล้ว นับว่าเป็นเรื่องเสี่ยงและอันตรายอยู่ไม่น้อย
พื้นฐานของเจ้าบิ๊กนั้น ผ่านการกดดันในชีวิตจากสภาพการเลี้ยงดูมาโดยตลอด จนทำให้มันกลายเป็นสุนัขที่ดุโดยปราศจากเหตุผล ดังนั้นการฝึกและเคี่ยวเข็ญให้มันกลับมาเป็นนักบู๊อีกครั้งนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่จำเป็นต้องใช้เวลาในการที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่เจ้าบิ๊กได้เข้าใจว่า การกัดนั้น คือการทำงานตามคำสั่ง ไม่ใช่การกัดด้วยอารมณ์ และต้องพร้อมที่จะหยุดได้ทันทีเมื่อมีคำสั่งปล่อย
ในการฝึกกัดในสายจูงของเจ้าบิ๊ก ซึ่งจะให้สายจูงที่ค่อนข้างยาว ทำให้ยากต่อการควบคุมอารมณ์ของเจ้าบิ๊ก..ผมเสนอผู้ช่วยครูฝึกที่จะล่อเจ้าบิ๊กให้ใช้สายจูงที่สั้นกว่า และการสั่งกัดควรเป็นการกัดระยะทางสั้นที่สุดในเบื้องต้น เพราะเห็นว่าง่ายที่จะควบคุมสายจูงและตะโกนให้สติเจ้าบิ๊กเมื่อสั่งปล่อย....แต่ผู้ช่วยกลับให้ผมใช้สายจูงยาวและให้สั่งปล่อยโดยการวิ่งเข้ากัดแทน ...สิ่งที่ผมทำได้ตอนนั้นก็คือ รู้สึกขัดแย้งกรุ่น อยู่ในใจ
สิ่งที่ผมคิดไว้ในใจดูไม่ผิดเพี้ยนไปจากความจริงนัก เพราะเจ้าบิ๊ก ไม่ใช่สุนัขที่ไม่เคยผ่านการกัดคนมาก่อน อย่างน้อย คนงานในโกดัง ก็หนึ่งในตัวอย่างที่ไม่ค่อยดีมาแล้ว
หลังคำสั่งให้ปล่อย..เจ้าบิ๊กพุ่งเข้าหาเป้าหมายอย่างรวดเร็ว จนผมต้องรีบรวบสายและวิ่งตามเพื่อให้ทันตัวเจ้าบิ๊กให้เร็วที่สุด ...
เจ้าบิ๊กขย้ำปลอกที่สวมแขนนั้น และสะบัดไปมา ...ในขณะที่สุนัขตัวอื่น ต่างเห่ากรรโชกกันเสียงขรมไปหมดข้อผิดพลาดในครั้งนี้ คือสิ่งที่ผมพบว่าเจ้าบิ๊กนั้นต่างกับสุนัขตัวอื่นก็คือ มันกัดด้วยอารมณ์!
