หลับเป็นยา
   หลับเป็นยา
ตั้งแต่กลับมาอยู่เมืองไทย หนูดีก็เข้าคอร์สกิจกรรมแบบ “ตะวันออก” เพราะรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ขาดหายไปตลอดเกือบ 10 ปีที่จากบ้านไปอยู่อเมริกา



อันดับแรกๆคือการไปปฏิบัติธรรม และอย่างที่สอง สาม สี่ที่ตามมาคือ ไปเรียนฮวงจุ้ย ไปหาหมอแผนโบราณแบบไทย จีน รวมถึงไปฝังเข็ม เริ่มกินสมุนไพรแบบต่างๆ อยู่เมืองนอกถึงมีก็จริง แต่สิ่งเหล่านี้หายากเกินไปและราคาก็แพงไปสำหรับกระเป๋านักเรียนแบบหนูดีตอนนั้น พอได้ทำ อีกสิ่งที่สนุกตามมาก็คือ การนำข้อมูลที่ได้เห็นตรงหน้า มาเปรียบเทียบกับสิ่งที่เราได้เรียนมาแบบตะวันตก

หนูดีเลยรู้สึกเหมือนตัวเองมีสองสมองอยู่ตลอดเวลา หนึ่งคือสมองแบบตะวันตก อีกหนึ่งคือสมองแบบตะวันออก ไม่ว่าจะเห็นอะไร หนูดีจะเริ่มด้วยมุมมองหนึ่ง แล้วไปจบด้วยอีกมุมมองหนึ่งเสมอ หลายครั้งก็ได้ขำกับตัวเองว่า โลกใบเดียวกันนี้ ทำไมมันช่างมีหลายวิธีที่จะมองได้เสียจริงเชียว หรือ บางครั้งก็ได้งงว่า ความเชื่อของตะวันออก ทำไมช่างไปตรงกับงานวิจัยทางตะวันตกเหมือนนัดกันไว้ ทั้งๆความจริงสองสิ่งนี้ถูกคั่นกันด้วยเวลาหลายร้อยปีๆ

ล่าสุด หนูดีเพิ่งไปตรวจร่างกายในแบบจีนโบราณมาค่ะ หมอใช้วิธีจับเส้นพลังปราณ หรือ “การแมะ” นั่นเอง หมอแมะทักหนูดีหลายอย่าง ตรงกับที่ไปตรวจที่โรงพยาบาลมาทั้งหมด แถมยังทักเพิ่มเติมถึงพลังของตับที่อ่อนแรง รวมถึงหัวใจที่เริ่มทำงานได้ไม่เต็มที่ด้วย ทำให้เหนื่อยง่าย บางครั้งนั่งๆอยู่ ไม่ทำอะไรก็เหนื่อยขึ้นมาเฉยๆ ซึ่งตรงเป๊ะกับความรู้สึกของหนูดี รวมถึงเลือดที่ไม่แข็งแรงเท่าที่ควร อุ้มออกซิเจนได้ไม่ดี ทำให้สมองได้ออกซิเจนไม่พอกับที่ต้องการ ส่งผลให้ปวดหัวง่ายอีกด้วย

หนูดีฟังทั้งหมดด้วยความงงๆ รีบจดให้ทันจะได้เอามาอ่านต่อที่บ้านได้ คุณหมอสั่งยาลูกกลอนจีนให้กิน มีโสมธิเบตต่างหากด้วยเป็นแคปซูล รวมถึงกำชับว่า ให้นอนหลับกลางวันระหว่าง 12.40-13.00 ให้ได้ คือ รับประทานอาหารเที่ยงเสร็จก็ให้หลับเลย เพราะเป็นเวลาที่พลังงานร่างกายไปหล่อเลี้ยงหัวใจ และเป็นเวลาฟื้นฟู “หยินทารก” หรือ พลังงานหยินที่เพิ่งเริ่มก่อตัวขึ้นมา ถ้านอนตอนนี้แล้ว จะไม่สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกตี1 ตี 2 แล้วตาค้างจน ตี 4 ตี 5 ถึงหลับลงอีกครั้ง

