จากฟากฟ้าสุราลัย....สู่แดนดิน
   จากฟากฟ้าสุราลัย....สู่แดนดิน

"อุปริยา"


....ฉันจะตามไปทั่วฟ้า ทั่วจักรวาลผ่านพื้นผิวแห่งทุกดวงดาว
สุดฟ้าสุราลัย สุดขอบแห่งห้วงมหรรณพ
ขอเพียงแต่ให้เธอรอฉันอยู่ เพื่อพบพาน.......



******************************************************************
บทที่ 1


ฝนตั้งเค้ามืดครึ้มไปทั่วบริเวณ ไม่มีทีท่าว่าพระอาทิตย์จะปรากฎดวงให้เห็น
แม้ว่าจะสายมากแล้วก็ตาม อีกไม่นานฝนก็คงจะตก
บรรยากาศรอบตัวดูมัวซัว มันเป็นบรรยากาศที่ไม่ชวนให้ทำอะไรเลยจนนิดเดียว

ท้องทะเลเรียบ นิ่ง มีเพียงสายลมอ่อนพัดมาเอื่อย ๆ ชายหาดเงียบ ปราศจากผู้คนเดินผ่านไปมา
มันเงียบเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจของคนใกล้ ๆ

อธิปเหลือบตาไปมอง ไม่แน่ใจว่าคนข้าง ๆ จ้องมองฟ้าอยู่นานแค่ไหนแล้ว
แต่คงนานมาก เพราะเขาไม่ได้พูดอะไรกับเธอเลย ตั้งแต่สั่งเบียร์มา
จนถึงตอนนี้หมดไปกว่าครึ่งขวด เธอก็ยังเอาแต่มองท้องฟ้าสีตุ่น ๆ
เหมือนว่าไม่มีเขานั่งอยู่ด้วย เหมือนเจ้าหล่อนเลื่อนลอย ไม่รับรู้โลกภายนอก

จะว่าไป อธิปก็ชินเสียแล้วกับอาการแบบนี้ ทุกครั้งที่ฟ้ามืดครึ้มฝนเช่นนี้

"อยากกลับบ้าน..."
เสียงพึมพำแผ่ว ๆ เล่นเอาอธิปแทบสำลักเบียร์ที่เพึ่งจะดื่มเข้าไป
แม่คุณเอ๋ย เขาไม่เคยตามอารมณ์เจ้าหล่อนถูกเลย
เขานึกถึงเหตุการณ์ที่เพึ่งจะผ่านพ้นไปเมื่อไม่นาน

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา...
เธอและเขาออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด พระยังไม่ออกบิณฑบาตรเสียด้วยซ้ำ
เธอบอกอยากมาทะเล แต่พอมาถึงทะเล จู่ ๆ แค่หย่อนตัวลงนั่งริมหาด
แค่สั่งเบียร์มาดื่มยังไม่หมดขวดด้วยซ้ำ จู่ ๆ เธอก็บอกว่าอยากกลับบ้าน

"โหย โหย!! คุณชนิเจ้าคะ ไม่เห็นใจคนขับรถเลยหรือไง ข้าวเช้าก็ไม่ได้กิน แค่ขอเบียร์ให้มันหมดสักขวดก็ยังดีนะ"

"อ้าว! ทำไมจะรีบกลับแล้วเหรอ !? เพึ่งจะมาถึงเอง"
คราวนี้อธิปสำลักเบียร์จริง ๆ หลายนาทีกว่าเขาจะตั้งสติใหม่ได้

" อ้าว! ก็เห็นตัวเองบอกอยากกลับบ้าน"
"ใคร!?..ใครอยากกลับบ้าน ชนิเหรอ....ชนิพูดจริง ๆ อะ ....แล้วชนิพูดอะไรบ้าง!!??"

ดวงหน้าใส ๆ ราวกับไม่รู้จริง ๆ ว่าตัวเองพูดอะไรออกมา หรือว่าเขาเมาเบียร์ไปเอง

"ก็เห็นพึมพำว่าอยากกลับบ้าน"
"จริงอะ??!! ไม่เห็นรู้ตัวเลย...เฮ้อ! นี่ชนิต้องเป็นอะไรไปแล้วแน่ ๆ เลย แน่ใจนะว่าได้ยินชนิพูดว่าอยากกลับบ้าน"

"เฮ้ ๆ นี่มันเบียร์แค่ขวดแรกน่ะ เราไม่ได้เมานะโว้ย อยู่แค่นี้มีกันสองคน เราไม่ได้พูด แล้วใครที่ไหนจะมาพูด"
"เฮ้อ! ชนิเป็นอย่างงี้บ่อยมั้ย ธิป"
"เห็นบ่อย ๆ เวลาชนิ เพลีย เวลาละเมอน่ะ ไม่เห็นมีอะไรซีเรียสเลย"

ไม่ซีเรียสหรือ บางความรู้สึกบอกว่าเขากำลังหลอกตัวเอง
อธิปนึกไปถึงอาการเมื่อครู่ ว่ากันตามจริงเขาเองก็เริ่มรู้สึกว่า เพื่อนสาวของเขามีอะไรแปลก ๆ
ไม่ใช่แค่หนสองหน แต่ค่อนข้างหลายครั้ง
โดยเฉพาะเวลากลางคืน หรือเวลาฟ้าครึ้มฝนแบบนี้
แรก ๆ เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าละเมอ เพลีย แต่เมื่อหลาย ๆ ครั้ง เขาก็มั่นใจว่าเธอไม่ได้หลับ


แต่ที่ทำให้เริ่มมาจับอาการผิดปกติมากขึ้น เห็นจะเป็นเมื่อเดือนที่แล้ว
ขณะที่ขับรถกลับจากงานเลี้ยงของลูกค้า
คืนนั้นฝนตกหนัก เจ้าหล่อนตีตั๋วหลับมาตั้งแต่ออกจากโรงแรม
จู่ ๆ เธอก็ละเมอพร่ำรำพัน ฟังไม่ได้ศัพท์ เหมือนเรียกหาใครบางคนชื่อแปลก ๆ
แถมเรียกตัวเองว่า ชนิกรรดา

ซึ่งตั้งแต่รู้จักเธอมาตั้งแต่เด็ก ๆ ก็ไม่เคยได้ยินเธอเรียกชื่อเต็มของตัวเองสักครั้ง
อีกอย่างเธอก็ออกจะเกลียดชื่อเต็ม ๆ อย่างกับอะไรดี ใครเผลอ
ขืนไปเรียกเข้าล่ะก็ เธอไม่ยอมพูดด้วยไปหลายวัน...

เขาเคยแนะนำให้เธอไปเปลี่ยนชื่อตั้งหลายครั้ง
แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ไม่เคยเปลี่ยน ไม่เคยแม้แต่จะคิดก็ตาม...
โดย: พี่อ้อTethysฝากมาแปะครับ [9 มิ.ย. 48 20:22] ( IP A:202.133.135.137 X: )
Add to Facebook  Add to Twitter  Add to Multiply  Add to Google  Add to Blogger  Add to Live
Counter : 772 Pageviews
ความคิดเห็นที่ 1
    "ชนิกรรดา” ชื่อที่เขามีความรู้สึกว่าเป็นชื่อที่เพราะ เก๋ แทบไม่ค่อยได้ยินว่ามีใครชื่อนี้มาก่อน
เขาและเธอ บ้านอยู่ใกล้กัน
พ่อของเขากับพ่อของเธอสมัยก่อนก็เคยเป็นหมอโรงพยาบาลเดียวกัน
เห็นกันตั้งแต่เด็กจนโต เรียนหนังสือหนังหาก็ที่เดียวกันมาตั้งแต่อนุบาล จนถึงมหาวิทยาลัย


หลายครั้งที่ถูกเพื่อนแซว ว่าเขาและเธอเป็นแฟนกัน
เคยเหมือนกันที่บางความรู้สึกฉันคนรักจะแว่บเขามา
แต่มันก็จางหายไปทุกครั้ง

เธอเป็นอะไรสำหรับเขาที่สูงค่า มากมาย เหมือนน้องสาวที่เขาต้องดูแล...

