ปัญหาลูกไม่สนใจเรียนมีสาเหตุและวิธีการแก้ไขอย่างไร?
   ปัญหาลูกไม่สนใจเรียนมีสาเหตุและวิธีการแก้ไขอย่างไร?
ปัญหาลูกไม่สนใจเรียนมีสาเหตุได้จากหลายปัจจัยร่วมกัน ได้แก่ สาเหตุภายในตัวเด็กทั้งด้านร่างกาย ด้านจิตใจ และสาเหตุทางสิ่งแวดล้อม ดังนี้

เด็กที่มีการเจริญเติบโตทางสมองช้า เด็กกลุ่มนี้จะมีเชาว์ปัญญาต่ำ ซึ่งสังเกตได้ตั้งแต่เล็กๆ ว่ามีการยิ้ม ชันคอ คว่ำ นั่ง ยืน เดิน และพูดช้ากว่าเด็กอื่น เมื่อเข้าสู่วัยเรียนเด็กอาจเรียนไม่ได้เลย เรียนไม่ทันเพื่อนหรือเรียนได้เฉพาะชั้นต้นๆ แต่จะมีความลำบากขึ้นจนเรียนต่อไปไม่ได้ในชั้นสูงๆ ขึ้นไป ซึ่งมีวิชาเรียนมากขึ้นและบทเรียนยากขึ้น

เด็กที่มีความผิดปกติทางสมองที่ทำให้มีขีดจำกัดในวิธีการเรียนรู้บางอย่าง เช่น มีความลำบากในการพูด การสะกดคำ การอ่าน การเขียน หรือการคิดคำนวณ ทั้งๆ ที่มีระดับเชาว์ปัญญาอยู่ในเกณฑ์ปกติแต่จะมีผลการเรียนต่ำในด้านที่สัมพันธ์กับปัญหาดังกล่าว

เด็กปัญญาเลิศ คือเด็กที่มีเชาว์ปัญญาสูงกว่าปกติมาก มีลักษณะฉลาดเกินวัยมีความคิดสร้างสรรค์ และอาจมีความถนัดเป็นพิเศษทางด้านใดด้านหนึ่ง เช่น ศิลปะ ดนตรี แต่ยังคงเป็นเด็กที่มีความต้องการอื่นๆ เหมือนเด็กทั่วๆ ไป ปัญหาที่พบมักจะเป็นผลจากสิ่งแวดล้อมที่ไม่เข้าใจธรรมชาติของเด็กกลุ่มนี้ และไม่สามารถเอื้ออำนวยต่อความต้องการ และความสามารถของเด็กได้อย่างเหมาะสม จึงพบปัญหาการปรับตัวได้ เช่น การแยกตัวจากกลุ่มเพื่อน เบื่อหน่ายการเรียนไม่ได้เรียนสิ่งที่ตนสนใจหรือคับข้องใจที่ได้รับการส่งเสริมแต่เพียงการใช้ความสามารถทางเชาว์ปัญญา แต่ขาดการตอบสนองทางอารมณ์ตามวัย

เด็กที่เป็นโรคซนและสมาธิสั้น ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของสมองบางส่วนคาดว่าอาจเกิดจากสารเคมีในสมองบางส่วนไม่สมดุล เด็กจะมีอาการสำคัญคือ ซน อยู่ไม่นิ่ง ชอบวิ่ง ปีนป่าย กระโดด มีสมาธิสั้น เหม่อลอย วอกแวกง่าย หุนหัน วู่วาม ลำบากในการคุมตัวเอง

เด็กมีสุขภาพไม่แข็งแรง หรือมีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจพิการ โรคไต โรคมะเร็ง หรือมีโรคที่มีผลกระทบต่อสมอง เช่น โรคลมชัก ทำให้เด็กต้องขาดเรียนบ่อยต้องหยุดพักรักษาตัวนาน ทำให้เรียนไม่ทันเพื่อนได้