ฟังแล้วชักอยากรู้ว่า นี่เป็นความเชื่อแบบจีนเท่านั้นหรือ แล้วมีหมอตะวันตกท่านไหนไหมที่ได้ทำวิจัยเรื่องนี้บ้าง ในที่สุด ก็มาพบข้อมูลในหนังสือ Take a Nap! Change Your Life. โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ชื่อ ดร. ซาร่า ซี เมดนิค ที่ได้ทำวิจัยกับกลุ่มคนที่นอนกลางวันอย่างสม่ำเสมอ และพบว่า คนเหล่านี้มีการทำงานของสมองที่มีประสิทธิภาพกว่าคนทั่วไปที่ไม่ได้นอนกลางวัน

ตัวอย่างหนึ่งคือ ความเชื่อเรื่อง “ความจำ” จากงานวิจัยในอดีตที่เคยให้คนสองกลุ่มเข้ามาในห้องทดลองและอ่านข้อมูลชุดหนึ่งเพื่อให้จำให้ได้ หลังจากนั้น ให้กลุ่มแรกทำข้อสอบทดสอบความจำในทันทีหลังอ่านเสร็จ ส่วนกลุ่มที่สองนั้น ให้กลับไปนอนหลับที่บ้านก่อนหนึ่งคืน แล้ววันรุ่งขึ้นค่อยมาทำข้อสอบ พบว่า กลุ่มที่สองได้คะแนนสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ แล้วก็เลยกลายเป็นความเชื่อสามัญประจำบ้านมานานปีว่า การนอนหลับสนิทในตอนกลางคืนช่วยให้สมองทำงานได้ดี และจำได้ดีขึ้นมาก

ดร. เมดนิคได้นำการวิจัยนี้มาทดลองทำซ้ำ แต่คราวนี้ ไม่ให้กลุ่มที่สองกลับไปนอนที่บ้านค่ะ แต่ว่า ให้นอนหลับแค่หนึ่งชั่วโมง ที่เก้าอี้นวมตรงห้องวิจัยนั่นเอง ผลก็ออกมาใกล้เคียงมากกับการนอนหลับตอนกลางคืน คือ กลุ่มที่ได้นอนกลางวันก่อน ทำข้อสอบได้คะแนนดีกว่ากลุ่มที่อ่านแล้วสอบเลยมาก

หนังสือเล่มนี้อ่านแล้วสนุกค่ะ เพราะได้รวบรวมเอางานวิจัยเกี่ยวกับการนอนกลางวันไว้มากมาย ในงานชิ้นหนึ่งองค์กรนาซ่าได้ทดลองให้พนักงานกลุ่มหนึ่งนอนกลางวันเป็นเวลาประมาณ 30 นาที แล้วพบว่า พนักงานมีประสิทธิผลการทำงานเพิ่มขึ้น 13 เปอร์เซ็นต์ ส่วนบริษัท TRC Lowney Associates แห่ง Silicon Valley ซึ่งเป็นบริษัทวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมหัวก้าวหน้า ได้มีนโยบายให้พนักงาน “นอนกลางวัน” ได้มาตั้งแต่ปี พศ. 2512 ตราบใดที่พวกเขาทำงานเสร็จอย่างมืออาชีพตามเวลาที่กำหนด โดยบริษัทจัดห้องแยกพิเศษที่มีโซฟานุ่มยาวจำนวนมาก ไว้สำหรับพนักงานแยกไปนอนกลางวันก่อนกลับมาทำงานช่วงบ่ายต่อ

น่าเสียดายที่ในสหรัฐอเมริกานั้น National Sleep Foundation หรือ องค์กรการนอนหลับแห่งชาติ ได้ตรวจสอบพบว่า กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของบริษัทในอเมริกาไม่ยอมรับการนอนกลางวัน แต่ศาสตราจารย์ เจมส์ แมส แห่งมหาวิทยาลัยคอร์เนล ผู้เขียนหนังสือขายดี Power Sleep ประมาณการว่า พนักงานอย่างน้อย 40 เปอร์เซ็นต์แอบนอนกลางวันโดยไม่มีใครรู้อยู่ดี น่าเสียดายนะคะ เพราะการนอนนั้น ดูอย่างไรก็เหมือนสนับสนุนให้พนักงานขี้เกียจ ทั้งที่ความจริงสิ่งนี้ดีกับสมองจังค่ะ

