บทความเรื่อง MIXER CONSOLE
    MIXER CONSOLE

ขอเริ่มกันด้วยเครื่องมือชิ้นนี้ก็แล้วกันนะครับ ชื่อเรียกเป็นทางการของมันก็คือ mixing console ครับ หรือจะเรียกสั้นๆว่า board ก็ได้

ถ้าคุณเคยได้ไปเยี่ยมชมห้องอัดเสียงที่ไหนก็ตาม คุณก็จะเห็นไอ้เจ้านี่แหละ ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลาง control room ขนาดก็ประมาณว่าเตียงเดี่ยวน่ะแหละครับ ถ้าเอากระดานมาปูทับละก็ ขึ้นไปนอนเล่นได้เลย ปุ่มต่างๆก็ ราวๆซัก...ล้านเจ็ดสิบเอ็ดปุ่มเห็นจะได้

บางท่านคงเคยสงสัยว่าไอ้ปุ่มต่างๆเหล่านี้มันทำงานจริงๆรึเปล่า รึว่าทำไว้โก้ๆ ให้มันน่าเกรงขามขู่คนเล่นๆ ขอตอบว่า ทุกปุ่มต้องใช้ครับ การจะบิด จะหมุน จะยก แต่ละปุ่ม ล้วนมีผลกับเสียงทั้งสิ้น

แล้วมันจะหมุนกันยังไงถูกล่ะน่ะ ออกจะเยอะขนาดนั้น ?
ไม่ยากหรอกน่า ค่อยๆทำความเข้าใจมันไปทีละอย่างซิครับ มา....จะว่าให้ฟัง.........

ปุ่มต่างๆของ mixer ใน 1 channel ชื่อของแต่ละปุ่มอาจจะ แตกต่างกันไป แล้วแต่ ยี่ห้อหรือรุ่น แต่การทำงานจะเหมือนกันครับ รูปที่เอามาเป็นตัวอย่างนี่เป็น ยี่ห้อ tascam ครับ

ปุ่ม trim ทำหน้าที่คล้ายๆกับ volumn คือ ถ้าหมุนปุ่มนี้ เสียงมันจะดัง-ค่อย แต่อย่าเข้าใจผิดนะครับ มันไม่ใช่ volumn ครับ มันทำหน้าที่เป็น preamp ของ channel นี้ตะหาก เพราะฉะนั้น ถ้าคุณยกมันมากไป สัญญาณก็จะ distort คือพร่า เพี้ยน แตก

วิธีปรับ trim ที่ถูกต้องก็คือ ทำงี้ครับ ต่อแหล่งสัญญาณที่จะใช้เข้าไป เช่น mic ลดปุ่ม trim จนสุด ยก fader ข้างล่างขึ้นมาที่ 0 db จากนั้นลองพูดหรือร้องในระดับเสียงเท่าที่ใช้งานจริง ค่อยๆหมุนปุ่ม trim ขึ้นมา จนสัญญาณไฟ peak กะพริบ ก็หยุดอยู่ตรงนั้น

ถ้าไม่มีสัญญาณไฟ peakก็ใช้หูน่ะแหละครับ ให้เสียงมันดังอยู่ในระดับสูงสุดที่ใช้งานจริง board ส่วนใหญ่จะมีไฟ peak มาให้ทั้งนั้นแหละครับ อ้อ..trim นี่มันมีอีกชื่อนึงว่า attenuator นะครับ

phantom power ถ้าคุณใช้ mic แบบ condenser เสียบที่ช่องนี้ คุณต้องใช้ปุ่มนี้ครับ condenser mic เนี่ย มันต้องใช้ไฟเลี้ยงครับ ถ้ายี่ห้อห่วยหน่อย ก็จะใช้ battery 1.5 volt หรือ 9 volt แต่ถ้าเป็น mic ชั้นดี ที่ใช้ในห้องอัดเสียง จะต้องใช้ไฟ 48 volt ครับ

ไอ้ไฟ 48 volt นี่แหละเรียกว่า phantom power ถ้าคุณกดปุ่มนี้ board ก็จะส่งสัญญาณไฟ 48 volt ไปให้ mic ของคุณเอง แต่ถ้าคุณใช้ mic แบบ dynamic ก็ไม่ต้องกดนะครับ


