น้องหมาเป็นเรื้อนอย่างรุนแรง ค่ารักษาเป็นแสน
|
ความคิดเห็นที่ 1 ลองเปลี่ยนมาใช้น้ำยาชีวภาพอาบนะคะ ที่บ้านเป็นมากเหมือนกันเปื่อยทั้งตัว และกลิ่นไม่ดีเลย หมดค่ารักษาไปเยอะ แต่พอตอนหลังได้อาบน้ำที่ผสมกับน้ำยาชีวภาพแล้วดึขึ้นค่ะ กลิ่นก็ไม่มี แผลค่อยๆ แห้ง น้องหมาก็ไม่ค่อยคันค่ะ อาบ 3-4 วันครั้ง ไม่ต้องใช้แชมพูหรือสบู่อาบก่อนให้ล้างตัวน้ำเปล่าแล้วอาบน้ำที่ผสมกับน้ำยาชีวภาพ ปล่อยให้แห้งเองไม่ต้องเช็ดตัว จะเห็นว่าได้ผลดีค่ะ ไงลองดูนะคะ | โดย: buddy [4 ก.พ. 50 11:04] ( IP A:203.144.187.18 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 2 ความเห็นเหมือนท่านที่หนึ่งครับคุณ AUM. น่าจะลองดูนะครับ | โดย: MARCRO [4 ก.พ. 50 15:53] ( IP A:125.24.56.55 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 3 น้ำสกัดชีวภาพ (EM) มากประโยชน์สำหรับสุนัข เจ้าบ้านได้มีโอกาสคุยกับป้าวิ เจ้าของบ้านคนรักเชพเพอด https://home-of-gsdlovers.pantown.com ซึ่งท่านเป็นผู้ที่มีความรู้ ทำให้ทราบถึงประโยชน์อันมากมายของน้ำสกัดชีวภาพ เราแทบไม่ต้องใช้สารเคมีกับเจ้าตูบแสนรักของเราเลย หากได้ลองใช้น้ำสกัดชีวภาพ เริ่มกันเลยดีกว่าไหม
น้ำสกัดชีวภาพคืออะไร ใคร ๆ เขาก็เรียกย่อ ๆ สั้น ๆ กันว่า อีเอ็ม EM (Effective Microorganisms) คือของเหลว ที่เกิดจากการหมักนี้ เป็นแบบของสกัดน้ำเลี้ยงจากเซลล์ด้วยน้ำตาล น้ำเลี้ยงที่สกัดได้จะถูกจุลินทรีย์ดำเนินกระบวนการ หมักแบบไม่ต้องการอากาศ เป็นการสกัดน้ำเลี้ยงจากเซลล์ทางชีวภาพ (BIOEXTRACT : BE) จึงเรียกว่า "น้ำสกัดชีวภาพ" โดย: เจ้าบ้าน [19 ต.ค. 47 6:58> ( IP A:203.146.98.20 X: )
-------------------------------------------------------------------------------- ความคิดเห็นที่ 1 ความเป็นมา - ความหมายของน้ำสกัดชีวภาพ น้ำสกัดชีวภาพ หรือ น้ำหมักชีวภาพ หรือ ปุ๋ยอินทรีย์ เป็นคำที่มีความหมายเดียวกัน คือ เป็นสารละลายเข้มข้นที่ได้จากการหมักเศษพืชหรือสัตว์จะถูกย่อยสลายด้วยจุลินทรีย์ โดยใช้กากน้ำตาลเป็นแหล่งพลังงานของจุลินทรีย์ การหมักมีสอบแบบ คือ หมักแบบต้องการออกซิเจน (หมักแบบเปิดฝา) และหมักแบบไม่ต้องการออกซิเจน (หมักแบบเปิดฝา) สารละลายเข้มข้นอาจจะมีสีน้ำตาลเข้มกรณีที่ใช้กากน้ำตาลเป็นตัวหมัก หรือมีสีน้ำตาลอ่อนเมื่อใช้น้ำตาลชนิดอื่นเป็นตัวหมัก ซึ่งถ้าไม่ผ่านการหมักที่สมบูรณ์แล้วจะพบสารประกอบพวกคาร์โบไฮเดรท