น้องหมาเป็นเรื้อนอย่างรุนแรง ค่ารักษาเป็นแสน
   ได้บลุเทอร์เรียสีขาว กับ พิทบลูสีดำ สองตัว น้องไปร์บลูเทอเรีย เบลล่า พิทบลู ขี้เรื้อนกินด้วยกันทั้งคู่ ตั้งแต่ สามเดือน น้องไปร์เป็นก่อน ตอนนี้ทั้งคู่อายุเกือบๆ จะขวบอยู่แล้ว ใช้ยาปฏิชีวนะ และยาน้ำใสๆ เหนียวๆ ไม่รู้เขาเรียกว่าอะไร มาตั้งแต่สามเดือน ณ ปัจจุบันยังไม่หาย เปลี่ยนคลีนิค สี่ที่แล้ว อาการขนหลุด ขนขึ้นไม่ทั่วตัว เป็นๆ หายๆ สามครั้งเห็นจะได้ อ่อนอกอ่อนใจเหลือเกิน เพราะเป็นที ขนร่วงที ครั้งสุดท้ายถึงกับไปอยู่ที่โรงพยาบาล สามเดือน ผลลัพท์คือ ขนขึ้นมาครึ่งตัว เหลือที่หน้า ท้อง และขา น้องไปร์เหมือนหมูสีชมพู ส่วนเบลล่า เหมือน น้องดำหน้าด่าง จะทำยังไงดี ค่ารักษาแพงมาก ลองทุกแขนงแล้ว หมอก็แนะนำให้ดูว่าน้องหมาแพ้อะไรที่บ้าน ก็ระวังยิ่งกว่าลูกเสียอีก ยิ่งยาปฏิชีวนะ กินทุกแขนงเห็นจะได้ เคยให้สมุนไพรรักษา น้ำมันมะพร้าว ผสมกำมะถันก็ไม่ได้ผล กลุ้ม สุดๆ เคยคิดว่า อาจจะต้องให้น้องหมาหลับไปเสีย เพราะทนรักษาค่าใช้จ่ายไม่ไหว อยู่โรงพยาบาลสามเดือน เหลืออีกหมื่นเดียวก็จะครบแสน ถ้าร่วมค่าใช้จ่ายสี่ครีนิค ร่วมตั้งแต่ซื้อมาก็สองแสนกว่าๆ ทั้งคู่เป็นหมาน่ารักสุดยอด ไม่เคยรุ้สึกว่าตัวเองมีปัญหาเรื่องผิวหนัง แต่เจ้าของกลุ้มใจ จนเครียดด้วยกันทั้งคู่ ทำยังไงดี ถึงจะหาย กลายเป็นหมาปรกติเสียที ไม่อยากที่จะเลือกวิธีสุดท้าย แต่ก็จนปัญญา แค่คิดก็นอนร้องไห้ทุกวัน แต่สู้ค่ารักษาไม่ไหวจริง ใครมีวิธีบอกไหนเถอะ ทำยังไงดี
โดย: aum_dang@hotmail.com [4 ก.พ. 50] ( IP A:203.156.118.191 X: )
Add to Facebook  Add to Twitter  Add to Multiply  Add to Google  Add to Blogger  Add to Live
ความคิดเห็นที่ 1
   ลองเปลี่ยนมาใช้น้ำยาชีวภาพอาบนะคะ ที่บ้านเป็นมากเหมือนกันเปื่อยทั้งตัว และกลิ่นไม่ดีเลย หมดค่ารักษาไปเยอะ แต่พอตอนหลังได้อาบน้ำที่ผสมกับน้ำยาชีวภาพแล้วดึขึ้นค่ะ กลิ่นก็ไม่มี แผลค่อยๆ แห้ง น้องหมาก็ไม่ค่อยคันค่ะ อาบ 3-4 วันครั้ง ไม่ต้องใช้แชมพูหรือสบู่อาบก่อนให้ล้างตัวน้ำเปล่าแล้วอาบน้ำที่ผสมกับน้ำยาชีวภาพ ปล่อยให้แห้งเองไม่ต้องเช็ดตัว จะเห็นว่าได้ผลดีค่ะ ไงลองดูนะคะ
โดย: buddy [4 ก.พ. 50 11:04] ( IP A:203.144.187.18 X: )
ความคิดเห็นที่ 2
   ความเห็นเหมือนท่านที่หนึ่งครับคุณ AUM. น่าจะลองดูนะครับ
โดย: MARCRO [4 ก.พ. 50 15:53] ( IP A:125.24.56.55 X: )
ความคิดเห็นที่ 3
   