เพราะการกัดของเจ้าบี๊กนั้นเป็นการกัดแบบเต็มกราม และคำรามในขณะที่กัดอยู่ในลำคอตลอดเวลา ..ซึ่งต่างกับอีกหลายตัวที่ผมเคยล่อสุนัขด้วยตัวเอง จะพบว่า ส่วนใหญ่จะกัดไม่เต็มกราม และพร้อมจะคายปากทันทีเมื่อมีคำสั่งให้ปล่อย กอรปกับเสียงเห่ากระตุ้นของสุนัขในสนามในวันนั้น ทำให้เจ้าบิ๊กยิ่งอารมณ์พลุ่งพล่านมากขึ้น
กว่าจะกระชากเจ้าบิ๊กออก และตะโกนสั่งปล่อย ก็เล่นเอาเจ้าผู้ช่วยครูฝึก ได้รับบทเรียนเล็ก ๆ ไว้เป็นร่องรอยเขียวช้ำที่แขน ให้ดูต่างหน้าไปหลายวัน
การกัดเต็มกรามของสุนัขขนาดใหญ่อย่างเยอรมันเชพเพอด นั้น แม้ว่าจะไม่รุนแรงทั้งแรงที่กัดและกำลังปะทะเหมือนพวกสุนัขพันธุ์ร๊อตไวเลอร์ แต่ข้อแตกต่างระหว่าง เขี้ยวของสุนัขทั้งสองพันธุ์นี้ก็คือ เยอรมันเชพเพอดจะมีเขี้ยวที่ยาวและงุ้มกว่าทำให้การกดฝังของเขี้ยวนั้นจะเสมือนตะขอที่ยึดเอาไว้ไม่ให้หลุด ในขณะที่พวกร๊อตไวเลอร์นั้น เขี้ยวจะสั้นกว่าแต่การที่มีกรามอันทรงพลัง และกล้ามเนื้อที่ยึดเกร็งในขณะตื่นเต้นทำให้มีประสิทธิภาพในการยึดมีมากขึ้น
ท้ายสุด เจ้าบิ๊กก็ต้องกลับมาใช้การฝึกกัดแบบใช้สายจูงที่สั้น และสั่งกัดเพียงแค่งับ และสั่งปล่อย, งับและสั่งปล่อยทันที สลับกันบ่อยขึ้น ๆ และที่สำคัญ การฝึกให้เจ้าบิ๊กกัดในลักษณะนี้ จะต้องเป็นการฝึกเดี่ยวเพีย งลำพังตัวเดียว โดยปราศจากเสียงสุนัขตัวอื่นเห่า ซึ่งจะเป็นอุปสรรคในการควบคุมอารมณ์ของเจ้าบิ๊ก
ผ่านการฝึกแบบนี้ได้ราวสองอาทิตย์ เจ้าบิ๊กเริ่มลดระดับการกัดจริง ๆ เป็นการกัดเพียงงับคาเอาไว้เฉย ๆ เมื่อกระตุกโซ่คอและสั่ง ปล่อย! เจ้าบิ๊กเริ่มทำได้ดีขึ้น
หลังผ่านโปรแกรมนี้ได้แล้วทุกอย่างก็ผ่านฉลุย จากสายจูงสั้น...เปลี่ยนไปสายจูงยาว และสุดท้ายคือการฝึกนอกสายจูง..สั่งกัดและปล่อยนอกสายจูง..ฯลฯ
ก่อนการจบหลักสูตร เจ้าบิ๊กกับผมได้มีโอกาสเป็นทำงานร่วมกัน และเป็นตัวแทนสุนัขหลายตัวเข้าร่วมแสดง การฝึกสุนัขโชว์ในงานวันเด็กที่จัดขึ้นที่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในราวปี พ.ศ. 2525 ความสุดยอดของเจ้าบิ๊กที่นอกจากจะมีหุ่นที่กำยำใหญ่โตน่าเกรงขามแล้ว วันนี้เจ้าบิ๊กกลับมาเป็นสุนัขที่สามารถให้เด็ก ๆ ลูบหัวได้ ....หยอกเย้าได้โดยไม่มีอาการก้าวร้าวให้เห็น รวมทั้งได้แสดงศักยภาพแห่งความเป็นสุนัขที่สามารถจะเป็นได้ทั้งเพื่อนและผู้คุ้มครองที่ดีในเวลาเดียวกัน
หลังจากการเทรนด์ให้เจ้าของสุนัข เกี่ยวกับการใช้คำสั่งฝึกนั้นไม่นาน..เจ้าบิ๊กก็ต้องอำลาจากไป ตามเส้นทางการมีหน้าที่รับใช้ของมัน
