onninn.pantown.com
บทความดีๆ <<
กลับไปหน้าแรก
"เลี้ยงลูกแบบ Unplug แต่ยังรักเทคโนโลยี"
"เลี้ยงลูกแบบ Unplug แต่ยังรักเทคโนโลยี"
เคยพูดเรื่องการเลี้ยงลูกแบบ Unplug (ขอหยิบยืมคำนี้มาจากแม่โอ๋ที่เรารักจากเพจ Unplug Your Kids) ที่เราปล่อยให้ลูกเติบโตตามธรรมชาติโดยไม่ต้องข้องแวะกับเทคโนโลยี เราไม่ให้ลูกดูทีวี ไม่ให้เล่นสมาร์ทโฟนหรือไอแพด ไม่ให้ดูการ์ตูนดีวีดีหรือยูทูบ ไม่ให้ใช้คอมพิวเตอร์ ฯลฯ มีหลายเสียงสะท้อนกลับมาว่า นั่นคือการหันหลังให้โลกยุคใหม่หรือไม่? คือการปฏิเสธความก้าวหน้าของวิถีชีวิตปัจจุบันใช่หรือไม่? วิธีเช่นนี้ในความเป็นจริงจะเหมาะสมหรือ ในเมื่อเราเกิดมาในยุคที่เทคโนโลยีก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและกลายมาเป็นส่วนสำคัญในชีวิตมนุษย์ทุก ๆ คนไปเสียแล้ว และยิ่งในยุคต่อไปที่ลูกเราเติบโตขึ้นมาก็มีแต่จะก้าวหน้ามากขึ้นไปเรื่อย ๆ
วันนี้จึงอยากขอใช้พื้นที่ตรงนี้ในการอธิบายเรื่องการเลี้ยงลูกแบบ Unplug ในแบบของเราให้ละเอียดมากขึ้น การไม่ปล่อยให้ลูกไหลไปตามกระแสเทคโนโลยี ไม่ได้แปลว่าเราอยากสวนกระแสหรือเป็นพวกต่อต้านเทคโนโลยี และไม่ได้แค่อยากจะเป็นพ่อแม่แบบแนว ๆ
ความจริงแล้วในทางกลับกัน เราเป็นคนหนึ่งที่รักเทคโนโลยี
เราเกิดในยุคนี้ที่เทคโนโลยีได้บันดาลความสะดวกสบายและให้ความบันเทิงให้เราอย่างมากมาย แต่ในทางตรงกันข้ามเทคโนโลยีก็ก้าวไปไกลอย่างรวดเร็วแผ่ลามเข้ามาในทุกครัวเรือนจนเราล้อมรั้วบ้านตามแทบไม่ทัน ทำให้เกิดผลเสียหลายประการจากความ "ไม่รู้เท่าทัน" เทคโนโลยี ไม่ว่าจะมาในรูปแบบเด็กติดเกมจนไม่เรียนหนังสือ เด็กที่ถูกหลอกลวงไปทำมิดีมิร้ายทางอินเตอร์เน็ท ผู้ใหญ่ที่โดนหลอกให้โอนเงินโดยแก๊งค์มิจฉาชีพ เด็กเล็กที่เข้าถึงภาพและสื่อที่ไม่เหมาะสมทางเว็บต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย เป็นต้น แต่ในเมื่อเราเกิดในยุคนี้แล้ว เราก็คงจะไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงหรือย้อนเวลากลับไปสู่สมัยที่สังคมยังอยู่แบบเรียบง่ายเหมือนสมัยที่เราเป็นเด็กได้ สิ่งที่เราทำได้ก็คงมีเพียงแต่ทำความเข้าใจกับยุคสมัยของเรา รักมันและยอมรับที่จะอยู่กับมันอย่างที่มันเป็น
ดังนั้น การเลี้ยงลูกแบบ Unplug สำหรับเรา จึงไม่ใช่การกีดกันความไฮเทคทุกอย่างออกไปจากวิถีชีวิต (เพราะนั่นคงเป็นการปฏิเสธความจริงเสียมากกว่า) เรายินดีมากที่จะบอกว่าครอบครัวเราเองก็มีทุกอย่างที่ชาวบ้านสมัยนี้มี ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน แท็บเบล็ต แล็พท็อป คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ฯลฯ เพียงแต่เราเลือกที่จะเลี้ยงลูกโดยไม่ให้สิ่งเหล่านี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตลูกก็เท่านั้นเอง
ถามว่าทำไม? ก็เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นโทษต่อพัฒนาการของเด็กมากกว่าให้ประโยชน์ ปัจจุบันมีการศึกษาออกมามากมายที่ชี้ให้เห็นว่าการใช้เทคโนโลยีเสมือนจริงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ทีวี คอมพิวเตอร์ แท็บเบล็ต ไม่ช่วยให้เด็กเรียนรู้ได้ดีขึ้น แต่ในทางกลับกัน กลับทำให้เด็กมีจินตนาการที่ลดลง เล่นได้น้อยลง และมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมาธิสั้นและภาวะอื่น ๆ ได้มากขึ้น ตรงนี้คงไม่ขออ้างอิงข้อมูลใด ๆ หรือลงรายละเอียดให้มากนะคะ เพราะข้อมูลเหล่านี้หาอ่านได้อย่างง่ายดายและมากมายทางอินเตอร์เน็ท ใครสนใจสามารถไปค้นคว้าเพิ่มเติมได้
เด็กเล็กเรียนรู้ผ่านการเล่นด้วยร่างกายเป็นสำคัญ โครงข่ายเส้นประสาทในสมองของเด็กจะพัฒนาเติบโตได้อย่างรวดเร็วผ่านทางการเล่นที่เด็กได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมด ได้สัมผัส ได้เคลื่อนไหว การได้รับรู้ถึงสิ่งแวดล้อมภายนอกผ่านทางผัสสะทั้งหมด รวมไปถึงการได้เล่นและมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นวัตถุดิบชั้นเลิศสำหรับพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของเด็ก ซึ่งเป็นสิ่งที่การดูทีวีหรือการเสพเทคโนโลยีเสมือนจริงต่าง ๆ ให้ไม่ได้
ด้วยเหตุนี้เราจึงเลือกที่จะให้ลูกได้เล่นและทำกิจกรรมต่าง ๆ ในสนามที่เขาจะได้ใช้ทั้งร่างกายในการเล่น แทนการเล่นเกมในคอมพิวเตอร์ เราให้ลูกได้ฟังนิทานที่เล่าจากน้ำเสียงของแม่เองแทนที่จะให้ดูการ์ตูนดีวีดี เราให้ลูกได้ออกไปเดินเล่นฟังเสียงนกร้องจริง ๆ แทนการดูสารคดีสัตว์โลกจากจอสี่เหลี่ยม เพราะอย่างไรเสีย ของจริง ก็ย่อมให้ประสบการณ์ที่เต็มอิ่มและเต็มความรู้สึกมากกว่าของเทียมอยู่แล้ว
แล้วจะห้ามไม่ให้ลูกใช้อุปกรณ์เหล่านี้ได้อย่างไร ในเมื่อพ่อกับแม่ก็ยังต้องใช้อยู่?
