onninn.pantown.com
บทความดีๆ <<
กลับไปหน้าแรก
เตรียมความพร้อม.. ก่อนส่งลูกไปเรียนเมืองนอก
เตรียมความพร้อม.. ก่อนส่งลูกไปเรียนเมืองนอก
เมื่อภาษาต่างประเทศเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า สังคมเมืองเริ่มเห็นความสำคัญของภาษามากขึ้น โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ทำให้พ่อแม่ที่หวังดีกับลูกต่างร่วมใจกันส่งเสริม และสนับสนุนให้ลูกรักได้เรียนภาษากันอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างความได้เปรียบในสังคมในโลกอนาคต
ครอบครัวไหน ที่มีฐานะการเงินค่อนข้างดี ก็จะส่งลูกหลานไปเรียนต่อต่างประเทศ เพื่อจะได้สัมผัส และเรียนภาษากันอย่างจริงจังจากแม่แบบที่แท้จริง แต่ในบางครอบครัวที่เพิ่งเริ่มต้น อาจมีความสงสัย และไม่รู้ว่าจะต้องเตรียมตัวลูกอย่างไร ก่อนบินลัดฟ้าไปเรียนเมืองนอก เช่น ข้อมูลโรงเรียน บ้านที่จะไปอยู่ การใช้ชีวิต เป็นต้น
ครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีของทีมงาน Life and family ที่ได้พูดคุย และรับฟังคำแนะนำดีๆ จากคุณ เกวลิน เลิศรัศมีวงศ์ หรือ แนน ผู้จัดการศูนย์ Education New Zealand ประจำประเทศไทย ในประเด็นเรื่อง เตรียมตัวลูกรัก ก่อนบินลัดฟ้าไปเรียนต่างประเทศ
กับเรื่องนี้ พี่แนนบอกว่า ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน กระแสพ่อแม่นิยมส่งลูกไปเรียนต่อต่างประเทศมีเพิ่มมากขึ้น ไม่เว้นแม้แต่เด็กเล็กที่มีอายุ 5-12 ปี ที่กำลังเรียนในระดับประถมศึกษา เนื่องจากพ่อแม่ส่วนใหญ่ต้องการให้ลูกเข้าใจ และพูดภาษาได้เร็วขึ้น รวมถึงเป็นการฝึกให้ลูกได้ใช้ชีวิตด้วยตัวเอง และขยายโลกทรรศ์ เพื่อเกิดมุมมอง และความคิดที่แปลกใหม่
อย่างไรก็ดี ด้วยความรัก และความหวังดี บางครั้งลูกอาจยังไม่พร้อม โดยเฉพาะการเข้าสังคมใหม่ๆ หรือขาดข้อมูลด้านการศึกษาต่อ ความไม่พร้อมดังกล่าวอาจนำมาซึ่งปัญหาก็เป็นได้ ทางที่ดีควรเตรียมตัว และศึกษาหาข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลของประเทศนั้นๆ หรือความพร้อมของโรงเรียน นั่นจะช่วยให้ความหวังดีของพ่อแม่ ส่งผลบวกกับลูกได้อย่างเต็มที่ และไม่ทำร้ายลูกในทางอ้อม