เหมือนเขามีหน้าที่เป็นเพียงผู้อภิบาล... เขารู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ

"ละเมอเหรอ!? เมื่อไหร่อะ?"
ดวงหน้าสวยหวาน ตาใส ๆ เหมือนเด็กเล็ก ๆ จ้องมองหน้าเขา
เหมือนคาดคั้น เอาจริงเอาจังกับคำตอบ

"ก็เมื่อวันที่ฝนตกหนักสามวันสามคืนนะ
คืนที่กลับมาจากงาน เลี้ยงคุณบัญชาน่ะ
เธอละเมอคร่ำครวญหาใครสักคน ชื่ออะไรหว่า
จำไม่ค่อยได้แล้ว ชื่อแปลก ๆ ประหลาด.....งือ จำไม่ได้
เอ่อ!...แล้วก็พูดแบบนี้...ใช่ ชนิบอกอยากกลับบ้าน...
ไอ้เราไม่ได้เอะใจนึกว่าชนิเหนื่อย อยากจะรีบกลับบ้าน อยากให้ถึงไว ๆ"

"ฟังแปลก ๆ แหะ แม่ก็บอกว่าชนิละเมอบ่อย ๆ
ตั้งแต่เด็ก ๆ ระยะนี้ชักถี่แหะ......
ชนิละเมอชื่อใครเหรอ? ธิปจำได้หรือเปล่า”
เสียงนั้นฟังเหมือนเจือปนไปด้วยความไม่สบายใจ
ทำให้เขาเริ่มไม่สบายใจตามไปด้วย
เขาพยายามนึกถึงชื่อแปลก ๆ นั้นอยู่นาน
แต่ก็ดูเหมือนไร้ผล...

"ไม่อะ นึกไม่ออก ชนิอาจจะไปจำมาจากไหน เอามาละเมอหรือเปล่า?"
อธิปรู้สึกเหมือนว่ากำลังโกหกตัวเองอีกแล้ว
เขาพยายามนึกถึงคืนนั้นอีก แต่ทุกอย่างก็เหมือนเดิม

เธอทำหน้ามุ่ย หยิบแก้วน้ำขึ้นมาเดิม
"เนี่ยะ! ชนิถึงอยากมาทะเล ท่าทางจะเครียด ทำงานหนักเกินเหตุ อีกแล้ว แน่ ๆ เลย"
เธอส่ายหน้า ยักไหล่ทำหน้าเนือย ๆ กับตัวเอง ก่อนวางแก้วน้ำลง แล้วลุกเดินออกไปยังริมทะเล

ท้องฟ้าสีมืดเมื่อครู่ เริ่มจางออกเป็นสีเทา อย่างน่าแปลก
เหมือนฝนไม่ได้มี ลมคงหอบไปตกที่อื่น แต่ลมแบบอ่อน ๆ อย่างนี้นะหรือ
แต่แสงอาทิตย์ที่ส่องลงมากระทบฟองคลื่นเป็นประกาย
เหมือนจะบอกว่าอย่างน้อยฝนก็คงไม่ตกตรงนี้...ในเวลานี้


อธิปส่ายหน้าบ้าง ยกแก้วเบียร์ขึ้นเดิม
ฉับพลัน เขาก็แทบสำลักเบียร์อีกครั้ง กะพริบตาถี่ ๆ
เสมือนไม่เชื่อสายตาตัวเองในภาพตรงหน้าที่เห็น
เขาพยายามกะพริบตาใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า มองร่างที่กำลังเดินห่างออกไป

ร่างเพรียว ๆ ที่ห่างไปไม่เกินเมตร พระอาทิตย์ฉายแสงเฉพาะลงมาราวกับใครเปิดสปอตไลท์
แค่นี้ก็ทำให้เขาประหลาดใจมากพอแล้ว
แต่สิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นก็ทำให้ตัวเขาต้องผุดลุกขึ้นเจ้าเก้าอี้ผ้าใบราวกับคนเสียสติ...

ชั่ววินาทีที่แสงตกกระทบทั่วร่างเธอ ราวกับร่างนั้นเป็นแผ่นกระจกที่สะท้อนแสงกลับได้
แสงสีเขียวเข้มราวกับมรกตฟุ้งกระจายอยู่รอบ ๆ ตัวของเธอ

ไม่ใช่!!แสงอาทิตย์สะท้อนกับน้ำทะเลแน่ ๆ
ไม่ใช่!!ภาพสะท้อนลวงตา
ไม่ใช่!!เบียร์แค่ครึ่งขวด
ตลอด 25 ปีที่รู้จักเธอ ไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อนเลย

สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้คืออะไร!!??.....

"ชนิกรรดา!!........"
เป็นครั้งแรกที่ เขาหลุดเอ่ยเรียกชื่อเต็ม ๆ ของเธอ
ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมเขาถึงกล้าเรียกชื่อเธอออกจากปากของเขาเอง.......


โดย: Tethys [9 มิ.ย. 48 20:24] ( IP A:202.133.135.137 X: )
ความคิดเห็นที่ 2
    บทที่ 2

....บางทีเขาอาจจะลองตัดสินใจใหม่อีกครั้ง....

ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา วิษุวัตรู้สึกสับสน คิดแล้วคิดใหม่อยู่หลายครั้ง
วนเวียนตั้งแต่ก่อนเก็บกระเป๋า
ก่อนออกจากบ้าน ก่อนเช็คอิน
และถึงแม้แต่จะขึ้นมาอยู่บนเครื่องแล้วก็ตาม

แน่ะล่ะ เขายังคิดได้อีกครั้ง
ถ้าเครื่องบินยังไม่ออกจากสนามบิน....
เขายังมีเวลาอีก อย่างน้อยก็ตั้ง 20 นาที

จริง ๆ แล้ว วิษุวัตรู้ตัวดีว่าเขาไม่ใช่คนลังเล
เขาเป็นคนที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น กล้าตัดสินใจ
แต่ครั้งนี้มันแตกต่างออกไป....

ครั้งนี้เขารู้สึกสับสน จนต้องคิดแล้วคิดอีกหลายรอบ
และเป็นครั้งแรกในชีวิตของวิษุวัตที่ รู้สึกว่าเป็นการตัดสินใจที่ยากเหลือเกิน
ยากยิ่งกว่าตอนตัดสินใจเลือกเรียนต่อวิชาโบราณคดี

เพราะอะไร??!!....
จู่ ๆ เขาก็กำลังตัดสินใจจะเลือกกลับเมืองไทย...


บางทีถ้าตั้งแต่มาอังกฤษใหม่ ๆ แล้วเขาเลือกเรียนสายบริหารธุรกิจ
วรรณคดี วิทยาศาสตร์ หรือ กฎหมาย
ทั้งหมดคงจะง่ายกว่าวิชาโบราณคดีอย่างนี้หรือไม่

หรือว่าเป็นเพราะลิเดีย....

"ลิเดีย" ... ผู้หญิงที่เขาหลงรักเธอมาตลอด ตั้งแต่มาอยู่ที่อังกฤษใหม่ ๆ
เพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขา
ผู้หญิงอังกฤษเอาจริงเอาจังคนนั้น
ผมของเธอเป็นสีน้ำตาลทอง ดวงตาสีฟ้าเป็นประกาย วงหน้ารูปไข่
เหมือนเธอก้าวออกมาจากศตวรรษที่ 16

เสน่ห์ของเธอเหมือนกับภาพสะท้อนจากห้วงอดีตในประวัติศาสตร์
ลิเดียหลงใหลหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์
เธอเลือกตามรอยสงครามครูเสดเป็นวิทยานิพนธ์ของเธอ
และตามแผนการของเธอ ป่านนี้เธอคงอยู่ในตุรกี
หรือไปก็อาจเรื่อยไปจนถึงอิสราเอลแล้วก็ได้...
โดย: Tethys [9 มิ.ย. 48 20:26] ( IP A:202.133.135.137 X: )
ความคิดเห็นที่ 3
    และถ้าทั้งหมดไม่ใช่จดหมายจากเมืองไทยฉบับนั้น
เขาก็คงมีส่วนร่วมในวิทยานิพนธ์ตามรอยสงครามครูเสด ของลิเดียอย่างแน่นอน


สิ่งหนึ่งกำลังรอเขาอยู่ที่เมืองไทย ต้องเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งใหญ่ ไม่น้อยไปกว่าเรื่องของสงครามครูเสด

บางสิ่งในใจที่ลึกที่สุดของวิษุวัต กระซิบปลอบตัวเองอย่างแผ่วเบา
จนเกือบทำให้เขารู้สึกสับสนใหม่อีกครั้ง
เขาค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกยาว ๆ

ลาก่อนลิเดีย....