สำหรับผู้ใหญ่อย่างพวกเรา การนอนกลางวันประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง ช่วยให้ร่างกายไม่เคร่งเครียดเกินไปในเวลากลางวัน ทำให้เราได้พลังงานสดชื่น พร้อมจะทำงานต่อในตอนบ่าย และที่สำคัญจะช่วยให้เราไม่ตื่นขึ้นมาตาค้างแข็งในช่วงหลังเที่ยงคืนด้วยค่ะ ช่วยให้เราหลับต่อเนื่องได้ตลอดคืน ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นมากสำหรับคนทำงานหนักในระหว่างวัน

ช่วงนี้ใครมีเวลาอยู่บ้านในวันหยุด ไม่ได้ไปไหน ก็ลองนอนกลางวันดูนะคะ ไม่ต้องรู้สึกผิดว่าเราขี้เกียจ เพราะพอตื่นขึ้นมาครั้งนี้ รับรองว่าคุณจะมีแรงทำงานไปได้เต็มที่จนเกือบหนึ่งทุ่มทีเดียว แต่อย่างไรก็ดี หมอแนะนำหนูดีว่า รับประทานอาหารเย็นหกโมง แล้วพักได้แล้วค่ะ อย่าลากงานยาวไป เดี๋ยวตาค้าง นอนไม่หลับอีกล่ะแย่เลย

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หากใครคิดจะนอนกลางวันล่ะก็ ขอให้หลับฝันดีนะคะ

โดย : หนูดี-วาริษา เรซ
โดย: โจ [22 ส.ค. 53 15:07] ( IP A:1.47.210.250 X: )
Add to Facebook  Add to Twitter  Add to Multiply  Add to Google  Add to Blogger  Add to Live
ความคิดเห็นที่ 1
   เรื่องนี้เห้นด้วยกับคุณโจและผู้เขียนอย่างยิ่งเลยค่ะ เพราะส่วนตัวแล้วแล้วเป็นพวกไฮเปอร์ นั่งเฉย ๆ ยืนเฉย ๆ นอนเฉย ๆ ไม่เป็น ต้องทำโน่นทำนี่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา และนอนน้อย...จนพ่อบ้านดุเลยค่ะ เขาบอกว่ารู้ไหมว่าการนอนไม่พอนั้นเป็นอันตรายมากขนาดไหน นอนก็ควรจะนอนหลับให้สนิทให้ต่อเนื่องไม่ใช่หลับ ๆ ตื่น ๆ เวลาอ่านหนังสืออะไรเจอเกี่ยวกับหัวข้อเรื่องข้อดีของการนอนหลับที่พอเพียงที่ถูกต้องนี่จะเอามาวางที่เก้าอี้ต้นโอ๊คให้ต้นโอ๊คอ่านเสมอ จริง ๆ พ่อบ้านเพิ่มเอารายละเอียดของอีกหัวข้อหนึ่งที่พูดถึงเรื่องการนอนหลับมาให้อ่านแต่อ่านไปนิดเดียวเอง อิอิ
โดย: ต้นโอ๊ค [23 ส.ค. 53 6:01] ( IP A:71.252.144.51 X: )
ความคิดเห็นที่ 2
   นอนเที่ยงคืน ตื่น 6 โมง เช้า บางวันก็ตี 1 ประจำเลยค่ะ แถมไม่มีการงีบระหว่างวันด้วยค่ะ กลับบ้านมาก็วิ่งทำโน่นทำนี่ทำหลายอย่างแต่ไม่ค่อยเสร็จ พอจะให้ทำอย่างเดียวใจก็จะไปนึกถึงอีกอย่างเรื่อยเลยค่ะ นี่เลยเป็นสาเหตุให้เข้าวัดบ่อยๆ อยากจับลิงในใจให้อยู่นิ่งๆมั่ง คุณต้นโอ๊คขนาดพ่อบ้านดุ ยังหลับไม่ลง นี่อยู่คนเดียวมีไรให้ทำเยอะเปิดไฟทั้งคืนก็ไม่มีใครว่า แต่ถ้าพ่อบ้านอยู่เกรงใจเค้าก็ต้องนอนเร็ว คือถ้าไม่สวดมนต์ด้วยเค้าจะรอ ไม่งั้นไม่หลับ ต้องสวดมนต์ก่อนนอนทุกคืนด้วย พอสวดมนต์แล้วต้องนอนหลับเลย ถ้าไม่หลับก็จะเดินต๊อกๆ ลากยาวตี สองตีสามโน่นเลยค่ะ ช่วงหลังๆนี่ก็ปล่อยไม่พยายามคิดเรื่องงานก่อนนอน เอารูปหมาน้อยแปะติดข้างที่นอนมองไปมองมาหลับป๊อกเลยค่ะ นึกถึงตอนวิ่งไล่จับก็ยังเหนื่อยจนหลับเลยค่ะ แหะๆ ยานอนหลับอย่างดี....
โดย: โจ [23 ส.ค. 53 12:24] ( IP A:119.42.94.139 X: )
ความคิดเห็นที่ 3
   สวัสดีค่ะเจ้โจอี้ และคุณโก๊ะ

