จากฟากฟ้าสุราลัย....สู่แดนดิน
|
ความคิดเห็นที่ 1 "ชนิกรรดา ชื่อที่เขามีความรู้สึกว่าเป็นชื่อที่เพราะ เก๋ แทบไม่ค่อยได้ยินว่ามีใครชื่อนี้มาก่อน เขาและเธอ บ้านอยู่ใกล้กัน พ่อของเขากับพ่อของเธอสมัยก่อนก็เคยเป็นหมอโรงพยาบาลเดียวกัน เห็นกันตั้งแต่เด็กจนโต เรียนหนังสือหนังหาก็ที่เดียวกันมาตั้งแต่อนุบาล จนถึงมหาวิทยาลัย
หลายครั้งที่ถูกเพื่อนแซว ว่าเขาและเธอเป็นแฟนกัน เคยเหมือนกันที่บางความรู้สึกฉันคนรักจะแว่บเขามา แต่มันก็จางหายไปทุกครั้ง
เธอเป็นอะไรสำหรับเขาที่สูงค่า มากมาย เหมือนน้องสาวที่เขาต้องดูแล...
เหมือนเขามีหน้าที่เป็นเพียงผู้อภิบาล... เขารู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ
"ละเมอเหรอ!? เมื่อไหร่อะ?" ดวงหน้าสวยหวาน ตาใส ๆ เหมือนเด็กเล็ก ๆ จ้องมองหน้าเขา เหมือนคาดคั้น เอาจริงเอาจังกับคำตอบ
"ก็เมื่อวันที่ฝนตกหนักสามวันสามคืนนะ คืนที่กลับมาจากงาน เลี้ยงคุณบัญชาน่ะ เธอละเมอคร่ำครวญหาใครสักคน ชื่ออะไรหว่า จำไม่ค่อยได้แล้ว ชื่อแปลก ๆ ประหลาด.....งือ จำไม่ได้ เอ่อ!...แล้วก็พูดแบบนี้...ใช่ ชนิบอกอยากกลับบ้าน... ไอ้เราไม่ได้เอะใจนึกว่าชนิเหนื่อย อยากจะรีบกลับบ้าน อยากให้ถึงไว ๆ"
"ฟังแปลก ๆ แหะ แม่ก็บอกว่าชนิละเมอบ่อย ๆ ตั้งแต่เด็ก ๆ ระยะนี้ชักถี่แหะ...... ชนิละเมอชื่อใครเหรอ? ธิปจำได้หรือเปล่า เสียงนั้นฟังเหมือนเจือปนไปด้วยความไม่สบายใจ ทำให้เขาเริ่มไม่สบายใจตามไปด้วย เขาพยายามนึกถึงชื่อแปลก ๆ นั้นอยู่นาน แต่ก็ดูเหมือนไร้ผล...
"ไม่อะ นึกไม่ออก ชนิอาจจะไปจำมาจากไหน เอามาละเมอหรือเปล่า?" อธิปรู้สึกเหมือนว่ากำลังโกหกตัวเองอีกแล้ว เขาพยายามนึกถึงคืนนั้นอีก แต่ทุกอย่างก็เหมือนเดิม
เธอทำหน้ามุ่ย หยิบแก้วน้ำขึ้นมาเดิม "เนี่ยะ! ชนิถึงอยากมาทะเล ท่าทางจะเครียด ทำงานหนักเกินเหตุ อีกแล้ว แน่ ๆ เลย" เธอส่ายหน้า ยักไหล่ทำหน้าเนือย ๆ กับตัวเอง ก่อนวางแก้วน้ำลง แล้วลุกเดินออกไปยังริมทะเล
ท้องฟ้าสีมืดเมื่อครู่ เริ่มจางออกเป็นสีเทา อย่างน่าแปลก เหมือนฝนไม่ได้มี ลมคงหอบไปตกที่อื่น แต่ลมแบบอ่อน ๆ อย่างนี้นะหรือ แต่แสงอาทิตย์ที่ส่องลงมากระทบฟองคลื่นเป็นประกาย เหมือนจะบอกว่าอย่างน้อยฝนก็คงไม่ตกตรงนี้...ในเวลานี้
อธิปส่ายหน้าบ้าง ยกแก้วเบียร์ขึ้นเดิม ฉับพลัน เขาก็แทบสำลักเบียร์อีกครั้ง กะพริบตาถี่ ๆ เสมือนไม่เชื่อสายตาตัวเองในภาพตรงหน้าที่เห็น เขาพยายามกะพริบตาใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า มองร่างที่กำลังเดินห่างออกไป
ร่างเพรียว ๆ ที่ห่างไปไม่เกินเมตร พระอาทิตย์ฉายแสงเฉพาะลงมาราวกับใครเปิดสปอตไลท์ แค่นี้ก็ทำให้เขาประหลาดใจมากพอแล้ว แต่สิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นก็ทำให้ตัวเขาต้องผุดลุกขึ้นเจ้าเก้าอี้ผ้าใบราวกับคนเสียสติ...
ชั่ววินาทีที่แสงตกกระทบทั่วร่างเธอ ราวกับร่างนั้นเป็นแผ่นกระจกที่สะท้อนแสงกลับได้ แสงสีเขียวเข้มราวกับมรกตฟุ้งกระจายอยู่รอบ ๆ ตัวของเธอ
ไม่ใช่!!แสงอาทิตย์สะท้อนกับน้ำทะเลแน่ ๆ ไม่ใช่!!ภาพสะท้อนลวงตา ไม่ใช่!!เบียร์แค่ครึ่งขวด ตลอด 25 ปีที่รู้จักเธอ ไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อนเลย
สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้คืออะไร!!??.....
"ชนิกรรดา!!........" เป็นครั้งแรกที่ เขาหลุดเอ่ยเรียกชื่อเต็ม ๆ ของเธอ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมเขาถึงกล้าเรียกชื่อเธอออกจากปากของเขาเอง.......
| โดย: Tethys [9 มิ.ย. 48 20:24] ( IP A:202.133.135.137 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 2 บทที่ 2
....บางทีเขาอาจจะลองตัดสินใจใหม่อีกครั้ง....
ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา วิษุวัตรู้สึกสับสน คิดแล้วคิดใหม่อยู่หลายครั้ง วนเวียนตั้งแต่ก่อนเก็บกระเป๋า ก่อนออกจากบ้าน ก่อนเช็คอิน และถึงแม้แต่จะขึ้นมาอยู่บนเครื่องแล้วก็ตาม
แน่ะล่ะ เขายังคิดได้อีกครั้ง ถ้าเครื่องบินยังไม่ออกจากสนามบิน.... เขายังมีเวลาอีก อย่างน้อยก็ตั้ง 20 นาที
จริง ๆ แล้ว วิษุวัตรู้ตัวดีว่าเขาไม่ใช่คนลังเล เขาเป็นคนที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น กล้าตัดสินใจ แต่ครั้งนี้มันแตกต่างออกไป....
ครั้งนี้เขารู้สึกสับสน จนต้องคิดแล้วคิดอีกหลายรอบ และเป็นครั้งแรกในชีวิตของวิษุวัตที่ รู้สึกว่าเป็นการตัดสินใจที่ยากเหลือเกิน ยากยิ่งกว่าตอนตัดสินใจเลือกเรียนต่อวิชาโบราณคดี
เพราะอะไร??!!.... จู่ ๆ เขาก็กำลังตัดสินใจจะเลือกกลับเมืองไทย...