จดหมายจากอาจารย์ภาณุ คือสิ่งเดียวที่ทำให้เขาตัดสินใจกลับเมืองไทย
โดยยังไม่รู้อะไรแม้แต่น้อยว่าจะต้องทำอะไร

วิษุวัตไม่มีวันลืม...
วันที่พบอาจารย์เป็นครั้งแรก ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม
อาจารย์ที่ทำให้หลงใหลทุกหน้าของประวัติศาสตร์โลก เขาจำวันที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยติดในคณะอื่น
ทำให้เขาพลาดการได้เรียนในสิ่งที่เขารัก

แต่การเรียนทางสถาปัตยกรรม
ทำให้เขาได้เรียนรู้ว่า ทุก ๆ สาขาวิชาเกี่ยวข้องกัน
ต่อเนื่องและเกี่ยวพัน กันเสมือนลูกโซ่

หลายคนแปลกใจ ว่าทำไมจู่เขามาเรียนเพิ่มเติมวิชาโบราณคดี
แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังแปลกใจ...
แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ดีว่ามันทำให้เขามีความสุข
และเมื่อเลือกมารวมกับงานสถาปัตยกรรมโบราณแล้ว
ทำให้เขาได้เห็นอีกแง่มุมมองหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์


ดังนั้น...จดหมายจากเมืองไทยของอาจารย์ภาณุ
ที่ยินดีให้เขาไปร่วมงานสำรวจโบราณคดีในบ้านเกิด แผ่นดินเกิดมาตุภูมิของเขา

บางทีสิ่งที่เขาคิด และกำลังทำอยู่นี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เหมาะสมกับเขาแล้ว...


วิษุวัตยิ้มให้กับตัวเอง ยิ้มให้กับภาพที่เห็นนอกกระจก

เขารู้ดีว่า...
แม้อาจจะไม่ได้กลับมาเรียนต่อ
แม้อาจจะไม่ได้ทำวิทยานิพนธ์
แต่การได้เข้าร่วมงานกับอาจารย์ภาณุ เป็นความใฝ่ฝันที่ยิ่งใหญ่...
ที่เขารอคอยมาแสนนาน...

เขาไม่มีวันปฏิเสธความฝันของตนเอง เพียงเพื่อตามผู้หญิงเพียงคนเดียวอย่างแน่นอน...


ไฟสัญญาณกะพริบเตือนตรงเบื้องหน้านี้
วิษุวัตรัดเข็มขัดอย่างเต็มไปด้วยมั่นใจ
ไร้ซึ่งความสับสนใด ๆ อีก

เขาปิดเปลือกตาลง...
....ลาก่อนอังกฤษ.... ลาก่อนลิเดีย...


โดย: Tethys [9 มิ.ย. 48 20:28] ( IP A:202.133.135.137 X: )
ความคิดเห็นที่ 4
    .............โธ่ กำลังสนุกเชียวพี่อ้อ นึกว่าพี่อ้อเขียนไปสักครึ่งเรื่องหรือค่อนเรื่องแล้วอ่ะ แล้วต้องรอตอนต่อไปอีกกี่วันล่ะเนี่ย (วัยรุ่นเซ็งเลย)
สำหรับท่านที่ติดตามอ่านมา ถ้าอารมณ์ค้างก็ขออภัยนะครับ (เด๋วผมไปปลุกอารมณ์ให้ต่อ )<== เอ๊ย.... ถ้ามีตอนต่อเมื่อไหร่ แล้วผมจะไปตามก๊อปจากถนนนักเขียนมาให้อ่านกันนะครับ
โดย: joblovenuk [9 มิ.ย. 48 20:51] ( IP A:202.133.135.137 X: )
ความคิดเห็นที่ 5
   ง่า................. ยังอ่านไม่จบเลยค่ะ แต่เเค่อ่านเริ่มต้นไม่กี่บรรทัด ก็รู้แล้วล่ะว่า เรื่องนี้น่าติดตามอย่างยิ่งค่ะ

เด๋วหาเวลาว่าง ๆ ได้ จะมาอ่านต่อค่ะ

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดี ๆ ค่ะ
โดย: นู๋รัตน์คนจ๋วย [10 มิ.ย. 48 8:42] ( IP A:221.128.99.112 X: )
ความคิดเห็นที่ 6
   แม๊...พี่สาวจ๋า

ชื่อ ชนิกรรดา เนี่ย น่าจะมาตอนที่หนูคิดจะเปลี่ยนชื่อน๊า
ตอนนี้กลายเป็น คุณฐิตากรณ์ ไปซะแร๊ว อิอิ
โดย: Betty Boop [10 มิ.ย. 48 20:13] ( IP A:58.10.30.28 X: )
ความคิดเห็นที่ 7
   ตาจ๊อบข้าพเจ้าเขียนไปค่อนเรื่องแล้วจ้า
แต่เพิ่งกล้าเอามาอวดชาวโลก แหะ แหะ
บ่มมาไว้หลายปี กว่าจะเป็นไวน์รสนี้อ่ะ แหะ แหะ

บทที่ 3 ปะแล้วที่ถนนนักเขียน จะให้ปะไว้ตรงไหนอย่างไรจ๊ะ
หรือจ๊อบจะปะเอง

ปะต่อ ๆ กันกลัวคนอ่านจะงง ๆ หรือจะเอาอย่างไรดี บอกด้วยนา

ขอบคุณล่วงหน้ามาก ๆ ค่ะ
เดี๋ยวหานางฟ้านางสวรรค์มาเป็นของกำนัล อิอิ
โดย: Tethys [10 มิ.ย. 48 21:19] ( IP A:58.10.250.160 X: )
ความคิดเห็นที่ 8
   ขอบคุณนะคะ นู๋รัตน์คนจ๋วย ที่ติดตามอ่าน
อ่านกันไปนาน ๆ นะคะ เรื่องยังอีกยาวไกล
อิอิ ไม่ต้องรีบอ่านก็ได้ค่ะ
คนเขียนจะได้มีเวลาเขียนทัน อิอิ
แบบเกรงใจคนอ่านกลัวคอยนานสุดฤทธิ์อ่ะ
โดย: Tethys [10 มิ.ย. 48 21:21] ( IP A:58.10.250.160 X: )
ความคิดเห็นที่ 9
   อิอิ คุณน้องสาวจ๋า
เปลี่ยนใหม่อีกรอบก็ได้น้า จะได้เข้ากับ \\"วิษุวัต\\" ไง
แล้วอย่าทิ้งขว้างคุณพระเอกคนนี้น้า
อิอิ กลัวใจ กลัวใจ
โดย: Tethys [10 มิ.ย. 48 21:22] ( IP A:58.10.250.160 X: )
ความคิดเห็นที่ 10
    บทที่ 3

แม้จะกลับกรุงเทพฯ มาหลายวันแล้วก็ตาม
แต่แสงสีมรกตที่ริมหาดวันนั้น ก็ยังสว่างวาบ ๆ อยู่ในห้วงความรู้สึกของอธิป
มันเหมือนคำถามที่เขายังหาคำตอบไม่ได้
ซึ่งความจริงแล้ว เขาจะหาคำตอบไปทำไม
มันอาจเป็นแค่แสงกระจายแค่นั้นเอง
หรือบางทีเขาเองก็อาจจะเหนื่อย แล้วก็มึนไปเท่านั้นเอง

แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไป คือเขารู้สึกเหมือนว่าชนิกรรดาหลับง่ายมากขึ้น
ในเวลากลางวัน เธอเหมือนคนอ่อนเพลียทุกครั้ง ที่แดดร้อนแรง
และเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน เธอก็จะกลับบ้านเร็วขึ้น เข้านอนเร็วขึ้น
และทุกครั้งที่เธอขึ้นรถ เธอก็จะหลับทุกที

เป็นอันว่าในฐานะเพื่อนบ้านใกล้เคียง ทำงานที่เดียวกัน
เขาก็กลายเป็นคนขับรถให้เธอ ไปโดยปริยาย

"เท่ดีอะ ชนิมีบอดี้การ์ดอะ อิอิมีอัศวิน มีคนขับรถ ข้อสำมะคัน ประหยัดน้ำมันดี"
"เออดีโว้ย!....ไอ้เรารึอุตส่าห์เป็นห่วง รับปากจากแม่หล่อนมาดิบดี
ใคร ๆ เขาก็เป็นห่วง กลัวเวลารถติดเผลอหลับไปจะทำไง
กลับมาทำเป็นเรื่องตลก....ไม่เห็นใจเลยโว้ย
สาว ๆ ก็ไม่ได้ไปหา ใครก็คงไม่อยากเข้าใกล้อีกแล้ว"

อธิปถอนใจยาว แต่ดวงหน้าใสนั้นยังหัวเราะ ทำหน้าตาคิกคัก ราวกับเด็กเล็ก ๆ

"น่าาาา ความดีครั้งนี้ เป็นทานบารมีนะ เดี่ยวจะไปหานางฟ้าสวย ๆ เซ็กซี่ ๆ มาให้ธิปสักองค์ ดีป่าว?"
"เอานางฟ้านางสวรรค์มาล่ออีกแล้ว มุขนี้ ถึงอย่างที่บอกอบอก หล่อนน่ะชอบแว่บไปเฝ้าพระอินทร์ หลับเป็นเด็กนอนกลางวันทุกที"

