onninn.pantown.com
บทความดีๆ <<
กลับไปหน้าแรก
ลูกกัดเล็บ
ลูกกัดเล็บ
มีผู้ปกครองถามถึงเรื่องลูกกัดเล็บ ว่าจะแก้ไขอย่างไร
ครูประจำชั้นบอกลูกกัดเล็บเป็นประจำ เล็บกุดหลายเล็บไม่ต้องตัดเลย
เวลาอยู่บ้านก็กัดบ้างต้องคอยเตือน
ถ้าอยู่บนรถนาน ๆ ไม่มีอะไรทำ ก็จะกัดเหมือนกัน
ถามหลายครั้งแล้วว่ารู้สึกอะไรตอนกัด ก็ยังไม่ได้คำตอบ ทำไงดี
ผมก็ตอบไปว่า..
เรื่องกัดเล็บ คุยกับลูกต่อเรื่องสาเหตุ
ค่อยๆถาม และให้ตัวเลือกถ้าจำเป็น
คุยถึงความจำเป็นที่ต้องเลิก(โดยเฉพาะในเด็กโต)
ถ้าอยากเลิกเองด้วย ก็หาวิธีช่วยเตือน
ถ้ายังไม่คิดจะเลิกเอง (โดยเฉพาะในเด็กเล็ก)
ก็ต้องหากิจกรรมเบี่ยงเบน
สังเกตอารมณ์ และทำงานอารมณ์ให้ทันท่วงที
ก่อนที่ลูกจะต้องใช้การกัดเล็บช่วยบรรเทา
.
เคยถามสาเหตุและให้ตัวเลือก แต่ลูกไม่ตอบ
ให้ตัวเลือกอะไรได้บ้าง แล้วจะเตือนที่ รร. ได้อย่างไร
ผมก็ตอบไปว่า..
ตัวเลือกที่อาจเป็นไปได้ เช่น
เบื่อ กังวล รำคาญ(เนื้อ,เล็บฉีก) อยากให้สั้น ฯลฯ
หากถามแล้ว ให้ตัวเลือกแล้ว แต่ลูกยังไม่ตอบ
ก็ค่อยๆ ตะล่อมถามต่อไปครับ ใช้ท่าทีชวนคุย
หรือจะใช้ท่าทีจริงจัง
ก็แล้วแต่ว่า เราเดาว่าสาเหตุมาจากอะไร*
ก็คงต้องทดลองใช้นะครับ
ก็ชวนมองต่อถึงสาเหตุอีกนิดนะครับ
ว่าที่ลูกไม่ตอบนั้นเป็นเพราะ..
หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้
(ไม่รู้จักตัวเองดีพอ ขาดโอกาสได้ฝึกคิดเชื่อมโยง
ถึงสาเหตุของสิ่งต่างๆ ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นย่อมมีสาเหตุเสมอ)
ซึ่งอาจมองต่อได้ว่าเราเปิดโอกาสให้ลูกได้รับประสบการณ์
และการเรียนรู้ทั้งภายนอก และภายในมาก และครบถ้วนหรือยัง เพียงใด
รวมถึงการชวนคิด ชวนคุย ชวนเล่น
ที่ท้าทายให้ลูกคิดเชื่อมโยงในระดับเหตุผล
และ
ต้องนำพาลูกไปต่อให้ถึงระดับ 1 เรื่อง มาได้จากหลายเหตุ *
เพื่อให้ลูกคิดหลากหลาย และยืดหยุ่นได้ในทุกเรื่อง
ไม่ติดหล่มพัฒนาการ
จนกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ ได้แต่คิดตายตัว ยึดติดยึดมั่นไป
คิดยืดหยุ่นไม่เป็น
หรือ
ลูกยังจับความรู้สึกตัวเองยังไม่ได้ บอกกล่าวความรู้สึกตัวเองได้ไม่ดี
(อาจจะทำได้แค่ในบางความรู้สึก
หรือลูกขาดโอกาสได้ฝึกสังเกตตัวเองในเรื่องความรู้สึก?)