....แม้ในวันนี้... เจ้าสามบัดดี้ของผม ไมว่า ไซม่อน,ดิงโก้ และเจ้าบิ๊ก จะลาลับโลกไปตามวัฎจักรแห่งสังขารแล้วก็ตาม...ผมยังไม่เคยลืมแววตา..รอยยิ้ม (ผมคิดว่าหลายท่านจะพบรอยยิ้มและเข้าใจคำนี้ดีในสักวันหนึ่ง) และสัมพันธภาพระหว่างพวกมันและผมได้
...ด้วยฐานะทางเศรษฐกิจในวันนั้น....ผมคงยากที่จะเป็นเจ้าของสุนัขสายพันธุ์ดี ๆ และงดงามตามแบบฉบับนิยม และแม้เจ้าไซม่อน หรือดิงโก้อาจจะไม่ติดฝุ่น แม้แต่จะรอบไหน หรืออันดับไหน กับตัวใด ถ้าคิดจะส่งเข้าประกวด ...แต่สุนัขดี ๆ ในมุมมองผมนั้น คือสุนัขที่ได้เรียนรู้ เข้าใจ และซึมซาบในความรัก และศรัทธาในความเป็นสัตว์ร่วมโลกต่อกันอย่างเป็นมิตร แม้มันอาจจะไมใช่สุนัขสวยงามตามคตินิยมก็ตาม
ประสบการณ์จากการดูแล และฝึกเยอรมันเชพเพอด รวมไปถึงสุนัขอีกหลากหลายสายพันธุ์ ทำให้รู้ว่า ที่สุดแล้ว สุนัขที่ยอดเยี่ยมตลอดกาล ...คงหนีไม่พ้น สุนัขที่เรียกกันว่า อัลเซเชี่ยน ในที่สุด
ผมลาออกจากการเป็นเด็กฝึกหมา...อำลาวงการฝึกสุนัข....ไม่เคยแม้แต่จะข้องแวะวงการประกวดหมา เพราะนอกนอกจากข้อจำกัดเรื่องการเรียนแล้ว ในช่วงนั้นผมมีความรู้สึกต่อต้านการประกวดสุนัขโดยเฉพาะเยอรมันเชพเพอด เพราะคิดว่า การเดินไปไม่ถึงไหนสำหรับวงการเพาะพันธูและการเลี้ยงสุนัขในบ้านเราในช่วงนั้น เพราะมันถูกผูกติดอยู่กับการเป็นเพียงแค่ธุรกิจทั่วไป ที่พยายามสร้างมูลค่าสุนัขจากการล่ารางวัล ..สร้างราคาน้ำเชื้อ ...สร้างราคาผลผลิตที่ได้ ไม่ต่างอะไรกับวงการม้าแข่ง.....และชีวิตของเยอรมันเชพเพอดสายพันธุ์ดี ๆ หลายตัวในเมืองไทย มีชีวิตอยู่เพียงเพื่อผสมพันธุ์..ให้ลูกราคาดี และตายในกรงเลี้ยง เพื่อธุรกิจ..ของมนุษย์ หาใช่พันธกิจของมนุษย์กับสุนัขไม่
ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่...การห้อเหยียดอย่างเต็มฝีเท้า ....มีครอบครัวอันอบอุ่นอยู่ร่วมกับมนุษย์..มีเด็กเล็ก ๆ ที่พร้อมจะก้าวมาเป็นเจ้านายมันอย่างเต็มใจ คือความสุขอันเป็นสุดยอดปรารถนาทุกสุนัขทุกตัว...และหนึ่งในนั้นมีสุนัขสายพันธุ์ที่ชื่อ เยอรมันเชพเพอด ยังคงรอคอยคุณอยู่ที่ปลายทุ่งหญ้าเขียวขจีผืนนั้น.....
| โดย: นายวอ (naiwor ) [30 พ.ย. 49 23:45] ( IP A:203.150.84.171 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 8 T_T" กินใจมากเลยครับ นักธุรกิจหลายคนคงจะถูกแทงใจดำไปไม่น้อย เพราะเค้าเหล่านั้นคงลืมไป ว่าสุนัขในอดีตนั้นก็คือเพื่อนแท้ ที่จริงใจของมนุษย์ ไม่ใช่สินค้าที่ต้องการเพียงแค่อยู่ในกล่องแล้วรอเวลาที่มนุษย์จะมาให้อาหาร หรือพาไปผสมพันธ์แต่อย่างใด | โดย: พ่อน้ำซุป (คนสุรินทร์ ) [4 ธ.ค. 49 15:35] ( IP A:203.156.158.158 X: ) |  |
|