น้ำสกัดชีวภาพ (EM) มากประโยชน์สำหรับสุนัข
เจ้าบ้านได้มีโอกาสคุยกับป้าวิ เจ้าของบ้านคนรักเชพเพอด https://home-of-gsdlovers.pantown.com
ซึ่งท่านเป็นผู้ที่มีความรู้ ทำให้ทราบถึงประโยชน์อันมากมายของน้ำสกัดชีวภาพ เราแทบไม่ต้องใช้สารเคมีกับเจ้าตูบแสนรักของเราเลย หากได้ลองใช้น้ำสกัดชีวภาพ เริ่มกันเลยดีกว่าไหม

น้ำสกัดชีวภาพคืออะไร
ใคร ๆ เขาก็เรียกย่อ ๆ สั้น ๆ กันว่า อีเอ็ม EM (Effective Microorganisms) คือของเหลว ที่เกิดจากการหมักนี้ เป็นแบบของสกัดน้ำเลี้ยงจากเซลล์ด้วยน้ำตาล น้ำเลี้ยงที่สกัดได้จะถูกจุลินทรีย์ดำเนินกระบวนการ หมักแบบไม่ต้องการอากาศ เป็นการสกัดน้ำเลี้ยงจากเซลล์ทางชีวภาพ (BIOEXTRACT : BE) จึงเรียกว่า "น้ำสกัดชีวภาพ"

โดย: เจ้าบ้าน [19 ต.ค. 47 6:58> ( IP A:203.146.98.20 X: )

--------------------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็นที่ 1
ความเป็นมา
- ความหมายของน้ำสกัดชีวภาพ
น้ำสกัดชีวภาพ หรือ น้ำหมักชีวภาพ หรือ ปุ๋ยอินทรีย์ เป็นคำที่มีความหมายเดียวกัน คือ เป็นสารละลายเข้มข้นที่ได้จากการหมักเศษพืชหรือสัตว์จะถูกย่อยสลายด้วยจุลินทรีย์ โดยใช้กากน้ำตาลเป็นแหล่งพลังงานของจุลินทรีย์ การหมักมีสอบแบบ คือ หมักแบบต้องการออกซิเจน (หมักแบบเปิดฝา) และหมักแบบไม่ต้องการออกซิเจน (หมักแบบเปิดฝา) สารละลายเข้มข้นอาจจะมีสีน้ำตาลเข้มกรณีที่ใช้กากน้ำตาลเป็นตัวหมัก หรือมีสีน้ำตาลอ่อนเมื่อใช้น้ำตาลชนิดอื่นเป็นตัวหมัก ซึ่งถ้าไม่ผ่านการหมักที่สมบูรณ์แล้วจะพบสารประกอบพวกคาร์โบไฮเดรท โปรตีน กรดอะมิโน ฮอร์โมนเอ็นไซม์ ในปริมาณที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่ใช้ (พืชหรือสัตว์)
จุลินทรีย์ที่พบในน้ำสกัดชีวภาพหรือน้ำหมักชีวภาพ หรือปุ๋ยอินทรีย์น้ำ มีทั้งที่ต้องการออกซิเจน และไม่ต้องการออกซิเจน มักเป็นกลุ่มแบคทีเรีย Bacillus sp., Lactobacillus sp., Streptococus sp., นอกจากนี้ยังอาจพบเชื้อรา ได้แก่ Aspergillus niger, Pe4nnicillium, Rhizopus และ ยีสต์ ได้แก่ Canida sp.