วิธีการเตรียมตัวลูกรัก ก่อนบินลัดฟ้าไปเรียนเมืองนอกนั้น พี่แนน ให้หลักง่ายๆ ไว้ว่า คุณพ่อ คุณแม่ ต้องดูความพร้อมของลูกก่อน เข่น ลูกเป็นคนเปิดเผย กล้าแสดงออก และกล้าที่จะเปิดรับในภาษา หรืออยู่ในสังคมใหม่ๆ ได้หรือไม่ มีการปรับตัวได้ดีหรือเปล่า ส่วนเรื่องของภาษา ไม่จำเป็นต้องเก่งมาก ขอให้ฟัง และพูดได้บ้างก็พอแล้ว เพราะเด็กยังเล็กอยู่ สามารถรับ และเรียนรู้ในโรงเรียนของประเทศนั้นๆ ได้
แต่ทั้งนี้เพื่อให้เด็กไม่กดดัน และปรับตัวได้เร็วขึ้นเมื่อไปอยู่ต่างประเทศ ควรฝึก และเตรียมตัวลูกน้อยไว้เบื้องต้นก่อน เช่น พาลูกไปเรียนภาษาอังกฤษภาคฤดูร้อน เพื่อให้เด็กได้ลองปรับตัว และสัมผัสกับวัฒนธรรมใหม่ๆ ถ้าเรียนแล้ว ยังปรับตัวได้ไม่ดี หรือปรับตัวได้ช้า ก็ไม่พร้อมที่จะส่งลูกไปเรียนต่อต่างประเทศ เพราะจะสร้างความกดดันให้กับเด็กได้
เคยมีเด็กชายคนหนึ่ง อายุ 9 ขวบ ไปอยู่นิวซีแลนด์ โดยพูดภาษาอังกฤษไม่เป็นเลย แต่มีคุณแม่ไปอยู่ด้วย ซึ่งคุณแม่เด็ดเดี่ยวมา โดยตัวเองอยู่เกาะเหนือ ส่วนลูกอยู่เกาะใต้กับครอบครัวนิวซีแลนด์ ซึ่งเด็กสามารถปรับตัว และอยู่ร่วมกันกับเพื่อนต่างชาติได้เป็นอย่างดี แต่เด็กบางคนไม่ใช่ เพราะการที่เด็กพร้อม และอยากไปเรียนเอง เมื่อไปอยู่ต่างประเทศ เขาจะมีความพยายามที่จะปรับตัว แต่ถ้าถูกส่งไป เพราะครอบครัวบังคับ หรือส่งลูกไปเพราะอ้างว่าหวังดีกับลูก นั่นจะทำให้ลูกอยู่อย่างไม่มีความสุข ส่งผลลบต่อลูกได้ พี่แนนสะท้อน
ทางด้านกฎหมาย และระเบียบการศึกษาของประเทศที่จะส่งลูกไป ก็มีความสำคัญเช่นกัน พี่แนนบอกว่า บางประเทศ จะมีการแบ่งอายุตามกฎหมาย เช่น ประเทศนิวซีแลนด์ ถ้าเด็กที่มีอายุ 11-13 ปีขึ้นไป สามารถเดินทางไปได้ตามปกติ แต่คุณพ่อคุณแม่ต้องแต่งตั้งผู้ดูแล หรือผู้ปกครองของลูกแทนเรา ไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่รู้จัก หรือโรงเรียน ส่วนเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี กฎหมายบังคับว่า จะต้องมีคุณพ่อหรือคุณแม่ไปอยู่ด้วยเท่านั้น
นอกจากนี้ ยังต้องดูด้วยว่า โรงเรียนที่จะส่งลูกไป รับนักเรียนต่างชาติหรือไม่ อย่างประเทศนิวซีแลนด์ ไม่ใช่โรงเรียนประถมทุกโรงเรียนจะรับเด็กต่างชาติเสมอไป แต่ทั้งนี้ต้องเป็นโรงเรียนที่มีการจดทะเบียนภายใต้กระทรวงศึกษาฯ แล้วเท่านั้น ซึ่งในแต่ละประเทศจะไม่เหมือนกัน ทางที่ดี คุณพ่อคุณแม่ต้องศึกษา หามูลให้ชัดเจนอย่างถูกต้อง และแม่นยำ เพื่อจะได้ไม่วุ่นวายภายหลัง