คำถามนี้เชื่อว่าเกิดขึ้นในใจพ่อแม่หลายคน แต่มันไม่ได้ยากอย่างที่เราคิดเลย ในชีวิตนี้ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เด็กไม่ควรทำแต่ผู้ใหญ่ทำได้ เช่น เราแต่งหน้าได้ แต่ลูกแต่งหน้าไม่ได้ เราขับรถได้แต่ลูกขับไม่ได้ เราอ่านหนังสือได้แต่ลูก (เล็กๆ) ยังอ่านไม่ออก เป็นต้น แล้วทำไมเราไม่จัดให้การใช้อุปกรณ์เหล่านี้ให้อยู่ในหมวดหมู่ สิ่งที่เด็กยังทำไม่ได้ บ้างล่ะคะ? ที่บ้านเราเองก็ทำเช่นนั้น เรามีสมาร์ทโฟนที่ลูกรู้ว่า เป็นของผู้ใหญ่ เรามีแท็บแบล็ตที่ลูกรู้ว่า แม่เอาไว้ทำงานและห้ามเด็กเล่น
การเลี้ยงลูกแบบ Unplug ไม่ใช่การเลี้ยงลูกในถ้ำ ให้ห่างไกลจากความเจริญทุกสิ่ง แต่มันคือการที่เราล้อมรั้วทางวินัยเพื่อปกป้องลูกจากเทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมก่อนวัยอันควร
เราไม่ได้บอกว่าห้ามลูกใช้เด็ดขาด แต่เราจะไม่ให้เขาใช้ก่อนที่เขาจะโตจนถึงวัยที่เขามีวุฒิภาวะมากพอ
และเราก็ไม่ได้บอกว่าหากจะเลี้ยงลูกแบบห่างเทคโนโลยีพ่อแม่เองก็ควรงดใช้เทคโนโลยีเด็ดขาด ยังใช้ได้ เพียงแต่พ่อแม่เองก็ควรจะเป็นตัวอย่างที่ดีในการใช้เทคโนโลยีต่อหน้าลูก โดยใช้ทำงานและใช้เท่าที่จำเป็น (จะ Line จะแช็ท จะเกม รอไว้หลังลูกหลับนะคะ)
อันที่จริงเรายังมองเห็นข้อดีของการที่ลูกได้มีโอกาสเห็นพ่อแม่ใช้อุปกรณ์เหล่านี้ทำงานอีกด้วย นั่นคือ ลูกจะสามารถเห็นตัวอย่างที่ดีของการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม ให้ลูกรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เมื่อใช้อย่างเหมาะสมจะเกิดประโยชน์ แม้ว่าในตอนนี้ลูกจะยังใช้ไม่ได้ แต่วันหนึ่งเมื่อเขาโตพอเขาก็จะได้ใช้มัน และเมื่อถึงวันนั้นเขาก็จะใช้มันได้อย่างเหมาะสมเพราะเขาเคยเห็นตัวอย่างพ่อแม่ที่ใช้สิ่งเหล่านี้อย่างเหมาะสมมาแล้ว (อย่าให้ลูกรู้สึกว่า เมื่อเห็นไอแพด เท่ากับ เล่นเกม!)
หากเรามีกรอบกฎที่ชัดสำหรับลูกตั้งแต่แรก การเลี้ยงลูกแบบ Unplug ก็ไม่ใช่เรื่องยากและไม่ใช่การอยู่แบบปฏิเสธเทคโนโลยี แบบนี้แฮปปี้ทั้งพ่อแม่ ทั้งลูกค่ะ
โดย: เจ้าบ้าน
[12 ก.ค. 56 23:17] ( IP A:115.87.226.229 X: )
คลิก เพื่อเปลี่ยนกลับไปแสดงความคิดเห็นแบบเดิม
ชื่อไฟล์รูปห้ามมีอักขระพิเศษ เช่น (#),(<),(>),(&) เป็นต้นค่ะ
ชื่อ / e-mail :
แทรกไอคอนน่ารักๆในข้อความ
e-mail :
ส่งอีเมลทุกครั้งที่มีการตอบกระทู้
(ใส่ Email เมื่อต้องการให้ส่ง Email เมื่อมีคนมาโพสในกระทู้)
คลิกที่นี่เพื่อกลับหน้าบ้าน