ถึงเวลาต้องช่วยให้ลูกเข้าใจตัวเองเพิ่ม
โดยเฉพาะการจับสังเกตคามรู้สึกและระบุได้ เห็นที่มาของมัน*, **
เพราะความรู้สึกเป็นแรงขับเคลื่อนใหญ่ ในการผลักดันพฤติกรรมของมนุษย์
ถ้ายังติดหล่มพัฒนาการ
เมื่อเด็กไม่เคยสังเกต
เมื่อโตก็ย่อมไม่รู้ ไม่ทัน ไม่เห็นตัวเอง
ก็อาละวาดฟาดงวงฟาดงา ใส่ใครต่อใครไปทั่วได้
หรือ
ลูกรู้สึกไม่ดี อาย ผิด ที่ตัวเองกัดเล็บ จนไม่อยากพูดถึง
(ลูกไม่มีวิธีอื่นที่จะจัดการอารมณ์นอกจากกัดเล็บ
แม้รู้ว่าเราไม่ชอบ และลูกเองก็รู้สึกไม่ดีกับสิ่งนั้น /
เราเองมีท่าทีปฏิเสธ ไม่ยอมรับอารมณ์ หรือสถานการณ์ของลูก
ดุลูกเร็วเกินไป)
ชวนเราเองมองย้อนกลับมาได้ถึงสัมพันธภาพระหว่างเรากับลูก
อะไรทำให้ลูกไม่กล้าบอกเล่า ?
ประสบการณ์ และความสามารถของลูกในการคิดว่าทางออกอื่นๆ สำหรับตัวเอง มีเพียงพอหรือไม่
หรือ
รู้สึกดีที่ถูกใส่ใจ รู้สึกสำคัญ ที่ถูกถาม
จนอยากเก็บไว้นานๆ
(ลูกยังกังวลต่อความรัก
ตั้งข้อสงสัยต่อการดูแลจากเรามากน้อยเพียงใด
ลูกมีวิธีในการทดสอบความจริงเหล่านั้นอย่างผู้มีสุขภาพเพียงใด)
เราเล่นสนุกด้วยกันกับลูกเพียงพอหรือไม่
การเคลียร์ความรู้สึกสงสัย ตกค้าง เรื่องความใส่ใจ ความรักเพียงพอหรือไม่
หรือเด็กยังต้องทดสอบ* อยู่
หรือ
รู้สึกดี รู้สึกสนุก ที่ถูกถาม
จนอยากเก็บไว้นานๆ
(ความสามารถในการแยกจริง แยกเล่นของลูกดีเพียงใด
ความสามารถในการหยุด ในเวลาอันเหมาะอันควร มีมากน้อยเพียงไร)
มีท่าทีให้รู้ว่าเรื่องนี้จริงจัง เพียงพอหรือไม่
ฯลฯ
หรือเปล่า
เมื่อมองในแง่การช่วยเหลือลูกในวิถีที่ยั่งยืน
ก็หมายความว่า เรื่อง"ถามสาเหตุของการกัดเล็บ" นี้
ไม่ใช่แค่เรื่องถามตอบเรื่องการกัดเล็บแล้ว
แต่กลายเป็นโอกาสให้เรา (และตัวลูกเอง)
ได้เห็นลูกเพิ่มมากขึ้น
และเห็นสิ่งที่ต้องทำต่อ เพื่อช่วยลูก ได้มากขึ้นด้วย
เห็นสิ่งที่ต้องทำอีกยาวนาน
เพื่อนำพาลูกพ้นหล่มชีวิต* ที่วางดักไว้ตลอดเส้นทางพัฒนาการของลูก และของเรา
และในระหว่างถาม
หากตอบไม่ได้ ก็ช่วยโดยให้ตัวเลือกถ้าจำเป็น
จะให้ตัวเลือกได้
เราเองก็ต้องจินตนาการได้หลากหลาย กว้างไกล
นั่นคือต้องฝึกตนเองให้มีสายตายาวไกล
ไม่มองตื้นๆ ใกล้ๆ แค่เหตุการณ์ หรือภาพตรงหน้า*
และแม้จะมีคำพูดหลุดมาจากปากลูก
ก็อาจต้องเอะใจได้ว่าจริงหรือไม่ หรือพูดไปงั้น
ดูได้จากความสอดคล้องต้องกับลักษณะดั้งเดิมของลูก ที่เรารู้จัก คุ้นเคยดี ว่าสอดคล้องหรือไม่