โปรตีน กรดอะมิโน ฮอร์โมนเอ็นไซม์ ในปริมาณที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่ใช้ (พืชหรือสัตว์) จุลินทรีย์ที่พบในน้ำสกัดชีวภาพหรือน้ำหมักชีวภาพ หรือปุ๋ยอินทรีย์น้ำ มีทั้งที่ต้องการออกซิเจน และไม่ต้องการออกซิเจน มักเป็นกลุ่มแบคทีเรีย Bacillus sp., Lactobacillus sp., Streptococus sp., นอกจากนี้ยังอาจพบเชื้อรา ได้แก่ Aspergillus niger, Pe4nnicillium, Rhizopus และ ยีสต์ ได้แก่ Canida sp. โดย: เจ้าบ้าน [19 ต.ค. 47 6:59> ( IP A:203.146.98.20 X: )
-------------------------------------------------------------------------------- ความคิดเห็นที่ 2 คุณลักษณะดีเด่นของเทคโนโลยี คุณสมบัติทั่วไปของน้ำสกัดชีวภาพ - น้ำสกัดชีวภาพมีคุณสมบัติโดยทั่วๆ ไป มีดังนี้ - มีค่า pH (ความเป็นกรดเป็นด่าง) อยู่ในช่วง 3.5 - 5.6 ปฏิกิริยาเป็นกรดถึงกรดจัด ซึ่ง pH ที่เหมาะสมกับพืชควรอยู่ในช่วง 6 - 7 - ความเข้มข้นของสารละลายสูง โดยค่าของการนำไฟฟ้า (Electrical conductivity , E.C) อยู่ระหว่าง 2 - 12 desicemen / meter (ds / m) ซึ่งค่า E.C ทีเหมาะสมกับพืชควรจะอยู่ต่ำกว่า 4 ds / m - ความสมบูรณ์ของการหมัก พิจารณาจากค่า C / N ration มีค่าระหว่าง 1 / 2 - 70 / 1 ซึ่งถ้า C / N ratio สูง เมื่อนำไปฉีดพ่นบนต้นพืชอาจแสดงอาการใบเหลืองเนื่องจากขาดธาตุไนโตรเจนได้ - ปริมาณธาตุอาหาร ธาตุอาหารหลัก (N,P,K) - ไนโตรเจน (% Total N) ถ้าใช้พืชหมัก พบไนโตรเจน 0.03 - 1.66 % แต่ถ้าใช้ปลาหมักจะพบประมาณ 1.06 - 1.70 % - ฟอสฟอรัส ( % Total P2 O5 ) ในน้ำหมักจากพืชจะมีตั้งแต่ไม่พบเลยจนถึง 0.4 % แต่ในน้ำหมักจากปลาพบ 0.18 - 1.14 % - โพแทสเซียมที่ละลายน้ำได้ (% Water Soluble K2 O) ในน้ำหมักพืชพบ 0.05 - 3.53 % และในน้ำหมักจากปลาพบ 1.0 - 2.39 % ธาตุอาหารรอง (Ca, Mg,S) - แคลเซียม ในน้ำหมักจากพืชพบ 0.05 - 0.49 % และน้ำหมักจากปลาพบ 0.29 - 1.0% - แมกนีเซียมและซัลเฟอร์ ในน้ำหมักจากพืชและปลาพบในปริมาณที่ใกล้เคียงกัน คือ 0.1- 0.37 % ธาตุอาหารเสริม - เหล็ก ในน้ำหมักจากพืชพบ 30 - 350 ppm. และน้ำหมักจากปลาพบ 500 - 1,700 ppm. - คลอไรด์ น้ำหมักจากพืชและปลามีปริมาณเกลือคลอไรด์สูง 2,000 - 11,000 ppm. - ธาตุอาหารเสริมอื่นๆ ได้แก่ แมงกานีส ทองแดง สังกะสี โบรอน และโมลิบดินัม น้ำหมักทั้งจากพืชและปลาพบในปริมาณน้อย มีค่าตั้งแต่ตรวจไม่พบเลย ถึง 130 ppm.
