onninn.pantown.com
บทความดีๆ <<
กลับไปหน้าแรก
10 เทคนิคช่วยให้ลูกไม่ต้องเรียนพิเศษ
1. ดูว่าลูกคุณจำเป็นต้องเรียนพิเศษหรือไม่
มี 2 เหตุผลหลัก ๆ ที่เด็กถึงต้องเรียนพิเศษ เหตุผลแรกเป็นที่รู้จักกันว่าเป็น พื้นฐานของการสอนพิเศษ นั่นคือ เมื่อนักเรียนเรียนไม่ทันเพื่อนในห้องเรียน นอกจากนี้ การที่เรียนไม่ทันเพื่อนนั้นอาจทำให้เด็กสูญเสียความสนใจในวิชานั้น ๆ ด้วย ในกรณีนี้ การเรียนพิเศษนั้นมีความจำเป็นเพื่อช่วยให้เด็กกลับมาสนใจเรียนได้ ดังนั้น ควรหาครูสอนพิเศษที่มีคุณสมบัติดีพอที่จะสามารถจูงใจให้ลูกคุณเรียนและรักในวิชานั้น
สิ่งที่สำคัญที่สุด เป้าหมายของการเรียนพิเศษนั้นคือเพื่อไม่ให้ลูกคุณต้องเรียนพิเศษอีกครั้งในอนาคต เหตุผลที่สองคือ เด็กอาจต้องการการเติมเต็มศักยภาพที่เขามีในตัวและต้องการการฝึกหัดแบบพิเศษประมาณ 2-3 เดือนก่อนที่จะมีการสอบครั้งใหญ่ เป้าหมายของผู้สอนพิเศษนั้นก็เพื่อช่วยให้เด็กสามารถรวบรวมความรู้และตอบคำถามใด ๆ ก็ได้ที่เขาฝึกฝนมาในช่วงที่มีการเรียนพิเศษ
2. เป็นครูสอนพิเศษให้กับลูกและหาวิธีเรียนที่สนุกสนาน
ถามตัวเองว่าเรียนอย่างไรถึงจะสนุก? กุญแจสำคัญคือการสอนแบบไม่ต้องเตรียมตัวก่อนและหาอะไรก็ได้ที่คุณหาได้เป็นเครื่องมือและทำให้การเรียนนั้นสนุก คุณอาจทำกระดาษสีติดรูปเพื่อสอนคำภาษาอังกฤษให้กับลูก พิมพ์ชาร์ตตารางเพื่อให้จำง่าย ใช้การต่อจิ๊กซอเพื่อเรียนรู้การสะกดคำ หรือใช้ไม้ไอศครีมสีสันเพื่อช่วยให้เด็กเล็ก ๆ สามารถเห็นปัญหาโจทย์คณิตศาสตร์ได้ มีอีกหลายวิธีแล้วแต่จินตนาการของคุณเลย
3. ลงทะเบียนในนิตยสารหรือทีวี
นี่เป็นแทคติคที่จะทำให้ลูกของคุณสนใจในวิทยาศาสตร์แบบที่เขาไม่รู้ตัวเลยทีเดียว การลงทะเบียนทางช่อง National Geographic หรือผ่านทางนิตยสารเช่น Horrible Science ซึ่งเป็นนิตยสารที่เต็มไปด้วยข้อเท็จจริงต่าง ๆ และวิธีการทดลองที่ให้เด็ก ๆ ทดลองได้เองที่บ้าน และในตอนที่ลูกของคุณเริ่มรู้จักวิทยาศาสตร์เมื่อเขาอยู่ชั้นประถมต้น เขาจะสามารถเชื่อมโยงการเรียนรู้ในวิชาเรียนกับสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ที่บ้านได้แล้ว นอกจากนี้ การลงทะเบียนเพื่ออ่านหนังสือ Readers Digest และ Time ก็เป็นเรื่องที่ช่วยลูกของคุณได้ไม่น้อย
4. พาลูกไปห้องสมุด
เรารู้ว่าคุณเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อนแล้ว และในความเป็นจริง มันก็ได้ผลจริง ๆ ด้วย นอกจากจะให้ลูกคุณได้คุ้นเคยกับการอ่านตั้งแต่เขาอายุยังน้อย ห้องสมุดยังเป็นอีกสถานที่ที่ให้ลูกคุณได้ค้นหาสิ่งใหม่ ๆ ที่เขามีความสนใจอีกด้วย เช่น ลูกสาวคุณอาจสนใจในหนังสือศิลปะและงานฝีมือ ส่วนลูกชายคุณอาจสนใจหนังสือสอนทำอาหาร เป็นต้น เพราะลูกคุณอาจมีสิ่งที่เขาสนใจแต่ยังไม่ได้บอกให้ใครรู้ ดังนั้น การที่คุณสังเกตชนิดของหนังสือที่เขาสนใจอ่านอาจทำให้คุณเห็นแววความชอบของเขาก็ได้
5. กำหนดเวลาเพื่อเรียนรู้เสริมในทุกคืน
คุณควรหารือเรื่องนี้กับลูกของคุณเพื่อตกลงเวลาที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมที่บ้าน เช่น เวลาหนึ่งทุ่ม สองทุ่มครึ่งทุกวันจันทร์ ศุกร์ ในช่วงเวลานี้ จะไม่มีสิ่งอื่นมารบกวนสมาธิ เช่น เกมส์ หรือโทรศัพท์มือถือ วิธีนี้จะใช้ได้ดีกับเด็กเล็ก ๆ เพราะเป็นวิธีที่ช่วยสร้างโครงสร้างชีวิตของเด็กในแต่ละวัน ทำให้เขามีสมาธิมากขึ้นเพราะเขารู้ว่าเขาจะได้พักหลังจากที่เขาเรียนรู้เสร็จ
