คนไทยชอบกินเค็ม+หวานจริงไหมคะ?
   อาทิตย์ก่อน เห็นต้นมะกรูดหลังห้องออกใบดกงาม เลยต้องหาอะไรมากำจัด...(หาเรื่องเอามากินว่างั้นเหอะ)ก็เลยไปซื้อมันปลาอินทรีย์ที่เค้าตักขายในห้างมา 2 ขีด เอามาโมดิฟายโดย ซื้อปลีมา1 หัวล้างหั่นแล้วคลุกในมันปลา ใส่ไข่เพิ่มไป 2 ฟอง แล้วซอยใบมะกรูดใส่เข้าคลุกเคล้า แล้วนำไปทอดโดยไม่ได้ปรุงอะไรเพิ่มเลยค่ะ...จากนั้นก็แพ๊คไปที่ทำงานให้น้องๆ ชิมก่อน พอน้องบอกอร่อย...เราค่อยกิน (ถ้าเค้ารอดตาย แสดงว่าเราปลอดภัยกินได้ 555)แล้วน้องก็บอกว่าเค้าไปหน่อย แต่กินกะข้าวก็โอเคอยู่...+ผักเข้าไปก็โอ (ไม่ได้ทำน้ำอุจาด...อาจาด)
วันนี้เลยทำอีกรอบ แต่ไม่จิ้มกะอาจาด มาจิ้มซอสมะเขือเทศแทนก็โออยู่...แต่มันก็ยังเค็มอยู่ดี...ที่เล่าๆ มาเนี่ยอยากถามว่าจะทำยังไงดีคะ...อยากมีอะไรที่กินง่ายๆ กับผักสดหรือนึ่งโดยที่ไม่ต้องกินกะข้าวน่ะคะ...ตอนนั่งพิมพ์อยู่เนี่ยขี้เกลือร่วงเป็นระยะๆ เลยค่ะ..
โดย: โจ [24 ม.ค. 53 14:02] ( IP A:115.67.16.7 X: )
Add to Facebook  Add to Twitter  Add to Multiply  Add to Google  Add to Blogger  Add to Live
ความคิดเห็นที่ 1
   เจ้ๆ พูดถึงเรื่องอาหารเค็ม เมื่อ 2 วัน คนงานทำหมูนึ่งหัวผักกาดให้กิน โอย อยากจะบอกว่า เกลือค่ะ เค็มติดตัวมาถึงวันนี้เลย (ขำเจ้บอกว่า ตอนนั่งพิมพ์อยู่เนี่ยขี้เกลือร่วงเป็นระยะๆ ลักษณะคล้ายๆกันเลย ส่วนเราก็กินชาล้างท้องไปหลายวัน วันนี้ดีขึ้นหน่อย เดี่ยวว่าจะทำขนม เพราะท้องจะได้หายเค็มสักที) แบบว่า พี่ท่านเอาหัวผักกาดล้างน้ำไม่นาน จริงๆต้องแช่น้ำ แถมตอนมาผสมกับหมู ดันเติมเหลือลงไปอีก กินเสร็จ ก็มวนท้องเค็มมาหลายวันเลย มารอดูสูตรนะ ตอนนี้ขอตัวไปทำงานบ้านก่อนนะจ๊ะ แล้วจะแวะมาใหม่จ๊ะ
โดย: ชมพู่ [24 ม.ค. 53 14:40] ( IP A:81.227.34.68 X: )
ความคิดเห็นที่ 2
   เจ้ๆ เรื่องเมนูที่ถามมา ขอไปหาดูก่อนนะ ตอนนี้คิดไม่ออกอะ เพราะ ดึกมากเลย ตอนนี้ที่นี่ เที่ยงคืนกว่าแล้ว ขอตัวก่อนนะ พรุ่งนี้ นึกชื่อออกจะแวะมาบอกอีกทีจ๊ะ
โดย: ชมพู่ [25 ม.ค. 53 6:19] ( IP A:81.227.34.68 X: )
ความคิดเห็นที่ 3
   เข้ามายืนยันว่าจริง ก็ดูขนาดกินส้มตำดิ ยังต้องมีหวาน เค็ม เผ็ด เปรี้ยว เลย คนไทยชอบกินอาหารรสกลมกล่อมไง เลยต้องมีหวานด้วยเสมอไง อิอิ
โดย: ฟร้อน [25 ม.ค. 53 8:09] ( IP A:115.135.90.53 X: )
ความคิดเห็นที่ 4
   แอนน์ก็หนึ่งในไทยนั้นค่ะ ที่ชอบกินเค็มๆหวานๆ