โดย: เจ้าบ้าน [19 ต.ค. 47 6:59> ( IP A:203.146.98.20 X: )

--------------------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็นที่ 2
คุณลักษณะดีเด่นของเทคโนโลยี
คุณสมบัติทั่วไปของน้ำสกัดชีวภาพ
- น้ำสกัดชีวภาพมีคุณสมบัติโดยทั่วๆ ไป มีดังนี้
- มีค่า pH (ความเป็นกรดเป็นด่าง) อยู่ในช่วง 3.5 - 5.6 ปฏิกิริยาเป็นกรดถึงกรดจัด ซึ่ง pH ที่เหมาะสมกับพืชควรอยู่ในช่วง 6 - 7
- ความเข้มข้นของสารละลายสูง โดยค่าของการนำไฟฟ้า (Electrical conductivity , E.C) อยู่ระหว่าง 2 - 12 desicemen / meter (ds / m) ซึ่งค่า E.C ทีเหมาะสมกับพืชควรจะอยู่ต่ำกว่า 4 ds / m
- ความสมบูรณ์ของการหมัก พิจารณาจากค่า C / N ration มีค่าระหว่าง 1 / 2 - 70 / 1 ซึ่งถ้า C / N ratio สูง เมื่อนำไปฉีดพ่นบนต้นพืชอาจแสดงอาการใบเหลืองเนื่องจากขาดธาตุไนโตรเจนได้
- ปริมาณธาตุอาหาร ธาตุอาหารหลัก (N,P,K)
- ไนโตรเจน (% Total N) ถ้าใช้พืชหมัก พบไนโตรเจน 0.03 - 1.66 % แต่ถ้าใช้ปลาหมักจะพบประมาณ 1.06 - 1.70 %
- ฟอสฟอรัส ( % Total P2 O5 ) ในน้ำหมักจากพืชจะมีตั้งแต่ไม่พบเลยจนถึง 0.4 % แต่ในน้ำหมักจากปลาพบ 0.18 - 1.14 %
- โพแทสเซียมที่ละลายน้ำได้ (% Water Soluble K2 O) ในน้ำหมักพืชพบ 0.05 - 3.53 % และในน้ำหมักจากปลาพบ 1.0 - 2.39 %
ธาตุอาหารรอง (Ca, Mg,S)
- แคลเซียม ในน้ำหมักจากพืชพบ 0.05 - 0.49 % และน้ำหมักจากปลาพบ 0.29 - 1.0%
- แมกนีเซียมและซัลเฟอร์ ในน้ำหมักจากพืชและปลาพบในปริมาณที่ใกล้เคียงกัน คือ 0.1- 0.37 %
ธาตุอาหารเสริม
- เหล็ก ในน้ำหมักจากพืชพบ 30 - 350 ppm. และน้ำหมักจากปลาพบ 500 - 1,700 ppm.
- คลอไรด์ น้ำหมักจากพืชและปลามีปริมาณเกลือคลอไรด์สูง 2,000 - 11,000 ppm.
- ธาตุอาหารเสริมอื่นๆ ได้แก่ แมงกานีส ทองแดง สังกะสี โบรอน และโมลิบดินัม น้ำหมักทั้งจากพืชและปลาพบในปริมาณน้อย มีค่าตั้งแต่ตรวจไม่พบเลย ถึง 130 ppm.


โดย: เจ้าบ้าน [19 ต.ค. 47 7:00> ( IP A:203.146.98.20 X: )

--------------------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็นที่ 3
ข้อควรระวังในการทำน้ำสกัดชีวภาพ
1. ในระหว่างการหมักห้ามปิดฝาภาชนะที่ใช้หมักโดยสนิท เพราะจะทำให้ระเบิดได้ เนื่องจาก ระหว่างการหมักเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ก๊าซมีเทน ฯลฯ
2. หากมีการใช้น้ำประปาในการหมักต้องต้มให้สุกหรือตากแดด เพื่อไล่อคลอรีนเพราะอาจเป็นอันตรายต่อจุลินทรีย์ที่ใช้ในการหมัก
3. พืชบางชนิดไม่ควรใช้ในการหมักเช่น เปลือกส้ม เพราะมีน้ำมันที่ผิวเปลือกเป็นพิษต่อจุลินทรีย์ย่อสลายในสภาพปลอดอากาศ
4. การทำน้ำสกัดชีวภาพหรือน้ำหมักชีวภาพควรหมักให้ได้ที่ เพราะพบปัญหาเกิดเชื้อราที่ใบทุเรียนเพราะน้ำตาลที่เหลืออยู่จุลินทรีย์ใช้ไม่หมด



โดย: เจ้าบ้าน [19 ต.ค. 47 7:00> ( IP A:203.146.98.20 X: )

