วิจารณ์ภาพยนตร์ The wind rises + Begin Again .....
   The wind rises ( ปีกแห่งฝัน วันแห่งรัก ) .... 3 ดาวครึ่ง .....

ผลงาน - จิบลิ
กำกับ - ฮายาโอะ มิยาซากิ
ความยาว - 126 นาที
แนวหนัง - อนิเมชั่น

โดย: Joblovenuk (พีอาร์ฯ ) [8 ก.ค. 57 22:24] ( IP A:171.97.130.173 X: )
Add to Facebook  Add to Twitter  Add to Multiply  Add to Google  Add to Blogger  Add to Live
Counter : 998 Pageviews
ความคิดเห็นที่ 1
   ..............................ถ้าให้วิจารณ์สั้นๆที่สุดเลยก็คงต้องบอกว่าหนังเรื่องนี้มันดีงาม มันงดงาม มันกินใจ เบื้องหลังภาพๆนี้ จริงๆภาพโปสเตอร์หนังที่เห็น เป็นภาพฉากที่นางเอกขึ้นไปวาดภาพบนภูเขา ซึ่งเป็นที่ๆเธอไปประจำ แล้วก็มีพระเอกมาจูจุ๊บ โห ไม่ได้เข้ากับเรื่องราวเลย ถ้าหากว่าไม่ได้มานั่งดูหนังนะครับ หนังเล่าเรื่องของวิศวกรหนุ่มผู้ใฝ่ฝันในการผลิตเครื่องบิน โดยใช้เทคนิคแบบเกือบๆจะเป็นหนังอัตตชีวประวัติ เล่าซะจนผมเชื่อได้เลยว่านี่คือเรื่องจริง เรื่องน่าทึ่งของนักประดิษฐ์ชาวญี่ปุ่นผู้ยิ่งใหญ่คนนึง ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามีจริงหรือเปล่าแต่มันเชื่อไปแล้่ว มันคือความฝันแบบญี่ปุ่น เอ๊ะ หรือจะเรียกว่าอเมริกันดรีม ? เล่าเริ่มตั้งแต่เด็กจนโตกันเลยทีเดียว แต่ก็จัมพ์คัท ไปเป็นช่วงๆ หนังจะเล่าเรื่องผ่านเวลาได้อย่างเร็ว แต่ไม่รู้สึกว่ากระชาก จริงๆหนังไปแบบเนิบมากแต่เชื่อเถอะครับว่าคนดูแทบทั้งหมดอิ่มไปกับหนัง ไม่รู้สึกเลยว่าหนังยาว แม้กระทั่งหนังจบลงแล้วก็ตาม เชื่อว่าส่วนใหญ่จะต้องคิดว่านี่จบแล้วเหรอ จบแล้วจริงๆหรือ แน่นอนว่ามันไม่ได้จบแบบดิสนีย์ หรือสูตรสำเร็จใดๆทั้งสิ้น ก็เพราะมันเป็นเรื่องของชีวิตมนุษย์นี่นา ต่อให้เป็นคนที่ยิ่งใหญ่แค่ใหน ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวแค่ใหน เกิดอะไรหนักหนาสาหัสขึ้นกับชีวิตเท่าใด อย่าลืมว่ายังไงชีวิตก็ต้องดำเนินต่อ ล้มแล้วต้องลุกขึ้นมายืนใหม่อีกครั้งให้ได้