หรือมีอะไรแปลกไป ชวนให้เอะใจสงสัยว่า ปรากฏการณ์ที่สังเกตเห็นใหม่ อาจไม่ใช่อย่างที่เราคิด
สำหรับคุณครู
ก็ขอความช่วยเหลือ โดยสังเกตภาวะที่เด็กมักจะกัดเล็บ
ความรู้สึก เหตุการณ์ สถานการณ์ ที่เด็กเผชิญอยู่ ณ เวลานั้นๆ
กัดเล็บเมื่อว่างๆ เมื่อพบความกดดัน เมื่ออยากให้คนใส่ใจ เมื่อเครียด เมื่อเพลิน ฯลฯ
เพื่อเราจะมีข้อมูลมากขึ้นในการค้นหาสาเหตุครับ
กับเด็ก.. คุยถึงความจำเป็นที่ต้องเลิก
ถ้าอยากเลิกเองด้วย ก็หาวิธีช่วยเตือน และให้กำลังใจ *
ถ้ายังไม่คิดจะเลิกเอง ก็ต้องหากิจกรรมเบี่ยงเบนไปจากการกัดเล็บ
ไม่ให้คุ้นชินกับการกระทำดังกล่าวจนเป็นความเคยชิน จนเป็นนิสัยแก้ยากในอนาคต
เพิ่มการสังเกตอารมณ์ ** และทำงานอารมณ์กับลูกให้ทันท่วงที
ก่อนที่เขาจะต้องใช้การกัดเล็บช่วยบรรเทาอารมณ์ดังกล่าว
ย้ำอีกครั้งว่า
เพื่อสร้างหลักประกันให้กับอนาคตของลูก
เราต้องมองให้ไกลกว่าพฤติกรรม ปรากฏการณ์ตรงหน้า***
มองให้เห็นข้อติดขัด และที่สำคัญ ทักษะที่ต้องเสริมเพิ่ม
เพื่อให้ลูกได้พัฒนาต่อเนื่อง
จนสุดท้ายคือ อยู่ในโลกนี้ได้อย่างภาคภูมิ เต็มศักดิ์ศรี
มีวิธีผ่านข้ามความผิดหวัง ทุกข์ใจได้ด้วยสุขภาพใจที่แข็งแรง
ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการไม่ชอบมาพากล วิธีการที่เสียสุขภาพจิต มาดำรงตนในโลกนี้
หมายเหตุ :
หากต้องการเรียนรู้พิ่มเติม อาจขวนขวายได้จากหนังสือ ตำรา ต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเลี้ยงดู
หรือพบจิตแพทย์ หรือนักจิตวิทยาคลินิก ซึ่งชำนาญเรื่องการแก้ไขปัญหาพฤติกรรม - อารมณ์ของเด็ก
* หรือเข้ารับการอบรมที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการเลี้ยงดู และการกำกับวินัยเชิงบวก
(อาทิ การอบรมฝึกวิทยายุทธ์ สกัดจุดลูกจอมเฮี้ยว)
** หรือเข้ารับการอบรมที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ และทำงานอารมณ์
(อาทิ ค่ายอยู่กับลูกให้สนุก)
*** หรือเข้ารับการอบรมที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการเข้าใจตนเองและผู้อื่น
(อาทิ ค่ายดูแลผู้หล่อเลี้ยง)
โดย: เจ้าบ้าน
[4 ก.ย. 56 9:17] ( IP A:58.9.57.81 X: )
คลิก เพื่อเปลี่ยนกลับไปแสดงความคิดเห็นแบบเดิม
ชื่อไฟล์รูปห้ามมีอักขระพิเศษ เช่น (#),(<),(>),(&) เป็นต้นค่ะ
ชื่อ / e-mail :
แทรกไอคอนน่ารักๆในข้อความ
e-mail :
ส่งอีเมลทุกครั้งที่มีการตอบกระทู้
(ใส่ Email เมื่อต้องการให้ส่ง Email เมื่อมีคนมาโพสในกระทู้)
คลิกที่นี่เพื่อกลับหน้าบ้าน