โดย: เจ้าบ้าน [19 ต.ค. 47 7:00> ( IP A:203.146.98.20 X: )
-------------------------------------------------------------------------------- ความคิดเห็นที่ 3 ข้อควรระวังในการทำน้ำสกัดชีวภาพ 1. ในระหว่างการหมักห้ามปิดฝาภาชนะที่ใช้หมักโดยสนิท เพราะจะทำให้ระเบิดได้ เนื่องจาก ระหว่างการหมักเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ก๊าซมีเทน ฯลฯ 2. หากมีการใช้น้ำประปาในการหมักต้องต้มให้สุกหรือตากแดด เพื่อไล่อคลอรีนเพราะอาจเป็นอันตรายต่อจุลินทรีย์ที่ใช้ในการหมัก 3. พืชบางชนิดไม่ควรใช้ในการหมักเช่น เปลือกส้ม เพราะมีน้ำมันที่ผิวเปลือกเป็นพิษต่อจุลินทรีย์ย่อสลายในสภาพปลอดอากาศ 4. การทำน้ำสกัดชีวภาพหรือน้ำหมักชีวภาพควรหมักให้ได้ที่ เพราะพบปัญหาเกิดเชื้อราที่ใบทุเรียนเพราะน้ำตาลที่เหลืออยู่จุลินทรีย์ใช้ไม่หมด
โดย: เจ้าบ้าน [19 ต.ค. 47 7:00> ( IP A:203.146.98.20 X: )
-------------------------------------------------------------------------------- ความคิดเห็นที่ 4 ประโยชน์ต่อเจ้าตูบ คราวนี้เรามาว่ากันด้วยเรื่องของน้ำสกัดชีวภาพที่เป็นประโยชน์กับเจ้าตูบกันดีกว่า บทความนี้เจ้าบ้านได้ขออนุญาตป้าวิคัดลอกมาเผยแพร่ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อคนรักสุนัขต่อไป
มีนายทหารที่ท่านเคารพผู้หนึ่ง เลี้ยงหมา เยอรมันเช็พเพอดไว้ มาบ่นให้ท่านฟังเรื่องหมาเป็นโรคผิวหนัง เป็นแผลสะเก็ดหนองทั่วตัว ขนร่วง จนสาระรูปดูไม่ได้เลย รักษามาหลายหมอแล้ว เปลี่ยนอาหารหมามาสาระพัดอย่าง ก็ยังไม่ทุเลาเสียที ท่านเห็นว่า ตัวเองได้ลองใช้น้ำสกัดชีวภาพดูแล้ว ได้ผลเป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างที่มาเล่าให้เราฟัง (ผิวพรรณของท่านปัจจุบัน ในวันที่มาเป็นวิทยากร ก็ดูเกลี้ยงเกลาสดใสกว่าวัยจริง ๆ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาบน้ำสกัดชีวภาพหรือเพราะอะไรอย่างอื่น) ท่านว่า ถ้าคนใช้ได้ผลดี ก็น่าจะดีกับหมาด้วย ท่านก็เลยเอาน้ำสกัด ชีวภาพนี้ ให้ไปทดลองใช้กับหมาดู โดยผสมน้ำให้เจือจางลง,ลองดูว่าพอหมามันทนได้(ไม่แสบจนมันเข็ดไม่ยอมให้อาบ) ราดตัวหมาทิ้งไว้ รอจนตัวแห้ง ตรงไหนมีสะเก็ดแผล, ขี้เรื้อนก็เน้นตรงนั้นให้มากหน่อย ราดให้ถูกผิวหนังให้ทั่ว พอตัวแห้งดีก็ล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งเป็นอันเสร็จ ท่านบอกว่าเจ้าของหมานำไปใช้ ไม่นานก็เชิญท่านไปดูผลงาน ปรากฏว่าได้ผลเป็นที่น่าอัศจรรย์เช่นกัน
นอกจากรักษาโรคผิวหนังของสุนัขได้ชงัดแล้ว ยังมีประโยชน์ที่คาดไม่ถึงและไม่น่าเชื่อ สำหรับพวกเราคนเลี้ยงหมาอีกเรื่องหนึ่ง คือ สามารถกำจัดกลิ่นอึหมา,ฉี่หมา ที่พวกเรา (พยายามที่จะทำความ) คุ้นเคย อันสุดแสนจะทนทาน ยิ่งถ้าคนที่บ้านหรือคนรอบข้างรังเกียจหมาด้วยแล้วละก้อ แทบจะต้องเป็นปัญหาบ้านแตกกันทีเดียว