--------------------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็นที่ 4
ประโยชน์ต่อเจ้าตูบ
คราวนี้เรามาว่ากันด้วยเรื่องของน้ำสกัดชีวภาพที่เป็นประโยชน์กับเจ้าตูบกันดีกว่า บทความนี้เจ้าบ้านได้ขออนุญาตป้าวิคัดลอกมาเผยแพร่ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อคนรักสุนัขต่อไป

“มีนายทหารที่ท่านเคารพผู้หนึ่ง เลี้ยงหมา เยอรมันเช็พเพอดไว้ มาบ่นให้ท่านฟังเรื่องหมาเป็นโรคผิวหนัง เป็นแผลสะเก็ดหนองทั่วตัว ขนร่วง จนสาระรูปดูไม่ได้เลย รักษามาหลายหมอแล้ว เปลี่ยนอาหารหมามาสาระพัดอย่าง ก็ยังไม่ทุเลาเสียที ท่านเห็นว่า ตัวเองได้ลองใช้น้ำสกัดชีวภาพดูแล้ว ได้ผลเป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างที่มาเล่าให้เราฟัง (ผิวพรรณของท่านปัจจุบัน ในวันที่มาเป็นวิทยากร ก็ดูเกลี้ยงเกลาสดใสกว่าวัยจริง ๆ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาบน้ำสกัดชีวภาพหรือเพราะอะไรอย่างอื่น) ท่านว่า ถ้าคนใช้ได้ผลดี ก็น่าจะดีกับหมาด้วย ท่านก็เลยเอาน้ำสกัด ชีวภาพนี้ ให้ไปทดลองใช้กับหมาดู โดยผสมน้ำให้เจือจางลง,ลองดูว่าพอหมามันทนได้(ไม่แสบจนมันเข็ดไม่ยอมให้อาบ) ราดตัวหมาทิ้งไว้ รอจนตัวแห้ง ตรงไหนมีสะเก็ดแผล, ขี้เรื้อนก็เน้นตรงนั้นให้มากหน่อย ราดให้ถูกผิวหนังให้ทั่ว พอตัวแห้งดีก็ล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งเป็นอันเสร็จ ท่านบอกว่าเจ้าของหมานำไปใช้ ไม่นานก็เชิญท่านไปดูผลงาน ปรากฏว่าได้ผลเป็นที่น่าอัศจรรย์เช่นกัน”

นอกจากรักษาโรคผิวหนังของสุนัขได้ชงัดแล้ว ยังมีประโยชน์ที่คาดไม่ถึงและไม่น่าเชื่อ สำหรับพวกเราคนเลี้ยงหมาอีกเรื่องหนึ่ง คือ สามารถกำจัดกลิ่นอึหมา,ฉี่หมา ที่พวกเรา (พยายามที่จะทำความ) คุ้นเคย อันสุดแสนจะทนทาน ยิ่งถ้าคนที่บ้านหรือคนรอบข้างรังเกียจหมาด้วยแล้วละก้อ แทบจะต้องเป็นปัญหาบ้านแตกกันทีเดียว

ท่านวิทยากรเล่าว่า เรื่องนี้หมูมาก เอาน้ำสกัดชีวภาพผสมน้ำสัก 1:50 ถึง1:100 (ใช้น้ำสกัดชีวภาพมากน้อย ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของกลิ่น) ล้างพื้นด้วยน้ำธรรมดาสะอาดแล้ว ก็เทน้ำสกัดชีวภาพที่ผสมไว้ ราดลงไปให้ทั่วบริเวณแล้วก็ไปอาบน้ำอาบท่าแปรงฟัน แต่งตัวลงมาอีกที รับรองบ้านหอมเหมือนอยู่ชายเขาหลังฝนตกใหม่ ๆ , ตรงไหนเหม็นก็ราดลงไปตรงนั้น ไม่ยุ่งยากซับซ้อน ตั้งใจให้ดีอย่าวอกแวก ทำสมาธิจิตอธิษฐานในใจว่า “หายเหม็นแน่ ๆ” มันก็ต้องหายเหม็นอย่างที่ตั้งใจแน่นอนซิน่า

