เดิน...เพื่อชีวิต ตอนที่ 1
   ทำไมคนเราจึงไม่ชอบออกกำลังกาย ???
คำตอบที่อมตะที่สุดของเราคือ “ไม่มีเวลา”


เพียงแค่.......... เดิน


คนเราทุกคนรู้ว่าการออกกำลังกายทำให้ร่างกายแข็งแรง สุขภาพดี มีสัดส่วนที่กระชับสวยงาม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสามารถคงความเยาว์วัยเอาไว้ แต่หลายๆคนก็เพียงแค่คิดเท่านั้น หรืออาจมีบางคนที่พอได้เริ่มไปแค่ 5 -10 นาที เหงื่อออกหายใจไม่ทัน ก็ไม่เอาแล้ว หรือบางคนที่มีเป้าหมายที่จะลดความอ้วนด้วยแล้ว ถึงกับยอมเสียเงินทองจำนวนมากไปกับคลินิกเสริมความงามหรือสถาบันลดความอ้วนที่มีชื่อเสียงทั้งหลาย


ถึงมันจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรในการเสียเงินทองไปกับคลินิกหรือสถาบันต่างๆเลย ถ้าคุณมีเงินที่จะเสีย แต่ถ้ามองในอีกมุมหนึ่งที่ต่าง เมื่อคุณผอมแล้วอีกนานแค่ไหนที่ความอ้วนจะเด้งตัวกลับมาหาคุณ หรือหากคุณไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะเสียเงินเป็นจำนวนมากมายไปกับการเข้าฟิตเนสเพื่อแลกกับเป้าหมายของคุณ ลองดูทางเลือกที่ไม่ยากจนเกินไปไม่หนักจนเกินไป และได้ผลพอๆกับการเข้าฟิตเนสหรือสถาบันแพงๆดูบ้างก็ไม่เลวนะคะ


ลองถามตัวเองดูว่าใน 7 วัน จันทร์ถึงอาทิตย์ คุณมีเวลาที่จะไปเล่นกีฬา ออกกำลังกายได้มากแค่ไหน หรือถึงจะมีเวลาแต่ร่างกายของคุณ อายุของคุณ มีข้อจำกัดที่จะทำให้คุณปฏิบัติการได้ไม่สำเร็จลุล่วงรึเปล่า


หากวิ่งไม่ได้ เล่นกีฬาไม่สำเร็จ เพราะร่างกายที่กะปลกกะเปลี้ย อายุที่เริ่มสูงวัย หรือ (ปัจจัยสำคัญอันดับ 1) ความขี้เกียจเพราะติดสบาย (พร้อมข้ออ้างที่ว่าไม่มีเวลา) ทางเลือกของคุณจึงควรจะเป็น “การเดิน”


หลายๆคนอาจคิดไม่ถึงว่า “เพียงแค่เดิน” จะสามารถเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตของเราได้ หรือทำให้เรามีสุขภาพที่ดีขึ้นมาได้ แต่ลองเปลี่ยนมุมมองดูนะคะ


คุณสาวๆหลายๆคนที่มีโอกาสได้เดินในระยะทางไกลๆหรือเดินไปเดินมาทั้งวันในศูนย์การค้าโดยไม่ได้หยุดพัก หลังจากนั้นอาการที่คุณได้รับคือ อาการเมื่อยขบ ปวดขา จนแทบเดินไม่ไหว นั้นเป็นเพราะกล้ามเนื้อขาของคุณได้ทำงาน และได้ทำงานจนเกินขีดกำลังปกติที่มันเคยทำทุกวัน จึงเกิดอาการเมื่อยล้า แต่ถ้าคุณได้ใช้เวลาในการเดินในระยะทางไกลๆและนานๆอย่างนั้นอย่างสม่ำเสมอ คุณจะพบว่ากล้ามเนื้อขาของคุณแข็งแกร่งขึ้นจนไม่สะทกสะท้านกับการเดินไกลๆและนานๆอีกต่อไป นั่นคือที่มาของการออกกำลังกายด้วยการเดินค่ะ
ชีวิตทุกวันนี้ของเรามีการเดินกันน้อยลง และสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหลายที่มนุษย์สร้างขึ้นก็ดูเหมือนจะสร้างขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการเดิน ไม่ว่าจะเป็นจักรยาน มอเตอร์ไซด์ รถเก๋ง รถเมล์ รถไฟ ลิฟต์หรือบันไดเลื่อน