6. วางแผนปรับตารางเวลาและตั้งเป้าหมายสำหรับการสอบ
เช่น ทำก่อนที่ลูกจะสอบประมาณ 1 เดือน คุณแม่ท่านหนึ่งนั่งลงคุยกับลูกเพื่อทำรายการหัวข้อที่ลูกต้องสอบ จากนั้นก็บันทึกวันที่ลูกสอบลงในปฏิทินและร่างแผนตารางเวลาขึ้น อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือการตั้งเป้าหมายสำหรับการสอบที่กำลังจะมาถึง และจงระลึกไว้เสมอว่าต้องตั้งเป้าตามความเป็นจริงโดยดูที่เกรดของลูกและกระตุ้นให้ลูกตั้งใจทำให้ดีขึ้นในการสอบครั้งนี้อย่างน้อยให้เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเกรด
6. วางแผนปรับตารางเวลาและตั้งเป้าหมายสำหรับการสอบ
เช่น ทำก่อนที่ลูกจะสอบประมาณ 1 เดือน คุณแม่ท่านหนึ่งนั่งลงคุยกับลูกเพื่อทำรายการหัวข้อที่ลูกต้องสอบ จากนั้นก็บันทึกวันที่ลูกสอบลงในปฏิทินและร่างแผนตารางเวลาขึ้น อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือการตั้งเป้าหมายสำหรับการสอบที่กำลังจะมาถึง และจงระลึกไว้เสมอว่าต้องตั้งเป้าตามความเป็นจริงโดยดูที่เกรดของลูกและกระตุ้นให้ลูกตั้งใจทำให้ดีขึ้นในการสอบครั้งนี้อย่างน้อยให้เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเกรด
8. ให้ลูกที่โตกว่าช่วยสอนหรือติว
เพราะมีลูกถึง 5 คน คุณแม่ญาณีจึงไม่สามารถจ่ายค่าเรียนพิเศษให้กับลูกทั้งหมดได้ ดังนั้น คุณแม่จึงให้ลูกคนที่โตกว่าที่สามารถทำหน้าที่สอนน้องได้ช่วยสอนน้อง ๆ วิธีนี้จะทำให้พวกเขามีความรู้และรู้สึกว่าการเรียนพิเศษที่บ้านนั้นเป็นเรื่องสนุกสนาน แต่คุณต้องแน่ใจว่าลูกคนที่รับผิดชอบสอนน้องนั้นทำงานของเขาเสร็จเรียบร้อยแล้วเช่นกัน เพราะคุณเองก็ไม่อยากให้ลูกคนที่มาช่วยสอนเกิดความเครียดกับหน้าที่ที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง
9. อย่าใส่ใจกับพ่อแม่ที่ส่งลูกเรียนโรงเรียนแพง ๆ
ถ้าคุณรู้สึกผิดที่เพื่อน ๆ หรือญาติ ๆ ของคุณส่งลูกเรียนโรงเรียนดัง ๆ หรือแพง ๆ ลูกเขาเรียนได้เกรดดีกว่า จ่ายค่าเรียนพิเศษสูงลิบลิ่ว อะไรเทือกนั้น แทนที่คุณจะรู้สึกท้อหรือเครียดไปกับสิ่งเหล่านี้ คุณควรพูดคุยกับครูที่โรงเรียนของลูกหรือใครก็ตามที่สามารถช่วยติวลูกของคุณให้เรียนเก่งขึ้นมาได้
10. เรียนให้สนุก
โอกาสในการเรียนรู้มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ดังนั้นอย่าจำกัดการเรียนรู้ของลูกคุณเฉพาะที่บ้าน ลองค้นหาสถานที่เสริมความรู้ต่าง ๆ ในกรุงเทพฯหรือตามจังหวัดต่าง ๆ สถานที่ที่จะให้ลูกคุณได้เรียนรู้ไปพร้อมกับการสร้างความสนุกเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของเขานั่นเอง
โดย: เจ้าบ้าน
[14 ก.ค. 56 1:01] ( IP A:110.168.135.247 X: )
คลิก เพื่อเปลี่ยนกลับไปแสดงความคิดเห็นแบบเดิม
ชื่อไฟล์รูปห้ามมีอักขระพิเศษ เช่น (#),(<),(>),(&) เป็นต้นค่ะ
ชื่อ / e-mail :
แทรกไอคอนน่ารักๆในข้อความ
e-mail :
ส่งอีเมลทุกครั้งที่มีการตอบกระทู้
(ใส่ Email เมื่อต้องการให้ส่ง Email เมื่อมีคนมาโพสในกระทู้)
คลิกที่นี่เพื่อกลับหน้าบ้าน