..............................ดั่งเช่นประเทศญี่ปุ่นที่โดนภัยพิบัตินานาประการเข้าถล่มถาโถม เหมือนกับชีวิตของใครหลายๆคนที่ต้องล้มลุกคลุกคลาน ตัวละครเอกก็เช่นกัน กว่าจะฟันฝ่าขุึ้นมาสร้างเครื่องบินได้ ก็ต้องล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วน ผิดพลาดเสียใจ ผิดหวังไม่รู้กี่ครั้ง จนสุดท้ายแม้จะสร้างเครื่องบินได้สำเร็จสมใจแล้วก็ต้องมาคิดอีกว่า สิ่งประดิษฐ์ที่ตัวเองคิดค้น ที่ส่งออกไปแล้วสุดท้ายก็ไม่มีอะไรเหลือกลับมา มันคุ้มค่ากับการเสียเวลาชีวิตตัวเองสร้างสรรค์มันหรือไม่ ? หนังไม่น่าเบื่อเลย และมีเทคนิคการเล่าที่น่าสนใจมาก อาจจะไม่เหมาะกับเด็ก เพราะหนังไม่ได้มีรายละเอียดที่จูงใจ หรือเร้าใจ หรือบันเทิงเท่าไหร่ แต่เหมาะกับผู้ชมกลุ่มผู้ใหญ่ที่ชอบใช้ความคิด มีประสบการณ์ผ่านโลกอะไรมาบ้าง จะซึมซับและเข้าถึงอารมณ์ละเอียดอ่อนของหนังได้มากกว่า ค่ายจิบลิดูจะถนัดและช่ำชองที่จะผลิตงานสไตล์นี้ออกมาสู่โลกภาพยนตร์อยู่แล้ว ต้องบอกว่างานด้านภาพของหนังนั้นงามหยด แต่ที่ไม่แพ้กันเลยก็คือ งานดนตรีประกอบภาพยนตร์ที่อยู่ในระดับสุดยอด ผลที่ได้คือความสมบูรณ์แบบทั้งภาพและเสียงตลอดชั่วเวลาสองชั่วโมงเศษๆ เป็นมายาแห่งภาพฝันที่ละมุนละไม แฝงด้วยปรัชญาในการดำเนินชีวิตและแง่มุมขบคิดให้ซึมลึกเข้าไปสู่คนที่เข้าไปดูกันถ้วนหน้า ที่สำคัญหนังยังแอบโรแมนติกแล้วก็ฝากความรู้สึกดีๆให้กับคนดูได้ครบอีกด้วย พูดได้ว่าหนังมีครบรสชาติเลยทีเดียว
โดย: Joblovenuk (พีอาร์ฯ ) [8 ก.ค. 57 22:41] ( IP A:171.97.130.173 X: )
ความคิดเห็นที่ 2
   ..............................หนังเล่าเรื่องโดยใช้ภาพฝันสลับกับเรื่องราวในชีวิตจริง พระเอกอาศัยความฝันในการหล่อเลี้ยงจินตนาการตัวเองและเป็นพลังที่จะทำให้ตัวเองสามารถสรรสร้างความคิด สิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ และเป็นกำลังใจให้ตัวเองลุกขึ้นมาได้ในยามท้อ และรวมถึงความรักที่เข้ามาหล่อเลี้ยงหัวใจ ส่งผลให้การทำงานก็ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นด้วย โดยทั้งหมดทั้งมวลหนังสอดแทรกวัฒนธรรมและความคิดแบบญี่ปุ่นลงไปในหนังแบบเต็มพิกัด แม้จะเป็นผลงานของอัจฉริยะที่เล่าเรื่องของอัจฉริยะ แต่ก็มีลีลาและน้ำเสียงที่ถ่อมตัวมากๆ เหมือนดั่งคนญี่ปุ่นสักคนมาพรีเซนต์เรื่องราวของตัวเขาให้คุณๆฟังนั่นแหละครับ น่าคิดที่วันนั้นญี่ปุ่นก็เป็นประเทศที่ยากจน อาจจะมากกว่าประเทศเรา แต่ด้วยความที่เป็นคนขยัน และเป็นญี่ปุ่นอย่างที่เราเห็น อยากเป็น และไม่มีวันเป็นได้นั่นแหละครับ เพราะแค่เริ่มคิดเราก็ทำไม่ได้แล้ว แต่ของเขาคิดแล้วเขาทำ ไม่ใช่ว่าเก่งคนเดียวแล้วจะไปรอด ทีมงานคือสิ่งสำคัญ พวกเขาขยันและทำงานเป็นทีม คนนึงเก่ง มีลูกมือมีคนเก่งคนอื่นคอยแชร์ คอยช่วย คอยผลักดัน ไม่ใช่เก่งคนเดียว แล้วคนรอบข้างมัวแต่จ้องจะฉกผลงาน จ้องจะดิสเครดิต จ้องทำลาย พูดง่ายๆสันดานคนญี่ปุ่นเขาไม่เหมือนคนบางประเทศครับ ทุกคนก็คงจะรู้กันดี ประเทศของเขาถึงได้ก้าวพ้นความด้อยพัฒนาขุึ้นมาได้ และรวมถึงทุกวงการไม่เว้นแม้แต่วงการภาพยนตร์ครับ ในบางประเทศที่ด้อยอารยะ ก็มีแต่สู้ๆ ฆ่าฟัน ทำลายล้าง ล้างแค้นกันไปล้างแค้นกันมา แต่ของเขาสู้ๆครับ สู้กับตัวเอง สู้เพื่อพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น กอบกู้ประเทศด้วยการทำงาน ด้วยการช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่ทำลายผู้อื่น แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น หนังเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ดูแล้วอยากให้ทุกคนกลับมาย้อนมองดูตัวเองกันให้มากๆ วันนี้คุณทำอะไรเพื่อพัฒนาตัวเองหรือยัง ทำอะไรเพื่อสังคมหรือยัง หรือดีแต่ด่าทอใครไปวันๆ ผมเปล่าด่าใครนะครับ แค่พูดเตือนสติให้คิด
โดย: Joblovenuk (พีอาร์ฯ ) [8 ก.ค. 57 22:51] ( IP A:171.97.130.173 X: )
ความคิดเห็นที่ 3
   Begin Again ( เพราะรักคือเพลงรัก ) .... 3 ดาว .....