ก้าวออกจากประตูบ้านก็ขึ้นรถ ลงจากรถก็ขึ้นบันไดเลื่อนขึ้นลิฟต์ แล้วก็อยู่กับโต๊ะทำงานจนเลิกงาน แล้วขึ้นรถกลับบ้าน เป็นแบบนี้ทุกๆวัน ทำให้คุณภาพชีวิตเราแย่ลงเรื่อยๆอย่างไม่รู้ตัว
ในประเทศญี่ปุ่นมีการรณรงค์ให้เห็นความสำคัญของการเดินเพื่อสุขภาพ เพราะเค้าเชื่อกันว่าหากคนเราไม่เดินไม่ออกกำลังขากัน สักวัน “โรคชรา” จะเข้ามาเยือน
โดยความชราจะเริ่มต้นตั้งแต่ส่วนขาขึ้นมา หากขาอ่อนแรง ไม่มีกำลังที่จะก้าวเดินไปไหนมาไหน นั้นเป็นสัญญาณให้รู้ว่าโรคชรากำลังจะมาเยือนคุณแล้ว บางคนอายุยังไม่เท่าไหร่ก็กลายเป็นคนแก่ เพราะความสบายเป็นเหตุ สบายมากจนเกินไป แม้แต่เดินยังแทบไม่ต้องเดิน แข้งขาจึงค่อยๆอ่อนแรง สะดุดอะไรล้มนิดล้มหน่อยก็กระดูกหักได้ บางคนทำตัวเป็นแชมเปี้ยนเก้าอี้ดนตรีไปไหนมาไหนก็จ้องแต่จะหาที่นั่ง ขี้เกียจแม้กระทั่งจะยืน คนพวกนี้ไม่นานโรคชราก็จะเข้ามาเยือน หรือแม้แต่คนที่ชอบนอนมากๆก็เช่นกัน ยกตัวอย่างคนป่วยที่ต้องนอนบนเตียงเป็นเวลาหลายวัน หากอยากหายเร็วๆญาติจะต้องประคับประคองให้คนป่วยได้ยืนหรือได้เดินบ้าง แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม ไม่นานอาการไข้ก็จะค่อยๆทุเลา
ด้วยเหตุนี้การเดินจึงเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่เริ่มตื่นตัวในการรักษาสุขภาพ ลองหันมาใช้วิธี “ เดิน” ..........เดินเพื่อสร้างสมรรถภาพที่ดี อันจะทำให้สุขภาพของเราดีขึ้น การเดินถือเป็นวิธีการที่ดีที่สุดง่ายที่สุด ถนัดที่สุดและไม่ยุ่งยากที่สุดของเราทุกคนที่จะปฏิบัติกันได้


(มีต่อนะคะ :D)
โดย: เจ้าบ้าน [1 ก.ค. 56 19:10] ( IP A:14.207.78.92 X: )
Add to Facebook  Add to Twitter  Add to Multiply  Add to Google  Add to Blogger  Add to Live
Counter : 1397 Pageviews
ความคิดเห็นที่ 1
    ธรรมชาติการเดินของมนุษย์


มนุษย์มีสมองที่ชาญฉลาด มีวิวัฒนาการอยู่เรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ที่ประเสริฐที่สุด
วิวัฒนาการของมนุษย์มีมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ยุคที่ยังมีลักษณะคล้ายลิงและยังคลาน 4 ขา เราเคยเห็นเด็กทารกที่ค่อยๆ เปลี่ยนอิริยาบถจากคลานมาเป็นยืนด้วยความตื่นตาตื่นใจ เปรียบเทียบได้กับมนุษย์สมัยดึกดำบรรพ์ที่ค่อยๆวิวัฒนาการจากการคลาน 4 ขามาเป็นการใช้ขาทั้ง 2 ข้าง ซึ่งว่ากันว่าการวิวัฒนาการของมนุษย์ดึกดำบรรพ์ไม่ง่ายเหมือนการเปลี่ยนอิริยาบถจากคลานมาเป็นเดินของเด็กทารก


การที่มนุษย์ซึ่งคลาน 4 ขามาตลอด แล้วจะเปลี่ยนมาเดิน 2 ขาอย่างสมบูรณ์แบบได้ ต้องอาศัยความยืดหยุ่นของข้อต่อและเส้นประสาทซึ่งเป็นศูนย์กลางการทำงานของสมองและกล้ามเนื้อ ซึ่งต้องอาศัยเวลาในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้นับล้านๆ ปีทีเดียว