เหมือนกันกับค่าใช่จ่ายในการเรียน จำเป็นต้องสอบถามให้ชัดเจนด้วย เพราะแต่ละประเทศ จะมีกฎข้อบังคับเรื่องวีซ่าต่างกัน ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ต้องพิจารณาถึงจุดนี้ก่อน ส่วนเรื่องค่าเล่าเรียน และค่าครองชีพของประเทศนั้น ๆ พ่อแม่ต้องคำนวณให้ดี เพราะเรื่องนี้ จะเป็นตัวสะท้อนว่า คุณสามารถส่งลูกเรียนต่อไหวหรือเปล่า ทั้งนี้เพื่อจะเก็บเงินได้ถูกต้อง และเพียงพอ
ประเทศนิวซีแลนด์ ผู้ปกครองจะต้องมีเงินเพียงพอที่จะให้ลูกไปเรียนต่อได้ทั้งปี เขาถึงจะออกวีซ่าให้ โดยค่าใช้จ่ายในการเรียนที่นิวซีแลนด์ต่อปี จะอยู่ประมาณ 300,000-400,000 บาทต่อปี ซึ่งต้องเตรียมไว้ก่อน เพราะกว่าที่จะออกวีซ่าได้ ผู้ปกครองต้องโอนเงินทั้งก้อนสำหรับทั้งปีไปให้โรงเรียน แล้วโรงเรียนจะออกใบเสร็จ และจดหมายออกมาว่าได้รับเด็กคนนี้แล้ว ใบเสร็จนั้นถึงจะนำมาประกอบการขอวีซ่าเพื่อไปเรียนต่อได้ ส่วนค่าครองชีพ ก็ไม่แพงมากนัก ซึ่งจะอยู่ประมาณ 200-300 เหรียญต่อสัปดาห์ ประมาณ 5,000-6,000 บาท ซึ่งรวมค่าอาหาร 3 มื้อแล้ว พี่แนนแจงรายละเอียด
อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกที่เด็กไปอยู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะเด็กที่ไม่มีผู้ปกครองไปด้วย อาจเกิดความรู้สึกคิดถึงบ้าน (Home Sick) ขึ้นมาได้ คุณพ่อคุณแม่ควรเดินทางไปดูลูกเป็นระยะๆ เพื่อพูดคุย หรือเข้าถึงสภาพความเป็นอยู่ของลูก ขณะเดียวกันพ่อแม่ควรคุยกับครอบครัว หรือโรงเรียนที่ลูกไปอยู่ให้ชัดเจน เพื่อให้เขาเข้าใจพฤติกรรมของลูก ว่าชอบ หรือไม่ชอบอะไร ซึ่งจะได้ดูแลได้อย่างใกล้ชิด เพราะไม่เช่นนั้นเด็กจะรู้สึกอึดอัด และอยู่อย่างไม่มีความสุข
นอกจากนี้ พี่แนนได้เล่าจากประสบการณ์จริงเมื่อครั้งที่ไปเรียนเมืองนอกตอนอายุ 12 ปีว่า การไปเรียนต่างประเทศ ไม่ใช่เพื่อเรียนอย่างเดียว แต่เป็นการเปิดโลกทรรศ์ให้กับตัวเองด้วย เช่น รับรู้มุมมอง/ความคิดที่แปลกใหม่ เรียนรู้วัฒนธรรมต่างชาติที่น่าสนใจ การปรับตัว และปรับใจให้เข้ากับสังคมคนต่างชาติ
แต่ก่อนที่จะไป เธอบอกว่า พ่อแม่มีความกังวลอยู่เหมือนกัน เพราะกลัวลูกจะมีความเป็นตะวันตกมากเกินไป จนลืมรากเหง้าของตัวเอง แต่เรื่องนี้เธอรู้ตัวดี และพร้อมที่จะเลือกรับในสิ่งที่เหมาะสม ส่วนสิ่งที่ไม่เหมาะสม และทำลายความเป็นไทย เธอจะไม่เลือกรับ