เด็กมีความผิดปกติทางสายตา การได้ยิน หรือความพิการ ทำให้เกิดอุปสรรคต่อการเรียน สาเหตุจากลักษณะเฉพาะของเด็ก เช่น เด็กมีลักษณะสมยอม ขาดแรงจูงใจในการเรียนรู้ และปล่อยความรู้สึกเบื่อการเรียนให้เป็นไปโดยไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นภายในอนาคต สาเหตุด้านอารมณ์จิตใจ มักจะมีความกังวล ครุ่นคิด แต่ปัญหาที่ไม่สบายใจ มักจะแสดงอาการ เหม่อลอย อ่อนเพลีย เป็นลม กลับมามีปัสสาวะรดที่นอนอีก หรือหงุดหงิด ก้าวร้าวเปลี่ยนไปจากเดิม มีผลให้ความสนใจและสมาธิในการเรียนลดลง เรียนไม่ได้เต็มความสามารถ

ปัญหาภายในครอบครัว เช่น ครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ พ่อแม่แยกกันอยู่ หย่าร้าง ทอดทิ้งเด็ก มีการทะเลาะ หรือใช้ความรุนแรงมีผลกระทบต่ออารมณ์ และการเรียนรู้ของเด็กได้ การเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม และความคาดหวังของผู้ใหญ่ เช่น การปล่อยปละละเลย ตามใจ หรือบังคับเข้มงวด ตลอดจนมีความคาดหวังในการเรียนของเด็กมากเกินไป ล้วนก่อให้เกิดปัญหาทางอารมณ์ พฤติกรรมและการเรียน

ปัญหาการเงิน เช่น ครอบครัวที่ต้องการแรงงานจากเด็กเพื่อช่วยหารายได้เข้าครอบครัวมักจะทำให้เด็กขาดโอกาสได้เรียนอย่างเหมาะสมหรือครอบครัวที่ประสบปัญหาการเงิน เช่น พ่อหรือแม่ตกงาน ย่อมทำให้เกิดความเครียดในครอบครัว และอาจมีผลกระทบต่อโอกาสการเรียนของลูกได้ ปัญหาโรงเรียน เช่น ระบบโรงเรียน มาตรฐานการเรียนการสอนไม่สอดคล้องกัน เช่น อนุบาลมีทั้งแบบเตรียมความพร้อม แบบกลางๆ และแบบเร่งรัด หรือความแตกต่างระหว่างโรงเรียนรัฐบาลกับเอกชนที่มีชื่อเสียง โรงเรียนในเมืองหลวงกับต่างจังหวัด ฯลฯ ล้วนมีผลต่อวิธีการ บรรยากาศ และโอกาสในการเรียนรู้ของเด็กหรือทัศนคติ และความคาดหวังของพ่อแม่มาก

ความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับครูและเพื่อน จะพบว่าเด็กที่ขาดความสัมพันธ์อันดีกับครู มีการเปลี่ยนครูบ่อย เข้ากับเพื่อนไม่ได้ รังแกเพื่อน หรือถูกเพื่อนข่มขู่ รังแก อาจมีผลกระทบต่อการเรียนได้ เมื่อประสบกับปัญหาและทราบสาเหตุที่ส่งผลให้ลูกเกิดพฤติกรรมไม่สนใจการเรียนแล้วควรศึกษาและหาวิธีการแก้ไขปัญหาดังนี้ เข้าใจและยอมรับในปัญหาที่เกิดขึ้น

ลดการตำหนิติเตียนหรือดูถูก และสนับสนุนให้เด็กได้มีโอกาสพูดหรือเล่าปัญหาของตนเองบ้าง ถ้าพบว่าลูกเริ่มมีปัญหาด้านการเรียนควรรีบพาไปปรึกษาจิตแพทย์แต่เนิ่นๆ โดยอธิบายให้เด็กเข้าใจถึงความห่วงใยและความจำเป็นในการมาพบแพทย์เพื่อช่วยให้ลูกมีความสุขในการเรียนมากขึ้น