อีกอย่างที่ควรระวังก็คือ เวลาจะกดปุ่มนี้ กรุณาลด main volumn ให้สุดนะครับ ไม่งั้น ลำโพงของคุณอาจจะกระเด็นตกลงมาได้ มันจะดัง พลั่กสนั่นเลยละครับ ผมเคยโดนมาแล้ว ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เค้ามีวงจรตัดไอ้เสียงพลั่กนี่รึยัง

mic/line ปุ่มนี้ไว้กดเลือกครับ ว่าเราใช้อุปกรณ์อะไรต่อเข้าที่ channel นี้ บางทีมันอาจจะเขียนว่า line/mic ก็ได้ครับ ถ้าสมมุติมันเขียนว่า mic/line ก็แสดงว่า ถ้าไม่กดปุ่มนี้ เราก็จะต่อ mic เข้าที่ช่องนี้

แต่ถ้าเราเอาอุปกรณ์ประเภท line signal เช่น เครื่องเล่นเทป,เครื่องเล่น cd, สัญญาณเสียงจากเครื่อง dvd หรือสัญญาณเสียงจาก guitar มาต่อเข้าที่ช่องนี้ เราก็ต้องกดปุ่ม mic/line ลง เพื่อบอกมันว่า เฮ้ย....ชั้นเอาไอ้นี่มาต่อไว้นะ เพราะสัญญาณจาก mic และสัญญาณ line เนี่ย ความแรงมันไม่เท่ากันครับ


.

โดย: BaCkSTaGe...หล่อ ๆ [15 ก.ค. 52 13:22] ( IP A:202.142.204.1 X: )
Add to Facebook  Add to Twitter  Add to Multiply  Add to Google  Add to Blogger  Add to Live
Counter : 13826 Pageviews
ความคิดเห็นที่ 1
   EQ บ้านเราก็เรียกว่าปุ่มปรับทุ้ม-แหลมนั่นแหละครับ แต่ถ้าเป็น board ชั้นดี มันไม่ได้มีแค่ทุ้มกะแหลมครับ มันมีกลางแถมมาด้วย ไอ้เสียงกลางที่แถมมาเนี่ย ก็มี 2 ปุ่มอีก

ปุ่มนึงเอาไว้ ลด-เพิ่ม อีกปุ่มนึง เอาไว้เลือกค่าความถี่ของเสียงกลางที่ต้องการจะ ลด- เพิ่ม.....เริ่มเวียนหัวรึยังครับ

effect send หรืออีกชื่อหนึ่งว่า aux send อย่างน้อยๆที่สุดก็ควรจะมีซัก 2 aux นะครับ อันนี้เอาไว้ควบคุมระดับสัญญาณที่จะส่งไปยังอุปกรณ์ประเภท effect prosessor ทั้งหลาย ผ่านทางช่อง aux

เรื่อง effect เนี่ยก็เป็นเรื่องยักษ์อีกเรื่องนึง ที่ผมตั้งใจว่าจะแยกไปเขียนไว้อีกหัวข้อต่างหากไปเลย
board บางรุ่นอาจจะมีถึง 6 aux นะครับ

........อ้ะ...ต่อครับ เรื่องสัญญาณ effect send หรือ aux send ยังไม่จบนะครับ สัญญาณทั้งหลายที่ส่งไปทางช่อง aux เนี่ย เมื่อเดินทางไปถึงปลายทาง ซึ่งก็คือ เครื่อง effect ทั้งหลายแหล่นั่นแล้ว ก็จะไปเข้ากระบวนการปรุงเสียงโดยเครื่อง effect นั้นๆ อาจจะเป็น reverb, flanger, phaser หรืออะไรก็ตามแต่หละ

เมื่อปรุงเสียงจนเสร็จสรรพ เครื่อง effect เหล่านั้นก็จะส่งสัญญาณที่ผ่านการปรุงแล้ว กลับคืนมาที่ board อีกครั้ง ช่องทางที่สัญญาณจาก effect กลับมาที่ board มันจะผ่านมาทางช่อง aux return ครับ หรืออาจจะเขียนว่า effect return ก็ได้


.......ดังนั้นก็พอจะสรุปได้ว่า ถ้า board นั้นมีกี่ aux มันก็จะต้องมีเท่านั้น return อ้อ..อีกอย่างนึง สัญญาณ aux send เนี่ย มันจะมีตัว master คุมโดยเฉพาะนะครับ คือนอกจากจะปรับระดับที่แต่ละ channel แล้ว ก็ยังสามารถไปปรับที่ aux send ใหญ่ได้อีกด้วย


.....engineer บางคน ไม่นิยมเอาสัญญาณจาก effect กลับมาทาง ช่อง return นะครับ พี่แกจะเล่นโลดโผนกว่านั้น ด้วยการเอาไปผ่านเข้า boardอื่นแยกต่างหาก ให้มันเวียนหัวเล่น เหตุผลที่ทำยังงั้นก็คือ เค้าต้องการจะ eq สัญญาณขากลับนั้นซะก่อน เท่านั้นเองครับ