บางทีถ้าตั้งแต่มาอังกฤษใหม่ ๆ แล้วเขาเลือกเรียนสายบริหารธุรกิจ วรรณคดี วิทยาศาสตร์ หรือ กฎหมาย ทั้งหมดคงจะง่ายกว่าวิชาโบราณคดีอย่างนี้หรือไม่
หรือว่าเป็นเพราะลิเดีย....
"ลิเดีย" ... ผู้หญิงที่เขาหลงรักเธอมาตลอด ตั้งแต่มาอยู่ที่อังกฤษใหม่ ๆ เพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขา ผู้หญิงอังกฤษเอาจริงเอาจังคนนั้น ผมของเธอเป็นสีน้ำตาลทอง ดวงตาสีฟ้าเป็นประกาย วงหน้ารูปไข่ เหมือนเธอก้าวออกมาจากศตวรรษที่ 16
เสน่ห์ของเธอเหมือนกับภาพสะท้อนจากห้วงอดีตในประวัติศาสตร์ ลิเดียหลงใหลหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ เธอเลือกตามรอยสงครามครูเสดเป็นวิทยานิพนธ์ของเธอ และตามแผนการของเธอ ป่านนี้เธอคงอยู่ในตุรกี หรือไปก็อาจเรื่อยไปจนถึงอิสราเอลแล้วก็ได้... | โดย: Tethys [9 มิ.ย. 48 20:26] ( IP A:202.133.135.137 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 3 และถ้าทั้งหมดไม่ใช่จดหมายจากเมืองไทยฉบับนั้น เขาก็คงมีส่วนร่วมในวิทยานิพนธ์ตามรอยสงครามครูเสด ของลิเดียอย่างแน่นอน
สิ่งหนึ่งกำลังรอเขาอยู่ที่เมืองไทย ต้องเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งใหญ่ ไม่น้อยไปกว่าเรื่องของสงครามครูเสด
บางสิ่งในใจที่ลึกที่สุดของวิษุวัต กระซิบปลอบตัวเองอย่างแผ่วเบา จนเกือบทำให้เขารู้สึกสับสนใหม่อีกครั้ง เขาค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกยาว ๆ
ลาก่อนลิเดีย....
จดหมายจากอาจารย์ภาณุ คือสิ่งเดียวที่ทำให้เขาตัดสินใจกลับเมืองไทย โดยยังไม่รู้อะไรแม้แต่น้อยว่าจะต้องทำอะไร
วิษุวัตไม่มีวันลืม... วันที่พบอาจารย์เป็นครั้งแรก ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม อาจารย์ที่ทำให้หลงใหลทุกหน้าของประวัติศาสตร์โลก เขาจำวันที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยติดในคณะอื่น ทำให้เขาพลาดการได้เรียนในสิ่งที่เขารัก
แต่การเรียนทางสถาปัตยกรรม ทำให้เขาได้เรียนรู้ว่า ทุก ๆ สาขาวิชาเกี่ยวข้องกัน ต่อเนื่องและเกี่ยวพัน กันเสมือนลูกโซ่
หลายคนแปลกใจ ว่าทำไมจู่เขามาเรียนเพิ่มเติมวิชาโบราณคดี แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังแปลกใจ... แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ดีว่ามันทำให้เขามีความสุข และเมื่อเลือกมารวมกับงานสถาปัตยกรรมโบราณแล้ว ทำให้เขาได้เห็นอีกแง่มุมมองหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์
ดังนั้น...จดหมายจากเมืองไทยของอาจารย์ภาณุ ที่ยินดีให้เขาไปร่วมงานสำรวจโบราณคดีในบ้านเกิด แผ่นดินเกิดมาตุภูมิของเขา
บางทีสิ่งที่เขาคิด และกำลังทำอยู่นี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เหมาะสมกับเขาแล้ว...
วิษุวัตยิ้มให้กับตัวเอง ยิ้มให้กับภาพที่เห็นนอกกระจก
เขารู้ดีว่า... แม้อาจจะไม่ได้กลับมาเรียนต่อ แม้อาจจะไม่ได้ทำวิทยานิพนธ์ แต่การได้เข้าร่วมงานกับอาจารย์ภาณุ เป็นความใฝ่ฝันที่ยิ่งใหญ่... ที่เขารอคอยมาแสนนาน...
เขาไม่มีวันปฏิเสธความฝันของตนเอง เพียงเพื่อตามผู้หญิงเพียงคนเดียวอย่างแน่นอน...
ไฟสัญญาณกะพริบเตือนตรงเบื้องหน้านี้ วิษุวัตรัดเข็มขัดอย่างเต็มไปด้วยมั่นใจ ไร้ซึ่งความสับสนใด ๆ อีก
เขาปิดเปลือกตาลง... ....ลาก่อนอังกฤษ.... ลาก่อนลิเดีย...
| โดย: Tethys [9 มิ.ย. 48 20:28] ( IP A:202.133.135.137 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 4 .............โธ่ กำลังสนุกเชียวพี่อ้อ นึกว่าพี่อ้อเขียนไปสักครึ่งเรื่องหรือค่อนเรื่องแล้วอ่ะ แล้วต้องรอตอนต่อไปอีกกี่วันล่ะเนี่ย (วัยรุ่นเซ็งเลย) สำหรับท่านที่ติดตามอ่านมา ถ้าอารมณ์ค้างก็ขออภัยนะครับ (เด๋วผมไปปลุกอารมณ์ให้ต่อ )<== เอ๊ย.... ถ้ามีตอนต่อเมื่อไหร่ แล้วผมจะไปตามก๊อปจากถนนนักเขียนมาให้อ่านกันนะครับ | โดย: joblovenuk [9 มิ.ย. 48 20:51] ( IP A:202.133.135.137 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 5 ง่า................. ยังอ่านไม่จบเลยค่ะ แต่เเค่อ่านเริ่มต้นไม่กี่บรรทัด ก็รู้แล้วล่ะว่า เรื่องนี้น่าติดตามอย่างยิ่งค่ะ
เด๋วหาเวลาว่าง ๆ ได้ จะมาอ่านต่อค่ะ
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดี ๆ ค่ะ | โดย: นู๋รัตน์คนจ๋วย [10 มิ.ย. 48 8:42] ( IP A:221.128.99.112 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 6 แม๊...พี่สาวจ๋า
ชื่อ ชนิกรรดา เนี่ย น่าจะมาตอนที่หนูคิดจะเปลี่ยนชื่อน๊า ตอนนี้กลายเป็น คุณฐิตากรณ์ ไปซะแร๊ว อิอิ | โดย: Betty Boop [10 มิ.ย. 48 20:13] ( IP A:58.10.30.28 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 7 ตาจ๊อบข้าพเจ้าเขียนไปค่อนเรื่องแล้วจ้า แต่เพิ่งกล้าเอามาอวดชาวโลก แหะ แหะ บ่มมาไว้หลายปี กว่าจะเป็นไวน์รสนี้อ่ะ แหะ แหะ
บทที่ 3 ปะแล้วที่ถนนนักเขียน จะให้ปะไว้ตรงไหนอย่างไรจ๊ะ หรือจ๊อบจะปะเอง