"จริงอะ?! ตอนกลางวันชนิมีหลับด้วยเหรอ...."
น้ำเสียงและวงหน้านั้น ทำราวกับตัวเองไม่รู้เรื่องด้วยจริง ๆ จนอธิปเริ่มรู้สึกประหลาดใจมากขึ้นกว่าเดิม
โดย: Tethys (เจ้าบ้าน ) [11 มิ.ย. 48 2:56] ( IP A:203.121.148.154 X: )
ความคิดเห็นที่ 11
   " ไปหาพ่อเรามั้ย....บางทีตัวเองเครียดส่งงานหรือเปล่า?"
"เฮ้ย! ชนิปกตินะ ไม่ได้ไม่สบายเป็นอะไรไปสักหน่อย
ต้นฉบับงานก็ส่งตามปกติ งานก็สบายๆ ดูเสียงธิปแปลก ๆ อะ
...ชนิไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงมากหรอก"

รอยยิ้มหวานฉาบทั่วทั้งใบหน้า มือยาวเรียวสวยวางบนบ่าของอธิป
น้ำเสียงหวานเรียบฟังแปลกออกไป รวมทั้งท่าทางที่แสดงออก
ทำให้อธิปเพิ่มความงุนงง สับสนมากยิ่งขึ้นไปอีก

"ขอบคุณนะอธิป ที่ดูแลชนิมาตลอด ถ้าชนิไม่มีอธิปคงจะแย่....
ไปเหอะ กลับขึ้นข้างบนเหอะ งานแปลยังค้างเต็มโต๊ะเลย....เดี๋ยวขอล้างมือแป๊บ"

ทุกย่างก้าวของชนิกรรดาสง่างามราวกับราชินี เรือนร่างสูงเพรียวสมส่วน
แม้จะไม่ได้บอบบางราวกับนางแบบ
แต่ดวงหน้าที่สวยหวาน เรือนผมดำขลับ เหมือนก้าวออกมาจากภาพปั้นแกะสลักแห่งตำนานโบราณ …

อธิปเลี่ยงเข้าห้องน้ำบ้าง ยังคิดถึงอากัปกริยา และน้ำเสียงแปลก ๆ ของเธออยู่ดี...

บางครั้งชนิก็ดูเข้มแข็ง เหมือนผู้ใหญ่เกินตัว
บางครั้งเธอก็ร่าเริง บอบบางเหมือนเด็กเล็กๆ ...

อธิปออกจากห้องน้ำ ได้แต่เก็บความรู้สึกแปลกประหลาดเอาไว้ในใจ
เขามองเห็นชนิกรรดายืนคุยอยู่กับเอมอร เออีของออฟฟิศตรงโถงทางเดินตึก
ชนิกรรดาทำท่าทางคล้ายกับทักทายตัวเล็กในท้องของเอมอร ราวกับคุยกันรู้เรื่องจริง ๆ

อธิปเผลอจ้องมองภาพที่เห็นตรงหน้าอย่างลืมตัว...

ลำแสงที่ทอดผ่านกระจกบริเวณทางเดิน ฉาบร่างของชนิกรรดา เหมือนอาบประกายแสง
เขาเห็นแสงสีเขียวฟุ้งเป็นเกล็ดวับวาวอยู่รอบ ๆ ตัวเธอ

เขาเริ่มรู้สึกเหมือนว่า ชนิกรรดาเรืองแสงได้เองอีกครั้ง เหมือนกำลังดูดซึบแสงจากดวงอาทิตย์
หากเป็นเวลากลางคืนเธอคงมีแสงสว่างในตัวเอง....

แต่ที่ต้องประหลาดใจมากขึ้น เมื่อเกล็ดแสงสีเขียวเหล่านั้น
ไหลเวียนออกจากแขนของเธอ
ไปวนอยู่รอบ ๆ ด้านหน้าท้องของเอมอร

อธิปส่ายหัว เผลอขยี้ตาตัวเองอย่างตกใจ
แสงแดดคงหลอนให้เห็นภาพฟุ้งกระจายอีกแล้ว
เขานิ่งอึ้งกับภาพเบื้องหน้าไปชั่วขณะ เหมือนร่างกายถูกตรึงสนิทอยู่กับที่...
ก่อนที่เสียงของชนิกรรดาจะเรียกเขาให้สติสัมปชัญญะคืนกลับมาอีกครั้ง....

** โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป**


((( ถ้ามีตอนต่อไปแล้ว รบกวนพี่อ้อเอามาแปะให้เลยก็ได้นะครับ จะต่อในกระทู้นี้หรือว่า เปิดกระทู้ใหม่ ก็ได้นะครับพี่ เผื่อผมไม่ทันไปอ่าน เพราะไม่ค่อยได้เข้าถนนนักเขียนอ่ะครับ )))
โดย: จ๊อบก๊อปให้พี่จันทร์จ๋าTethys (เจ้าบ้าน ) [11 มิ.ย. 48 2:58] ( IP A:203.121.148.154 X: )
ความคิดเห็นที่ 12
   วิษุวัต --> คนนี้อะ หนูไม่เอาได้เป่า
เปลี่ยนใจเอาเพื่อนนางเอกได้เป่าอ่ะ

ดู ฮา ฮา ดี

หนูว่า ตาวิษุวัต เนี่ย สูงจนเกินสอย
หนูไม่อยากกราบก่อนนอนอะ อิอิ
โดย: Betty Boop แวะมาแซวพี่สาวจ้า [12 มิ.ย. 48] ( IP A:58.10.26.87 X: )
ความคิดเห็นที่ 13
   โหหหหหหหหห อยากกะรู้เลยนะคะ
ว่า อธิป ยังโสดน่ะ

อีกอย่าง อธิป เป็นอะไรที่น่ารักมากกกกกกกกกก
เยอะกว่าวิษุวัตอีก

ตามอ่านต่อน๊า
เดี๋ยวจัดการอธิปให้

เอ้ยยย
มะช่าย จัดที่จัดทางให้เข้าหาคุณอธิปให้จ้า
อิอิ
โดย: Tethys [12 มิ.ย. 48 6:19] ( IP A:58.10.250.162 X: )
ความคิดเห็นที่ 14
   
บทที่ 4

ประหนึ่งราวกับว่าสถานที่แห่งนี้จะเป็นที่ที่เงียบที่สุดในจักรวาล
เงียบในความเงียบทั้งมวล มันเป็นความเงียบแทบจะเรียกได้ว่า
ไม่มีแม้แต่สรรพเสียงใด ๆ รอดเข้ามาให้ได้ยินในโสตประสาท เสมือนความว่างเปล่าแห่งสูญญากาศ...
แม้จะมีสรรพสิ่งให้เห็นได้ด้วยจักษุอยู่โดยรอบก็ตาม...

ท้องฟ้า และทุกสิ่งโดยรอบ ทั่วทั้งบริเวณปรากฎเป็นสีส้มแดงฉานประหนึ่งว่าจะร้อนแรง
แม้แต่หินผาภูเขาที่รายล้อมก็เป็นสีส้มแดง ไม่ต่างไปจากถ่านหินที่กำลังติดไฟ
แต่ไม่มีเปลวไฟลุกโพลงให้เห็น มีเพียงควันไอสีขาวที่พวยพุ่งอวลไปทั่ว...

ร่างหนึ่งเดียวดายเพียงลำพังท่ามกลางผาหินสีส้มแดง
ร่างนั้นยืนพนมมือสงบนิ่งอยู่ในสมาธิ ราวกับรูปปั้นหินสลักที่ปราศจากด้วยจิตวิญญาณใด ๆ ...

เบื้องหน้าที่ทอดตัวยาวห่างออกไปไกล ๆ เป็นสายธารแห่งแม่น้ำสีแดงที่ไหลเรื่อยคดเคี้ยวผ่านลงมาจากทิวเขาที่สูงเสียดฟ้า
ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ว่าจุดสิ้นสุดของสารธารอยู่ ณ ที่แห่งใด

แม้จะเป็นธาราสีแดงเหนียวหนืดประหนึ่งหินหลอมเหลวจากภูเขาไฟ
แต่กลับไม่รู้สึกถึงความร้อนแต่อย่างใด มันกลับเป็นความหนาวเย็นเยียบ ที่แสนจะแปลกประหลาด
และก่อนที่จะสัมผัสถึงความเย็นนั้นมากขึ้น

เสียงเรียกของหญิงสาวแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบของสายลม ที่ขาดหายสะท้อนสลับไปมาเป็นช่วง ๆ ก็แว่วผ่านเข้ามา...

