onninn.pantown.com
บทความดีๆ <<
กลับไปหน้าแรก
เลี้ยงลูกอย่างไรให้ฉลาด ตอน ม้าตีนปลาย
เลี้ยงลูกอย่างไรให้ฉลาด ตอน ม้าตีนปลาย
ถ้าลูกเรียนไม่เก่ง อ่านไม่ออก เมื่อชั้นอนุบาลหรือ ป 1 ท่านจะทำอย่างไร?
หมอจะเล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ของหมอและลูกหมอเองให้ฟังเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และข้อคิดกับผู้อ่านทุกท่าน ถ้าเป็นกรณีลูกของคุณ คุณจะทำอย่างไร?
ลูกชายคนโต เรียนโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งที่เน้นการเลี้ยงดูเด็ก สอนเด็กให้ช่วยเหลือตัวเอง เข้าสังคมเล่นกับเพื่อน ไม่เน้นการเรียนการสอนหนังสือให้อ่านออกเขียนได้หรือแม้กระทั่งการบวกเลข ไม่ว่าจะเป็นเลขหนึ่งหลักหรือสองหลักก็ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อลูกหมอเริ่มเข้าโรงเรียนชั้นประถม 1 อ่านหนังสือเป็นคำไม่ได้เลย อ่านวันที่ที่ครูจดบนกระดานไม่ได้ อ่านได้แต่ ก .. ไก่ ข.. ไข่ ค... ควาย หรือคำง่ายๆ เช่น กา ขา เป็นต้น ในขณะที่เด็กคนอื่นส่วนมากอ่านออกและบวกเลขได้แล้ว ถ้าคุณเป็นตัวหมอ คุณคิดว่าคุณควรทำอย่างไร
1)จ้างครูมาสอนพิเศษตัวต่อตัว
หรือ 2)ส่งลูกไปเรียนพิเศษ และทำการบ้านเพิ่มเติม
หรือ 3) ติวและสอนหนังสือลูกด้วยตัวเองอย่างเข้มข้นเพื่อให้ลูกเรียนทันเพื่อน
ถ้าคุณตอบข้อ 1, 2 หรือ 3 ข้อใดข้อหนึ่งคุณคิด ........ผิดครับ เพราะหมอแน่ใจในตัวลูกหมอว่าไม่โง่แน่นอน (ถ้าคุณผู้อ่านยังจำได้ คนเราจะฉลาดหรือไม่ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมครับ) หมอจึงปล่อยให้ลูกเรียนอย่างสบายตามปกติ ไม่มีการติวหรือเรียนพิเศษ เพียงแต่ให้ทำการบ้านตามที่คุณครูสั่ง หมอมีหน้าที่ตรวจว่าลูกทำการบ้านครบและถูกต้องเพียงเท่านั้น เสาร์อาทิตย์เป็นวันครอบครัว เป็นวันพักผ่อน พาไปเที่ยวเขาดินแทบทุกอาทิตย์ ไม่มีการส่งลูกไปเรียนพิเศษตั้งแต่เช้าจรดเย็นอย่างที่หลายคนทำกันอยู่ ถึงเวลาสอบเทอมแรกลูกหมอยังอ่านหนังสือไม่คล่อง เวลาสอบลูกเล่าว่าต้องให้คุณครูยืนอยู่ข้างๆ อ่านโจทย์ให้ฟังแล้วให้ลูกเลือกคำตอบเอง ผลการสอบเทอมแรกลูกหมอได้ที่ 29 จาก 30 คน อ่านไม่ผิดหรอกครับ ได้ที่ 2 จากท้ายห้อง น่าตกใจไหมครับ? ถึงตอนนี้ถ้าคุณเป็นตัวหมอ คุณจะทำอย่างไร?