เมื่อมนุษย์ลุกขึ้นเดิน ข้อเสียของการเดินอยู่ที่แรงดึงดูดของโลก เนื่องจากแรงดึงดูดของโลกเกี่ยวข้องกับการหมุนเวียนของเลือดโดยตรง คือเมื่อลุกขึ้นเดินเลือดจะวิ่งกลับเข้าสู่หัวใจเพื่อต้านแรงดึงดูดของโลก ซึ่งฟังดูแล้วน่าจะเป็นอันตราย เพราะหัวใจต้องทำงานหนักอย่างมาก แต่มนุษย์ก็ยังดำเนินชีวิตได้ตามปกติเพราะมีกล้ามเนื้อขาช่วย คนที่กล้ามเนื้อขาลีบจะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจได้ง่ายเพราะไม่มีกล้ามเนื้อคอยช่วยส่งเลือดกลับไปเลี้ยงหัวใจ ส่วนคนที่มีกล้ามเนื้อขาเป็นปกติแต่เดินไม่พอ ไม่ออกกำลังขา คนกลุ่มนี้ก็มีโอกาสเป็นโรคหัวใจสูงเช่นเดียวกัน เพราะกล้ามเนื้อขาจะไม่มีแรง การหมุนเวียนเลือดเข้าสู่หัวใจก็จะไม่ดีตามไปด้วย จึงสรุปได้ว่าการที่มนุษย์เดิน ไม่ใช่เป็นแต่เพียงการเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างเดียว แต่เป็นการทำให้ร่างกายทุกส่วนดีขึ้น หัวใจดีขึ้น สมองดีขึ้น สายตาดีขึ้น เป็นต้น


อาจจะเป็นการพูดไกลไปถึงมนุษย์ยุคโบราณ ใกล้เข้ามาอีกนิด แค่ลองเปรียบเทียบกับยุคปู่ ย่า ตาและยายของเรา ในยุคที่ยังมีรถราไม่มากนัก ยังไม่มีเครื่องมือช่วยอำนวยความสะดวกสบายต่างๆ ไปไหนมาไหนยังต้องอาศัยการเดิน ท่านเหล่านั้นมักจะไม่ค่อยเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่เคยเป็นโรคอ้วน และมักจะมีชีวิตที่ยืนยาวจนถึงปัจจุบันเลยก็มี
หรือใกล้ตัวกว่านั้น ถ้าเราจะมาเปรียบเทียบระหว่างคนในชนบทกับคนเมือง ซึ่งยังคงใช้ชีวิตประจำวันด้วยการเดินมากกว่าคนเมือง อัตราเฉลี่ยความแข็งแรงก็มีมากกว่าคนเมือง มีปัญหาโรคเรื้อรังและโรคร้ายแรงน้อยกว่า


ส่วนชีวิตคนในเมืองที่อยู่กับมลพิษ ความรีบเร่ง จึงมักประสบกับปัญหาของสุขภาพ ด้วยปัจจัยความสบายบวกกับความเร่งรีบ จึงเป็นเหตุให้สุขภาพค่อยๆถดถอยลงอย่างช้าๆ หากไม่อยากนั่งรอโรคร้ายของคนเมือง จึงควรหันมาเริ่มต้นดูแลสุขภาพ การเดินจึงเป็นก้าวแรกของการดูแลสุขภาพ อาจเริ่มตั้งแต่วันละ 100 – 200 ก้าว เป็น 1000 ก้าว 2000 ก้าว จนถึงหมื่นก้าวต่อวัน (ถ้าคุณไหว) หรือจะค่อยๆ ปรับเปลี่ยนเป็นการออกกำลังชนิดอื่นๆ ต่อไป


ใครบ้างไม่อยากมีสุขภาพดี หลายๆ คนรู้ทั้งรู้ แต่ก็ทำไม่ได้ หรือคุณอาจจะยังรักตัวเองไม่มากพอ ในความเป็นจริงวิธีที่จะทำให้สุขภาพดีมีหลายวิธี เช่นออกกำลังกาย เล่นกีฬา ทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะ และครบทุกหมวดหมู่ เหล่านี้ล้วนเป็นการเริ่มต้นในการปฏิบัติตนเพื่อสุขภาพทั้งสิ้น
ในทางการแพทย์ระบุไว้ว่า คนๆหนึ่งจะมีสุขภาพที่ดีได้ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 3 ประการหรือที่ปัจจุบันเรียกกันว่า 3 อ นั่นเอง คือ

1. อารมณ์ จะต้องไม่เครียด ไม่เป็นคนขี้โมโหหรือขี้หงุดหงิด ทำจิตใจให้สงบ เยือกเย็นอารมณ์ดี รู้จักนั่งสมาธิ หรือถือศีลบ้าง และมองโลกในแง่ดี ผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่ควรมีจิตใจย่ำแย่ อารมณ์ร้ายหรือเคร่งเครียดกับงานและครอบครัวจนเกินไป

2. อาหารการกิน ต้องรู้จักกินอาหารอย่างถูกหลักโภชนาการได้สารอาหารครบ 5 หมู่ ไม่กินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ หรืออาหารที่กินเข้าไปแล้วสะสมเป็นพิษในร่างกาย นอกจากนี้ยังรวมถึงการรู้จักทานอาหารสมุนไพรให้เหมาะสมกับภูมิอากาศและสภาพร่างกายด้วย