แต่จะว่าไปเค็มเกินก็กินได้ไม่นานอีกนะคะ อย่างอาหารเช้าฝรั่ง อุดมไปด้วยของเค็มๆทั้งนั้นค่ะ เวลาเค้าเสิร์ฟเราก็ตาโต โห..เยอะดี จะกินให้หมด เอาเข้าจริงๆ มันเค็มค่ะ กินได้ครึ่งก็เริ่มกลืนไม่ลงแล้ว อิๆ

สรุปว่ามากไปก็ไม่ดีเนอะ แต่ส้มตำรสกลมกล่อมอย่างคุณฟร้อนท์ว่าเนี่ยเห็นด้วยมากๆเลยค่ะ คิดถึงส้มตำรสแซ่บที่เมืองไทยมากๆ ชอบหมดเกือบทุกประเภทเลยค่ะ
โดย: แอนน์..ครัวคาวบอย [25 ม.ค. 53 8:53] ( IP A:66.137.82.57 X: )
ความคิดเห็นที่ 5
   นักวิชาการโลกฟันธงแล้วชนิดอาหารก่อมะเร็ง

--------------------------------------------------------------------------------

บริโภค 'แกงเลียง' 'แกงเหลือง' ต้านโรคได้

โรคภัยที่คร่าชีวิตประชากรทั่วโลกมาเป็นอันดับ หนึ่งนั้นคือโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็งตามมาอยู่อันดับสอง หลายสิบปีมาแล้วที่วงการแพทย์ทั่วโลกพยายามหาสาเหตุของโรคมะเร็งแต่ละอวัยวะ เพื่อหาแนวทางป้องกันและแก้ไข เพื่อสรุปให้ได้ข้อชัดเจนเสียทีว่าการบริโภคหรือระบบโภชนาการของมนุษย์โลก เป็นสาเหตุของมะเร็งแต่ละชนิดได้แค่ไหน ล่าสุดหน่วยงาน เวิลด์ แคนเซอร์ รีเสิร์ช ฟัน (World Cancer Research Fund) ร่วมกับ อเมริกัน อินสติติว ฟอร์ แคนเซอร์ รีเสิร์ช (American Institue for Cancer Research) ได้ตัดสินและสรุปงานวิจัยกว่า 7,000 เรื่องที่ศึกษาวิจัยความสัมพันธ์ของอาหาร การออกกำลังกาย ภาวะน้ำหนักเกิน และความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง โดยผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก

ชนิ พรรณ บุตรยี่ นักวิชาการจากสถาบัน โภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้นำงานวิจัยนี้มาบรรยายในงานประชุมเรื่อง “ความท้าทายทางพิษวิทยาในศตวรรษที่ 21” ว่า งานวิจัยใช้ระยะเวลาสรุปผล 5 ปี โดยนำงานวิจัยขนาดใหญ่ที่ใช้กลุ่มตัวอย่างมากสุด ถึง 100,000 คน และบางชิ้นมีการเก็บข้อมูลนานนับ 10 ปี ใช้เงินทำวิจัยมหาศาล จึงจัดเป็นงานวิจัยที่น่าเชื่อถือและยึดเป็นข้อมูลทางวิชาการได้ ถือเป็นข้อบ่งชี้ที่แน่ชัดแล้ว โดยเน้นเรื่องการกินและการออกกำลังกายเป็นหลัก แบ่งเป็น 3 ระดับ ระดับแรกเป็นข้อบ่งชี้ที่แน่นอน เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับอาหาร วิถีชีวิต การออกกำลังกาย สิ่งแวดล้อม โดยพบว่าการดื่มแอลกอฮอล์จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้า นม ทั้งวัยหมดประจำเดือนและก่อน มีประจำเดือน มะเร็งช่องปาก คอหอย กล่องเสียง หลอดอาหาร ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก (เฉพาะผู้ชาย) มีไขมันในร่างกายเกินจากค่าดัชนีมวลกายหลังจากอายุ 21 ปีไปแล้ว เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมหลังหมดประจำเดือน มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับอ่อน มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งไต และเนื้อเยื่อบุมดลูก นอกจากระดับไขมันที่เป็นส่วนเกินแล้วยังแยกย่อยออกมาอีกว่า คนที่อ้วนลงพุง มีความเสี่ยงสูงต่อมะเร็งลำไส้และทวารหนัก

สำหรับอาหารที่คลาง แคลงใจกันมานานพวกเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ในงานวิจัยนี้ฟันธงออกมาอย่างแน่ชัดแล้วว่าการ บริโภคเนื้อแดง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อวัว แกะ แพะ ในปริมาณที่สูงเกินจะก่อมะเร็งลำไส้ มีคำแนะนำให้บริโภคเพียงสัปดาห์ละครึ่งกิโลกรัม ควรหันมาบริโภคเนื้อสีขาว อย่างเนื้อไก่ หมู หรือปลา รวมทั้งเนื้อสัตว์ที่ผ่าน กระบวนการปรุงแต่ง ไม่ว่าจะเป็นไส้กรอก แฮม เบคอน อาหารเหล่านี้ต้อง รมควัน บางครั้งต้อง ปรุงรส ใช้เคมีเพื่อให้สี รสชาติและมวลของอาหารอยู่ครบ เป็นอาหาร ที่กินแล้วก่อมะเร็งเช่นกัน ที่น่าตกใจพบว่าการ บริโภคเบต้าแคโรทีน ในรูปแบบอาหารเสริม จะเร่งให้เกิดมะเร็ง แต่ เบต้าแคโรทีนจะให้ผล ต่อร่างกายสูงสุดเมื่อ บริโภคผักผลไม้สด ๆ ที่มีสารเหล่านี้ ประเภทผลไม้สีเหลือง เช่น มะละกอ มะม่วง แครอท

ขณะเดียวกันเมื่อมนุษย์ขึ้นสู่วัยหนุ่มสาวออก กำลังกายแบบแอโรบิก ที่ทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดอย่างสม่ำเสมอวันละ 30 นาทีจนเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ จะช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งเต้านม (โดยเฉพาะหญิงวัยหมดประจำเดือน) และมะเร็งเนื้อเยื่อบุมดลูก นอกจากนี้ผลวิจัยเป็นที่แน่นอนแล้วว่าแม่ควรให้นมลูกและเด็กทารกควรที่จะได้ รับน้ำนมแม่ สามารถ ลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมทั้งก่อนและหลังหมดประจำเดือน ทั้งนี้ควรให้นมแม่อย่างเดียวตั้งแต่แรกคลอดจนถึง 6 เดือนโดยไม่มีการให้อาหาร หรือเครื่องดื่มใด ๆ เลย รวมทั้งน้ำด้วย





ต่อมาข้อสรุปลำดับที่ 2 เรียกว่าเป็นที่แน่นอนบ่งชัดเจนหากเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ในข้อนี้ 80 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ในข้อแรกเชื่อได้ 90 เปอร์ เซ็นต์ ในข้อนี้เน้นหนักด้านอาหารพบว่าการบริโภคผักใบ ลดความเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งช่องปากคอหอย กล่องเสียง หลอดอาหาร ผักกลุ่มหอมป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหาร การบริโภคผลไม้ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปอด ช่องปาก คอหอย กล่องเสียง มะเร็งหลอดอาหาร