ปะต่อ ๆ กันกลัวคนอ่านจะงง ๆ หรือจะเอาอย่างไรดี บอกด้วยนา
ขอบคุณล่วงหน้ามาก ๆ ค่ะ เดี๋ยวหานางฟ้านางสวรรค์มาเป็นของกำนัล อิอิ
| โดย: Tethys [10 มิ.ย. 48 21:19] ( IP A:58.10.250.160 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 8 ขอบคุณนะคะ นู๋รัตน์คนจ๋วย ที่ติดตามอ่าน อ่านกันไปนาน ๆ นะคะ เรื่องยังอีกยาวไกล อิอิ ไม่ต้องรีบอ่านก็ได้ค่ะ คนเขียนจะได้มีเวลาเขียนทัน อิอิ แบบเกรงใจคนอ่านกลัวคอยนานสุดฤทธิ์อ่ะ | โดย: Tethys [10 มิ.ย. 48 21:21] ( IP A:58.10.250.160 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 9 อิอิ คุณน้องสาวจ๋า เปลี่ยนใหม่อีกรอบก็ได้น้า จะได้เข้ากับ \\"วิษุวัต\\" ไง แล้วอย่าทิ้งขว้างคุณพระเอกคนนี้น้า อิอิ กลัวใจ กลัวใจ | โดย: Tethys [10 มิ.ย. 48 21:22] ( IP A:58.10.250.160 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 10 บทที่ 3
แม้จะกลับกรุงเทพฯ มาหลายวันแล้วก็ตาม แต่แสงสีมรกตที่ริมหาดวันนั้น ก็ยังสว่างวาบ ๆ อยู่ในห้วงความรู้สึกของอธิป มันเหมือนคำถามที่เขายังหาคำตอบไม่ได้ ซึ่งความจริงแล้ว เขาจะหาคำตอบไปทำไม มันอาจเป็นแค่แสงกระจายแค่นั้นเอง หรือบางทีเขาเองก็อาจจะเหนื่อย แล้วก็มึนไปเท่านั้นเอง
แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไป คือเขารู้สึกเหมือนว่าชนิกรรดาหลับง่ายมากขึ้น ในเวลากลางวัน เธอเหมือนคนอ่อนเพลียทุกครั้ง ที่แดดร้อนแรง และเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน เธอก็จะกลับบ้านเร็วขึ้น เข้านอนเร็วขึ้น และทุกครั้งที่เธอขึ้นรถ เธอก็จะหลับทุกที
เป็นอันว่าในฐานะเพื่อนบ้านใกล้เคียง ทำงานที่เดียวกัน เขาก็กลายเป็นคนขับรถให้เธอ ไปโดยปริยาย
"เท่ดีอะ ชนิมีบอดี้การ์ดอะ อิอิมีอัศวิน มีคนขับรถ ข้อสำมะคัน ประหยัดน้ำมันดี" "เออดีโว้ย!....ไอ้เรารึอุตส่าห์เป็นห่วง รับปากจากแม่หล่อนมาดิบดี ใคร ๆ เขาก็เป็นห่วง กลัวเวลารถติดเผลอหลับไปจะทำไง กลับมาทำเป็นเรื่องตลก....ไม่เห็นใจเลยโว้ย สาว ๆ ก็ไม่ได้ไปหา ใครก็คงไม่อยากเข้าใกล้อีกแล้ว"
อธิปถอนใจยาว แต่ดวงหน้าใสนั้นยังหัวเราะ ทำหน้าตาคิกคัก ราวกับเด็กเล็ก ๆ
"น่าาาา ความดีครั้งนี้ เป็นทานบารมีนะ เดี่ยวจะไปหานางฟ้าสวย ๆ เซ็กซี่ ๆ มาให้ธิปสักองค์ ดีป่าว?" "เอานางฟ้านางสวรรค์มาล่ออีกแล้ว มุขนี้ ถึงอย่างที่บอกอบอก หล่อนน่ะชอบแว่บไปเฝ้าพระอินทร์ หลับเป็นเด็กนอนกลางวันทุกที"
"จริงอะ?! ตอนกลางวันชนิมีหลับด้วยเหรอ...." น้ำเสียงและวงหน้านั้น ทำราวกับตัวเองไม่รู้เรื่องด้วยจริง ๆ จนอธิปเริ่มรู้สึกประหลาดใจมากขึ้นกว่าเดิม | โดย: Tethys (เจ้าบ้าน ) [11 มิ.ย. 48 2:56] ( IP A:203.121.148.154 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 11 " ไปหาพ่อเรามั้ย....บางทีตัวเองเครียดส่งงานหรือเปล่า?" "เฮ้ย! ชนิปกตินะ ไม่ได้ไม่สบายเป็นอะไรไปสักหน่อย ต้นฉบับงานก็ส่งตามปกติ งานก็สบายๆ ดูเสียงธิปแปลก ๆ อะ ...ชนิไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงมากหรอก"
รอยยิ้มหวานฉาบทั่วทั้งใบหน้า มือยาวเรียวสวยวางบนบ่าของอธิป น้ำเสียงหวานเรียบฟังแปลกออกไป รวมทั้งท่าทางที่แสดงออก ทำให้อธิปเพิ่มความงุนงง สับสนมากยิ่งขึ้นไปอีก
"ขอบคุณนะอธิป ที่ดูแลชนิมาตลอด ถ้าชนิไม่มีอธิปคงจะแย่.... ไปเหอะ กลับขึ้นข้างบนเหอะ งานแปลยังค้างเต็มโต๊ะเลย....เดี๋ยวขอล้างมือแป๊บ"
ทุกย่างก้าวของชนิกรรดาสง่างามราวกับราชินี เรือนร่างสูงเพรียวสมส่วน แม้จะไม่ได้บอบบางราวกับนางแบบ แต่ดวงหน้าที่สวยหวาน เรือนผมดำขลับ เหมือนก้าวออกมาจากภาพปั้นแกะสลักแห่งตำนานโบราณ
อธิปเลี่ยงเข้าห้องน้ำบ้าง ยังคิดถึงอากัปกริยา และน้ำเสียงแปลก ๆ ของเธออยู่ดี...
บางครั้งชนิก็ดูเข้มแข็ง เหมือนผู้ใหญ่เกินตัว บางครั้งเธอก็ร่าเริง บอบบางเหมือนเด็กเล็กๆ ...
อธิปออกจากห้องน้ำ ได้แต่เก็บความรู้สึกแปลกประหลาดเอาไว้ในใจ เขามองเห็นชนิกรรดายืนคุยอยู่กับเอมอร เออีของออฟฟิศตรงโถงทางเดินตึก ชนิกรรดาทำท่าทางคล้ายกับทักทายตัวเล็กในท้องของเอมอร ราวกับคุยกันรู้เรื่องจริง ๆ
อธิปเผลอจ้องมองภาพที่เห็นตรงหน้าอย่างลืมตัว...
ลำแสงที่ทอดผ่านกระจกบริเวณทางเดิน ฉาบร่างของชนิกรรดา เหมือนอาบประกายแสง เขาเห็นแสงสีเขียวฟุ้งเป็นเกล็ดวับวาวอยู่รอบ ๆ ตัวเธอ
เขาเริ่มรู้สึกเหมือนว่า ชนิกรรดาเรืองแสงได้เองอีกครั้ง เหมือนกำลังดูดซึบแสงจากดวงอาทิตย์ หากเป็นเวลากลางคืนเธอคงมีแสงสว่างในตัวเอง....
แต่ที่ต้องประหลาดใจมากขึ้น เมื่อเกล็ดแสงสีเขียวเหล่านั้น ไหลเวียนออกจากแขนของเธอ ไปวนอยู่รอบ ๆ ด้านหน้าท้องของเอมอร
อธิปส่ายหัว เผลอขยี้ตาตัวเองอย่างตกใจ แสงแดดคงหลอนให้เห็นภาพฟุ้งกระจายอีกแล้ว เขานิ่งอึ้งกับภาพเบื้องหน้าไปชั่วขณะ เหมือนร่างกายถูกตรึงสนิทอยู่กับที่... ก่อนที่เสียงของชนิกรรดาจะเรียกเขาให้สติสัมปชัญญะคืนกลับมาอีกครั้ง....
** โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป**
((( ถ้ามีตอนต่อไปแล้ว รบกวนพี่อ้อเอามาแปะให้เลยก็ได้นะครับ จะต่อในกระทู้นี้หรือว่า เปิดกระทู้ใหม่ ก็ได้นะครับพี่ เผื่อผมไม่ทันไปอ่าน เพราะไม่ค่อยได้เข้าถนนนักเขียนอ่ะครับ ))) | โดย: จ๊อบก๊อปให้พี่จันทร์จ๋าTethys (เจ้าบ้าน ) [11 มิ.ย. 48 2:58] ( IP A:203.121.148.154 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 12 วิษุวัต --> คนนี้อะ หนูไม่เอาได้เป่า เปลี่ยนใจเอาเพื่อนนางเอกได้เป่าอ่ะ
ดู ฮา ฮา ดี
หนูว่า ตาวิษุวัต เนี่ย สูงจนเกินสอย หนูไม่อยากกราบก่อนนอนอะ อิอิ | โดย: Betty Boop แวะมาแซวพี่สาวจ้า [12 มิ.ย. 48] ( IP A:58.10.26.87 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 13 โหหหหหหหหห อยากกะรู้เลยนะคะ ว่า อธิป ยังโสดน่ะ
อีกอย่าง อธิป เป็นอะไรที่น่ารักมากกกกกกกกกก เยอะกว่าวิษุวัตอีก
ตามอ่านต่อน๊า เดี๋ยวจัดการอธิปให้
เอ้ยยย มะช่าย จัดที่จัดทางให้เข้าหาคุณอธิปให้จ้า อิอิ | โดย: Tethys [12 มิ.ย. 48 6:19] ( IP A:58.10.250.162 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 14 บทที่ 4
ประหนึ่งราวกับว่าสถานที่แห่งนี้จะเป็นที่ที่เงียบที่สุดในจักรวาล เงียบในความเงียบทั้งมวล มันเป็นความเงียบแทบจะเรียกได้ว่า ไม่มีแม้แต่สรรพเสียงใด ๆ รอดเข้ามาให้ได้ยินในโสตประสาท เสมือนความว่างเปล่าแห่งสูญญากาศ... แม้จะมีสรรพสิ่งให้เห็นได้ด้วยจักษุอยู่โดยรอบก็ตาม...
ท้องฟ้า และทุกสิ่งโดยรอบ ทั่วทั้งบริเวณปรากฎเป็นสีส้มแดงฉานประหนึ่งว่าจะร้อนแรง แม้แต่หินผาภูเขาที่รายล้อมก็เป็นสีส้มแดง ไม่ต่างไปจากถ่านหินที่กำลังติดไฟ แต่ไม่มีเปลวไฟลุกโพลงให้เห็น มีเพียงควันไอสีขาวที่พวยพุ่งอวลไปทั่ว...
ร่างหนึ่งเดียวดายเพียงลำพังท่ามกลางผาหินสีส้มแดง ร่างนั้นยืนพนมมือสงบนิ่งอยู่ในสมาธิ ราวกับรูปปั้นหินสลักที่ปราศจากด้วยจิตวิญญาณใด ๆ ...
เบื้องหน้าที่ทอดตัวยาวห่างออกไปไกล ๆ เป็นสายธารแห่งแม่น้ำสีแดงที่ไหลเรื่อยคดเคี้ยวผ่านลงมาจากทิวเขาที่สูงเสียดฟ้า ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ว่าจุดสิ้นสุดของสารธารอยู่ ณ ที่แห่งใด
แม้จะเป็นธาราสีแดงเหนียวหนืดประหนึ่งหินหลอมเหลวจากภูเขาไฟ แต่กลับไม่รู้สึกถึงความร้อนแต่อย่างใด มันกลับเป็นความหนาวเย็นเยียบ ที่แสนจะแปลกประหลาด และก่อนที่จะสัมผัสถึงความเย็นนั้นมากขึ้น
เสียงเรียกของหญิงสาวแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบของสายลม ที่ขาดหายสะท้อนสลับไปมาเป็นช่วง ๆ ก็แว่วผ่านเข้ามา...
วิษุวัต...ท่านวิษุวัต...
วิษุวัตสะดุ้งสุดตัว ผวาลืมตาตื่นขึ้นจากการหลับใหล รู้สึกเหมือนว่าเป็นการหลับไปอย่างยาวนานจาการเดินทางอันแสนไกล...
วิษุวัตพยายามทบทวนความฝันอันแปลกประหลาดนั้น แม้จะลางเลือนไม่มีที่มาที่ไป แต่ภาพที่เห็นนั้นก็เสมือนเป็นความรู้สึกจริง ราวกับว่าไม่ใช่ความฝันแต่อย่างใด...
เหมือนเขาเห็นร่างของตัวเองยืนอยู่ท่ามกลางสถานที่แปลกประหลาดนั้นจริง ๆ
ความเย็นยังคงสะท้านอยู่ในความรู้สึก เป็นความเย็นอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน มันเย็นเฉียบลึกเข้าไปในความรู้สึก และแผ่กระจายไปทั่วร่าง ความรู้สึกของแสงสีส้มแดงยังคงติดแน่นในจักษุสัมผัส...
เฉกเช่นเดียวกับเสียงเรียกกระซิบแผ่วเบาของหญิงสาว ยังคงติดค้างมาจากห้วงแห่งความฝัน เสียงเรียกนั้นไม่ใช่เสียงของลิเดีย หรือเสียงของใครที่เขาเคยรู้จักมาก่อน หากเป็นเสียงของคนที่คุ้นเคย ควรจะเรียกเขาว่า วิษ เสียมากกว่า
แต่เสียงจากภาพแห่งความฝันนั้น กลับเรียกชื่อเต็มของเขา ซึ่งหากเป็นคนรู้จักแทบจะไม่มีใครเรียกเขาเช่นนี้มาก่อนด้วยซ้ำ แม้แต่ครูบาอาจารย์ที่เคยสอน เพื่อนในกลุ่มตอนเรียนหนังสือ หรือแม้แต่ลุง และป้าที่เลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็กก็ตาม
ทุก ๆ คนต่างก็เรียกเขาว่า นายวิษ มากกว่าวิษุวัต ทุก คนพร้อมใจกันไม่เรียก ด้วยเหตุผลง่าย ๆ และติดตลก เพียงเพราะชื่อของเขาช่างเป็นชื่อไทยที่ออกเสียงให้ถูกต้องได้อย่างยากเย็นเสียเหลือเกิน...
แต่เสียงอันไพเราะนั้น กลับออกเสียงตามอักขระไทยได้อย่างชัดเจน ถูกต้อง อีกทั้งฟังแล้วงดงาม หวานพลิ้วแผ่วกระซิบบางเบาไม่ต่างกับเสียงเรียกแห่งสายลม
เป็นเสียงราวกับคนที่คุ้นเคยกันมาเนิ่นนาน... และหมือนว่าเสียงนั้นจะไม่เพียงแต่ตกค้างอยู่ในห้วงแห่งความรู้สึก และความคิดคำนึง... แต่เสียงหวานไพเราะจับใจนั้น ยังคงก้องตามเขาอยู่ตลอดเวลาแม้ว่าจะตื่นแล้วก็ตาม...