..............................พระอาทิตย์มีตกก็ย่อมต้องมีขึ้น เช่นเดียวกับชีวิตของคนเราที่อาจจะต้องมีล้มลงบ้าง แต่สุดท้ายทุกคนก็จะลุกกลับขึ้นมายืนใหม่ได้ ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงถือเป็นภาพยนตร์แห่งความหวัง บางคนเรียกมันว่าหนังฟีลกู๊ด ซึ่งก็ไม่ผิดแต่ประการใด คนส่วนใหญ่ชอบอะไรแบบนี้แหละ งานสวยๆซึ้งๆมาปลอบประโลมใจในยามที่ท้อแท้ เพื่อให้เรามีพลังใจลุกขึ้นมาทำอะไรใหม่ๆ เติมแรงใจในวันที่ทดท้อ หนังเล่าเรื่องแบบง่ายๆ ใช้เทคนิคการนำเสนอที่ไม่ยาก เข้าถึงได้แบบสนิทใจ ไม่ซับซ้อน แม้จะมีการเล่าเรื่องแบบไม่เรียงลำดับเวลาก็ตามที พร้อมด้วยเพลงประกอบที่เพราะสุดๆและเข้ากับหนังมากๆ เรียกว่าเล่าเรื่องด้วยหนังก็ไม่ผิดแต่ประการใด บางคนบอกว่าเพลงอาจจะเด่นกว่าหนังด้วยซ้ำ แต่ผมกลับเห็นตรงข้าม เรื่องนี้เพลงมาเพื่อเสริมให้หนังดูโดดเด้งขึ้นซะมากกว่า เพราะทุกเนื้อหาสอดคล้องกับบทหนังที่กำลังก้าวไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา หรือบางทีเขาอาจจะวางเพลงไว้แล้ว เขียนบทหนังให้เข้ากับเพลงหรือเปล่า อันนี้ผมก็ไม่ทราบจริงๆ