3. ออกกำลังกาย หรือการเคลื่อนไหวร่างกาย ได้แก่ การเดินการวิ่ง การบริหารร่างกาย แอโรบิก หรือทำอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้กล้ามเนื้อมีการเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่งเป็นเวลานานเกินไป


คนที่จะมีสุขภาพดีได้อย่างสมบูรณ์จะต้องมีครบทั้ง 3 อย่าง จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้ บางคนชอบออกกำลังกาย กินดีอยู่ดี แต่จิตใจไม่สงบ มีแต่ความเครียด ก็ไม่จัดว่าเป็นคนที่มีสุขภาพดี


การเคลื่อนไหวหรือการเดิน เป็นปัจจัยอย่างหนึ่งซึ่งคนส่วนใหญ่จะขาดหายไปยิ่งเมื่อมีภาระมากขึ้น มีความรีบเร่งมากขึ้น หรือเมื่อมีอายุที่มากขึ้น ความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อ และร่างกายลดน้อยลง ก็ยิ่งพยายามหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหว เพราะเรี่ยวแรงที่ถดถอย เมื่อไม่ชอบเคลื่อนไหว กล้ามเนื้อก็จะยิ่งอ่อนแอส่งผลต่อเนื่องไปยังร่างกายส่วนต่างๆให้ทำงานได้ไม่เต็มที่ โรคภัยไข้เจ็บและโรคชราก็จะเข้ามาเยือน
การเดินช่วยทำให้ทุกคนมีสุขภาพดีได้เพราะส่งผลต่อร่างกายครบทั้ง 3 ปัจจัยคือ

1. ด้านจิตใจ ช่วยทำให้สมองโล่ง ระบบประสาทส่วนกลางและระบบอัตโนมัติทำงานดีขึ้น ทำให้จิตใจผ่อนคลาย ไม่เครียดกับการงานและเรื่องราวต่างๆ

2. ด้านอาหารการกิน ทำให้ท้องไม่ผูก สารอาหารที่รับเข้าสู่ร่างกายมีการแยกตัวดีขึ้น ระบบย่อยอาหารดีขึ้น ระบบดูดซึมสารอาหารได้ดีและมากขึ้น ทำให้ไม่มีสารอาหารคั่งค้าง และ เปลี่ยนไปเป็นไขมันส่วนเกินมากนัก

3. ด้านการเคลื่อนไหว กล้ามเนื้อทุกส่วนจะแข็งแรงขึ้น ไม่เหี่ยวย่นอ่อนแรงเหมือนคนชรา การหมุนเวียนของเลือดก็จะดีขึ้น ต่อมน้ำเหลืองทำงานดีขึ้น เซลล์ต่างๆ ในร่างกายก็จะมีชีวิตชีวาขึ้น


แม้ว่าการออกกำลังกายชนิดอื่น หรือการออกกำลังกายบางประเภทจะมีผลดีต่อร่างกายมากกว่าการเดิน แต่เมื่อการเดินซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวร่างกายที่ง่าย ไม่ต้องออกแรงมาก (เป็นพื้นฐานการลุกขึ้นเดิน 2 ขาครั้งแรกของมนุษย์) และยังไม่จำกัดอายุ คือเดินได้ตั้งแต่เด็กยันคนแก่อายุ 60-70 ปีเลยทีเดียว เช่นนี้คุณจะไม่ลองเดินดูบ้างหรือ อย่างน้อยที่สุดก็ควรเอาการเดินเป็นพื้นฐาน ก่อนที่จะหันไปเล่นกีฬาประเภทอื่น ซึ่งเป็นการออกกำลังกายที่หนักมากขึ้นต่อไป เป็นลำดับ


(จบ เดิน..เพื่อชีวิต ตอนที่ 1)
โดย: เจ้าบ้าน [1 ก.ค. 56 19:14] ( IP A:14.207.78.92 X: )
คลิก เพื่อเปลี่ยนกลับไปแสดงความคิดเห็นแบบเดิม

ชื่อไฟล์รูปห้ามมีอักขระพิเศษ เช่น (#),(<),(>),(&) เป็นต้นค่ะ
ชื่อ / e-mail :    แทรกไอคอนน่ารักๆในข้อความ
e-mail :
ส่งอีเมลทุกครั้งที่มีการตอบกระทู้       (ใส่ Email เมื่อต้องการให้ส่ง Email เมื่อมีคนมาโพสในกระทู้)


CAPTCHA code



คลิกที่นี่เพื่อกลับหน้าบ้าน