ลำดับที่ 3 ลดหลั่นเป็นเปอร์เซ็นต์ลงมาภายใต้เงื่อนไขเดียวกันคือความสัมพันธ์ของอาหาร วิถีชีวิต ในข้อนี้เรียกว่ามีความเป็นไปได้พบว่าการบริโภคอาหารที่มีไลโคปีน ซึ่งมีมากในมะเขือเทศลดความเสี่ยงต่อมะเร็งต่อมลูกหมาก

นัก วิชาการคนเดิมจากสถาบันโภชนาการ ม.มหดิล บอกอีกว่า แม้สารไลโคปีนจะมีมากในมะเขือเทศแต่ถ้าไม่ทำให้มะเขือป่นละเอียดบริโภคไป ร่างกายก็ไม่ได้ รับสารไลโคปีนอยู่ดี ดังนั้นการบริโภคมะเขือเทศสด แบบชิ้น ๆ กับการบริโภคซอสมะเขือเทศอย่างหลังได้รับ ไลโคปีนมากกว่า นอกจากในงานวิจัยเรื่องการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อป้องกันมะเร็ง นักวิชาการทั่วโลกแนะนำว่าไม่ควรบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อป้องกัน มะเร็ง เว้นแต่เจ็บป่วยหรือมีภาวะขาดสารอาหารบางอย่าง

ปัจจุบัน พฤติกรรมการกินอาหารของคนไทยเปลี่ยนไปโดยเฉพาะกลุ่มเด็กและคนวัยหนุ่มสาว บริโภคเนื้อสัตว์มากขึ้น ที่เห็นได้ชัดจากวัฒน ธรรมการกินอาหารบุฟเฟ่ต์ ร้านเนื้อย่างหมูกระทะต่าง ๆ สอดคล้องกับงานวิจัยนี้ ข้อแนะนำของการกินเพื่อต้านมะเร็งในแบบไทยซึ่งแม้งานวิจัยยังไม่ได้ถูกเลือก จากนักวิชาการ เพราะเป็นงานวิจัยขนาดเล็ก ตามอัตภาพของทุนที่มี แต่น่าชื่อถือและนำไปใช้ได้

ในงานประชุมดังกล่าวข้างต้น ดร.สมศรี เจริญเกียรติกุล นักวิชาการจากสถาบันเดียวกัน ได้เผยแพร่ผลการศึกษาเรื่อง “ศักยภาพต้านมะเร็งของตำรับอาหารไทย”

ดร.สมศรี กล่าวว่า ได้ศึกษาเรื่องนำสมุนไพรต่างชนิดมาทำเป็นน้ำพริกแกงต่าง ๆ ได้ทดลองสารสกัดของน้ำพริกแกง 4 ชนิด ได้แก่ น้ำพริกแกงป่า แกงเลียง แกงส้ม แกงเหลือง และน้ำต้มยำนำมาเลี้ยงเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว พบว่าน้ำแกงป่า น้ำแกงเลียง และน้ำแกงส้มมีศักยภาพให้เซลล์มะเร็งตายแบบธรรมชาติที่ไม่ส่งผลกระทบต่อ เซลล์อื่นในร่างกาย ได้มากถึง 45 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่แกงเหลืองทำให้เซลล์มะเร็งตายแบบธรรมชาติเพิ่มขึ้นอีก 15 เท่าเมื่อเทียบกัน ดีกว่าการใช้ยาถึง 2 เท่า สมุนไพรสำคัญในเครื่องแกงน่าจะมาจากกระเทียมและพริกรวมทั้งสมุนไพรอื่น ๆ