เหมือนเสียงกระซิบแผ่วหวาน ที่พร่ำเรียกอยู่ใกล้ ๆ ช่างเหมือนเสียงเรียกจริงของใครบางคน ที่ทำให้เขาต้องหันหาเสียงเรียกนั้นอยู่ตลอดเวลา...
หลายต่อหลายครั้งหลังจากตื่นนอน เสียงนั้นยังคงก้องสะท้อนอยู่ และเกือบทำให้เขาเผลอขานรับกับเสียงเรียกนั้นออกไปอย่างลืมตัว...
ห้องพักของวิษุวัตยังคงเป็นห้องพักเดิมตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ในกรุงเทพฯ บนคอนโดมิเนียมใจกลางเมือง ที่สะดวกกับการเรียน
แม้จะไปเรียนต่อที่อังกฤษอยู่หลายปี แม่บ้านของคอนโดมิเนียมก็ยังทำความสะอาด และดูแลสภาพไว้เป็นอย่างดีไม่มีอะไรชำรุดเสียหาย
อย่างน้อยที่พักแห่งนี้ก็เป็นสมบัติชิ้นสุดท้าย ที่คุณลุงคุณป้าของเขาซื้อทิ้งไว้ให้ ก่อนจะย้ายรกรากไปเปิดร้านอาหารไทยอยู่ที่ออสเตรเลีย
ซึ่งตามจริงแล้ว คุณลุงคุณป้านั้นถือเป็นเพียงญาติห่าง ๆ ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ปกครอง หลังจากที่พ่อของแม่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุตั้งแต่เขายังเล็ก ๆ อยู่
ท่านทั้งสองต่างก็ดูแลเลี้ยงดูเกื้อกูลมาเป็นอย่างดี จนเมื่อเห็นว่าตัวเขาสามารถดูแลตัวเองได้ ท่านทั้งสองจึงอพยพไปมีชีวิตตามเส้นทางที่ท่านต้องการ...
เส้นทางที่ต้องการรึ... วิษุวัตยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำ ว่าเส้นทางต่อไปข้างหน้า ในระหว่างนี้ จะเกิดอะไรขึ้นกับเขา แต่ความรู้สึกบางอย่างก็กระซิบบอกว่า คงเป็นเส้นทางที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ มิฉะนั้นแล้วคงไม่ทำให้ชีวิตเขาหักเหอย่างรวดเร็วมากมายเช่นนี้
และเขายังคงเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่า การทำงานให้กับอาจารย์ภาณุ ไม่แต่จะเป็นเพียงวิทยานิพนธ์ชิ้นเยี่ยมแล้ว แต่จะยังเป็นประสบการณ์งานที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ สำหรับตัวเขาอีกด้วย
สิ่งแรกที่เขาเลือกทำสำหรับวันแรกที่มาถึง วิษุวัตรีบโทรไปแจ้งยืนยันการกลับมาถึงเมืองไทยของเขา กับเลขานุการของอาจารย์ภาณุ และเธอนัดให้เข้าพบกับอาจารย์ภาณุที่สำนักงานในช่วงบ่ายสามโมงเย็นของวันนี้
เขาจึงใช้เวลาช่วงเช้าของวันก่อนถึงเวลานัด อยู่กับหนังสือบางเล่มที่หอบมาจากอังกฤษ สระว่ายน้ำ... มื้อสาย และมื้อกลางวันอย่างง่าย ๆ ภายในห้องอาหารชั้นล่างของตึกคอนโดมิเนียม
การกลับมาอย่างกระทันหัน ด้วยเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวน้อยชิ้น อย่างโน้ตบุ้ค และหนังสือสองสามเล่ม ทำให้เขาไม่ต้องเสียเวลาจัดข้าวของมากมาย
เขาไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลายาวนานเพียงใด ซึ่งนั่นก็ขึ้นอยู่กับงานของอาจารย์ภาณุนั่นเอง
การออกสำรวจงานโบราณคดีในมาตุภูมิแผ่นดินเกิด อาจเป็นชิ้นงานวิทยานิพนธ์ของเขาได้ดีกว่า การตามรอยครูเสดของลิเดีย และเขาใช้มันอ้างเหตุผลกับอาจารย์ที่ปรึกษา ซึ่งยินยอมให้เขาเปลี่ยนหัวข้อ และใช้เวลาเพิ่มมากขึ้นในการทำวิทยานิพนธ์
งานสำรวจโบราณคดีในแหลมสุวรรณภูมิ ยังมีข้อมูลอยู่น้อยมาก และการลงพื้นที่จริงของเขา คงจะเปิดกว้างเพิ่มความรู้ให้กับข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ทางโบราณคดีของโลก เพราะพื้นที่ราบลุ่มแห่งนี้เคยมีประวัติศาสตร์ที่รุ่งเรืองมาอย่างยาวนาน...
วิษุวัตหลับตาลง... เมื่อความรู้สึกของลิเดีย ย้อนกลับเข้ามาในความรู้สึก เขากำลังคิดถึงเธอ แม้จะเป็นความทรงจำอันพร่าเลือนแล้วก็ตาม ป่านนี้เธอคงตื่นเต้นดีใจกับเส้นทางการเดินทาง แม้จะรู้สึกเสียใจบ้างที่เขาไม่ได้ทำงานร่วมกับเธอ แต่ขณะนี้เส้นทางของเขา และเธอก็แยกออกจากกันโดยเด็ดขาด
สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงแค่ความทรงจำในมิตรภาพของครั้งก่อน
มิตรภาพอย่างนั้นหรือ... มันทำให้วิษุวัตต้องทบทวนความรู้สึกของตัวเองอีกครั้ง บางทีเขาและเธอ ก็อาจเป็นแค่เพื่อนสนิทจริง ๆ ....
บางทีมันอาจเป็นแค่เพียงมิตรภาพที่แนบแน่นของเพื่อนมากกว่าเป็นความรักอันหวานชื่น
หรือมันอาจเป็นเพียงความรู้สึกบางส่วนของคนที่ว้าเหว่ ห่างไกลจากบ้านเกิดเมืองนอน แต่อย่างน้อย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มันก็เป็นความรู้สึกดี ๆ ช่วงเวลาดี ๆ ของผู้ชายคนหนึ่งมีให้กับหญิงสาวคนหนึ่ง
แม้ว่ามันอาจจะไม่ได้งอกเงย เติบโตเป็นความรักที่สวยงามมากนักก็ตาม
ผู้หญิงมุ่งมั่น เอาจริงเอาจังกับประวัติศาสตร์คนนั้น เลือกที่จะไปตามเส้นทางความฝันของเธอมากกว่า โดยไม่ต้องมีคำสัญญาของการรอคอย...
ก็แค่ความใกล้ชิด ที่ไม่ใช่เป็นความผูกพัน ที่ไม่อาจจะยื้อ หรือรั้งเธอให้รอคอยเขาได้...
เธอไม่ต้องการรอคอย... และเธออยากให้เขาไปตามเส้นทางของเขา... ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะตัดสินเลือกกลับมาเมืองไทยเสียด้วยซ้ำ เธอยืนยันที่จะไปต่อเพียงลำพัง โดยไม่มีเขาในเส้นทางของอนาคตของเธอ...
และก่อนที่เขาจะรู้สึกเจ็บกับความรู้สึกที่คิดคำนึงถึงลิเดียมากไปกว่านี้ เสียงของหญิงสาวหวานไพเราะก็แทรกคลื่นผ่านเข้ามาให้เขาได้ยินอีกครั้ง และลบเลือนภาพของลิเดียในห้วงความคิดให้จางหายไปอย่างรวดเร็ว...