ตอนที่ไปพ่อแม่ดูอยู่หลายประเทศ กระทั่งได้ทุนไปแลกเปลี่ยนที่นิวซีแลนด์อยู่ 1 ปี ภาษาก็งูๆ ปลาๆ คุยกับครอบครัวที่นั่น ก็เปิดพจนานุกรมบ่อยมาก พูดไปเปิดไป พอจบทุนกลับมาเมืองไทยตอนอายุ 13 ปี จึงเกิดความรัก และอยากจะไปเรียนอีก พ่อแม่ก็ดันเต็มที่ จึงสอบเทียบไปเรียนต่อม.3 ที่ประเทศเดิม ซึ่งเขาไม่กดชั้นเรียนเรา ทำให้เรียนต่อจนจบปริญญาตรี พี่แนนเล่าถึงประสบการณ์ตรงในวัยเด็ก
พี่แนนแนะต่อว่า การไปเรียนต่อต่างประเทศ ทางโรงเรียนจะมีให้กรอกรายละเอียดของบ้านที่ต้องการจะไปอยู่ เช่น ลูกมีลักษณะนิสัยอย่างไร ชอบหรือไม่ชอบกินอะไรเป็นพิเศษ มีโรคประจำตัวอะไรหรือไม่ แพ้ฝุ่น หรือแพ้สัตว์เลี้ยงชนิดไหนหรือเปล่า หรือชอบเล่นเครื่องดนตรี และกีฬาประเภทไหน ซึ่งต้องระบุให้ชัดเจนด้วย เพื่อที่โรงเรียนจะได้หา Home stay หรือบ้านครอบครัวต่างชาติที่เข้าใจ และมีความพร้อมในสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องการให้ลูกได้อย่างเหมาะสม
ไม่ว่าจะเด็กเล็ก หรือเด็กโต คุณพ่อคุณแม่ต้องมีกรอบในการใช้ชีวิตให้กับลูก เพื่อไม่ให้ลูกเดินนอกกรอบ อย่างของพี่เอง แม่จะบอกเสมอว่า กรอบทีมีไว้เพื่อลูก ถ้าเราไม่เดินตามกรอบ หรือออกนอกกรอบคนที่เสียใจที่สุดก็คือตัวเราเอง ดังนั้นพี่ไม่เห็นด้วยที่พ่อแม่ส่งลูกไปเรียนแล้ว ปล่อยเลยตามเลย โดยไม่สนใจ ซึ่งจะทำให้ลูกมีอิสระมากเกินไป และใช้ชีวิตในต่างประเทศอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เป็นสิ่งที่พี่แนนฝากไว้กับเด็ก และพ่อแม่
การจะส่งไปลูกไปเรียนเมืองนอก โดยเฉพาะเด็กเล็ก ถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน คุณพ่อคุณแม่ควรเตรียมความพร้อมให้ดีเสียก่อน ไม่บังคับ หรือส่งลูกไปเรียนต่อโดยไม่เต็มใจ ขณะเดียวกันควรศึกษาหาข้อมูล ทั้งด้านกฎหมาย และการเรียนของประเทศนั้นๆ ให้ชัดเจน โดยปรึกษาผู้รู้ หรือเจ้าหน้าที่ประจำประเทศนั้นๆ ที่ทำการอยู่ในเมืองไทย ซึ่งบุคคลเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยให้คุณพ่อ คุณแม่ มั่นใจ และไร้กังวล เมื่อต้องส่งลูกไปเรียนต่างแดนเพียงลำพัง แต่ต้องดูความน่าเชื่อถือขององค์กรที่จะให้คำปรึกษา หรือแนะนำการศึกษาต่อต่างประเทศด้วย
โดย: เจ้าบ้าน
[2 ส.ค. 56 23:54] ( IP A:58.11.44.65 X: )
คลิก เพื่อเปลี่ยนกลับไปแสดงความคิดเห็นแบบเดิม
ชื่อไฟล์รูปห้ามมีอักขระพิเศษ เช่น (#),(<),(>),(&) เป็นต้นค่ะ
ชื่อ / e-mail :
แทรกไอคอนน่ารักๆในข้อความ
e-mail :
ส่งอีเมลทุกครั้งที่มีการตอบกระทู้
(ใส่ Email เมื่อต้องการให้ส่ง Email เมื่อมีคนมาโพสในกระทู้)
คลิกที่นี่เพื่อกลับหน้าบ้าน