“วิษุวัต...ท่านวิษุวัต...”

วิษุวัตสะดุ้งสุดตัว ผวาลืมตาตื่นขึ้นจากการหลับใหล
รู้สึกเหมือนว่าเป็นการหลับไปอย่างยาวนานจาการเดินทางอันแสนไกล...

วิษุวัตพยายามทบทวนความฝันอันแปลกประหลาดนั้น
แม้จะลางเลือนไม่มีที่มาที่ไป
แต่ภาพที่เห็นนั้นก็เสมือนเป็นความรู้สึกจริง ราวกับว่าไม่ใช่ความฝันแต่อย่างใด...

เหมือนเขาเห็นร่างของตัวเองยืนอยู่ท่ามกลางสถานที่แปลกประหลาดนั้นจริง ๆ

ความเย็นยังคงสะท้านอยู่ในความรู้สึก เป็นความเย็นอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
มันเย็นเฉียบลึกเข้าไปในความรู้สึก และแผ่กระจายไปทั่วร่าง
ความรู้สึกของแสงสีส้มแดงยังคงติดแน่นในจักษุสัมผัส...

เฉกเช่นเดียวกับเสียงเรียกกระซิบแผ่วเบาของหญิงสาว ยังคงติดค้างมาจากห้วงแห่งความฝัน
เสียงเรียกนั้นไม่ใช่เสียงของลิเดีย หรือเสียงของใครที่เขาเคยรู้จักมาก่อน
หากเป็นเสียงของคนที่คุ้นเคย ควรจะเรียกเขาว่า “วิษ” เสียมากกว่า

แต่เสียงจากภาพแห่งความฝันนั้น กลับเรียกชื่อเต็มของเขา
ซึ่งหากเป็นคนรู้จักแทบจะไม่มีใครเรียกเขาเช่นนี้มาก่อนด้วยซ้ำ
แม้แต่ครูบาอาจารย์ที่เคยสอน เพื่อนในกลุ่มตอนเรียนหนังสือ
หรือแม้แต่ลุง และป้าที่เลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็กก็ตาม

ทุก ๆ คนต่างก็เรียกเขาว่า “นายวิษ” มากกว่าวิษุวัต
ทุก คนพร้อมใจกันไม่เรียก ด้วยเหตุผลง่าย ๆ และติดตลก
เพียงเพราะชื่อของเขาช่างเป็นชื่อไทยที่ออกเสียงให้ถูกต้องได้อย่างยากเย็นเสียเหลือเกิน...

แต่เสียงอันไพเราะนั้น กลับออกเสียงตามอักขระไทยได้อย่างชัดเจน ถูกต้อง
อีกทั้งฟังแล้วงดงาม หวานพลิ้วแผ่วกระซิบบางเบาไม่ต่างกับเสียงเรียกแห่งสายลม

เป็นเสียงราวกับคนที่คุ้นเคยกันมาเนิ่นนาน...
และหมือนว่าเสียงนั้นจะไม่เพียงแต่ตกค้างอยู่ในห้วงแห่งความรู้สึก และความคิดคำนึง...
แต่เสียงหวานไพเราะจับใจนั้น ยังคงก้องตามเขาอยู่ตลอดเวลาแม้ว่าจะตื่นแล้วก็ตาม...

เหมือนเสียงกระซิบแผ่วหวาน ที่พร่ำเรียกอยู่ใกล้ ๆ
ช่างเหมือนเสียงเรียกจริงของใครบางคน ที่ทำให้เขาต้องหันหาเสียงเรียกนั้นอยู่ตลอดเวลา...

หลายต่อหลายครั้งหลังจากตื่นนอน เสียงนั้นยังคงก้องสะท้อนอยู่
และเกือบทำให้เขาเผลอขานรับกับเสียงเรียกนั้นออกไปอย่างลืมตัว...


ห้องพักของวิษุวัตยังคงเป็นห้องพักเดิมตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ในกรุงเทพฯ
บนคอนโดมิเนียมใจกลางเมือง ที่สะดวกกับการเรียน

แม้จะไปเรียนต่อที่อังกฤษอยู่หลายปี แม่บ้านของคอนโดมิเนียมก็ยังทำความสะอาด
และดูแลสภาพไว้เป็นอย่างดีไม่มีอะไรชำรุดเสียหาย

อย่างน้อยที่พักแห่งนี้ก็เป็นสมบัติชิ้นสุดท้าย ที่คุณลุงคุณป้าของเขาซื้อทิ้งไว้ให้
ก่อนจะย้ายรกรากไปเปิดร้านอาหารไทยอยู่ที่ออสเตรเลีย

ซึ่งตามจริงแล้ว คุณลุงคุณป้านั้นถือเป็นเพียงญาติห่าง ๆ ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ปกครอง
หลังจากที่พ่อของแม่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุตั้งแต่เขายังเล็ก ๆ อยู่

ท่านทั้งสองต่างก็ดูแลเลี้ยงดูเกื้อกูลมาเป็นอย่างดี จนเมื่อเห็นว่าตัวเขาสามารถดูแลตัวเองได้
ท่านทั้งสองจึงอพยพไปมีชีวิตตามเส้นทางที่ท่านต้องการ...


เส้นทางที่ต้องการรึ...
วิษุวัตยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำ ว่าเส้นทางต่อไปข้างหน้า ในระหว่างนี้ จะเกิดอะไรขึ้นกับเขา
แต่ความรู้สึกบางอย่างก็กระซิบบอกว่า คงเป็นเส้นทางที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ
มิฉะนั้นแล้วคงไม่ทำให้ชีวิตเขาหักเหอย่างรวดเร็วมากมายเช่นนี้

และเขายังคงเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่า การทำงานให้กับอาจารย์ภาณุ
ไม่แต่จะเป็นเพียงวิทยานิพนธ์ชิ้นเยี่ยมแล้ว
แต่จะยังเป็นประสบการณ์งานที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ สำหรับตัวเขาอีกด้วย



สิ่งแรกที่เขาเลือกทำสำหรับวันแรกที่มาถึง
วิษุวัตรีบโทรไปแจ้งยืนยันการกลับมาถึงเมืองไทยของเขา กับเลขานุการของอาจารย์ภาณุ
และเธอนัดให้เข้าพบกับอาจารย์ภาณุที่สำนักงานในช่วงบ่ายสามโมงเย็นของวันนี้

เขาจึงใช้เวลาช่วงเช้าของวันก่อนถึงเวลานัด อยู่กับหนังสือบางเล่มที่หอบมาจากอังกฤษ สระว่ายน้ำ...
มื้อสาย และมื้อกลางวันอย่างง่าย ๆ ภายในห้องอาหารชั้นล่างของตึกคอนโดมิเนียม


การกลับมาอย่างกระทันหัน ด้วยเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวน้อยชิ้น อย่างโน้ตบุ้ค และหนังสือสองสามเล่ม
ทำให้เขาไม่ต้องเสียเวลาจัดข้าวของมากมาย

เขาไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลายาวนานเพียงใด ซึ่งนั่นก็ขึ้นอยู่กับงานของอาจารย์ภาณุนั่นเอง

การออกสำรวจงานโบราณคดีในมาตุภูมิแผ่นดินเกิด
อาจเป็นชิ้นงานวิทยานิพนธ์ของเขาได้ดีกว่า การตามรอยครูเสดของลิเดีย
และเขาใช้มันอ้างเหตุผลกับอาจารย์ที่ปรึกษา ซึ่งยินยอมให้เขาเปลี่ยนหัวข้อ และใช้เวลาเพิ่มมากขึ้นในการทำวิทยานิพนธ์

งานสำรวจโบราณคดีในแหลมสุวรรณภูมิ ยังมีข้อมูลอยู่น้อยมาก
และการลงพื้นที่จริงของเขา คงจะเปิดกว้างเพิ่มความรู้ให้กับข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ทางโบราณคดีของโลก
เพราะพื้นที่ราบลุ่มแห่งนี้เคยมีประวัติศาสตร์ที่รุ่งเรืองมาอย่างยาวนาน...


วิษุวัตหลับตาลง... เมื่อความรู้สึกของลิเดีย ย้อนกลับเข้ามาในความรู้สึก
เขากำลังคิดถึงเธอ แม้จะเป็นความทรงจำอันพร่าเลือนแล้วก็ตาม
ป่านนี้เธอคงตื่นเต้นดีใจกับเส้นทางการเดินทาง แม้จะรู้สึกเสียใจบ้างที่เขาไม่ได้ทำงานร่วมกับเธอ
แต่ขณะนี้เส้นทางของเขา และเธอก็แยกออกจากกันโดยเด็ดขาด

สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงแค่ความทรงจำในมิตรภาพของครั้งก่อน

มิตรภาพอย่างนั้นหรือ...
มันทำให้วิษุวัตต้องทบทวนความรู้สึกของตัวเองอีกครั้ง
บางทีเขาและเธอ ก็อาจเป็นแค่เพื่อนสนิทจริง ๆ ....