....ยังไม่หมดครับ ยังมีอีกปุ่มนึง คือปุ่ม pre fader และ post fader ...มันคืออะไร ?


pre fader สัญญาณที่ออกไปทางช่อง aux จะไม่ผ่าน fader ของ channel ครับ หมายถึงว่า แม้คุณจะลด fader ของ channel นี้ลงจนสุดก็ตาม สัญญาณที่ออกไปที่ effect หรือออกทางช่อง aux นั้นก็ยังไปอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ควบคุมโดยปุ่ม aux send อย่างเดียว

ประโยชน์ของวิธีนี้ก็คือ..ยกตัวอย่างว่า มือกลอง แกอยากจะได้ยินเสียง guitar bass ด้วย เราก็เอาสัญญาณจากตู้เบส มาต่อเข้าที่ channel นี้ แล้วส่งเป็น aux ออกไปที่แอมป์เล็กๆซักตัว เพื่อให้ตามือกลองแกได้ยินทาง headphone แต่เราจะลด fader ของ channel นี้จนสุด เพื่อไม่ให้เสียงเบสนั้น ออกมาในระบบรวม..เป็นต้นครับ


post fader ก็ตรงข้ามกะ pre fader น่ะแหละครับ คือสัญญาณ aux จะผ่าน fader ด้วย การยกหรือลด fader จะมีผลกับสัญญาณที่ออกไปทางช่อง aux ครับ

ปุ่ม tape in จะมีเป็นบาง board เท่านั้นนะครับ ถ้ามีก็ถือว่าเป็นของแถมไป เพราะมันเท่ากับว่าเรามี channel ใช้งานเพิ่มขึ้นครับ เพราะมันจะเป็น channel ซ้อนอยู่ใน channel อีกที เราไม่จำเป็นต้องเอาเทปต่อเข้าไปนะครับ อย่าไปเชื่อมัน....... อะไรก็ได้ครับ ที่เป็นสัญญาณระดับ line signal เพราะสัญญาณเทปเนี่ย มันจะเป็นสัญญาณระดับเดียวกันกับสัญญาณ aux


......ปุ่ม fader เล็กๆในช่อง tape in นั่นมันจะทำงานเป็นอิสระนะครับ ไม่เกี่ยวกับ fader ของ channel นอกจากว่า คุณจะไปกดปุ่ม flip (ที่ผมติดค้างเอาไว้น่ะแหละ) ถ้าคุณกด flip อุปกรณ์ที่ต่อเข้ากับ tape in ก็จะโดนบังคับด้วย fader ของ channel ด้วย


..... destination ที่อยู่ในช่อง tape in เพื่อให้เราเลือกว่า สัญญาณจากปุ่มนี้เราจะส่งไปที่ไหนครับ จะส่งไปที่ main หรือ monitor ก็ได้ครับ...ก็อีกแหละ ถ้าคุณกด flip มันก็จะไปที่ main ได้อย่างเดียวนะครับ

ปุ่ม main in บางทีก็เขียนว่า bus หรือ group เวลาคุณอ่าน spec ของ board นะครับ คุณอาจจะเคยเห็นกลุ่มตัวเลขว่ายังงี้ครับ 24-8-2 ซึ่งหมายความว่า board นี้มี 24 channel , 8 group , 2 main ครับ...

ทีนี้ ไอ้ group หรือ bus เนี่ย มันเอาไว้ทำอะไรล่ะ...ก็ตามชื่อของมันน่ะแหละครับ คือเป็นการจัดแบ่ง group ของอุปกรณ์ที่เอามาต่อเข้า channel ต่างๆ

.

โดย: BaCkSTaGe...หล่อ ๆ [15 ก.ค. 52 13:23] ( IP A:202.142.204.1 X: )
ความคิดเห็นที่ 2
   ......ยกตัวอย่างดีกว่านะครับ สมมุติว่าคุณกำลังจะอัดเพลงที่มีครื่องเป่า 4 ชิ้น และเครื่องสีอีก 4 ชิ้น producer เค้าสั่งมาว่า ต้องจับแต่ละชิ้นเป็นอิสระ (ไม่รู้มันจะสั่งยังงั้นทำไมเหมือนกัน แต่นี่เป็นตัวอย่างนะครับ จริงๆไม่มีใครทำหรอก มันเปลือง mic )