มีเคล็ดลับที่ต้องระวังอยู่อย่างหนึ่ง สำหรับการใช้น้ำสกัดชีวภาพ เนื่องจากตัวมันเอง มีสภาพเป็นจุลินทรีย์ ซึ่งจะทำงานโดยการย่อยสลายอินทรีย์สาร และสารพิษต่าง ๆ ให้เกิดสารอินทรีย์และเอนไซม์ที่มีประโยชน์ ดังนั้น ไม่ควรใช้ร่วมกับสารเคมีที่มีฤทธิ์ ในการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ เช่น ผงซักฟอก หรือน้ำยาล้างพื้นล้างห้องน้ำที่มีกรดเข้มข้น ซึ่งจะทำลายจุลินทรีย์ธรรมชาติ ในน้ำสกัดชีวภาพ ที่นี้พอใช้แล้วไม่ได้ผลเป็นที่น่าอัศจรรย์เหมือนเราก็จะมาหาว่าหลอกกันละซี


โดย: เจ้าบ้าน [19 ต.ค. 47 7:01> ( IP A:203.146.98.20 X: )

--------------------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็นที่ 5
คราวนี้ ก็จะเป็นกรรมวิธีการทำน้ำสกัดชีวภาพ หรือน้ำมหัศจรรย์ ซึ่งมีคนหัวใส เอาไปผสมน้ำใส่ขวดส่งขายทางไปรษณีย์ขวดละ 200-300 บาท ทำนองว่าเป็นปุ๋ยมาจากสวรรค์อะไรเทือกนั้นป่านนี้ คงรวยเละไปแล้ว

ก่อนอื่นก็มาทำควรรู้จักกับน้ำสกัดชีวภาพกันก่อน ซึ่งก็คือน้ำที่ได้จากการหมักพืชผัก ผลไม้ ประเภทอวบน้ำทั้งหลาย (เช่นผักตบชวา, ต้นกล้วย, ผักกาด, สับปะรด, มะละกอ ฯลฯ) กับน้ำตาล โดยหมักไว้ในสภาพไร้อากาศ จะได้น้ำหมัก ที่ประกอบด้วยจุลินทรีย์ และสารอินทรีย์หลายชนิด ส่วนใหญ่เป็นยีสต์, แบคทีเรียที่สร้างกรดเลกติก และรา แบคทีเรียสังเคราะห์แสงก็เคยพบบ้างในน้ำสกัดชีวภาพนี้

การหมัก ต้องใช้ภาชนะที่มีฝาปิดสนิท เพื่อให้วัสดุหมักอยู่ในสภาพไร้อากาศ อย่างที่บอกตอนแรก เพราะถ้ามีอากาศเข้าไปได้ ก็จะมีจุลินทรีย์ที่ไม่ได้รับเชิญ แอบแฝงเข้ามาในกระบวนการหมักของเรา ก็จะทำให้เกิดหนอน และมีกลิ่นเหม็นได้ แต่ก็ไม่เป็นโทษ

ท่านที่เลี้ยงนก เลี้ยงไก่ หรือเลี้ยงปลา ก็สามารถช้อนหนอน ในน้ำหมักนี้ไปให้นก ให้ไก่ ให้ปลากิน ได้มีวิตามินดีเสียอีก ส่วนน้ำหมักก็นำมาใช้ได้ตามขั้นตอนปกติ แต่จะไม่หอมน่าใช้ เท่ากับน้ำหมักที่ได้จากการหมักในสภาพไร้อากาศจริง ๆ

**วิธีการ ก็เริ่มด้วยการ นำ พืชผัก ผลไม้ ประเภทอวบน้ำ ที่หาได้ (ถ้าบ้านอยู่ใกล้ตลาดอาจไปขอเศษผัก หรือเปลือกสับปะรด, หรือเศษผลไม้ที่มีน้ำมากจากแม่ค้า เอามาคัดที่เน่า ๆ ออกทิ้งก่อน) ควรใช้ของสด ๆ จึงจะได้น้ำมาก

นำมาใส่ในถัง (หรือถุงพลาสติกแบบไม่รั่ว)ผสมกับน้ำตาล ในอัตราส่วน น้ำตาล 1 ส่วน ต่อ พืช 3 ส่วน โดยน้ำหนัก คลุกให้เข้ากันดี (ถ้าใช้กากน้ำตาลใหม่ ๆ จะดีมากถ้าหาไม่ได้ ใช้น้ำตาลอะไรก็ได้) เมื่อคลุกจนทั่วแล้ว หาของหนัก ๆ วางทับข้างบนจะได้ไล่อากาศ (วางทับไว้สัก 1 คืน ก็เอาออกได้) เสร็จแล้วต้องปิดภาชนะหมักให้สนิท ถ้าเป็นถุงพลาสติก ต้องแน่ใจว่าจะไม่รั่ว มัดปากถุงให้แน่น เพื่อไม่ให้อากาศเข้าได้ เป็นการสร้างสภาพที่เหมาะสมให้จุลินทรีย์ได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ควรวางถังหรือภาชนะหมักไว้ในที่ร่ม อย่าให้ถูกแดดถูกฝน หรืออุณหภูมิเปลี่ยนแปลงมากเกินไป ก็เป็นอันเสร็จกรรมวิธีการหมัก