..............................เรื่องราวชีวิตของคนสองคนที่ล้มเหลวในชีวิตคู่มาเจอกัน แต่ไม่ได้มารักกันหรอกนะ มาเพื่อส่งเสริมกันในวันที่หมองเศร้า คนนึงเป็นนักแต่งเพลง คนนึงเป็นโปรดิวเซอร์เพลง เพราะงั้นดูเหมือนคนในวงการเพลงจะชอบหนังเรื่องนีัเป็นพิเศษ แต่คนฟังเพลงก็เต็มอิ่มไปกับเรื่องราวได้เช่นกัน จากชีวิตที่หอมหวานดูเหมือนจะเพอร์เฟค แต่แล้ววันนึง นางเอกสาวก็จับได้ว่าแฟนตัวเองไปมีกิ๊ก หลังจากที่เริ่มจะโด่งดังและได้เข้ามาในธุรกิจบันเทิง ตัวเองก็เลยเฟดออกมาอยู่คนเดียว พยายามปรับเปลี่ยนชีวิตก่อนจะมาพบเรื่องบังเอิญหลายอย่าง แล้วก็นั้่นแหละครับ ตามมาด้วยเพลงเพราะๆอีกเป็นพรวน ตัวละครน่ารักอีกเป็นเทือก ทุกอย่างสอดคล้องสอดประสานกันอย่างดีจนได้ผลลัพธ์อย่างที่เราเห็นบนจอร่วมๆสองชั่วโมง บางคนอาจจะบอกว่าหนังเล่นง่ายไปหน่อย ทวิสท์หักมุมน้อยไปนิด อุปสรรคหรือตัวร้ายแทบจะไม่มี ชีวิตมันจะง่ายแบบนั้นจริงๆหรือ ซึ่งก็จริง แต่ใครจะแคร์ล่ะครับ จะให้ชีวิตมันตกระกำลำบาก ทุกข์ระทมไปถึงใหน ทุกวันนี้เราก็หมองเศร้ากันจะแย่อยู่แล้ว ขอแฮปปี้แบบสุดทางบ้างจะเป็นไรไป
โดย: Joblovenuk (พีอาร์ฯ ) [7 ส.ค. 57 7:42] ( IP A:124.121.85.165 X: )
ความคิดเห็นที่ 4
   ..............................ความเก๋เท่ห์อีกอย่างก็คือ เพลงของหนังเรื่องนี้สามารถบิดได้หลายอารมณ์มาก และเมื่อมีความหมายของเพลงมาประกอบด้วยจะทำให้เราเข้าถึงอรรถรสขึ้นอีกมากมาย จากดิบ เป็นเพราะ เป็นสุกสกาว อย่างเช่น Lost stars จากผู้หญิงร้อง มาเป็นหนุ่มร็อคร้อง มาเป็นอคูสติก อารมณ์นี่ต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยนะครับ ฉากไคลแมกซ์เล่นเอาแทบร้อง ฉากหลังของหนังก็สวยงามมากสำหรับนิวยอร์ค ใครจะคิดว่าเมืองคนพลุกพล่านแบบนั้นจะมีมุมซึ้งๆอยู่มากมาย ด้วยเงื่อนไขหลายๆอย่างที่หนังเอามาเล่น แม้จะไม่มีสเปเชียลเอฟเฟคซ์มากมาย แต่หนังเรื่องนี้ก็จะเข้าไปอยู่ในใจคนดูได้ไม่ยาก ดังจะเห็นว่าแทบทุกคนที่ได้ไปดู หลงรักหนังเรื่องนี้กันถ้วนหน้า ถ้าไม่ได้กระแสวิจารณ์เชิงบวกจำนวนมหาศาลจนทำให้หนังเรื่องนี้ได้ฉายในเมืองไทยยาวนานถึงสัปดาห์ที่ห้า ผมก็คงพลาดหนังเรื่องนี้ไปแน่ๆเลยเชียว เพราะตัวเองก็ไม่ค่อยมั่นใจเต็มที่กับหน้าหนัง สุดท้ายหนังก็จบลงได้อย่างงดงามในตัวของมันเอง แม้จะอย่างที่บอก โลกสวยไปสักนิดก็ตามที แม้ว่าตัวเองจะไม่ใช่คนโลกสวยเลยสักนิด แต่ต้องยอมรับว่าถ้านำเสนอให้ถึงใจ เรื่องโลกสวยก็เป็นสิ่งที่ผมยอมรับได้ในโลกภาพยนตร์และโลกของความเป็นจริง

โดย: Joblovenuk (พีอาร์ฯ ) [7 ส.ค. 57 7:48] ( IP A:124.121.85.165 X: )
คลิก เพื่อเปลี่ยนกลับไปแสดงความคิดเห็นแบบเดิม

ชื่อไฟล์รูปห้ามมีอักขระพิเศษ เช่น (#),(<),(>),(&) เป็นต้นค่ะ
ชื่อ / e-mail :    แทรกไอคอนน่ารักๆในข้อความ
e-mail :
ส่งอีเมลทุกครั้งที่มีการตอบกระทู้       (ใส่ Email เมื่อต้องการให้ส่ง Email เมื่อมีคนมาโพสในกระทู้)


CAPTCHA code



คลิกที่นี่เพื่อกลับหน้าบ้าน