เอาละ..ก็เป็นอันว่าคุณต้องใช้ mic ทั้งหมด 8 ตัวใช่มั๊ยครับ เพื่อเอาไปวางที่หน้านักดนตรีแต่ละคน

......ทีนี้คุณก็เอา mic ทั้ง 8 ตัวน่ะ มาต่อเข้าที่ 8 channel ของ board แล้วจัดให้ mic ของพวกเครื่องเป่า อยู่ใน group 1-2....ส่วน mic ของพวกเครื่องสี คุณก็จัดให้อยู่ใน group 3-4

เมื่อคุณทำการ balance mic ทั้ง 8 ตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว คือ fader ทั้ง 8 อัน อยู่ในตำแหน่งต่างๆกันของมัน ทีนี้เวลาจะยกหรือลด ระดับเสียง คุณก็ไม่ต้องมาใช้ fader ทั้ง 8 อันให้มันวุ่นวายครับ คุณไปใช้ fader ของ bus ได้เลย มันจะอยู่ทางด้านขวาของ board น่ะครับ ติดกับ main fader น่ะแหละ


.....เช่นคุณต้องการลดเสียงจากเครื่องเป่า คุณก็ไปใช้ fader ของ bus 1-2 มันก็จะลดระดับลงมาทั้งหมดพร้อมๆกันเองครับ


.....คุณเอาวิธีนี้ไปใช้กับกลุ่มประสานเสียงก็ได้ครับ เป็นวิธีที่ใช้กันอยู่ทั่วไปอยู่แล้ว คือ mic ของคนร้อง chorus เนี่ย จัดให้มาอยู่ใน group เดียวกัน เวลาต้องการจะปรับระดับโดยรวม เราก็เล่น fader แค่อันเดียว สะดวกดีครับ

ปุ่ม pan ก็ปรับให้สัญญาณ channel นี้ออกซ้ายหรือขวา...ง่ายๆ

mute ปิดสัญญาณจาก channel นี้ชั่วคราว (อะไรที่ต่อเข้าช่องนี้จะไม่ดัง)

solo เล่นสัญญาณจาก channel นี้อย่างเดียว สัญญาณจาก channel อื่นจะปิดหมด ปุ่มนี้ใช้บ่อยตอนปรับ eq ครับ หรือตอนที่มีเสียงผิดปกติเล็ดลอดออกมา เราก็กด solo หาไปทีละ channel

channel fader ก็ปุ่ม volumn น่ะแหละครับ




ขอขอบคุณ https://www.patid.com/ มา ณ ที่นี้ด้วยครับ

โดย: BaCkSTaGe...หล่อ ๆ [15 ก.ค. 52 13:24] ( IP A:202.142.204.1 X: )
ความคิดเห็นที่ 3
   หน้าที่ของ Buss มีอะไรบ้าง
โดย:
(2008-04-09 02:53:40)
spec ของ mixer หัวข้อ ด้านล่างมันทำหน้าที่อะไร ครับ

- 8 group busses
- 12 aux busses
- Integral 12x4 matrix
- 8 VCA groups
- 8 Mute groups


ก่อนอื่นต้องเข้าใจเรื่อง buss ก่อน เอาเป็นว่าทางเดินสัญญานเสียง ของ ทุก channel input จะต้องถูกส่งผ่านไปออก ที่ output ไม่ว่า จะเป้น stereo out ,mono out , group output อะไรประมาณนี้ครับ เราก็ต้องส่งสัญญานของเรา ขึ้นรถ bus ให้ถูกคัน จะได้ไปออก ถูกที่ที่เราต้องการครับ (รถ Bus คันใหญ่คันเดียว รับผู้โดยสาร ได้หลายคน นั่งไปทางเดียวกัน ไปที่ปลายทางเดียวกัน ให้นึกแบบนี้ครับ จะเข้าใจงายขึ้น รถ bus มีหลายสาย จะไปไหนก็ต้องนั่งให้ถูกสาย ม่ายงั้นไปไหนไม่รู้ด้วย)