1)จ้างครูมาสอนพิเศษตัวต่อตัว
หรือ 2) ส่งลูกไปเรียนพิเศษและทำการบ้านเพิ่มเติม
หรือ 3) สอนหนังสือลูกด้วยตัวเองอย่างเข้มข้นเพื่อให้ลูกสอบดีขึ้น
ถ้าคุณตอบข้อ 1 , 2 หรือ 3 ข้อใดข้อหนึ่ง คุณตอบ........ผิดครับ ปิดเทอมหมอส่งลูกไปอยู่กับอาม่า(แม่ของหมอ)ที่กาญจนบุรี ไปใช้ชีวิตเรียนรู้ธรรมชาติต่างจังหวัด เปิดเทอมจึงไปรับกลับมาเรียนตามปกติ ไม่มีการสอนหรือเรียนพิเศษเพิ่มเติมเหมือนเทอมแรก ผลการสอบเทอมปลาย ลูกหมอเริ่มอ่านหนังสือได้คล่อง สอบได้ที่ประมาณ 22 23 ของห้อง ปิดเทอมใหญ่ก็ไปอยู่กับอาม่าที่ต่างจังหวัดเหมือนเคยจนเปิดเทอม กลับมาเรียน ป.2 ลูกไปเรียนตามปกติ ทุกอย่างยังทำเหมือนเดิม หมอเพียงตรวจการบ้านว่าทำครบและถูกต้อง ผลการสอบปรากฏว่าลูกค่อยๆ ดีขึ้นจนประมาณ ป . 3 ก็เริ่มเห็นว่าลูกทันเพื่อนในชั้นแล้ว แต่เกรดการสอบก็อยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยปานกลางของห้อง จะมาเริ่มเห็นว่าลูกเริ่มเก่งประมาณ ม. 1 พอถึง ม. 3 หมอก็แน่ใจว่าลูกเก่งพอสมควร สอบได้เกรด 3 กว่า พอ ม. 4 ม. 6 ผลการสอบก็ดีขึ้นตามลำดับ จนสามารถสอบเข้าเรียนแพทย์ได้ จากเด็กที่อ่านหนังสือไม่ออก สอบได้ที่ท้ายสุดของห้อง ปัจจุบันเรียนจบเป็นหมออายุรกรรมโรคหัวใจแล้วครับ
ลูกคนที่ 2 ก็เหมือนกัน ตอนเข้าเรียนชั้นประถม 1 อ่านไม่ออก เขียนเป็นคำไม่ได้ ปรากฏว่าโรงเรียนมีโครงการทดลองจับเด็กเรียนอ่อนทั้งหมด 40 กว่าคนรวมอยู่ห้องเดียวกัน ให้ครูประจำชั้น 2 คนดูแล สอนติวพิเศษตอนเย็นทุกวัน ครูสั่งการบ้านเยอะแยะไปหมด เช่นเลข 10 ข้อ แต่ละข้อจะมี 10 ข้อย่อย รวมเป็น 100 ข้อต่อครั้ง ตอนเย็นพ่อแม่ต้องมานั่งรอกันเต็มหน้าห้องทุกวัน หลายคนเป็นทุกข์กังวลใจมากและนั่งคุยปรับทุกข์กันเอง ส่วนหมอนั้นชินเสียแล้ว เพราะประสบการณ์จากลูกคนแรกสอนว่าถ้าลูกเรานั้นใช้ได้ เริ่มต้นถึงจะช้ากว่า แต่ท้ายที่สุดก็จะสามารถทันเพื่อนได้โดยตัวเขาเอง โดยไม่ต้องเร่งเรียนพิเศษ ผลการสอนปรากฏว่าเย็นวันหนึ่ง หมอไปถึงหน้าห้อง เห็นห้องปิดหมดทั้งประตูและหน้าต่าง ปิดไฟมืดและเงียบ พ่อแม่นั่งรอคอยกันเต็มหน้าห้องเหมือนทุกวัน ถามได้ความว่าครูทนไม่ไหว ในความเป็นเด็กอ่อนของนักเรียนทั้งห้อง ซนมาก ไม่สนใจเรียน ไม่ยอมนั่งเรียน เดิน วิ่งไม่ฟังครู จนครูทนไม่ไหว ร้องไห้ ปิดประตูหน้าต่างรวมทั้งไฟและพัดลม ปล่อยให้เด็กนั่งนิ่งเงียบอยู่ในห้อง เป็นการทำโทษ สักพักจึงปล่อยกลับบ้าน ทำเอาพ่อแม่ใจเสียกันแทบทุกคน