บางทีมันอาจเป็นแค่เพียงมิตรภาพที่แนบแน่นของเพื่อนมากกว่าเป็นความรักอันหวานชื่น

หรือมันอาจเป็นเพียงความรู้สึกบางส่วนของคนที่ว้าเหว่ ห่างไกลจากบ้านเกิดเมืองนอน
แต่อย่างน้อย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
มันก็เป็นความรู้สึกดี ๆ ช่วงเวลาดี ๆ ของผู้ชายคนหนึ่งมีให้กับหญิงสาวคนหนึ่ง

แม้ว่ามันอาจจะไม่ได้งอกเงย เติบโตเป็นความรักที่สวยงามมากนักก็ตาม

ผู้หญิงมุ่งมั่น เอาจริงเอาจังกับประวัติศาสตร์คนนั้น
เลือกที่จะไปตามเส้นทางความฝันของเธอมากกว่า
โดยไม่ต้องมีคำสัญญาของการรอคอย...

ก็แค่ความใกล้ชิด ที่ไม่ใช่เป็นความผูกพัน ที่ไม่อาจจะยื้อ หรือรั้งเธอให้รอคอยเขาได้...

เธอไม่ต้องการรอคอย... และเธออยากให้เขาไปตามเส้นทางของเขา...
ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะตัดสินเลือกกลับมาเมืองไทยเสียด้วยซ้ำ
เธอยืนยันที่จะไปต่อเพียงลำพัง โดยไม่มีเขาในเส้นทางของอนาคตของเธอ...


และก่อนที่เขาจะรู้สึกเจ็บกับความรู้สึกที่คิดคำนึงถึงลิเดียมากไปกว่านี้
เสียงของหญิงสาวหวานไพเราะก็แทรกคลื่นผ่านเข้ามาให้เขาได้ยินอีกครั้ง
และลบเลือนภาพของลิเดียในห้วงความคิดให้จางหายไปอย่างรวดเร็ว...

ราวกับว่าเสียงนั้นจะช่วยเกลื่อนความเจ็บปวด ความโหยหาในความสุข ความทรงจำกับลิเดีย
และช่วงเวลาบนพื้นแผ่นดินอังกฤษ

เสียงนั้นช่วยสมานความรู้สึกได้อย่างประหลาด
อีกทั้งยังช่วยฟื้นความอบอุ่นแห่งบ้านเกิดของเขา
ราวกับคืนความทรงจำในวัยเยาว์ที่คุ้นเคยบนพื้นแผ่นดินแม่แห่งนี้เข้ามาแทน...


กรุงเทพฯ ก็ยังคงเป็นกรุงเทพฯ
กับชื่อเสียงที่เป็นหนึ่งเมืองหลวงของโลกที่ติดอันดับการจราจรอันติดขัด
คงต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ ๆ ที่วิษุวัตจะคุ้นเคยกับการจราจรในกรุงเทพฯ ที่แสนจะสับสนอลหม่าน โดยเฉพาะในยามบ่ายเช่นนี้


สำนักงานของอาจารย์ภาณุ เป็นมูลนิธิร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศหลายประเทศ
ตั้งอยู่บนตึกสำนักงานย่านถนนสาธร
ซึ่งนับว่าไม่ห่างจากคอนโดมิเนียมที่เขาพักในย่านฝั่งธนเท่าไรนัก
แค่ข้ามสะพานมายังฝั่งกรุงเทพ ฯ แม้จะเพียงไม่กี่กิโลเมตร แต่รถก็กลับติดอยู่บนสะพานข้ามฝั่งอย่างยาวนาน

ความที่คุ้นเคยกับอากาศสบาย ๆ ในเมืองชนบทของอังกฤษอยู่หลายปี
ทำให้เขารู้สึกเหมือนว่า กรุงเทพฯ แทบจะไม่เหมาะสำหรับเขา อีกแล้ว

ตึกสูง ๆ หลายตึกเบื้องหน้า สถาปัตยกรรมทันสมัย เรียงรายอยู่มากมาย ถนนหลายสายที่ตัดพาดผ่าน เพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย
ดูแล้วก็น่าตื่นตาตื่นใจกับคนที่เคยคิดจะเป็นสถาปนิกอย่างเขา

แต่เมื่อเขาหันมาเรียนผสมผสานกับทางโบราณคดีแล้ว
สำหรับเขากรุงเทพฯ ช่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย
เป็นความเจริญ ความศิวิไลซ์ ที่เขาอยากจะหนีให้ห่าง

หากจะดีไม่น้อย ถ้าเส้นทางการสำรวจ งานของอาจารย์ภาณุ
จะเป็นการเดินทางออกนอกเมืองหลวง ที่ไม่ให้เขาต้องมาใช้ชีวิตแบบกดดันอยู่ในเมืองหลวงเช่นนี้


“น่าเบื่อนะพี่ นี่ ๆ เห็นตึกอยู่แค่เอื้อม ไม่รู้จะติดอะไรหนักหนา
เขาน่าจะเอาไฟเขียวไฟแดงออกไปให้หมดได้แล้ว...ติดขึ้นมาถึงบนสะพาน”

เสียงคนขับแท็กซี่ข้าง ๆ บ่นอย่างเบื่อหน่าย
วิษุวัติมองท้องฟ้าใส ๆ ข้างหน้า หากตึกไม่ไกลอย่างที่คนขับว่า
บางทีเขาควรจะลงไปเดินบนถนนอาจเร็วยิ่งกว่า...

“ข้างหน้านั่นแหละครับ ตึกสีขาว ๆ สูง ๆ นั่นละ เห็นมั้ยครับ ตึกที่พี่จะไป”

วิษุวัตมองตามนิ้วที่คนขับรถชี้ไปข้างหน้า ตึกสีขาวนวลราวกับหินอ่อนอยู่ไม่ไกลนัก
แต่ที่น่าประหลาดใจ กลับเป็นดวงอาทิตย์ที่ฉายแสงอยู่ข้าง ๆ ขนาบกับตัวตึก
วิษุวัตเผลอกลืนน้ำลายลงคอกับภาพที่ตัวเองมองเห็น...

เป็นธรรมชาติที่เขาบังเอิญมาได้เห็น...
หรือว่าเป็นความมหัศจรรย์ที่ไม่อาจหาคำตอบได้...

ดวงอาทิตย์สีส้มแดงยามบ่าย ทอแสงทรงกลดเจิดจรัส ซ้อนรัศมีให้เห็นอยู่เบื้องหน้า เคียงข้างปรากฎขึ้นเป็นดวงอาทิตย์ดวงใหญ่สองดวง...

ชั่วพริบตาราวกับมีพลังแห่งมวลอันมหาศาล สะกดบังคับให้เขานิ่งไปอย่างฉับพลัน
จับจ้องอยู่เพียงแต่ภาพดวงอาทิตย์เบื้องหน้านั้น โดยขัดกับหลัก และกฎแห่งวิทยาศาสตร์ทั้งมวล...

เพียงแค่เศษเสี้ยวแห่งวินาที...ราวกับภาพแห่งความฝันจะหวนกลับมาสู่สมองอีกครา...
พร้อมกับเสียงหวานแว่ว พร่ำเรียกหาของเจ้าของเสียงเดิม...

** โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป**



โดย: Tethys [13 มิ.ย. 48 23:25] ( IP A:58.10.254.39 X: )
ความคิดเห็นที่ 15
   สงสัยยาวไป บทที่ 4 มาแล้วนคะ
ขอบคุณเจ้าของพื้นที่มาก ๆ เลยค่ะ
โดย: Tethys [13 มิ.ย. 48 23:27] ( IP A:58.10.254.39 X: )
ความคิดเห็นที่ 16
    ..............ตามมาอ่านแล้วนะครับ จะยาวเหมือนคำสาปฟาโรห์หรือเปล่านะ อ่านตั้งแต่เด็กจนแก่ ก็ยังไม่จบสักที อิอิ ...............
โดย: joblovenuk (เจ้าบ้าน ) [16 มิ.ย. 48 1:35] ( IP A:202.133.139.19 X: )
ความคิดเห็นที่ 17
    จากฟากฟ้าสุราลัย....สู่แดนดิน บทที่ 5

กว่าวิษุวัตจะมาถึงตึกสำนักงาน เพื่อมาพบกับอาจารย์ภาณุ ก็เป็นช่วงเวลาบ่ายเกือบจะเย็น
ด้านล่างของตึกสำนักงานผู้คนจึงดูบางตา
ความไม่คุ้นเคยในสถานที่ ทำให้ต้องเดินหาตำแหน่งที่ตั้งของลิฟท์อยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนจะเดินมากดปุ่มเรียก และก้าวเข้าไปเมื่อบานประตูเปิดออกในทันที
ถือเป็นจังหวะดีไม่น้อย ที่ไม่ต้องเสียเวลาคอยนานเกินไป

เสียงฝีเท้ากำลังวิ่งของใครคนหนึ่งไล่ตามหลังเข้ามาอย่างเร่งรีบ
ก่อนที่บานประตูจลิฟท์จะปิดลง เขากดตัวเลขบอกชั้นบนแผงสัญญาณ
เช่นเดียวกับหญิงสาว ถึงแม้ว่าจะคนละชั้นกัน
แต่จังหวะที่กดเสร็จ แล้วถอนมือกลับออกมานั้น
มือของเขาและเธอสัมผัสกันโดยบังเอิญ จนวิษุวัตต้องหันไปขอโทษเธอเบา ๆ

ฉับพลันเหมือนโลกทั้งโลกหยุดหมุน ทั่วท้องจักรวาลสงบนิ่ง
ทุก ๆ สิ่งแห่งบรรณพิภพหยุดการเคลื่อนไหว
ราวกับภาพในฝันบางส่วนแห่งความทรงจำถูกกระตุ้นด้วยประสาทสัมผัสทั้งปวง

มิติที่ต่างด้วยห้วงเวลา เหลื่อมพาดซ้อนทับกันอีกครา...


“ท่านวิษุวัต...”
เสียงอ่อนหวานแผ่วพลิ้วมาตามสายลมอีกครั้ง
สถานที่สีแดงส้มแห่งความร้อนปรากฎอยู่เบื้องหน้า
ร่างที่ยืนสมาธิยังคงหลับตานิ่ง จิตในสมาธิแห่งร่างนั้นเอ่ยขึ้น...

“เจ้าทำเช่นนี้อีกแล้ว...ชนิกรรดา เจ้ารู้ดีว่ายังไม่ถึงกำหนดแห่งเวลา”

“ข้าเพียงส่งความคิดถึงมาทักทายสมาธิของท่าน”

“เจ้ารู้ดีว่าข้ากำลังพูดถึงสิ่งใด”
น้ำเสียงในจิตแห่งสมาธิของร่างนั้นเหมือนแฝงไปด้วยขบขัน มากกว่าเป็นน้ำเสียงแห่งการตำหนิติติง

“ก็ข้าคิดถึงท่านนี่นา...”
เสียงหวานแผ่วพลิ้ว อ่อนหวานขึ้นมากกว่าเดิม

“เจ้าขี้โกงองค์เทวะทุกครั้งที่มีภารกิจ และทุกครั้งข้าก็ต้องถูกส่งมารับโทษ ณ สถานที่เดียวดายแห่งนี้”

“ข้าทูลองค์เทวะนับอสงไขยครั้ง แต่สภาเทวาก็ไม่เคยอนุมัติ
ให้ข้ารับโทษทัณฑ์เสียเอง อีกทั้งก็เป็นความประสงค์ของท่าน ...
ข้ารู้ดีว่าท่านตั้งสัตย์จะหลบรี้หนีหน้าข้า!”
น้ำเสียงที่ลงท้าย บ่งบอกถึงความกระเง้ากระงอดเต็มที่

“เจ้าช่างเอาแต่ใจตัวเอง ไม่เคยเปลี่ยนแปลง... เมื่อไหร่เจ้าถึงจะยอมเข้าใจ...
การที่เจ้าเอาแต่ใจเช่นนี้ เจ้าก็รู้ดีว่าจะส่งผลตามมาเช่นใด”
เสียงหวานพลิ้วเงียบหายไป ราวกับคลื่นการติดต่อผ่านสมาธิถูกรบกวน
ทำให้ร่างในสมาธิ เผลอพร่ำเรียกชื่อจนเกือบหลุดออกจากฌาน...

“ชนิกรรดา...!”

คลื่นสัญญาณเสียงจากหญิงสาวสะท้อนกลับมาอย่างแผ่วเบา ขาดหายเป็นช่วง ๆ
ร่างในสมาธิ เริ่มรู้สึกถึงความร้อนของสถานที่แห่งนั้นแผดเผา รอบด้านกลายเป็นเปลวเพลิงขึ้นมาในฉับพลัน

“เมื่อวันนั้น.......ข้ายังคงรอท่านเสมอ...ที่บ่อน้ำแห่ง......ในสวน...........
ไรข้าจะพยายามตาม....องค์เทวะไม่อาจซ่อน...พราง...ท่านได้นาน...
ข้ายอม...ปวด...ท่านวิษุว...ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน...”

“ชนิกรรดา…เมื่อถึงเวลา เมื่อถึงเวลา”
ชายหนุ่มถอนหายใจ กำหนดจิตก่อนเดินลมปราณเจริญองค์สมาธิใหม่อีกครั้ง เพื่อดับกองไฟรอบ ๆ ตัว
รวมถึงความรุ่มร้อนจากสถานที่ลงทัณฑ์ตามบัญชาแห่งองค์เทวะเจ้า...
โดย: Tethys [19 มิ.ย. 48 14:05] ( IP A:58.10.251.100 X: )
ความคิดเห็นที่ 18
   
ประตูลิฟท์เปิดเมื่อถึงชั้น 11 ชนิกรรดาก้าวออกมา ก่อนจะเดินตรงไปรูดบัตรเพื่อเปิดประตูกระจกของสำนักพิมพ์
ซึ่งมีอยู่เพียงสำนักงานเดียวบนชั้นนี้

เธอยิ้มอย่างสดใสให้กับพนักงานต้อนรับด้านหน้า พร้อมกับรีบสาวเท้าเดินกลับไปที่ห้องของกองบรรณาธิการ
เธอมองเห็นอธิปแต่ไกล ซึ่งกำลังทำหน้าเมื่อย ๆ ยืนเท้าแขน พิงฉากกั้นแบ่งส่วนโต๊ะทำงานของเธอ

“ไหนว่าจะลงไปซื้อแซนด์วิช?...กินหมดแล้วสิท่า หรือว่าลืมซื้อเผื่ออีกต่างหาก”
“ใครเหรอ? ชนิเหรอ...ใครจะกินแซนด์วิช?”

หญิงสาวหน้าตื่น ๆ กับคำถามของเพื่อน เธอเริ่มรู้สึกตัว ได้สติว่าตัวเองยืนอยู่ตรงทางเดินระหว่างโต๊ะทำงาน

“ชนิไม่ได้นั่งทำงานอยู่เหรอ เอ๋! แปลก ๆ แล้วชนิไปไหนมาละนี่...อึมม์ สงสัยจะไปห้องน้ำ...”

ชนิกรรดา ทำหน้างง ๆ ก่อนเดินอ้อมอธิปเข้าไปในบริเวณส่วนที่นั่งทำงานของตนเอง

“คุณหญิงชนิ...ก็เมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา ตัวเองเป็นคนโทรมาบอกว่าจะลงไปชั้นล่างซื้อแซนด์วิช
ไอ้เราก็ยังสงสัย ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นหิวตอนนี้...และนี่ดูกลับมามือเปล่า”

หญิงสาวหันมายิ้มหวานล้อเล่นด้วยหน้าเป็น พร้อมเปลี่ยนเรื่องอีกเช่นเคย

“รีบกลับไปที่ห้องเหอะ... เดี๋ยวเลิกงานแล้วค่อยไปกินกันนะ นี่ก็อีกไม่กี่ชั่วโมงเอง”

อธิปส่ายหน้ากับความแปลกประหลาดของเธอ อีกครั้งแล้วสินะ...กับอาการแปลก ๆ ของเธอ
เขามั่นใจว่าเมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา เธอกดโทรศัพท์สายภายใน พร้อมกับบอกเขาว่า จะลงไปชั้นล่างซื้อแซนด์วิช
และยังถามเขาว่าจะเอาอะไรด้วยมั้ย ทีแรกเขาก็รู้สึกประหลาดใจที่จู่ ๆ เธอรู้สึกหิวในช่วงเวลาบ่าย ๆ แบบนี้ซึ่งก็ไม่เคยเป็นมาก่อน
อีกทั้งยังมีความคิดที่จะลงไปซื้อด้วยตัวเอง
ซึ่งว่ากันตามจริงแล้ว เธอสามารถบอกแม่บ้านให้ลงไปซื้อให้เธอได้เสียด้วยซ้ำ
เขาเองยังคิดว่าเธอคงจะเปลี่ยนบรรยากาศจากการนั่งทำงานอยู่นาน ๆ
โดยไม่คิดว่าจะเรื่องมีแปลก ๆ เกิดขึ้นได้
แต่การกลับมามือเปล่า และเหมือนไม่มีเหตุการณ์ใด ๆ เกิดขึ้น
มันแทบทำให้เขารู้สึกเป็นห่วงเธอมากมาย

นี่คือการละเมอที่เธอเคยพูดถึงหรือเปล่านะ ปกติคนละเมอจะเกิดอาการในช่วงหลับ
การละเมอแบบที่ไม่ได้นอนหลับจะเป็นไปได้หรือ
หรือว่าเธอเจ็บไข้ได้ป่วย อาการหลงลืม อาจเป็นอาการเบื้องต้นของโรคบางอย่างในสมอง

อธิปรู้สึกตกใจกับความคิดของตัวเอง เขาบอกกับตัวเองว่า จะต้องพาเธอไปให้พ่อเขาตรวจเช็คร่างกายในเร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน ...