- 8 group busses
หมายความว่า mixer ตัวนี้ สามารถ จัดกลุ่ม ของสัญญาน ให้มารวมกันได้ แปดกลุ่ม อิสระ จะส่งออก ที่ group out put 1-8 เลยก็ได้ หรือส่งต่อไป ไปที่ stereo out ด้วยก็ได้ครับ เรามักจะใช้ group นี้ ช่วยในการ mix ตัวอย่าง เช่น
group 1และ2 เป็นการรวมของชุด กลอง ทั้งหมด ทีต้องใช้ 2 group ก้เรา mix เป็น stereo นี่ครับ 1 ก็ ซ้าย 2 ก็ ขวา ไงครับ (ตามปุ่ม pan ที่ channel ที่เราส่งครับ)
group 3 & 4 Kyb Left & Right
group 5 & 6 Guitar Left & Right
group 7 & 8 ALL VOCAL Left & Right
จะเห็นว่าการจัด group แบบนี้ ทำให้เรา mix ง่ายขึ้นเพราะเราจัดเป็นกลุ่มๆไว้ แล้วรวม group output ทั้งหมด 1-8 ขึ้นรถ bus คันเดียวกันไปออกที่ stereo output ไงครับ อยากเพิ่ม หรือลดเสียงร้อง ทั้งหมด อาจร้องอยู่ 10 คนพร้อมกัน เราก็แค่ เพื่ม หรือ ลด fader group 7 และ 8 เท่านั้นเองครับง่ายดีครับ
หรือเราจะฟังว่าชุดกลองเรา balance ดีหรือไม่ เราก็ CUE ฟังในหูฟังที่ group 1 และ 2 เราก็จะได้ยินเฉพาะ เสียงกลองทั้งชุดเท่านั้น ไม่มีเสียงอื่นมาปะปน ทำให้เรา balance ได้ง่ายขึ้นครับ

- 12 aux busses
แปลว่า เรามี รถ bus อีก 12 สายไงครับ จะส่งไปไหนก็ได้ที่ AUX OUT 1-12 ครับ เช่น ส่งเสียงไปออกที่ลำโพง monitor บนเวทีไงครับ หรือ ส่งไปเข้า REVERB หรือ DELAY สำหรับทำ EFFECT ไงครับ

- Integral 12x4 matrix
MATRIX นี่เอาเป็นว่าเราสามารถ ผสมเสียง output ได้อีก 4 matrix output ครับ แต่ไม่ได้ mix จาก channel เหมือนทั่วไป แต่ mix จาก group หรือ aux ครับ อันนี้แล้วแต่ mixer แต่ละตัวครับ เช่นบางที เราใช้ mixer ตัวเดียว mix ทั้ง PA และบันทึกเสียง ไปด้วยเสียงกลองอาจจะดังพอแล้วสำหรับ PA แต่ เสียงที่ไปบันทึก อาจจะดังไป ในกรณีนี้ เราควรเอาสัญญานไปบันทึกเสียง จาก BUS OUT ของ matrix ครับ เราจะได้ เร่งหรือลดเสียงจาก group 1และ 2 ได้โดยอิสระ จาก PA ครับ(สังเกตนิดนึง ที่ matrix จะมีปุ่มควบคุม level ของ group 1และ 2 อยู๋ด้วย)

- 8 VCA groups
VCA ย่อมาจาก VOLTAGE CONTROL AMPLIFIER ครับทำงานคล้ายๆ group ครับ group นี่เรารวมกันไปออก ที่ใดที่หนึ่งใช่ไหมครับ แต่ VCA นี่ ย้อนทางครับ เราสั่งให้ VCA ไป ควบคุม channel แทนครับ เช่น vca 1 นี่เราสั่งให้คุมวงดนตรีทั้งวง อาจะ 40 หรือ 100 channel เลยก็ได้ ครับ เวลาเราลด fader VCA 1 จะทำให้ ทุก channel ที่เราสั่งให้เป็น ลูกน้องของ VCA 1 นี้จะลดเบาลงตาม ครับ
อ้อ VCA ไม่เรียกเป็น group นะครับ อย่าสับสนล่ะ 8 VCA แปลว่า มี VCA ให้ใช้อยู่ 8 อันครับ

- 8 Mute groups
MUTE แปลว่า ใบ้ MUTE GROUP แปลว่า กลุ่มที่เราต้องการให้เงียบไป เช่น ชุดกลอง ใช้ MUTE 1 เวลาเรากด MUTE 1 ชุดกลองจะเงียบไปเลย ไม่มี output ไปออกที่ buss out ไหนทั้งนั้นครับ 8 mute group แปลว่า มีให้ใช้งาน 8 อันครับ


จาก https://www.soundkrub.com

โดย: เจ้าบ้าน [15 ก.ค. 52 16:04] ( IP A:202.142.204.1 X: )
ความคิดเห็นที่ 4
   ขอบคุณครับ
โดย: lool (ruksuksa ) [17 ต.ค. 55 17:48] ( IP A:27.55.13.24 X: )

คลิกที่นี่เพื่อกลับหน้าบ้าน