ยกเว้นหมอคนเดียวที่มีประสบการณ์มาแล้ว จึงรู้สึกเฉยๆ เพราะสังเกตเห็นและคิดว่าลูกเรานั้นใช้ได้ โตขึ้นก็จะเก่งและดีขึ้นได้โดยตัวเขาเองเหมือนพี่ของเขาเช่นเดียวกัน ช่วงเสาร์อาทิตย์ก็เป็นวันครอบครัว พาลูกไปเที่ยวเล่นตามประสาเด็ก เที่ยวเขาดินเหมือนเดิม ปิดเทอมลูกคนเล็กก็ไปอยู่กับอาม่าพร้อมพี่ชาย ผลการสอบของลูกคนเล็กเป็นไปตามคาด ปีแรกๆคล้ายพี่ชาย แต่ผลการเรียนก็ดีขึ้นตามลำดับ ถึง ม.3 ก็เห็นชัดว่าเขาเรียนใช้ได้ สอบเข้าเรียนได้คณะวิศวะจุฬาฯ จนจบทำงาน 3 ปี แล้วได้ทุนจากธนาคารแห่งหนึ่ง ไปเรียนจบปริญญาโทบริหารธุรกิจ ( MBA) ประเทศสหรัฐอมริกา และกลับมาทำงานที่ธนาคารแห่งนั้นอยู่ในขณะนี้
จากประสบการณ์ที่ได้จากลูกทั้ง2คนที่ผ่านมา หมอจึงไม่แน่ใจว่าการเรียนพิเศษ การติวนั้นจะช่วยให้ลูกเรียนเก่งขึ้น ฉลาดขึ้นในระยะยาวได้จริงอย่างที่หลายคนตั้งความหวังไว้หรือไม่? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหมอส่งลูกไปเรียนพิเศษ ติวอย่างเข้มข้น ลูกจะเรียนเก่งสอบเอนทรานซ์ได้ดีกว่านี้หรือไม่? แต่หมอแน่ใจอยู่เรื่องหนึ่งว่า การเคี่ยวเข็ญให้เด็กเรียนหนักทั้งที่เด็กไม่พร้อม ศักยภาพไม่เพียงพอ แทนที่จะช่วยส่งเสริมเด็ก หมอคิดว่ากลับจะทำให้เด็กเหนื่อยเกินไป รู้สึกล้าและเบื่อการเรียน จนโตขึ้นเป็นคนที่ไม่อยากเรียนรู้ ไม่สนใจเรียนเพิ่มเติม ไม่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง เรียนได้แต่ในห้อง ค้นคว้าเรียนเองไม่ได้ คิดเองไม่เป็นและทำงานไม่เป็น การยัดเยียดให้เด็กเรียนจนเต็มสมอง จนสมองไม่มีที่ว่างพอที่จะเติมหรือใส่อะไรลงไปได้อีกเมื่อโตขึ้นไม่น่าจะเป็นผลดีต่อตัวเด็ก ถ้าเปรียบเหมือนม้าแข่ง การเฆี่ยนม้าให้วิ่งเต็มที่อยู่ตลอดเวลา โดยที่โค้ชไม่รู้จัก ไม่เข้าใจสภาพและศักยภาพของม้า ไม่มีผ่อนหนัก ผ่อนเบา จนม้าหมดแรง หมดสภาพ ก็มีแต่จะพ่ายแพ้ เหมือนม้าตีนต้น สู้รู้จักผ่อนหนัก ผ่อนเบา ถนอมม้า แล้วเร่งเมื่อถึงเวลา ก็จะเข้าสู่เส้นชัย เปรียบเหมือนม้าตีนปลายน่าจะได้ผลดีกว่า
ขอให้มีความสุข และสนุกกับการเลี้ยงลูกนะครับ
โดย: เจ้าบ้าน
[13 ก.ย. 56 22:53] ( IP A:58.11.1.203 X: )
คลิก เพื่อเปลี่ยนกลับไปแสดงความคิดเห็นแบบเดิม
ชื่อไฟล์รูปห้ามมีอักขระพิเศษ เช่น (#),(<),(>),(&) เป็นต้นค่ะ
ชื่อ / e-mail :
แทรกไอคอนน่ารักๆในข้อความ
e-mail :
ส่งอีเมลทุกครั้งที่มีการตอบกระทู้
(ใส่ Email เมื่อต้องการให้ส่ง Email เมื่อมีคนมาโพสในกระทู้)
คลิกที่นี่เพื่อกลับหน้าบ้าน