ท่านวิทยากรเล่าว่า เรื่องนี้หมูมาก เอาน้ำสกัดชีวภาพผสมน้ำสัก 1:50 ถึง1:100 (ใช้น้ำสกัดชีวภาพมากน้อย ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของกลิ่น) ล้างพื้นด้วยน้ำธรรมดาสะอาดแล้ว ก็เทน้ำสกัดชีวภาพที่ผสมไว้ ราดลงไปให้ทั่วบริเวณแล้วก็ไปอาบน้ำอาบท่าแปรงฟัน แต่งตัวลงมาอีกที รับรองบ้านหอมเหมือนอยู่ชายเขาหลังฝนตกใหม่ ๆ , ตรงไหนเหม็นก็ราดลงไปตรงนั้น ไม่ยุ่งยากซับซ้อน ตั้งใจให้ดีอย่าวอกแวก ทำสมาธิจิตอธิษฐานในใจว่า หายเหม็นแน่ ๆ มันก็ต้องหายเหม็นอย่างที่ตั้งใจแน่นอนซิน่า
มีเคล็ดลับที่ต้องระวังอยู่อย่างหนึ่ง สำหรับการใช้น้ำสกัดชีวภาพ เนื่องจากตัวมันเอง มีสภาพเป็นจุลินทรีย์ ซึ่งจะทำงานโดยการย่อยสลายอินทรีย์สาร และสารพิษต่าง ๆ ให้เกิดสารอินทรีย์และเอนไซม์ที่มีประโยชน์ ดังนั้น ไม่ควรใช้ร่วมกับสารเคมีที่มีฤทธิ์ ในการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ เช่น ผงซักฟอก หรือน้ำยาล้างพื้นล้างห้องน้ำที่มีกรดเข้มข้น ซึ่งจะทำลายจุลินทรีย์ธรรมชาติ ในน้ำสกัดชีวภาพ ที่นี้พอใช้แล้วไม่ได้ผลเป็นที่น่าอัศจรรย์เหมือนเราก็จะมาหาว่าหลอกกันละซี
โดย: เจ้าบ้าน [19 ต.ค. 47 7:01> ( IP A:203.146.98.20 X: )
-------------------------------------------------------------------------------- ความคิดเห็นที่ 5 คราวนี้ ก็จะเป็นกรรมวิธีการทำน้ำสกัดชีวภาพ หรือน้ำมหัศจรรย์ ซึ่งมีคนหัวใส เอาไปผสมน้ำใส่ขวดส่งขายทางไปรษณีย์ขวดละ 200-300 บาท ทำนองว่าเป็นปุ๋ยมาจากสวรรค์อะไรเทือกนั้นป่านนี้ คงรวยเละไปแล้ว
ก่อนอื่นก็มาทำควรรู้จักกับน้ำสกัดชีวภาพกันก่อน ซึ่งก็คือน้ำที่ได้จากการหมักพืชผัก ผลไม้ ประเภทอวบน้ำทั้งหลาย (เช่นผักตบชวา, ต้นกล้วย, ผักกาด, สับปะรด, มะละกอ ฯลฯ) กับน้ำตาล โดยหมักไว้ในสภาพไร้อากาศ จะได้น้ำหมัก ที่ประกอบด้วยจุลินทรีย์ และสารอินทรีย์หลายชนิด ส่วนใหญ่เป็นยีสต์, แบคทีเรียที่สร้างกรดเลกติก และรา แบคทีเรียสังเคราะห์แสงก็เคยพบบ้างในน้ำสกัดชีวภาพนี้
การหมัก ต้องใช้ภาชนะที่มีฝาปิดสนิท เพื่อให้วัสดุหมักอยู่ในสภาพไร้อากาศ อย่างที่บอกตอนแรก เพราะถ้ามีอากาศเข้าไปได้ ก็จะมีจุลินทรีย์ที่ไม่ได้รับเชิญ แอบแฝงเข้ามาในกระบวนการหมักของเรา ก็จะทำให้เกิดหนอน และมีกลิ่นเหม็นได้ แต่ก็ไม่เป็นโทษ
ท่านที่เลี้ยงนก เลี้ยงไก่ หรือเลี้ยงปลา ก็สามารถช้อนหนอน ในน้ำหมักนี้ไปให้นก ให้ไก่ ให้ปลากิน ได้มีวิตามินดีเสียอีก ส่วนน้ำหมักก็นำมาใช้ได้ตามขั้นตอนปกติ แต่จะไม่หอมน่าใช้ เท่ากับน้ำหมักที่ได้จากการหมักในสภาพไร้อากาศจริง ๆ