ราวกับว่าเสียงนั้นจะช่วยเกลื่อนความเจ็บปวด ความโหยหาในความสุข ความทรงจำกับลิเดีย และช่วงเวลาบนพื้นแผ่นดินอังกฤษ
เสียงนั้นช่วยสมานความรู้สึกได้อย่างประหลาด อีกทั้งยังช่วยฟื้นความอบอุ่นแห่งบ้านเกิดของเขา ราวกับคืนความทรงจำในวัยเยาว์ที่คุ้นเคยบนพื้นแผ่นดินแม่แห่งนี้เข้ามาแทน...
กรุงเทพฯ ก็ยังคงเป็นกรุงเทพฯ กับชื่อเสียงที่เป็นหนึ่งเมืองหลวงของโลกที่ติดอันดับการจราจรอันติดขัด คงต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ ๆ ที่วิษุวัตจะคุ้นเคยกับการจราจรในกรุงเทพฯ ที่แสนจะสับสนอลหม่าน โดยเฉพาะในยามบ่ายเช่นนี้
สำนักงานของอาจารย์ภาณุ เป็นมูลนิธิร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศหลายประเทศ ตั้งอยู่บนตึกสำนักงานย่านถนนสาธร ซึ่งนับว่าไม่ห่างจากคอนโดมิเนียมที่เขาพักในย่านฝั่งธนเท่าไรนัก แค่ข้ามสะพานมายังฝั่งกรุงเทพ ฯ แม้จะเพียงไม่กี่กิโลเมตร แต่รถก็กลับติดอยู่บนสะพานข้ามฝั่งอย่างยาวนาน
ความที่คุ้นเคยกับอากาศสบาย ๆ ในเมืองชนบทของอังกฤษอยู่หลายปี ทำให้เขารู้สึกเหมือนว่า กรุงเทพฯ แทบจะไม่เหมาะสำหรับเขา อีกแล้ว
ตึกสูง ๆ หลายตึกเบื้องหน้า สถาปัตยกรรมทันสมัย เรียงรายอยู่มากมาย ถนนหลายสายที่ตัดพาดผ่าน เพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย ดูแล้วก็น่าตื่นตาตื่นใจกับคนที่เคยคิดจะเป็นสถาปนิกอย่างเขา แต่เมื่อเขาหันมาเรียนผสมผสานกับทางโบราณคดีแล้ว สำหรับเขากรุงเทพฯ ช่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย เป็นความเจริญ ความศิวิไลซ์ ที่เขาอยากจะหนีให้ห่าง
หากจะดีไม่น้อย ถ้าเส้นทางการสำรวจ งานของอาจารย์ภาณุ จะเป็นการเดินทางออกนอกเมืองหลวง ที่ไม่ให้เขาต้องมาใช้ชีวิตแบบกดดันอยู่ในเมืองหลวงเช่นนี้
น่าเบื่อนะพี่ นี่ ๆ เห็นตึกอยู่แค่เอื้อม ไม่รู้จะติดอะไรหนักหนา เขาน่าจะเอาไฟเขียวไฟแดงออกไปให้หมดได้แล้ว...ติดขึ้นมาถึงบนสะพาน
เสียงคนขับแท็กซี่ข้าง ๆ บ่นอย่างเบื่อหน่าย วิษุวัติมองท้องฟ้าใส ๆ ข้างหน้า หากตึกไม่ไกลอย่างที่คนขับว่า บางทีเขาควรจะลงไปเดินบนถนนอาจเร็วยิ่งกว่า...
ข้างหน้านั่นแหละครับ ตึกสีขาว ๆ สูง ๆ นั่นละ เห็นมั้ยครับ ตึกที่พี่จะไป
วิษุวัตมองตามนิ้วที่คนขับรถชี้ไปข้างหน้า ตึกสีขาวนวลราวกับหินอ่อนอยู่ไม่ไกลนัก แต่ที่น่าประหลาดใจ กลับเป็นดวงอาทิตย์ที่ฉายแสงอยู่ข้าง ๆ ขนาบกับตัวตึก วิษุวัตเผลอกลืนน้ำลายลงคอกับภาพที่ตัวเองมองเห็น...
เป็นธรรมชาติที่เขาบังเอิญมาได้เห็น... หรือว่าเป็นความมหัศจรรย์ที่ไม่อาจหาคำตอบได้...
ดวงอาทิตย์สีส้มแดงยามบ่าย ทอแสงทรงกลดเจิดจรัส ซ้อนรัศมีให้เห็นอยู่เบื้องหน้า เคียงข้างปรากฎขึ้นเป็นดวงอาทิตย์ดวงใหญ่สองดวง...
ชั่วพริบตาราวกับมีพลังแห่งมวลอันมหาศาล สะกดบังคับให้เขานิ่งไปอย่างฉับพลัน จับจ้องอยู่เพียงแต่ภาพดวงอาทิตย์เบื้องหน้านั้น โดยขัดกับหลัก และกฎแห่งวิทยาศาสตร์ทั้งมวล...
เพียงแค่เศษเสี้ยวแห่งวินาที...ราวกับภาพแห่งความฝันจะหวนกลับมาสู่สมองอีกครา... พร้อมกับเสียงหวานแว่ว พร่ำเรียกหาของเจ้าของเสียงเดิม...
** โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป**
| โดย: Tethys [13 มิ.ย. 48 23:25] ( IP A:58.10.254.39 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 15 สงสัยยาวไป บทที่ 4 มาแล้วนคะ ขอบคุณเจ้าของพื้นที่มาก ๆ เลยค่ะ | โดย: Tethys [13 มิ.ย. 48 23:27] ( IP A:58.10.254.39 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 16 ..............ตามมาอ่านแล้วนะครับ จะยาวเหมือนคำสาปฟาโรห์หรือเปล่านะ อ่านตั้งแต่เด็กจนแก่ ก็ยังไม่จบสักที อิอิ ............... | โดย: joblovenuk (เจ้าบ้าน ) [16 มิ.ย. 48 1:35] ( IP A:202.133.139.19 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 17 จากฟากฟ้าสุราลัย....สู่แดนดิน บทที่ 5
กว่าวิษุวัตจะมาถึงตึกสำนักงาน เพื่อมาพบกับอาจารย์ภาณุ ก็เป็นช่วงเวลาบ่ายเกือบจะเย็น ด้านล่างของตึกสำนักงานผู้คนจึงดูบางตา ความไม่คุ้นเคยในสถานที่ ทำให้ต้องเดินหาตำแหน่งที่ตั้งของลิฟท์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินมากดปุ่มเรียก และก้าวเข้าไปเมื่อบานประตูเปิดออกในทันที ถือเป็นจังหวะดีไม่น้อย ที่ไม่ต้องเสียเวลาคอยนานเกินไป
เสียงฝีเท้ากำลังวิ่งของใครคนหนึ่งไล่ตามหลังเข้ามาอย่างเร่งรีบ ก่อนที่บานประตูจลิฟท์จะปิดลง เขากดตัวเลขบอกชั้นบนแผงสัญญาณ เช่นเดียวกับหญิงสาว ถึงแม้ว่าจะคนละชั้นกัน แต่จังหวะที่กดเสร็จ แล้วถอนมือกลับออกมานั้น มือของเขาและเธอสัมผัสกันโดยบังเอิญ จนวิษุวัตต้องหันไปขอโทษเธอเบา ๆ
ฉับพลันเหมือนโลกทั้งโลกหยุดหมุน ทั่วท้องจักรวาลสงบนิ่ง ทุก ๆ สิ่งแห่งบรรณพิภพหยุดการเคลื่อนไหว ราวกับภาพในฝันบางส่วนแห่งความทรงจำถูกกระตุ้นด้วยประสาทสัมผัสทั้งปวง
มิติที่ต่างด้วยห้วงเวลา เหลื่อมพาดซ้อนทับกันอีกครา...