จากนั้นก็ทิ้งไว้ ให้จุลินทรีย์เขาทำงานแบ่งตัวเอง เพิ่มปริมาณขึ้นอย่างมากมาย ผลิตสารอินทรีย์หลากหลายชนิด รวมทั้งเอนไซม์ ฮอร์โมนและไวตามินบางชนิด ด้วย

ประมาณ 10-14 วัน ก็เปิดภาชนะ, ถ่ายน้ำสกัดชีวภาพออกใส่ภาชนะพลาสติกไว้ น้ำหมักที่ได้ใหม่ ๆ จะยังเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ เนื่องจากกระบวนการหมักยังไม่สมบูรณ์ต้องคอยขยับเปิดฝาภาชนะบรรจุ ทุกวัน จนกว่าจะหมดก๊าซ (ถ้าใส่ขวดพลาสติกไว้ ก็คอยคลายเกลียวฝาขวดจนได้ยินเสียงลมออกมาจึงหมุนเกลียวปิดตามเดิม ทำทุกวัน จนไม่มีเสียงลม) จากนี้ก็นำไปใช้ได้เลย


โดย: เจ้าบ้าน [19 ต.ค. 47 7:02> ( IP A:203.146.98.20 X: )

--------------------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็นที่ 6
น้ำหมักที่มีคุณภาพดี จะมีกลิ่นและรสเปรี้ยวเหมือนน้ำผักดอง มีกลิ่นแอลกอฮอล์บ้าง ถ้าใช้ผลไม้ที่สะอาด และใช้น้ำตาลทรายแดงหรือน้ำตาลทรายขาว เมื่อหมักได้ที่แล้ว นำมากรอง ดื่มอร่อยเหมือนไวน์ และมีประโยชน์ มากด้วยเพราะประกอบด้วยจุลินทรีย์, เอนไซม์, ฮอร์โมนและวิตามินหลายชนิด ซึ่งล้วนมีประโยชน์ต่อร่างกายมาก ดีกว่าไปซื้อเหล้านอก, ไวน์นอกราคาแพง มากินให้เสียดุลย์การค้า

*กากน้ำตาล* มีสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ ข้นมาก บ้านนอกนี่จะไปซื้อที่โรงน้ำตาลได้เลย แต่ในกรุงเทพ หาซื้อได้ตามร้านผลิตภัณฑ์เกษตรธรรมชาติทั่วไป เช่นร้านเลมมอนฟาร์ม หรือ ร้านค้าของชมรมมังสวิรัติ แถวพหลโยธินตรงข้ามซอยราชครู ก็มีค่ะ

*น้ำตาล* หมายถึงน้ำตาลทรายบริสุทธิ์ ธรรมดาๆนี่แหละค่ะ ถ้าเป็นแบบไม่ฟอกขาวก็ยิ่งดี ที่เรียกว่า น้ำตาลทรายแดง นั่นแหละค่ะ เราเน้นเรื่องพยายามไม่ใช้ส่วนประกอบที่ปนเปื้อนสารเคมี จากการแปรรูปอาหารทุกชนิด ถ้าหาไม่ได้จริงๆ ใช้น้ำตาลทรายขาวก็ได้ ไม่ว่ากัน

เราจะใช้น้ำตาลทราย เมื่อต้องการทำเอาไว้ดื่มกินเอง เพราะถ้าใช้กากน้ำตาล น้ำหมักที่ได้ จะเป็นสีดำ ดูสกปรกไม่น่ากิน

การทำหัวเชื้อน้ำสกัดชีวภาพ เราจะไม่มีการเติมน้ำเลย ใช้"พืชสด" อวบน้ำ และให้พืชสด คายน้ำออกมาเองระหว่างกระบวนการหมัก ให้ น้ำตาลเป็นอาหารสำหรับจุลินทรีย์ที่เกิดขึ้นจากการหมัก