**วิธีการ ก็เริ่มด้วยการ นำ พืชผัก ผลไม้ ประเภทอวบน้ำ ที่หาได้ (ถ้าบ้านอยู่ใกล้ตลาดอาจไปขอเศษผัก หรือเปลือกสับปะรด, หรือเศษผลไม้ที่มีน้ำมากจากแม่ค้า เอามาคัดที่เน่า ๆ ออกทิ้งก่อน) ควรใช้ของสด ๆ จึงจะได้น้ำมาก
นำมาใส่ในถัง (หรือถุงพลาสติกแบบไม่รั่ว)ผสมกับน้ำตาล ในอัตราส่วน น้ำตาล 1 ส่วน ต่อ พืช 3 ส่วน โดยน้ำหนัก คลุกให้เข้ากันดี (ถ้าใช้กากน้ำตาลใหม่ ๆ จะดีมากถ้าหาไม่ได้ ใช้น้ำตาลอะไรก็ได้) เมื่อคลุกจนทั่วแล้ว หาของหนัก ๆ วางทับข้างบนจะได้ไล่อากาศ (วางทับไว้สัก 1 คืน ก็เอาออกได้) เสร็จแล้วต้องปิดภาชนะหมักให้สนิท ถ้าเป็นถุงพลาสติก ต้องแน่ใจว่าจะไม่รั่ว มัดปากถุงให้แน่น เพื่อไม่ให้อากาศเข้าได้ เป็นการสร้างสภาพที่เหมาะสมให้จุลินทรีย์ได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ควรวางถังหรือภาชนะหมักไว้ในที่ร่ม อย่าให้ถูกแดดถูกฝน หรืออุณหภูมิเปลี่ยนแปลงมากเกินไป ก็เป็นอันเสร็จกรรมวิธีการหมัก
จากนั้นก็ทิ้งไว้ ให้จุลินทรีย์เขาทำงานแบ่งตัวเอง เพิ่มปริมาณขึ้นอย่างมากมาย ผลิตสารอินทรีย์หลากหลายชนิด รวมทั้งเอนไซม์ ฮอร์โมนและไวตามินบางชนิด ด้วย
ประมาณ 10-14 วัน ก็เปิดภาชนะ, ถ่ายน้ำสกัดชีวภาพออกใส่ภาชนะพลาสติกไว้ น้ำหมักที่ได้ใหม่ ๆ จะยังเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ เนื่องจากกระบวนการหมักยังไม่สมบูรณ์ต้องคอยขยับเปิดฝาภาชนะบรรจุ ทุกวัน จนกว่าจะหมดก๊าซ (ถ้าใส่ขวดพลาสติกไว้ ก็คอยคลายเกลียวฝาขวดจนได้ยินเสียงลมออกมาจึงหมุนเกลียวปิดตามเดิม ทำทุกวัน จนไม่มีเสียงลม) จากนี้ก็นำไปใช้ได้เลย
โดย: เจ้าบ้าน [19 ต.ค. 47 7:02> ( IP A:203.146.98.20 X: )
-------------------------------------------------------------------------------- ความคิดเห็นที่ 6 น้ำหมักที่มีคุณภาพดี จะมีกลิ่นและรสเปรี้ยวเหมือนน้ำผักดอง มีกลิ่นแอลกอฮอล์บ้าง ถ้าใช้ผลไม้ที่สะอาด และใช้น้ำตาลทรายแดงหรือน้ำตาลทรายขาว เมื่อหมักได้ที่แล้ว นำมากรอง ดื่มอร่อยเหมือนไวน์ และมีประโยชน์ มากด้วยเพราะประกอบด้วยจุลินทรีย์, เอนไซม์, ฮอร์โมนและวิตามินหลายชนิด ซึ่งล้วนมีประโยชน์ต่อร่างกายมาก ดีกว่าไปซื้อเหล้านอก, ไวน์นอกราคาแพง มากินให้เสียดุลย์การค้า
*กากน้ำตาล* มีสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ ข้นมาก บ้านนอกนี่จะไปซื้อที่โรงน้ำตาลได้เลย แต่ในกรุงเทพ หาซื้อได้ตามร้านผลิตภัณฑ์เกษตรธรรมชาติทั่วไป เช่นร้านเลมมอนฟาร์ม หรือ ร้านค้าของชมรมมังสวิรัติ แถวพหลโยธินตรงข้ามซอยราชครู ก็มีค่ะ
*น้ำตาล* หมายถึงน้ำตาลทรายบริสุทธิ์ ธรรมดาๆนี่แหละค่ะ ถ้าเป็นแบบไม่ฟอกขาวก็ยิ่งดี ที่เรียกว่า น้ำตาลทรายแดง นั่นแหละค่ะ เราเน้นเรื่องพยายามไม่ใช้ส่วนประกอบที่ปนเปื้อนสารเคมี จากการแปรรูปอาหารทุกชนิด ถ้าหาไม่ได้จริงๆ ใช้น้ำตาลทรายขาวก็ได้ ไม่ว่ากัน