ท่านวิษุวัต... เสียงอ่อนหวานแผ่วพลิ้วมาตามสายลมอีกครั้ง สถานที่สีแดงส้มแห่งความร้อนปรากฎอยู่เบื้องหน้า ร่างที่ยืนสมาธิยังคงหลับตานิ่ง จิตในสมาธิแห่งร่างนั้นเอ่ยขึ้น...
เจ้าทำเช่นนี้อีกแล้ว...ชนิกรรดา เจ้ารู้ดีว่ายังไม่ถึงกำหนดแห่งเวลา
ข้าเพียงส่งความคิดถึงมาทักทายสมาธิของท่าน
เจ้ารู้ดีว่าข้ากำลังพูดถึงสิ่งใด น้ำเสียงในจิตแห่งสมาธิของร่างนั้นเหมือนแฝงไปด้วยขบขัน มากกว่าเป็นน้ำเสียงแห่งการตำหนิติติง
ก็ข้าคิดถึงท่านนี่นา... เสียงหวานแผ่วพลิ้ว อ่อนหวานขึ้นมากกว่าเดิม
เจ้าขี้โกงองค์เทวะทุกครั้งที่มีภารกิจ และทุกครั้งข้าก็ต้องถูกส่งมารับโทษ ณ สถานที่เดียวดายแห่งนี้
ข้าทูลองค์เทวะนับอสงไขยครั้ง แต่สภาเทวาก็ไม่เคยอนุมัติ ให้ข้ารับโทษทัณฑ์เสียเอง อีกทั้งก็เป็นความประสงค์ของท่าน ... ข้ารู้ดีว่าท่านตั้งสัตย์จะหลบรี้หนีหน้าข้า! น้ำเสียงที่ลงท้าย บ่งบอกถึงความกระเง้ากระงอดเต็มที่
เจ้าช่างเอาแต่ใจตัวเอง ไม่เคยเปลี่ยนแปลง... เมื่อไหร่เจ้าถึงจะยอมเข้าใจ... การที่เจ้าเอาแต่ใจเช่นนี้ เจ้าก็รู้ดีว่าจะส่งผลตามมาเช่นใด เสียงหวานพลิ้วเงียบหายไป ราวกับคลื่นการติดต่อผ่านสมาธิถูกรบกวน ทำให้ร่างในสมาธิ เผลอพร่ำเรียกชื่อจนเกือบหลุดออกจากฌาน...
ชนิกรรดา...!
คลื่นสัญญาณเสียงจากหญิงสาวสะท้อนกลับมาอย่างแผ่วเบา ขาดหายเป็นช่วง ๆ ร่างในสมาธิ เริ่มรู้สึกถึงความร้อนของสถานที่แห่งนั้นแผดเผา รอบด้านกลายเป็นเปลวเพลิงขึ้นมาในฉับพลัน
เมื่อวันนั้น.......ข้ายังคงรอท่านเสมอ...ที่บ่อน้ำแห่ง......ในสวน........... ไรข้าจะพยายามตาม....องค์เทวะไม่อาจซ่อน...พราง...ท่านได้นาน... ข้ายอม...ปวด...ท่านวิษุว...ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน...
ชนิกรรดา
เมื่อถึงเวลา เมื่อถึงเวลา ชายหนุ่มถอนหายใจ กำหนดจิตก่อนเดินลมปราณเจริญองค์สมาธิใหม่อีกครั้ง เพื่อดับกองไฟรอบ ๆ ตัว รวมถึงความรุ่มร้อนจากสถานที่ลงทัณฑ์ตามบัญชาแห่งองค์เทวะเจ้า... | โดย: Tethys [19 มิ.ย. 48 14:05] ( IP A:58.10.251.100 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 18 ประตูลิฟท์เปิดเมื่อถึงชั้น 11 ชนิกรรดาก้าวออกมา ก่อนจะเดินตรงไปรูดบัตรเพื่อเปิดประตูกระจกของสำนักพิมพ์ ซึ่งมีอยู่เพียงสำนักงานเดียวบนชั้นนี้
เธอยิ้มอย่างสดใสให้กับพนักงานต้อนรับด้านหน้า พร้อมกับรีบสาวเท้าเดินกลับไปที่ห้องของกองบรรณาธิการ เธอมองเห็นอธิปแต่ไกล ซึ่งกำลังทำหน้าเมื่อย ๆ ยืนเท้าแขน พิงฉากกั้นแบ่งส่วนโต๊ะทำงานของเธอ
ไหนว่าจะลงไปซื้อแซนด์วิช?...กินหมดแล้วสิท่า หรือว่าลืมซื้อเผื่ออีกต่างหาก ใครเหรอ? ชนิเหรอ...ใครจะกินแซนด์วิช?
หญิงสาวหน้าตื่น ๆ กับคำถามของเพื่อน เธอเริ่มรู้สึกตัว ได้สติว่าตัวเองยืนอยู่ตรงทางเดินระหว่างโต๊ะทำงาน
ชนิไม่ได้นั่งทำงานอยู่เหรอ เอ๋! แปลก ๆ แล้วชนิไปไหนมาละนี่...อึมม์ สงสัยจะไปห้องน้ำ...
ชนิกรรดา ทำหน้างง ๆ ก่อนเดินอ้อมอธิปเข้าไปในบริเวณส่วนที่นั่งทำงานของตนเอง
คุณหญิงชนิ...ก็เมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา ตัวเองเป็นคนโทรมาบอกว่าจะลงไปชั้นล่างซื้อแซนด์วิช ไอ้เราก็ยังสงสัย ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นหิวตอนนี้...และนี่ดูกลับมามือเปล่า
หญิงสาวหันมายิ้มหวานล้อเล่นด้วยหน้าเป็น พร้อมเปลี่ยนเรื่องอีกเช่นเคย
รีบกลับไปที่ห้องเหอะ... เดี๋ยวเลิกงานแล้วค่อยไปกินกันนะ นี่ก็อีกไม่กี่ชั่วโมงเอง
อธิปส่ายหน้ากับความแปลกประหลาดของเธอ อีกครั้งแล้วสินะ...กับอาการแปลก ๆ ของเธอ เขามั่นใจว่าเมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา เธอกดโทรศัพท์สายภายใน พร้อมกับบอกเขาว่า จะลงไปชั้นล่างซื้อแซนด์วิช และยังถามเขาว่าจะเอาอะไรด้วยมั้ย ทีแรกเขาก็รู้สึกประหลาดใจที่จู่ ๆ เธอรู้สึกหิวในช่วงเวลาบ่าย ๆ แบบนี้ซึ่งก็ไม่เคยเป็นมาก่อน อีกทั้งยังมีความคิดที่จะลงไปซื้อด้วยตัวเอง ซึ่งว่ากันตามจริงแล้ว เธอสามารถบอกแม่บ้านให้ลงไปซื้อให้เธอได้เสียด้วยซ้ำ เขาเองยังคิดว่าเธอคงจะเปลี่ยนบรรยากาศจากการนั่งทำงานอยู่นาน ๆ โดยไม่คิดว่าจะเรื่องมีแปลก ๆ เกิดขึ้นได้ แต่การกลับมามือเปล่า และเหมือนไม่มีเหตุการณ์ใด ๆ เกิดขึ้น มันแทบทำให้เขารู้สึกเป็นห่วงเธอมากมาย
นี่คือการละเมอที่เธอเคยพูดถึงหรือเปล่านะ ปกติคนละเมอจะเกิดอาการในช่วงหลับ การละเมอแบบที่ไม่ได้นอนหลับจะเป็นไปได้หรือ หรือว่าเธอเจ็บไข้ได้ป่วย อาการหลงลืม อาจเป็นอาการเบื้องต้นของโรคบางอย่างในสมอง
อธิปรู้สึกตกใจกับความคิดของตัวเอง เขาบอกกับตัวเองว่า จะต้องพาเธอไปให้พ่อเขาตรวจเช็คร่างกายในเร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน ...