มาบอกว่า ช่วงที่ผ่านมา 3 ปี ต้องพึ่งยานอนหลับตลอด แต่เมื่อ 3 อาทิตย์ที่ผ่านมา รู้สึกว่า ร่างกายไม่ไหวแล้ว พอดีมาปวดหลังมากๆ หมอให้ยาอีก เลย ต้องลดยา ก็เลิกกินยานอนหลับ แล้วพยายาม ทำสมาธิ กินยาแก้ปวดที่คิดว่าไม่แรงแทน ยาที่หมอให้มา วางไว้ก่อน ตอนนี้ หลับได้ 5 ถึง 6 ชม. ดีใจมากๆ (เคาะโต๊ะ3ทีก่อนนะ) เราก็ไฮเปอร์ ถ้าทำอะไรค้างไว้ แล้วใจมันเหมือนกับว่า ต้องทำให้เสร็จ บางวัน ทำเลยไปถึง ตี1 ก็มี แต่ช่วงหลังๆ สุขภาพไม่ไหว นั่ง นานๆ เดิน นานๆไม่ได้(นานนี่หมายถึง 15 นาทีประมาณนี้นะ) หมอห้ามด้วย นี่เพื่อนก็แนะนำไปฝังเข็ม ยังลังเลอยู่เลย (ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันไปพึ่งหมอนวดกด กระดูกของฝรั่ง หมดไปหลาย แถม กลับมาบ้าน ปวดมากกว่าเดิมอีกเลยเลิกไป) ว่าจะไปพึ่งหมอนวดไทย แต่ก็ยังไม่ว่างเลย งานมันมากมาย งงกับตัวเองว่าวันๆ เวลามันหมดไปเร็วจัง เพราะ งานมันไม่เสร็จสักที งานเก่า ยังค้าง แตก็ใกล้ๆแล้ว แต่งานใหม่ เพิ่มมาเรื่อยๆ พิมพ์ไป นั่งถอนหายใจ แถมช่วงหลัง นั่งนานไม่ได้ นั่งไป เดินไป อะไรก็แล้วแต่ ขอให้นอนหลับ 6 ชม. แค่นี้เราก็พอใจแล้วนะ อยากนอนกลางวัน แต่คงเป็นไปไม่ได้ เพราะ ต้องทำงาน เห็น คนเฒ่าคนแก่ บอกว่า ให้นอนกลางวัน ถึงไม่หลับก็ไม่เป็นไร ให้หลับตาก็ได้ สัก 20 นาที มันเหมือน ให้ร่างกายได้ พักผ่อน พักสมองให้เลือดหมุนเวียน มันเป็นการช่วยได้มากๆเลยละ ไงเราก็มาสนับสนุนว่าการนอนให้หลับ เป็นยา ช่วยให้ร่างกายไม่เจ็บป่วย และไม่แก่ง่ายด้วยจ๊ะ
ปล.คุณโก๊ะโชคดี มากๆมีพ่อบ้าน ที่ดีเอา ใส่ใจเรื่องสุขภาพ ถ้ามีคนมาดูแลเอาใจใส่ ก็เหมือนกับได้ยาดีไปครึ่งหนึ่งแล้วค่ะ
โดย: ชมพู่ [24 ส.ค. 53 11:09] ( IP A:81.227.32.230 X: )
ความคิดเห็นที่ 4
   ...สวัสดีทุกท่านครับ แวะเข้ามาทักทายครับ "สั้นๆครับ คนเราต้องรู้จักปล่อยวาง อย่าไปยึดติดให้มันมากนักครับ"
โดย: จินจง [1 ก.ย. 53 11:32] ( IP A:182.52.162.254 X: )

คลิกที่นี่เพื่อกลับหน้าบ้าน