พ่อแม่ควรช่วยกันสร้างบรรยากาศที่ดีในครอบครัว พูดคุยกันด้วยเหตุผลและเป็นตัวอย่างที่ดี ในเรื่องความรับผิดชอบ พ่อแม่ควรพยายามควบคุมอารมณ์ตนเองและไม่ตำหนิหรือลงโทษรุนแรงเมื่อเด็กทำผิด

แบ่งหน้าที่การทำงานในบ้าน ควรให้เด็กได้ฝึกรับผิดชอบงานบ้านตามความเหมาะสมและชมเชยเมื่อเด็กทำได้ดี เช่น เก็บที่นอน ล้างจาน ควรมีการตกลงกันระหว่างเด็กและพ่อแม่ถึงเวลาในการทำการบ้าน เล่นอิสระ อาบน้ำ และควรเข้านอนไม่เกินกี่ทุ่ม ถือเป็นการฝึกวินัยเบื้องต้น จะสำเร็จหรือไม่อยู่ที่ว่าพ่อแม่ต้องช่วยกัน เฝ้าติดตามผลและปฏิบัติกับลูกอย่างต่อเนื่องและจริงจัง จนลูกทำกิจกรรมต่างๆ จนเป็นนิสัย

พ่อแม่ควรช่วยกันมองหาจุดเด่นหรือข้อดีในตัวลูก และคอยชื่นชมส่งเสริมให้ทำอย่างต่อเนื่อง เป็นการสร้างความมั่นใจในตัวเองให้กับเด็ก เช่น นิสัยดีมีน้ำใจ เล่นกีฬาเก่ง วาดรูปเก่ง กล้าแสดงออก เป็นต้น ในเวลาเดียวกันหากลูกมีจุดอ่อนบางด้าน เช่น เรียนไม่เก่ง หรือมีปัญหาด้านการปรับตัวกับเพื่อนๆ ควรเข้าใจยอมรับคอยให้กำลังใจและคอยช่วยเหลือ เช่น ทบทวนบทเรียน พูดคุยกับลูกบ่อยๆ หาครูที่เข้าใจสอนเสริมให้

ให้ลูกมีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมเสริมสร้างทักษะชีวิต มีเวลาทำกิจกรรมร่วมกันระหว่างสมาชิกในครอบครัว เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีและช่วยให้พ่อแม่ได้ติดตามการเปลี่ยนแปลงของลูก พ่อแม่ควรยอมรับการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการตามวัยของลูก โดยเฉพาะเมื่อลูกเริ่มจะเข้าสู่วัยรุ่นที่ต้องการความเป็นอิสระ ต้องการความไว้วางใจจากพ่อแม่ ดังนั้น เวลามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ควรรับฟังอธิบายจากลูกก่อน ที่จะปรักปรำหรือลงโทษจะช่วยให้เด็กรู้สึกดีกับพ่อแม่

พ่อแม่และครูควรช่วยเหลือและร่วมมือกันประคับประคองเด็กให้มีโอกาสเรียนรู้ได้เต็มตามศักยภาพ และยอมรับว่าเด็กแต่ละคนมีความสามารถและความถนัดแตกต่างกัน ดังนั้น จึงไม่ต้องเก่งเหมือนกัน
โดย: เจ้าบ้าน [2 ส.ค. 56 23:55] ( IP A:58.11.44.65 X: )
Add to Facebook  Add to Twitter  Add to Multiply  Add to Google  Add to Blogger  Add to Live
คลิก เพื่อเปลี่ยนกลับไปแสดงความคิดเห็นแบบเดิม

ชื่อไฟล์รูปห้ามมีอักขระพิเศษ เช่น (#),(<),(>),(&) เป็นต้นค่ะ
ชื่อ / e-mail :    แทรกไอคอนน่ารักๆในข้อความ
e-mail :
ส่งอีเมลทุกครั้งที่มีการตอบกระทู้       (ใส่ Email เมื่อต้องการให้ส่ง Email เมื่อมีคนมาโพสในกระทู้)


CAPTCHA code



คลิกที่นี่เพื่อกลับหน้าบ้าน