นับวันชนิกรรดาก็ยิ่งมีอะไรแปลกมากขึ้นทุกที ... แต่ไม่ทันที่จะคิดอะไรได้มากไปกว่านั้น
เสียงเจื้อย ๆ นุ่มหูก็ดังขึ้น โดยที่ชนิกรรดาไม่ได้หันหน้ามามองอธิปเสียด้วยซ้ำ
เธอยังคงจ้องอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ เปิดหาข้อมูลทำงานตามปกติ

“อธิป...ชนิไม่ได้เป็นอะไรนะ เชื่อสิ รีบกลับห้องเถอะ พี่ฉายฉานกำลังหาตัวอธิปอยู่นะ”

อธิปขมวดคิ้ว จะเอ่ยปากถามคำถามต่อ
เสียงแม่บ้านของสำนักงานก็เรียกเขาดังอยู่ที่ประตูหน้าแผนกของชนิกรรดา

“ว่าแล้วว่าคุณอธิปอยู่ที่นี่เอง คุณฉายฉานตามหาคุณอธิปอยู่แน่ะค่ะ เธอรออยู่ที่ห้องคุณอธิปนะคะ “

อธิปรู้สึกประหลาดใจ และงุนงง เขาหันกลับไปที่ร่างที่นั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์
ชนิกรรดาอมยิ้มหวานคอยอยู่แล้ว

“เดี๋ยวเลิกงานแล้วไปกินแซนด์วิชกันนะ อิอิ”
โดย: Tethys [19 มิ.ย. 48 14:06] ( IP A:58.10.251.100 X: )
ความคิดเห็นที่ 19
   


วิษุวัตยังคงนั่งรออยู่ในสำนักงานของอาจารย์ภาณุ
เขาอ่านนิตยสารฆ่าเวลาจบไปหลายฉบับ
แต่ไม่มีท่าทีของอาจารย์ภาณุจะกลับเข้ามาตามเวลาที่ได้นัดหมายเอาไว้
เขามาตรงเวลา ออกจะเร็วกว่าเวลานัดจริงเสียด้วยซ้ำ

วิษุวัตเดินไปเดินมาในบริเวณที่จัดไว้สำหรับรับรองแขก
ภาพถ่ายหลาย ๆ ภาพบนผนังห้องด้านหนึ่ง เป็นภาพเบื้องหลังการทำงานของอาจารย์ภาณุ
วิษุวัตมองอย่างชื่นชม สภาพซากเมืองโบราณ นครแห่งกิลังปุระ เมืองในตำนาน
เมืองใหญ่แห่งหนึ่งในสมัยทวารวดี ศิลปะ รูปปั้น เครื่องประดับ และของใช้ต่าง ๆ ที่ทีมงานของอาจารย์ภาณุ ค้นพบ
ซึ่งถือว่าเป็นการพลิกอีกหน้าของประวัติศาสตร์ความรุ่งเรืองบนแหลมสุวรรณภูมิ

แต่วิษุวัตก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่า ความรู้ ความสามารถของเขาในแง่สถาปัตยกรรมส่วนใด
ที่จะทำให้เขาได้ร่วมงานกับอาจารย์ภาณุ นอกเหนือไปจากความชื่มชม หลงใหลในประวัติศาสตร์ และความศรัทธาในตัวอาจารย์ภาณุ
ไม่ว่าจะเป็นงานยากลำบากเพียงใด เขาก็ภูมิใจแล้วที่ได้เป็นส่วนร่วมในทีมงานของท่าน

“คุณวิทวัสคะ คงต้องให้คุณกลับไปก่อนเสียแล้ว พอดีท่านอาจารย์ภาณุต้องเดินทางไปที่บุรีรัมย์ด่วน
แล้วดิฉันจะนัดไปใหม่นะคะ...ต้องขอโทษที่ให้มาคอยเสียเวลา”

เลขานุการของอาจารย์ภาณุ เปิดประตูห้องออกมาแจ้งข่าวให้เขาทราบ
ความตื่นเต้นลดหายไปเล็กน้อย เขาได้แต่เพียงตอบรับสั้น ๆ
อยากจะบอกเธอว่า เธอเรียกชื่อเขาผิดเสียด้วยซ้ำ...
แต่วิษุวัตก็ออกจากสำนักงานของอาจารย์ภาณุอย่างเงียบ ๆ
เสียดายเวลาเล็กน้อย เขาพยายามคิดในแง่ดีไว้ก่อน อาจารย์ภาณุคงติดงานด่วนจริง ๆ คงไม่ได้เลี่ยงการพบปะกับเขา

เขาอาจจะแวะหาอะไรทานตอนเย็นก่อนกลับที่พัก บางความรู้สึก เหมือนกำลังเลื่อนลอย อ่อนล้า...

บางทีคงเป็นเพราะการเดินทางในเมืองหลวง ที่แทรกเข้ามาให้เขารู้สึกเหนื่อยล้า จนเลื่อนลอยหรือเปล่านะ

เหมือนช่วงเวลาถูกดึงให้ยืด นาน ห่างออกไป...

เสียงแผ่วพลิ้วอ่อนหวานนุ่มนวลแว่วผ่านมากับสายลมอีกครั้ง
คราวนี้เสียงนั้นปนด้วยความรู้สึกแสนเศร้าสร้อย และสำนึกผิดมากมาย...

“วิษุวัต...ท่านวิษุวัต.............ข้าขออภัย...”

** โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป**
โดย: Tethys [19 มิ.ย. 48 14:07] ( IP A:58.10.251.100 X: )
ความคิดเห็นที่ 20
   มิบังอาจไปเทียบเท่าเรื่องดังขนาดนั้น
เรายังเป็นมดปลวกตัวเล็ก ๆ
ระดับนั้นคนอ่านทั่วโลก หงึ หงึ

ท่าทางจ๊อบจะไม่ชอบเรื่องยาว ๆ
เริ่มเกรงใจกวนพื้นที่
แหะ แหะ
รอเสียตังค์ซื้ออ่านดีกว่ามั้ยอิอิ

ยังไงก็ขอบคุณมาก ๆ นะคะที่ให้พื้นที่เช่นเคย
โดย: Tethys [19 มิ.ย. 48 14:09] ( IP A:58.10.251.100 X: )
ความคิดเห็นที่ 21
    .............พื้นที่เหลืออีกเยอะครับ แต่คืนนี้ผมเมาเบียร์ สงสัยอ่านไม่รู้เรื่องแน่ๆ เด๋วพรุ่งนี้ค่อยมาอ่านนะครับ เรื่องนี้ของพี่อ้อ ตกลงรวมเล่มเหรอครับ เด๋วจะรอเสียตังซื้อเก็บไว้ครับ จะออกเมื่อไหร่เอ่ย??
โดย: joblovenuk (เจ้าบ้าน ) [21 มิ.ย. 48 1:26] ( IP A:210.246.64.230 X: )
คลิก เพื่อเปลี่ยนกลับไปแสดงความคิดเห็นแบบเดิม

ชื่อไฟล์รูปห้ามมีอักขระพิเศษ เช่น (#),(<),(>),(&) เป็นต้นค่ะ
ชื่อ / e-mail :    แทรกไอคอนน่ารักๆในข้อความ
e-mail :
ส่งอีเมลทุกครั้งที่มีการตอบกระทู้       (ใส่ Email เมื่อต้องการให้ส่ง Email เมื่อมีคนมาโพสในกระทู้)


CAPTCHA code



คลิกที่นี่เพื่อกลับหน้าบ้าน