นับวันชนิกรรดาก็ยิ่งมีอะไรแปลกมากขึ้นทุกที ... แต่ไม่ทันที่จะคิดอะไรได้มากไปกว่านั้น เสียงเจื้อย ๆ นุ่มหูก็ดังขึ้น โดยที่ชนิกรรดาไม่ได้หันหน้ามามองอธิปเสียด้วยซ้ำ เธอยังคงจ้องอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ เปิดหาข้อมูลทำงานตามปกติ
อธิป...ชนิไม่ได้เป็นอะไรนะ เชื่อสิ รีบกลับห้องเถอะ พี่ฉายฉานกำลังหาตัวอธิปอยู่นะ
อธิปขมวดคิ้ว จะเอ่ยปากถามคำถามต่อ เสียงแม่บ้านของสำนักงานก็เรียกเขาดังอยู่ที่ประตูหน้าแผนกของชนิกรรดา
ว่าแล้วว่าคุณอธิปอยู่ที่นี่เอง คุณฉายฉานตามหาคุณอธิปอยู่แน่ะค่ะ เธอรออยู่ที่ห้องคุณอธิปนะคะ
อธิปรู้สึกประหลาดใจ และงุนงง เขาหันกลับไปที่ร่างที่นั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ชนิกรรดาอมยิ้มหวานคอยอยู่แล้ว
เดี๋ยวเลิกงานแล้วไปกินแซนด์วิชกันนะ อิอิ | โดย: Tethys [19 มิ.ย. 48 14:06] ( IP A:58.10.251.100 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 19
วิษุวัตยังคงนั่งรออยู่ในสำนักงานของอาจารย์ภาณุ เขาอ่านนิตยสารฆ่าเวลาจบไปหลายฉบับ แต่ไม่มีท่าทีของอาจารย์ภาณุจะกลับเข้ามาตามเวลาที่ได้นัดหมายเอาไว้ เขามาตรงเวลา ออกจะเร็วกว่าเวลานัดจริงเสียด้วยซ้ำ
วิษุวัตเดินไปเดินมาในบริเวณที่จัดไว้สำหรับรับรองแขก ภาพถ่ายหลาย ๆ ภาพบนผนังห้องด้านหนึ่ง เป็นภาพเบื้องหลังการทำงานของอาจารย์ภาณุ วิษุวัตมองอย่างชื่นชม สภาพซากเมืองโบราณ นครแห่งกิลังปุระ เมืองในตำนาน เมืองใหญ่แห่งหนึ่งในสมัยทวารวดี ศิลปะ รูปปั้น เครื่องประดับ และของใช้ต่าง ๆ ที่ทีมงานของอาจารย์ภาณุ ค้นพบ ซึ่งถือว่าเป็นการพลิกอีกหน้าของประวัติศาสตร์ความรุ่งเรืองบนแหลมสุวรรณภูมิ
แต่วิษุวัตก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่า ความรู้ ความสามารถของเขาในแง่สถาปัตยกรรมส่วนใด ที่จะทำให้เขาได้ร่วมงานกับอาจารย์ภาณุ นอกเหนือไปจากความชื่มชม หลงใหลในประวัติศาสตร์ และความศรัทธาในตัวอาจารย์ภาณุ ไม่ว่าจะเป็นงานยากลำบากเพียงใด เขาก็ภูมิใจแล้วที่ได้เป็นส่วนร่วมในทีมงานของท่าน
คุณวิทวัสคะ คงต้องให้คุณกลับไปก่อนเสียแล้ว พอดีท่านอาจารย์ภาณุต้องเดินทางไปที่บุรีรัมย์ด่วน แล้วดิฉันจะนัดไปใหม่นะคะ...ต้องขอโทษที่ให้มาคอยเสียเวลา
เลขานุการของอาจารย์ภาณุ เปิดประตูห้องออกมาแจ้งข่าวให้เขาทราบ ความตื่นเต้นลดหายไปเล็กน้อย เขาได้แต่เพียงตอบรับสั้น ๆ อยากจะบอกเธอว่า เธอเรียกชื่อเขาผิดเสียด้วยซ้ำ... แต่วิษุวัตก็ออกจากสำนักงานของอาจารย์ภาณุอย่างเงียบ ๆ เสียดายเวลาเล็กน้อย เขาพยายามคิดในแง่ดีไว้ก่อน อาจารย์ภาณุคงติดงานด่วนจริง ๆ คงไม่ได้เลี่ยงการพบปะกับเขา
เขาอาจจะแวะหาอะไรทานตอนเย็นก่อนกลับที่พัก บางความรู้สึก เหมือนกำลังเลื่อนลอย อ่อนล้า...
บางทีคงเป็นเพราะการเดินทางในเมืองหลวง ที่แทรกเข้ามาให้เขารู้สึกเหนื่อยล้า จนเลื่อนลอยหรือเปล่านะ
เหมือนช่วงเวลาถูกดึงให้ยืด นาน ห่างออกไป...
เสียงแผ่วพลิ้วอ่อนหวานนุ่มนวลแว่วผ่านมากับสายลมอีกครั้ง คราวนี้เสียงนั้นปนด้วยความรู้สึกแสนเศร้าสร้อย และสำนึกผิดมากมาย...
วิษุวัต...ท่านวิษุวัต.............ข้าขออภัย...
** โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป** | โดย: Tethys [19 มิ.ย. 48 14:07] ( IP A:58.10.251.100 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 20 มิบังอาจไปเทียบเท่าเรื่องดังขนาดนั้น เรายังเป็นมดปลวกตัวเล็ก ๆ ระดับนั้นคนอ่านทั่วโลก หงึ หงึ
ท่าทางจ๊อบจะไม่ชอบเรื่องยาว ๆ เริ่มเกรงใจกวนพื้นที่ แหะ แหะ รอเสียตังค์ซื้ออ่านดีกว่ามั้ยอิอิ
ยังไงก็ขอบคุณมาก ๆ นะคะที่ให้พื้นที่เช่นเคย | โดย: Tethys [19 มิ.ย. 48 14:09] ( IP A:58.10.251.100 X: ) |  |
ความคิดเห็นที่ 21 .............พื้นที่เหลืออีกเยอะครับ แต่คืนนี้ผมเมาเบียร์ สงสัยอ่านไม่รู้เรื่องแน่ๆ เด๋วพรุ่งนี้ค่อยมาอ่านนะครับ เรื่องนี้ของพี่อ้อ ตกลงรวมเล่มเหรอครับ เด๋วจะรอเสียตังซื้อเก็บไว้ครับ จะออกเมื่อไหร่เอ่ย?? | โดย: joblovenuk (เจ้าบ้าน ) [21 มิ.ย. 48 1:26] ( IP A:210.246.64.230 X: ) |  |
|