จากงานวิจัยนี้สรุปได้ว่าการบริโภคอาหารที่เป็นสำรับแบบไทย อาทิ แกงเลียงกุ้งสด ห่อหมกใบยอ ไก่ผัดเม็ดมะม่วง ข้าวสวย หรือ สำรับ ข้าวเหนียว ส้มตำใส่ แครอท ไก่ทอดสมุนไพร ต้มยำ จะมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็ง

สอดรับกับงานวิจัยระดับโลกที่ว่าอาหารการกินเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนห่างไกลมะเร็งได้อยู่.
[B>
https://board.palungjit.com/f9/นักวิชาการโลกฟันธงแล้วชนิดอาหารก่อมะเร็ง-224297.html
โดย: .......... [25 ม.ค. 53 11:14] ( IP A:58.10.6.66 X: )
ความคิดเห็นที่ 6
   ...สวัสดีทุกท่านครับ แวะเข้ามาทักทายครับ ผมทานได้ทุกรสครับ ขอให้มีให้ทานเป็นพอ
โดย: จินจง [25 ม.ค. 53 13:14] ( IP A:113.53.6.227 X: )
ความคิดเห็นที่ 7
   พูดถึงอาหารคาว (ไทย) ได้ยินเข้าหูอยู่ ทุกบ่อย ทุกบ่อย ว่ามักจะออกหวาน อยู่เรื่อย

ผมก็เห็นด้วยว่าเป็นเช่นนั้น
แต่เรื่องเค็มนี่ยังไม่เท่ากับเรื่องหวาน

อาหารไทยจงเจริญ ที่ผมนี่ไม่เค็มนะครับ เพราะเค้าเกรงใจฝรั่ง แต่หวานนั้นไม่เกรงใจใครทั้งนั้น
โดย: Subu [27 ม.ค. 53 11:24] ( IP A:99.14.235.39 X: )
ความคิดเห็นที่ 8
   หวาน มัน เค็ม นี่คนส่วนใหญ่จะชอบค่ะคุณโจ เพราะกินแล้วรสชาติชวนติดตาม.....อยากให้อาหารขายดีต้องมีรสชาติพวกนี้อยุ่มาก ๆ แต่คนกินอาจจะอร่อยอยุ่ชั่วระยะหนึ่ง ต่อมาร่างกายอวัยวะส่วนต่าง ๆ อาจประท้วงทีหลัง อิอิ ต้นโอ๊คเองก็ชอบค่ะพวกรสชาติเหล่านี้ แถมมีเผ็ดเข้ามาเพิ่มอีก แต่ก็ลดหวาน ลดมัน มานานพอสมควรแล้วยังเหลือเค็มกับเผ็ดที่ลดมาได้ไม่มาก จริง ๆ เค็มไม่เท่าไรแต่ยังติดตรงที่เผ็ดค่ะ

ต้นโอ๊คเคยทำทอดมันหัวปลี....ใส่เครื่องแกงผสมเข้าไปแล้วใส่ไข่ ใส่น้ำปลาหน่อยตามด้วยใบโหระพา แล้วนำไปทอด ต้นโอ๊คว่าทอดปลาอินทรีย์ต่างหากแล้วกินเคียงกับหัวปลีทอดนั่นอาจจะช่วยลดเค็มได้บ้าง แต่แบบเค็มนี่ก็ต้องกินกับข้าวเนาะ.....แต่ส่วนตัวเห็นด้วยกับการกินรสชาติอ่อน ๆ นะคะ แต่อากาศมันร้อนบ้าง หนาวบ้าง เลยต่องขออาหารรสชาติตามสภาวะอากาศบ้าง แต่อาหารเค็ม ๆ บางทีก็ต้องมีของเคียง เช่นผักต้ม ผักลวก ผักนึ่ง พูดแล้วก็ชวนหิวปลาเค็ม ไม่เคยได้กินนานแล้ว..
โดย: ต้นโอ๊ค [28 ม.ค. 53 6:08] ( IP A:173.74.223.109 X: )

คลิกที่นี่เพื่อกลับหน้าบ้าน