เราจะใช้น้ำตาลทราย เมื่อต้องการทำเอาไว้ดื่มกินเอง เพราะถ้าใช้กากน้ำตาล น้ำหมักที่ได้ จะเป็นสีดำ ดูสกปรกไม่น่ากิน
การทำหัวเชื้อน้ำสกัดชีวภาพ เราจะไม่มีการเติมน้ำเลย ใช้"พืชสด" อวบน้ำ และให้พืชสด คายน้ำออกมาเองระหว่างกระบวนการหมัก ให้ น้ำตาลเป็นอาหารสำหรับจุลินทรีย์ที่เกิดขึ้นจากการหมัก
ข้อควรระวังคือ ต้องปิดให้มิดชิด อย่าให้อากาศเข้าได้ ในช่วง 3-5 วันแรกๆ เพราะไม่ต้องการให้เกิดจุลินทรีย์แปลกปลอมเข้าไปร่วมเสวนาในกระบวนการหมักนี้ด้วย และเอาไว้ในที่ร่มสักหน่อย ไม่งั้นอุณหภมิจะสูงเกินไป จนจุลินทรีย์ตายเสียก่อน
**เอกสารอ้างอิง : คู่มือโครงการห้องเรียนเกษตรกรรมธรรมชาติ จัดทำโดย สหกรณ์เลมอนฟาร์มพัฒนา จำกัด ร่วมกับ ชมรมเกษตรธรรมชาติ แห่งประเทศไทย โดย: เจ้าบ้าน [19 ต.ค. 47 7:04> ( IP A:203.146.98.20 X: )
-------------------------------------------------------------------------------- ลองอ่านดูนะครับ
| โดย: MARCRO [4 ก.พ. 50 15:56] ( IP A:125.24.56.55 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 4 ขอบคุณค่ะ จะลองทำดูค่ะ ได้ผลยังไง จะมาบอก
| โดย: อำแด [6 ก.พ. 50 15:38] ( IP A:203.156.118.162 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 5 รองใช้น้ำแกงส้มราดลงตรงที่เป็นขี้เรื่อน | โดย: duwert@hotmal.com [4 เม.ย. 52 13:59] ( IP A:118.173.127.230 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณครับแวะมาอ่าน เจ้า พิทบูล ผมก็เป็น เพื่อนส่งมาให้อ่าน รบกวน ขอชื่อเวปจริงๆด้วยใด้ใหมครับ | โดย: คนที่คุณก็รู้ว่าใคร(วา) [11 เม.ย. 52 10:26] ( IP A:124.121.92.126 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 7 แมวใช้EMได้หรือเปล่า | โดย: คนรักแมว [6 พ.ค. 52 19:28] ( IP A:114.128.226.19 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 8 น้องหมาที่บ้านพันธุ์บางแก้ว เคยเป็นขี้เรื้อน แล้วก้อมีคนบอกว่าให้ไปซื้อกำมะถัน ที่เป็นผงสีเหลือง (ห่อละ10บาทเอง)ไปซื้อตามร้านขายยาแผนโบราณ นะคะ จะมี แล้วเอามาผสมกับน้ำมันพืช (น้ำมันที่เราใช้ทำอาหารกันน่ะค่ะ) แล้วทาที่แผล รับรองหายค่ะ ใช้เวลา3-4 วัน ห้ามให้น้องหมาไปนอนในที่ชื้น แฉะ แผลมันจะลาม ไม่หาย แต่ต้องทำใจหน่อยนะคะเพราะพื้นบ้านมันจะเลอะแล้วก้อจะมันเพราะยา ต้องล่ามน้องหมาไว้กะที่ บ้านจะได้ไม่เลอะค่ะ | โดย: ammmayuree@hotmail.com [11 พ.ค. 52 10:01] ( IP A:125.27.22.16 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 9 หาหมอหมาอาทิตละ1ครั้ง | โดย: อ้อม [31 พ.ค. 53 21:59] ( IP A:110.49.83.161 X: ) |  |
|