ข้อควรระวังคือ ต้องปิดให้มิดชิด อย่าให้อากาศเข้าได้ ในช่วง 3-5 วันแรกๆ เพราะไม่ต้องการให้เกิดจุลินทรีย์แปลกปลอมเข้าไปร่วมเสวนาในกระบวนการหมักนี้ด้วย และเอาไว้ในที่ร่มสักหน่อย ไม่งั้นอุณหภมิจะสูงเกินไป จนจุลินทรีย์ตายเสียก่อน


**เอกสารอ้างอิง : คู่มือโครงการห้องเรียนเกษตรกรรมธรรมชาติ จัดทำโดย สหกรณ์เลมอนฟาร์มพัฒนา จำกัด ร่วมกับ ชมรมเกษตรธรรมชาติ แห่งประเทศไทย
โดย: เจ้าบ้าน [19 ต.ค. 47 7:04> ( IP A:203.146.98.20 X: )

--------------------------------------------------------------------------------
ลองอ่านดูนะครับ


โดย: MARCRO [4 ก.พ. 50 15:56] ( IP A:125.24.56.55 X: )
ความคิดเห็นที่ 4
   ขอบคุณค่ะ จะลองทำดูค่ะ ได้ผลยังไง จะมาบอก
โดย: อำแด [6 ก.พ. 50 15:38] ( IP A:203.156.118.162 X: )
ความคิดเห็นที่ 5
   รองใช้น้ำแกงส้มราดลงตรงที่เป็นขี้เรื่อน
โดย: duwert@hotmal.com [4 เม.ย. 52 13:59] ( IP A:118.173.127.230 X: )
ความคิดเห็นที่ 6
   ขอบคุณครับแวะมาอ่าน เจ้า พิทบูล ผมก็เป็น เพื่อนส่งมาให้อ่าน รบกวน ขอชื่อเวปจริงๆด้วยใด้ใหมครับ
โดย: คนที่คุณก็รู้ว่าใคร(วา) [11 เม.ย. 52 10:26] ( IP A:124.121.92.126 X: )
ความคิดเห็นที่ 7
   แมวใช้EMได้หรือเปล่า
โดย: คนรักแมว [6 พ.ค. 52 19:28] ( IP A:114.128.226.19 X: )
ความคิดเห็นที่ 8
   น้องหมาที่บ้านพันธุ์บางแก้ว เคยเป็นขี้เรื้อน แล้วก้อมีคนบอกว่าให้ไปซื้อกำมะถัน ที่เป็นผงสีเหลือง (ห่อละ10บาทเอง)ไปซื้อตามร้านขายยาแผนโบราณ นะคะ จะมี แล้วเอามาผสมกับน้ำมันพืช (น้ำมันที่เราใช้ทำอาหารกันน่ะค่ะ) แล้วทาที่แผล รับรองหายค่ะ ใช้เวลา3-4 วัน ห้ามให้น้องหมาไปนอนในที่ชื้น แฉะ แผลมันจะลาม ไม่หาย แต่ต้องทำใจหน่อยนะคะเพราะพื้นบ้านมันจะเลอะแล้วก้อจะมันเพราะยา ต้องล่ามน้องหมาไว้กะที่ บ้านจะได้ไม่เลอะค่ะ
โดย: ammmayuree@hotmail.com [11 พ.ค. 52 10:01] ( IP A:125.27.22.16 X: )
ความคิดเห็นที่ 9
   หาหมอหมาอาทิตละ1ครั้ง
โดย: อ้อม [31 พ.ค. 53 21:59] ( IP A:110.49.83.161 X: )
คลิก เพื่อเปลี่ยนกลับไปแสดงความคิดเห็นแบบเดิม

ชื่อไฟล์รูปห้ามมีอักขระพิเศษ เช่น (#),(<),(>),(&) เป็นต้นค่ะ
ชื่อ / e-mail :    แทรกไอคอนน่ารักๆในข้อความ
e-mail :
ส่งอีเมลทุกครั้งที่มีการตอบกระทู้       (ใส่ Email เมื่อต้องการให้ส่ง Email เมื่อมีคนมาโพสในกระทู้)


CAPTCHA code



คลิกที่นี่เพื่อกลับหน้าบ้าน